I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Divine Throne of Primordial Blood ตอนที่ 4 ไม่ยอมแพ้ (3)

| Divine Throne of Primordial Blood | 731 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

บทที่ 4 ไม่ยอมแพ้ (3)

เสียงงานเฉลิมฉลองดังก้องไปทั่วภายในกำแพงของสำนักตระกูลซู

เสียงกลองดังสนั่นคล้ายฝนที่กำลังตกกระหน่ำ ส่งผลให้ใจของผู้ฟังเหมือนถูกเขย่าเบา ๆ

“เจี้ยนชิน เกิดสิ่งใดขึ้นข้างนอกนั่น?” ซูเฉินถาม

เจี้ยนชินวิ่งออกไปดูก่อนที่จะวิ่งกลับมา “นายท่านรับนายหญิงคนที่สี่ขอรับ”

หลังจากคิดบางอย่างได้ มันจึงเอ่ยเพิ่มเติม “ปีนี้นายท่านรับนายหญิงมาทั้งสิ้นสามนางแล้วขอรับ”

เป็นเช่นนั้น?

ซูเฉินยิ้มอย่างขมขื่นภายในใจ

วันนี้เป็นวันแห่งความสุขของบิดามัน ทว่าอารมณ์ของซูเฉินตอนนี้ห่างไกลจากคำว่าความสุขนัก

หลังจากเงียบมานาน ซูเฉินถามขึ้น “นางผู้นี้มาจากที่ใด?”

“เป็นแม่นางหวูโชงแห่งซ่องวสันต์จันทรา มีข่าวลือว่านางเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น และมีพรสวรรค์มากมาย ชายในเมืองหลินเป๋ยนับไม่ถ้วนที่ชื่นชอบนาง ทว่านางกลับเลือกนายท่าน กล่าวกันว่านางกำลังตั้งท้อง ดูเหมือนนายน้อยสี่จะมีน้องเพิ่มอีกสองคนในเร็ววันนี้ขอรับ”

ซูเฉิงอานได้รับนายหญิงภายในปีนี้มาสามนางแล้ว ระหว่างนั้นนายหญิงรองได้คลอดลูกสาว ซึ่งเป็นเด็กที่ซูเฉิงอานรักเป็นอย่างมาก นายหญิงสามเองก็กำลังตั้งท้องอยู่ มีกำหนดคลอดในอีกสองเดือนข้างหน้า สำหรับนางแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดี นางตั้งท้องก่อนที่จะเข้าร่วมตระกูล

นับตั้งแต่ลูกชายของมันสูญเสียการมองเห็นไป นายใหญ่ตระกูลซูใช้เวลาออกไปข้างนอกมากขึ้น เข้าร่วม “การต่อสู้” มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พฤติกรรมนี้เป็นไปตามธรรมชาติเนื่องจากการดำเนินการของซูเค่อจี๋ แต่ตัวซูเฉิงอานเองก็มิได้เลือกที่จะหลีกเลี่ยง

แม้ว่าซูเฉินจะยังไม่เข้าใจแผนการของซูเค่อจี๋ ทว่ามันก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่บนคลื่นแห่งความสงบนี้ หากซูเฉิงอานมีบุตรชายอีกคน จะยังสนับสนุนมันอยู่อีกหรือ?

ซูเฉินเองก็มิอาจรู้ได้

มันพึ่งอายุเพียงสิบสี่ปี ยังเป็นเยาว์วัยอยู่ แม้ว่ามันจะ ‘มองเห็น’ บางอย่างได้ในตอนนี้ ทว่าก็มิอาจใช้มันตัดสินในระยะยาวได้

ทว่าคำตอบของมันก็มาถึงอย่างรวดเร็ว

หลังสองเดือนผ่านไป นายหญิงสามก็คลอด

เป็นบุตรชายตัวอ้วนจ้ำม่ำ ซูเฉินอานจึงตั้งชื่อให้ว่าซูหมิง

เมื่อซูหมิงเกิดได้ครบหนึ่งร้อยวัน สำนักตระกูลซูได้จุดพลุจัดงานเฉลิมฉลอง สร้างความเพลิดเพลินสนุกสนาน

คืนนั้น ซูเค่อจี๋สวมชุดหรูหราเต็มยศเพื่อไปเยี่ยมเยียนพี่ชายของมัน

ทั้งสองพูดคุยกันเป็นเวลานาน

__ __

ตื่นมาในตอนเช้าตรู่ ซูเฉินอาบน้ำแล้วตรงไปนั่งที่ลานฝึกซ้อม ฟังเสียงลมที่พัดผ่านไปมา ฟังเสียงนกขับร้องเสียงเพลงบนต้นไม้ ฟังเสียงทรายที่กัดเซาะผืนดิน ฟังเสียงมดที่กำลังขนอาหาร การได้ยินของมันยอดเยี่ยมมาก ไม่เพียงแต่ทำให้มันสามารถได้ยินเสียงในสิ่งที่ผู้อื่นมิได้ยิน ทั้งยังทำให้มันสามารถแยกความแตกต่างออกได้อย่างชัดเจน

“ท่านพ่อ?” ซูเฉินหันศีระไปทางด้านหลัง

“ช่วงเช้าแบบนี้ ลุงสามของเจ้ามิได้ฝึกดาบรัศมีแสงอาทิตย์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า?” ซูเฉิงอานเดินออกมาจากทางด้านหลัง

“แม้มันจะคล้ายกัน มันก็ยังคงคล้ายกัน” ซูเฉินยิ้ม “บัดนี้ลูกสามารถแยกความแตกต่างได้แล้ว”

ซูเฉิงอานมองลูกชายของมันพร้อมกับเงียบไป

แม้ว่าซูเฉินจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทว่ามันก็ยังไม่ยอมแพ้ และยังคงฝึกฝนต่อไป เพื่อให้มีบุตรชายเหมือนอย่างมัน ซูเฉิงอานรู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อนึกถึงจุดประสงค์ในการมาเยี่ยม ซูเฉิงอานเริ่มรู้สึกลำบากใจ

ขณะนั้น จากความพึงพอใจก็พลันเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด

ถ้าหาก… เจ้าไม่โดดเด่นเช่นนี้

ซูเฉินเอ่ยต่อ “นับว่านานแล้วที่ท่านพ่อได้มาเยี่ยมข้า ที่ท่านมาในวันนี้มีเรื่องใดจะบอกกล่าวกับลูกอย่างนั้นหรือ?”

ซูเฉิงอานนั่งลงบนเก้าอี้หิน “เมื่อวานลุงสองของเจ้ามาหาข้าอีกแล้ว”

ใจของซูเฉินรู้สึกหนักอึ้ง

การที่ซูเค่อจี๋ไปเยี่ยมเยียนพี่ชายของมันก็มิได้เป็นเรื่องแปลกอันใด ถึงกระนั้น หากบิดามาเยี่ยมมันด้วยตนเอง มันก็มีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องก่อนหน้านี้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากบิดาของมันปฏิเสธข้อตกลงของซูเค่อจี๋ คงไม่มาหามันพร้อมกับใช้เสียงเคร่งครึมในการพูดคุยเช่นนี้ ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณของลางร้าย…

แม้จะคิดอยู่ ทว่าใบหน้าของมันก็ยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม

การสูญเสียการมองเห็นมาสองปี ทำให้จิตใจของมันมั่นคงหนักแน่นมากขึ้นกว่าเดิม มันเรียนรู้ที่จะเก็บความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงเอาไว้ข้างใน

ซูเฉินเอ่ย “ลูกขอถามเรื่องที่ท่านพ่อและลุงสองได้พูดคุยกันได้หรือไม่?”

ซูเฉิงอานตอบกลับไป “มันหวังว่าเจ้าจะยอมแพ้ และทบทวนเรื่องการประเมินในสิ้นปีนี้”

“ท่านพ่อได้ให้สัญญากับมันแล้วหรือ?”

ซูเฉิงอานลังเลครู่หนึ่ง “มันสัญญากับข้า หากข้ายอมรับที่จะเปลี่ยนวิธีการประเมิน มันจะส่งโอกาสของซูหลินในการใช้สระไตรวสันต์ให้กับข้า”

สระไตรวสันต์เป็นไอพลังต้นกำเนิดที่ตั้งอยู่ภายในเมืองหลินเป๋ย มันประกอบไปด้วยพลังต้นกำเนิด หากมีผู้ใดได้ชำระกายในนั้น มันจะช่วยเพิ่มความสามารถของผู้นั้นให้รู้สึกถึงพลังต้นกำเนิดได้ ทว่าสิ่งนี้มีผลเฉพาะกับเด็กที่อายุไม่เกินสามขวบเท่านั้น

สิทธิ์ในการครอบครองสระไตรวสันต์ตกอยู่ในมือราชาของเมืองหลินเป๋ย เยว่เว๋ยโช๋ง เพราะว่ามันมีจำกัดที่สามารถใช้ได้เพียงสามครั้งสำหรับบุคคลภายนอก สิ่งนี้เองที่สิ่งผลต่อการแข่งขันอันเคร่งเครียดระหว่างครอบครัวในตระกูล ซูเฉิงอานใช้ตำแหน่งในฐานบุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลเพื่อให้ซูเฉินได้ใช้สระไตรวสันต์เมื่อครั้งอดีต และซูเฉินก็สามารถเพิ่มพูนพลังได้อย่างรวดเร็ว นอกจากความพยายามของตนเองแล้ว มันยังเป็นการสนับสนุนจากครอบครัวของมันอีกด้วย

เนื่องจากขีดจำกัดในการเข้าใช้ หลังจากซูเฉิงอานได้ใช้มันกับซูเฉิน ส่งผลให้บุตรชายคนที่สองมีโอกาสใช้มันนั้นยากขึ้น นับตั้งแต่ที่ตระกูลซูขยายใหญ่ขึ้น จำนวนผู้สืบสายเลือดรุ่นที่สามก็มากยิ่งขึ้น หากโอกาสดี ๆ ทั้งหมดถูกมอบให้กับซูเฉิงอาน อาจทำให้คนอื่น ๆ เกิดความไม่พอใจได้

ซูเค่อจี๋พึ่งได้บุตรชายคนใหม่เมื่อปีที่แล้ว และมอบนามว่าซูหลินให้ ด้วยคุณสมบัติและตำแหน่ง มันจึงได้รับสิทธิ์ในการใช้สระไตรวสันต์ ทว่าความจริงแล้วเหตุผลที่ซูเค่อจี๋เลือกที่จะมีบุตรในช่วงเวลานี้ เป็นเพราะมันคำนวณไว้แล้วว่าตระกูลซูจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าใช้

แม้ว่าซูหลินจะเป็นชื่อที่ดี ทว่าร่างกายตามธรรมชาติของมันมิได้มีสิ่งใดพิเศษ และมีอนาคตค่อนข้างจำกัด ทว่านั่นกลับมิอาจหยุดซูเค่อจี๋จากการใช้สิทธิ์เพื่อเป็นเครื่องมือเจรจาต่อรองได้

ซูเฉินตาบอดไปแล้ว ความหวังของซูเฉิงอานก็เลือนหายไปเช่นกัน ได้แต่หวังว่าจะมีบุตรที่ดีเพิ่มมาอีกสักคน

“เช่นนั้น ท่านพ่อต้องการมอบสิทธิ์นี้แก่น้องหมิง?”

ซูเฉิงอานตอบ “มิใช่ซูหมิง”

ซูเฉินตะลึงชั่วครู่

ซูเฉิงอานเอ่ยต่อ “ท่านหมอหยวนแห่งคฤหาสถ์วายุเหนือน้ำได้ตรวจร่างกายป้าสี่ของเจ้า และนางได้บุตรชาย”

ความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ซูเฉิงอานรักใคร่ภรรยาคนล่าสุดของมันมาก ชนิดโงหัวแทบไม่ขึ้น และนั่นก็เพียงพอแล้วที่มันจะหยิบสิทธิ์ในการใช้สระไตรวสันต์ให้กับบุตรชายที่ยังมิได้ออกมาลืมตาดูโลกของมัน

นี่เป็นการตัดสินใจของซูเฉิงอาน แม้ว่าซูเฉินจะไม่เห็นด้วย ทว่านั่นก็ไม่มีประโยชน์อันใด

พอซูเฉินได้ยินสิ่งที่ซูเฉิงอานเอ่ย ก็มิได้ตอบสนอง

ซูเฉินยังเยาว์วัยอยู่ และอีกสามเดือนก็จะครบวันคล้ายวันเกิดอายุ 14 ปีของมัน

แม้จะอายุยังน้อย ทว่าความคิดของมันได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้ ประสบการณ์จากปีที่แล้วยังคงฝังลึกอยู่ภายในตัวมัน และได้ทำการเตรียมใจเอาไว้แล้ว

ในโลกอันมืดมิดนี้ เพื่อปกป้องแสงสว่างอันน้อยนิด บางครั้งมันยากที่จะรักษาไว้ เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง

ซูเฉินยังคงเงียบ

หลังจากนั้นไม่นานมันก็เอ่ยขึ้น “ลูกมีเรื่องที่ยังมิได้แจ้งต่อท่านพ่อ”

“เรื่องอันใดหรือ?”

“ดวงตาของลูกกำลังฟื้นตัว”

“เจ้าว่ากระไรนะ?” ซูเฉิงอานลุกขึ้นและคว้าตัวบุตรชายของมันในทันที

หากดวงตาซูเฉินฟื้นตัว มันจะเป็นข่าวที่ดีมาก

แม้ว่าซูเฉิงอานจะรักซูหมิง รักบุตรชายที่อยู่ในท้อง ทว่ามันรู้สึกถึงสิ่งหนึ่งอยู่แก่ใจ ซูเฉินเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูล แทนที่จะใช้ทรัพยากรจำนวนมากไปกับเด็กที่ยังไม่รู้ถึงอนาคต มันอาจจะดีกว่าหากนำมาใช้เลี้ยงดูเด็กที่มีความสามารถพิเศษอยู่แล้ว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ มุมมองของทุกคนต่างคล้ายกัน หากมิใช่เพราะซูเค่อจี๋ไม่ยอมแพ้ในโอกาสที่จะได้ใช้สระไตรวสันต์เพื่อบำรุงซูชิ่ง นั่นเป็นเพราะมันรู้ชัดแจ้งแล้วว่า ถึงซูหลินจะไม่มีร่างกายอ่อนแอ ทว่ามันก็มิอาจบรรลุถึงพลังปัจจุบันของซูชิ่งได้ การเติบโตของบุคคลนั้นเต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมาย ถึงกระนั้นซูเฉินก็คงมีมุมมองไม่ต่างจากนี้

เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ วิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมความเสี่ยงไว้โดยการทำบางอย่างที่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นแล้วรอเก็บเกี่ยวผล

ดังนั้น หากซูเฉินสามารถฟื้นฟูดวงตาได้จริง ๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ซูเงอานจะทอดทิ้งมัน

“ที่เจ้าเอ่ยมาเป็นจริงรึ? เหตุใดเจ้าจึงมิเอ่ยเรื่องนี้ก่อนหน้านั้น?” ซูเฉิงอานถามอีกครั้ง

ซูเฉินตอบ “บัดนี้ลูกเพียงรู้สึกคลุมเครือ และยังต้องการที่จะเพิ่มพูนให้มากขึ้นเพื่อทำให้ท่านประหลาดใจ”

“เป็นข่าวที่ดีมาก หากเจ้าฟื้นฟูมันได้” ซูเฉิงอานเอ่ยอย่างมีความสุข

สองปีที่ผ่านมา เมื่อซูเฉินสูญเสียสัมผัสในการรับรู้ถึงแสงไป โลกของมันกลับกลายเป็นความมืดมิดไร้สิ้นสุด

บางทีที่ซูเฉินเอ่ยมาก็ถูก มันสามารถฟื้นฟูได้แน่

ซูเฉินเอ่ยต่อ “ถึงกระนั้นนั้นมันอาจจำเป็นต้องใช้เวลาสักปีหรือสองปีเพื่อให้ลูกฟืนฟูได้อย่างสมบูรณ์”

“เจ้าต้องใช้เวลาสักปีหรือสองปี?” ซูเฉิงอานเงียบไปก่อนที่จะพยักหน้า “เช่นนั้น หากเจ้าสามารถฟื้นฟูได้ภายในสองปีก็ยังคงมีเวลาอยู่”

“เรื่องเกี่ยวกับลุงสอง……”

“ข้าจะไปปฏิเสธมันบัดเดี๋ยวนี้เลย” ซูเฉิงอานเอ่ยอย่างแน่วแน่

หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ซูเฉิงอานหยุด

มันโบกมือซ้ายที่ซูเฉิน

ซูเฉินยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านจะโบกมือด้วยเหตุใดหรือท่านพ่อ? ลูกมองเห็นเพียงเงาเบลอ ๆ ไม่ค่อยชัดเท่าใดนัก”

ซูเฉิงอานถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด”

มันหมุนตัวแล้วเดินออกไป

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments