I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Devouring The Heavens ตอนที่ 138 ม่อเจวี๋ย

| Devouring The Heavens | 1353 | 2359 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ซวนหยวนคว้าตัวม่อโฉว และกระโจนออกไป ถ้าไม่มีม่อโฉวอยู่ที่นี่ ซวนหยวนคงต่อสู้กับพวกมันไปแล้ว แต่ซวนหยวนไม่ต้องการให้ม่อโฉวได้รับบาดเจ็บ

 

ดวงตาของม่อโฉวยังคงเปล่งประกายขณะที่นางมองซวนหยวนด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา นางรู้สึกชื่นชอบซวนหยวน และรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากเขา

 

“พี่ซวนหยวน” ม่อโฉวพูดพึมพำ “ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าต้องการพักผ่อน”

 

“นางคงจะเหน็ดเหนื่อยบางหลังจากที่ดวงตาของนางตื่นขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะโชคชะตา ซวนหยวนเจ้าต้องดูแลนางให้ดี ในอนาคตนางจะต้องมีประโยชน์กับเจ้าอย่างแน่นอนเพื่อค้นหาสมบัติ” เฒ่าโลภมากพูดเบาๆ

 

ซวนหยวนกำลังแบกม่อโฉวด้วยมือข้างเดียว และอีกมือหนึ่งเขาก็ถือหอกจิตวายุในขณะที่เขากำลังหลบหนี

 

“บัดซบ มันอยู่แค่ขอบเขตกษัตริย์ แต่ทำไมมันถึงรวดเร็วขนาดนี้? แถมพลังของมันยังน่าหวาดกลัว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายน้อยถึงไม่ต้องการให้มันมีชีวิตอยู่”

 

“ไม่ มันแข็งแกร่งเพราะคุณหนูหยินเป็นผู้ที่สอนทักษะให้ แต่มันกลับทรยศต่อตระกูลหยิน” ผู้คุ้มกันของตระกูลหยินกล่าว

 

“มันมีเด็กผู้หญิงอยู่ มันอาจจะใช้นางเป็นโล่ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไร?” นักฆ่าถาม

 

“เจ้าจะไปสนใจทำไม? เจ้าเป็นนักฆ่าที่พวกข้าจ้างมา อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กผู้หญิง ฆ่านางซะแล้วค่อยฆ่ามัน” ผู้คุ้มกันสั่ง

 

“ขอรับ!” นักฆ่าทุกคนตอบกลับ

 

ระยะห่างระหว่างพวกเขา และซวนหยวนค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ เบื้องหน้าเหล่าผู้คุ้มกัน และนักฆ่า

 

การปรากฏตัวของชายคนนั้นทำให้ท้องฟ้าสลัว เขายืนอยู่กลางอากาศราวกับดาบยักษ์โบราณ เมื่อเหล่านักฆ่าเห็นชายคนนี้ พวกเขาถึงกับสั่นเทาเพราะความหวาดกลัว และก้มด้วยความเคารพ

 

“คารวะว่าท่านพี่ม่อเจวี๋ย!”

 

ม่อเจวี๋ยดูเป็นคนที่เยือกเย็นมาก กลิ่นอายอันเยือกเย็นที่เขาปลดปล่อยออกมา ทำให้ทุกๆคนรู้สึกราวกับว่าเลือดของพวกเขากำลังแข็งตัว

 

“เจ้าเป็นคนที่มาจากหลุนหุยสินะ เจ้าคือ ม่อเจวี๋ยผู้บ้าคลั่ง ใช่ไหม’? ยอดเยี่ยม เจ้ามาช่วยพวกข้าจับเจ้าเด็กนั้นงั้นรึ ถ้าเจ้าสามารถจับหรือฆ่าเจ้าเด็กนั้นได้ เจ้าจะได้รับรางวัลจากตระกูลหยิน” ผู้คุ้มกันตระกูลหยินยื่นข้อเสนอ

 

หลุยหุยเป็นองค์กรนักฆ่าที่น่าหวาดกลัวมากๆ พวกเขาทั้งแข็งแกร่ง และได้ความเคารพนับถือจากทุกนิกาย และราชวงศ์ตะวันออก คำว่า หลุยหุย หมายถึง “ชีวิตหลังความตาย” องค์กรนี้เป็นองค์กรที่แข็งแกร่งและทรงพลังมากๆ ทำให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจของทุกคน และม่อเจวี๋ยยังดูเยาว์วัย และอายุไม่มากไปกว่าซวนหยวน แต่เขากลับแข็งแกร่งถึงขนาดนี้

 

ม่อเจวี๋ยปิดตาและพูดพึมพำกับตัวเอง “ในตอนที่ข้ายังเด็ก ข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง ข้าไม่สามารถดูแลนางได้ ดังนั้นข้าจึงทิ้งนางไป และหวังว่าจะมีใครสักคนดูแลนาง ข้าทิ้งนางไว้ที่ชานเมืองหลี่โส่ว”

 

เมื่อเขาพูดจบ สายตาของเขากลายเป็นเย็นชาทันที และได้มีหัวถูกตัดปลิวขึ้นไปบนอากาศ คนที่ถูกสังหารคือหนึ่งในนักสู้ขอบเขตกษัตริย์

 

ทำให้ทุกๆคนตกใจ นักฆ่าขอบเขตนักพรตถาม “เกิดอะไรขึ้น ท่านพี่ม่อเจวี๋ย?”

 

ม่อเจวี๋ยไม่สนใจ และยังคงพูดต่อ “มีโสเภณีคนหนึ่งได้เก็บน้องสาวของข้าไปเลี้ยง นางทำทุกอย่างเพื่อทำให้น้องสาวของข้ามีชีวิตที่ดี แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นแล้วก็ตาม แต่ชีวิตของข้าราวกับไม่ใช่ชีวิตของตัวเอง ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของข้าในชีวิตนี้คือ ขอให้น้องสาวของข้าอยู่อย่างปลอดภัยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

 

แสงอันเยือกเย็นอีกแสงหนึ่งปรากฏ และได้มีหัวอีกหัวหนึ่งปลิวขึ้นไปในอากาศ

 

“หญิงสาวที่เลี้ยงดูน้องสาวของข้าคือ ซูเหม่ย นางเลือกที่จะเป็นโสเภนี แต่นางก็ยังพยายามให้น้องสาวของข้ามีชีวิตที่ดี นางเป็นผู้มีพระคุณของข้า แต่ตอนนี้ข้าไม่สามารถตอบแทนนางได้อีกแล้ว วันนี้นางกลับถูกฆ่าตายอย่างไร้เหตุผลทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า!”

 

คราวนี้ได้มีหัว 8 หัวปลิวขึ้นไปในอากาศ นักสู้ขอบเขตกษัตริย์ทั้ง 10 คนถูกตัดหัว

 

นักฆ่าขอบเขตนักพรตผู้ที่กำลังสั่นเทาเพราะความหวาดกลัวถาม “พี่ม่อเจวี๋ยเกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ทำไมท่านถึงฆ่าพวกพ้องของตัวเอง? ผู้หญิงที่ชื่อ ซูเหม่ย นางมีดีอะไรกัน ไม่มีใครสนหรอกว่านางจะเป็นหรือตาย”

 

“ซูเหม่ยช่วยซวนหยวน และน้องสาวของข้าก็อยู่กับซวนหยวน ข้าติดตามการเคลื่อนไหวของเขาตั้งแต่ที่เขาพาตัวน้องสาวของข้าไปเพื่อให้แน่ใจว่านางจะไม่ตกอยู่ในอันตราย แต่อย่าคิดว่าข้าจะลืมติดตามการเคลื่อนไหวของพวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนยอมรับคำสั่งให้โจมตีซวนหยวน และฆ่าน้องสาวของข้า นั่นแหละคือเหตุผล เจ้าต้องการฆ่าน้องสาวของข้าสินะ? พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!” ม่อเจวี๋ยไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ร่างของนักฆ่าขอบเขตนักพรตกลับถูกผ่าเป็น 2 ส่วน

 

“ม่อเจวี๋ย อย่าสังหารข้า ข้าทำไปเพราะได้รับคำสั่ง แม้ว่าเจ้าจะสังหารข้า นายน้อยจะต้องส่งนักฆ่าคนอื่นๆมาสังหารซวนหยวนอยู่ดี ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะไม่รายงานเรื่องนี้ให้นายน้อยทราบ และพวกเราจะฆ่าซวนหยวนเพียงคนเดียว และแน่นอนข้าจะดูแลน้องสาวเจ้าเป็นอย่างดี!” ผู้คุ้มกันตระกูลหยินใบหน้ากลายเป็นซีดขาว เขาไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับม่อเจวี๋ยผู้ที่อยู่ขอบเขตราชันย์ ม่อเจวี๋ยเป็นผู้ที่ผ่านการสู้รบมามากมาย เขาแข็งแกร่งกว่านักสู้ขอบเขตราชันย์ทั่วๆไป

 

“ซวนหยวนเป็นคนดี เขาไม่ใช้พลังของเขาเพื่อข่มขู่คนที่อ่อนแอกว่า แต่เขาใช้พลังของเขาเพื่อปกป้องผู้อื่น เขาไม่สมควรตาย นอกจากนี้เขายังเป็นคนดูแลน้องสาวของข้า ดังนั้นข้าจึงให้เขาถูกฆ่าตายไม่ได้ ถ้าข้าสังหารเจ้าก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แล้ว” น้ำเสียงของม่อเจวี๋ยเยือกเย็นมาก และได้มีแสงจำนวนมากปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา และสับร่างของพวกมันเป็นก้อนเนื้อชิ้นเล็กๆ

 

ม่อเจวี๋ยจ้องมองไปทางทิศที่ซวนหยวนจากไป และกำกริชสีดำ และขาวในมือไว้แน่น กริชของเขาชะโลมไปด้วยเลือดของผู้ที่ไล่ตามซวนหยวน

 

“กริชมายา ดูเหมือนเจ้าจะเป็นสหายเพียงคนเดียวของข้า” ม่อเจวี๋ยยืนอยู่บนท้องฟ้าอย่างโดดเดี่ยว กริชของเขามีชื่อว่า กริชมายา และทันใดนั้นจู่ๆเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ซวนหยวนกำลังแบกม่อโฉว และยังคงหลบหนีด้วยความเร็วสูงสุดของเขา ทันใดนั้นเขาก็มาถึงทะเลสีคราม และสังเกตเห็นว่าไม่มีใครไล่ตามเขามา ทะเลสีครามตอนนี้มันเป็นทะเลที่มีน้ำใส และเงียบสงบมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เขามาที่นี่

 

“มีใครบางคนหยุดพวกนักฆ่าไว้ ขณะที่เจ้ากำลังหลบหนี” เฒ่าโลภมากกล่าว “และตอนนี้ข้าก็บรรลุขอบเขตราชันย์แล้ว”

 

ในตอนนี้ซวนหยวนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก พลังปราณของเขาสูญเสียไปเยอะมากเพราะหลบหนี ดังนั้นซวนหยวนจึงตัดสินใจพักผ่อนที่เกาะเล็กๆเกาะหนึ่งที่เขาเห็นมันในทะเล ม่อโฉวนอนหลับสนิท ราวกับไม่มีอะไรสามารถปลุกนางให้ตื่นได้

 

“แล้วใครเป็นคนหยุดพวกนักฆ่า?” ซวนหยวนขมวดคิ้ว

 

“ข้าไม่รู้ แต่เหตุผลที่พวกมันสามารถไล่ตามเจ้าได้มันเป็นเพราะไข่มุกที่เจ้าห้อยอยู่บนคอ บางคนที่แข็งแกร่งพวกเขาสามารถตามร่องรอยของเจ้าได้ ข้าจะกลืนกินกลิ่นอายของไข่มุก แล้วพวกมันจะไม่สามารถไล่ตามเจ้าได้อย่างง่ายดาย” ขณะนั้นได้มีแสงสีดำเข้าไปในไข่มุก ซวนหยวนสามารถรู้สึกได้ว่าไข่มุกมันสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะสงบลง

 

“พวกนักฆ่าพวกนั้นมันช่างโง่เขลาซะเสียจริง ถึงกล้าท้าทายข้า” เฒ่าโลภมากกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

“แถมพวกเราโชดีจริงๆ ที่ได้พบกับม่อโฉวผู้ที่มีร่างกายพันวิญญาณ เมื่อนางตื่นขึ้นมา ข้าจะสอนทักษะป้องกันตัวของร่างพันวิญญาณให้นาง”

 

ซวนหยวนถาม “มันคืออะไร?”

 

“มันเป็นทักษะระดับเซียน มันเป็นทักษะปกป้องผู้ใช้ แต่เจ้าไม่สามารถเรียนรู้ได้ เว้นเสียแต่เจ้าจะมีร่างกายพันวิญญาณ!” เฒ่าโลภมากหัวเราะเบาๆ ซวนหยวนไม่ปฏิเสธหากมันสามารถปกป้องม่อโฉวได้ล่ะก็เขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

“ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเราควรกลับนิกายก่อนเป็นอันดับแรก” ซวนหยวนกล่าว

 

“แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทะเลสีครามมันจะต้องดึงดูดผู้คนจำนวนมากแน่ๆ เจ้าอย่าลืมปกปิดกลิ่นอายด้วยทักษะกลืนกินเสียล่ะ ถ้าไม่ใช่กรณีฉุกเฉินจริงๆ อย่าใช้วารีสวรรค์” เฒ่าโลภมากแนะนำ

 

“ข้ารู้ พวกเราโชคดีจริงๆที่เจ้าหญิงปิงเหยาปรากฏตัว มิฉะนั้นข้าคงถูกซื่อหว่านพาตัวไปแล้ว” ซวนหยวนเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เขาพบเจอมันมากกว่าสิ่งที่เขาคิดไว้

 

และเขายังคงคิดถึงหยินเฉินลู่

 

“ครั้งนี้ข้ารอดตายเพราะแสงแห่งมังกรสวรรค์ที่อาจารย์ผู้ที่แสนงดงามของข้ามอบให้ข้า ข้าจะต้องตายแน่ๆหากไม่ได้รับการคุ้มครองจากนาง ข้าจะต้องฝึกฝนให้หนัก เพื่อลบจุดอ่อนของพวกเรา!”

 

ทันใดนั้นจู่ๆซวนหยวนก็ได้กลิ่นหอกของดอกไม้ และกลิ่นคาวเลือดที่ลอยฟุ้งไปทั่วอากาศ และปรากฏเงาของหญิงสาวที่แสนงดงามด้านหน้าของซวนหยวน

 

“นายน้อยซวนหยวน ท่านยังไม่ได้กล่าวอำลาข้าเลย” เสื้อคลุมของซื่อหว่านปกคลุมไปด้วยเลือด อย่างไรก็ตามใบหน้าของนางยังคงงดงามเหมือนเดิม “มากับข้าซะ ข้ามีคำถามมากมายอยากจะถามท่าน”

 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments