ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
แปลไทยโดย Takumi Kun
ตรวจทานโดย Takumi Kun
=====================================================
‘เจ้าบ้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆแน่สำหรับสิ่งที่เจ้าได้ทำวันนี้’
เจียงรู่หลงโกรธเกรี้ยวอย่างมาก ในขณะนั้นเขาสามารถที่จะเปลี่ยนเจียงเฉินให้เป็นเถ้าถ่านได้ในทันที!เจียงรู่หลง เจียงเจิ้นไห่และมู่หรงเจิ้นต่างถูกเจียงเฉินหลอกในวันนี้ เพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่อาจรู้ได้คือเจ้าโง่นี่ได้เปลี่ยนกลายเป็นคนหลักแหลมในฉับพลันได้อย่างไร
แต่ว่าตอนนี้มันสายเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ขณะที่เขาทำได้เพียงหวังให้แม่นางมู่หรงเสี่ยวโหลวเป็นคนอ่อนโยนและงดงาม หากว่านางงดงามอย่างแท้จริง ตอนนั้นจะทำให้อารมณ์ของเขากลับมาดีอีกครั้ง
“แม่นางมู่หรงมา”
ครู่ถัดมา มาพร้อมกับเสียงประกาศของยาม สตรีในชุดม่วงได้เข้ามา
ทั้งสามคนจากตระกูลเจียงได้หันหน้ามามายังหญิงสาวผู้นั้นและเมื่อพวกเขามองเห็นหญิงสาว รอยยิ้มของพวกเขาทั้งหมดแข็งทื่อ
เพล้ง!
แก้วน้ำที่เจียงเจิ้นไห่ถือตกลงบนพื้น ราวกับว่าเขาได้เห็นบางสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงได้ แม้จะมีจิตใจอันเข้มแข็งก็ตาม
เจียงเฉินไอออกมาเสียงดัง หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาสูงถึงแปดฟุต และนางได้รับสืบทอดกล้ามเนื้อมาจากบิดาของนาง และไม่ใช่แค่นั้นทั้งหมด!นางดูเหมือนกระทั่งชายบึกบึน ผู้ที่มีน้ำหนักราวๆสามร้อยปอนด์
‘เxี้ย!นามของนางคือ เสี่ยว โหลว’ (Xiao Rou =อ่อนโยน)
‘มันก็พอได้กับร่างอันกำยำของนางล่ะนะ แต่เหตุใดต้องถักเปียชี้ขึ้นฟ้าเช่นนั้น?เจ้าคิดว่ามันทำให้เจ้าตัวสูงขึ้นงั้นรึ?’
‘และยังหน้าตานั่นอีก ผิวก็มันเยิ้ม และยังผิวหนังส่วนเกินเป็นชั้นนั่นอีกและปากอันใหญ่ยักษ์สีแดงนั่น!ลองจินตนาการดูว่าหากว่านางพยายามที่จะจูบใครสักคน’
อึก!
เจียงเฉินแค่คิดในใจก็จะอาเจียนออกมา ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและเขาได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างมามากมาย เขาไม่เคยพบเห็นสตรีที่อัปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน
ใช่แล้ว สตรีนางนี้อัปลักษณ์ที่สุดในโลกไม่เป็นรองผู้ใด อย่างน้อยนี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเจียงเฉิน และกระทบกับเพียงพอกับนามของนาง เสี่ยวโหลว
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เจียงเฉินอดกลั้นที่จะไม่ให้หัวเราะอย่างยากลำบาก แต่ว่าเขาหัวเราะดังลั่นในหัวของเขา
‘เจียงรู่หลง นี่เป็นเคราะห์กรรมของเจ้า!’
เจียงเฉินคิดขณะที่เขากำลังยกย่องมู่หรงเจิ้นในใจ ‘เจ้าเป็นบิดาที่ยอดเยี่ยมมาก เจ้าได้ถ่ายทอดยีนอันยอดเยี่ยมสู่บุตรสาวของเจ้า และเจ้าเป็นอัจฉริยะในการตั้งชื่ออีกด้วยสำหรับนามของบุตรสาวเจ้าว่า เสี่ยวโหลว…ไม่มีสิ่งใดของนางที่สัมพันธ์กับนามนี้เลย’
“เร็วๆเข้า นำแม่นางมู่หรงไปยังที่ของนาง”
เจียงเจิ้นไห่พูดขณะที่กระแอมและจัดชุดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกยินดีที่เจียงเฉินไม่ใช่ผู้ที่ต้องแต่งงานกับเด็กสาวผู้นี้ และโชคดียิ่งกว่าที่เจียงรู่หลงแต่งเข้าไปตระกูลของพวกมัน หากว่าแม่นางมู่หรงได้แต่งเข้ามาตระกูลเจียง ตอนนั้นทุกๆคนคงจะดูถูกเขาเป็นแน่
“ฮ่าฮ่า โหลวเอ๋อร์ รีบมาทักทายว่าที่สามีเจ้าสิ”
มู่หรงเจิ้นพูดขณะที่มีรอยยิ้มบนหน้าของมันขณะที่มันนำมู่หรงเสี่ยวโหลวไปยังเจียงรู่หลง
เมื่อเห็นถึงความหล่อเหล่าของเจียงรู่หลง มู่หรงเสี่ยวโหลวตาเต็มไปด้วยประกาย นางเดินก้าวใหญ่ไปหาเจียงรู่หลงและเริ่มควงแขนของเขา “สามีที่รักของข้า นี่เป็นครั้งแรกของข้าในคฤหาสน์เจ้าเมือง เจ้าพาข้าเดินชมรอบๆหน่อยสิ!” นางพูดด้วยเสียงที่หวานที่สุดเท่าที่นางสามารถดัดได้
เลือดแทบจะกระเด็นออกจากปากของเจียงเฉิน เขาสามารถสัมผัสได้ว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของเขาเป็นตระคริวขณะที่กลั้นหัวเราะ เขาไม่อาจทนเสียง’หวาน’ของแม่นางมู่หรงได้ เสียงของนางอย่างกับสัตว์กำลังเห่าหอน มันส่งให้หนาวไปถึงไขสันหลังของเขา
‘ฮ่าฮ๋า!ผู้ใดจะรู้ถึงความรู้สึกของเจียงรู่หลงตอนนี้…..ข้าพนันได้ว่าเขาอยากตายตอนนี้เป็นแน่’
“ใช่แล้ว รู่หลงนำเสี่ยวโหลวชมรอบๆสิ”
เจียงเจิ้นไห่พูดขณะที่ผงกหัวของเขา
“ขอรับ ท่านพ่อ!”
เสียงของเจียงรู่หลงสั่นเครือ ทุกๆคนในห้องสามารถสังเกตุเห็นได้ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และด้วยแรงของฉีจิงขั้นที่เก้าได้ลากเขาออกจากห้องโดยมู่หรงเสี่ยวโหลว
“ข้าขอให้เจ้าพยายามให้ดีที่สุดนะ ท่านพี่”
ได้ยินเจียงเฉินทิ้งท้ายไว้ เจียงรู่หลงเกือบทรุดลงบนพื้น
“ท่านพ่อ ท่านลุงมู่หรง เมื่อพวกเราได้ตัดสินใจแล้ว ข้าคิดว่ามันจะเป็นการดีที่เลือกวันและกำหนดวันพิธีแต่งงานด้วยเลย”
เจียงเฉินแนะนำ
“ตกลง วันพรุ่งนี้เป็นฤกษ์งามที่ดี ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะจัดงานแต่งขึ้นในวันพรุ่งนี้”
มู่หลงเจิ้นกล่าว
ตุบ!
เจียงรู่หลงที่อยู่ไม่ไกลจากห้องได้ทรุดตัวลงบนพื้นหลังจากได้ยินสิ่งที่มู่หรงเจิ้นกล่าว
“ท่านลุงมู่หรงพูดถูก เพื่อช่วงเวลาที่ปิติยินดีเช่นนี้พวกเราจะต้องทำเนินการให้รวดเร็ว ท่านพ่อ ท่านและท่านลุงมู่หรงเชิญตามสบายนะขอรับ ข้าขอตัวก่อน”
เจียงเฉินทำความเคารพด้วยการประสานมือและเดินออกไป
มองไปยังหลังของเจียงเฉินทั้งขมวดคิ้ว เจียงเจิ้นไห่ไม่อาจเข้าใจเจตนาที่แท้จริงได้ มันเห็นได้ชัดว่าเจียงเฉินจงใจที่จะทำมันทั้งหมด เขาไม่อาจเข้าใจได้เหตุใดเจียงเฉินถึงต้องการเล่นงานเจียงรู่หลงหลังจากที่เจียงรู่หลงได้ปฎิบัติต่อเจียงเฉินเป็นอย่างดีเป็นเวลานาน และสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือพฤติกรรมของเจียงเฉินนั้นแตกต่างจากที่เขาได้คุ้นเคย
สำหรับเจียงรู่หลง เขาทำได้เพียงถอนหายใจเงียบๆ และคิดหาทางเอาคืนหลังจากนี้
เจียงเฉินออกจากห้องโถงหลักและกลับไปยังที่พักของตน
“ฮ่าฮ่าฮ่า มู่หรงเสี่ยวโหลว…นี่มันน่าขันมากๆ…คิกๆ..อย่าได้ตำหนิข้าที่ยกให้เจ้านะ เจียงรู่หลงเป็นเจ้าที่เริ่มก่อนเองนะ ตอนนี้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดหรือยังล่ะ”
หัวเราะอย่างไม่หยุด และจินตนาการถึงฉากอัปลักษณ์ที่มู่หรงเสี่ยวโหลวคว้าตัวเจียงรู่หลงเอาไว้…..เขารู้สึกอยากอาเจียนออกมา แต่ในเวลาเดียวกันความรู้สึกของการแก้แค้นทำให้เขามีความสุข
เจียงเฉินรู้ว่าการแก้แค้นเช่นนี้ทำให้รู้สึกดีกว่าสังหารเจียงรู่หลงเป็นไหนๆ
เจียงเฉินตอนนี้ไม่ได้รู้สึกแย่ที่พี่ชายของเขาพยายามที่จะสังหารเขา แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ ในเมื่อเจียงรู่หลงต้องการที่จะสังหารเขา มีชะตาเพียงสิ่งเดียวสำหรับเขาก็คือโดนเจียงเฉินสังหาร
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจียงเฉินในตอนนี้คือการฝึกฝน ผู้คนจากจักวาลต้นกำเนิดเซียนต่างยกย่องผู้แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะไปที่แห่งใด ผู้คนจะยกย่องคนผู้นั้นหากเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง ครั้งหนึ่งเจียงเฉินเคยเป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่หลังจากที่เขาได้กำเนิดใหม่ เขาต้องเริ่มใหม่แต่ต้น ตอนนี้เขายังเป็นผู้อ่อนแออาณาจักรฉีจิงขั้นที่แปดเท่านั้น
กลับไปยังห้องของเขา เจียงเฉินปิดประตูและนั่งขัดสมาธิบนเตียง
บนเส้นทางผู้ฝึกตน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประเภททักษะที่ยุทธที่ใช้ทำการบ่มเพาะ ยิ่งใช้ทักษะระดับสูงเพียงใด การประสบความสำเร็จจะสูงตามมาด้วย
ครั้งหนึ่งเคยเป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด เจียงเฉินได้เก็บสะสมทักษะไว้จำนวนมาก หากเขาแสดงทักษะออกมาสักทักษะหนึ่ง ถึงตอนนั้นเหล่าผู้คนเมืองฟ้าหอมทั้งหลายจะสู้กันเองเพื่อได้มันมา
ในจักรวาลกำเนิดเซียน ทักษะจะแบ่งออกเป็นสี่หมวดหมู่ ขั้นมนุษย์ ขั้นปฐพี ขั้นสวรรค์และขั้นเซียน เจียงเฉินรู้จักทักษะสามประเภทจากหมวดหมู่เซียน แต่ละทักษะไม่อาจประเมินค่าได้ และกระทั่งทักษะจากตระกูลบรรพกาลในทวีปเทวะยังไม่อาจเทียบได้กับทักษะทั้งสาม
อย่างไรก็ตาม เจียงเฉินตัดสินใจว่าจะไม่ทำการบ่มเพาะทักษะทั้งสาม เมื่อได้ทำการฝึกฝนในชีวิตที่แล้วทำให้เขาล้มเลิกมันไป
นั่นเพราะเขามีอีกทักษะหนึ่ง มันคือทักษะร่างแปลงมังกร
เจียงเฉินได้รับทักษะนี้มาจากซากบรรพกาลบางอย่างในชีวิตที่แล้วของเขา ทักษะร่างแปลงมังกรอันยิ่งใหญ่สืบทอดมาจากยุคบรรพกาล
ตามที่เจียงเฉินได้สบประมาท ศักยภาพของทักษะนี้อยู่เหนือประเภทเซียนเสียอีก อยู๋ในระดับที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
มันมีเงื่อนไขจำกัดไว้อยู่สำหรับผู้ที่ต้องการทำการบ่มเพาะทักษะนี้ และผู้นั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่ต้น เมื่อเจียงเฉินได้รับทักษะนี้มาเมื่อชีวิตที่แล้ว เขาได้อยู่ในขอบเขตเซียนไปแล้ว ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า เขาไม่กล้าที่จะล้มเลิกการบ่มเพาะของเขาเพื่อทำการฝึกฝนทักษะใหม่ตั้งแต่ต้น
ในชีวิตที่แล้วของเขา นี่เป็นสิ่งที่เขาเสียใจมากที่สุดที่ไม่ได้ทำการบ่มเพาะทักษะนี้ แต่เมื่อเขาได้เกิดใหม่แล้ว เขาจะใช้โอกาสนี้ในการทำการฝึกฝนทักษะนี้
ตอนนี้เขาอยู่เพียงระดับฉีจิง และยังไม่ได้สร้างทะเลปราณและแก่นแท้มนุษย์ที เขาต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำการบ่มเพาะทักษะนี้
เจียงเฉินได้จำบทคัดย่อของทักษะร่างแปลงมังกร และด้วยการคิดในใจเพียงครั้งเดียว ผู้นั้นสามารถที่จะรวมเข้ากับโลหิตใดๆในโลกนี้ได้ มันเป็นไปได้ที่จะผสานกับสายเลือดนับพันประเภทได้ และผลประโยชน์นี้เพียงอย่างเดียวก็เป่าความคิดของเขาไปแล้ว
เหล่าผู้ที่ทำการบ่มเพาะทักษะร่างแปลงมังกรจะต้องสร้างตราประทับมังกรภายในตันเถียร ตราประทับมังกรแต่ละดวงจะมอบพละกำลังให้ผู้ใช้หนึ่งหมื่นจิน ตราประทับมังกรที่สร้างได้สูงสุดคือหนึ่งแสนแปดพันดวงยิ่งกว่านั้น ตามที่บทคัดย่อกล่าว เมื่อตราประทับมังกรทั้งหนึ่งแสนแปดพันดวงได้ถูกสร่างขึ้น ผู้นั้นจะสามารถที่จะทะลองขอบเขตประตูมังกรและกลายเป็นมังกรได้
ตราประทับมังกรดวงหนึ่งได้มอบพละกำลังให้แก่ผู้นั้นหนึ่งหมื่นจินต่อหนึ่งดวง และมันยากที่จะจินตนาการได้ว่าคนผู้นั้นหากมีตราประทับมังกรถึงหนึ่งแสนแปดพันดวงจะทรงพลังเพียงใด กระทั่งเจียงเฉินซึ่งครั้งหนึ่งเป็นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดยังรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อคิดเช่นนี้ หากว่าเขาไม่เคยถึงระดับนั้นมาก่อน ถึงตอนนั้นเจียงเฉินคงสามารถทำลายโลกได้ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว
‘ทักษะร่างแปลงมังกรสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายผู้ใช้ได้ ผู้ที่ทำการบ่มเพาะทักษะนี้ทำการฝึกฝนร่างกายด้วยจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด ร่างกายของข้าเต็มไปด้วยยาหลากหลาย และแม้ว่ายาเหล่านั้นร่างกายจะดูดซึมไปแล้วก็ตาม มันยังอ่อนแอเกินไป ข้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถทนผลกระทบของการบ่มเพาะทักษะร่างแปลงมังกรได่หรือเปล่า’
เจียงเฉินคิดกับตนเอง เขาสามารถสัมผัสพลังหยวนภายในร่างกายที่ไหลอยู่รอบๆ
‘เล็กเจ็ด ใหญ่เจ็ด สร้างใส่เข้าภายในการปะทะกับน้ำวน สิ่งเจือปนถูกขจัดออก’
นี่คือสิ่งที่ถูกจารึกไว้ในทักษะร่างแปลงมังกร ภายใต้การควบคุมของเจียงเฉิน เขาได้สร้างสองดินแดนไว้ภายในร่างกาย ดินแดนแรกพลังหยวนไหลตามเข็มนาฬิกาเจ็ดรอบ อีกด้านหนึ่งพลังหยวนของเขาไหลทวนเข็มนาฬิกาเจ็ดรอบ
เมื่อเขาได้ทำเช่นนั้น เจียงเฉินได้จมประสานในขั้นการบ่มเพาะตนที่ร่างของเขาเปรียบดั่งเครื่องจักรกลทำงานอย่างน่ากลัวโดยไม่มีการพัก
ปุ้ง!
กระแสพลังหยวนทั้งสองที่แยกกันมาปะทะซึ่งกันและกัน สร้างน้ำวนขึ้นในตันเถียนขณะที่น้ำวนได้ขจัดขจายไปทั่วร่างกายเจียงเฉิน
อุก!
เจียงเฉินเริ่มอาเจียนออกมาเป็นเลือดอย่างรุนแรงออกจากปากของเขาเพราะแรงปะทะ มาพร้อมกับอาการเจ็บปวดฉีกขาดในร่างกายของเขา สีของเลือดเป็นสีดำ เป็นผลของการขจัดสิ่งเจือปนในร่างตอนนี้ได้ออกมาหมด
‘ทักษะร่างแปลงมังกรเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างแท้จริง นี่เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น และมันยังสร้างความเจ็บปวดให้แก่ข้า แต่มันก็ไร้ค่า ผลที่ออกมาไม่ธรรมดาเลย สิ่งที่ถูกขจัดออกมาเป็นสิ่งเจือปนในร่างกายสีดำได้ถูกขจัดออกแล้ว ต่อกันเลย’
ต้องขอบคุณความปรารถนาของเขาที่ได้รับทักษะนี้มาเมื่อครั้นที่ยังเป็นเซียนยิ่งใหญ่ที่สุด เขามีประสบการณ์มากกว่าผู้อื่นใดเมื่อเป็นเรื่องของการบ่มเพาะ
‘ใจเย็นไว้ มุ่งมั่นหาใจความสำคัญ เมื่อพลังถึงขีดสุด เมื่อนั้นจะเป็นตอนที่ทักษะร่างแปลงมังกรได้เริ่มต้นขึ้น’
บทคัดย่อทักษะร่างแปลงมังกรได้ไหลเวียนในความคิดของเขา เพราะการบ่มเพาะของเขา ร่างของเขาได้อดทนต่อความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่สำหรับเจียงเฉิน ความเจ็บปวดระดับนี้ไม่ได้ส่งผลต่อเขาเลย
สี่ช่วงโมงให้หลัง
แกร้ก!
เสียงแตกหักดังชัดเจนภายในร่างกายของเจียงเฉิน น้ำวนพลังหยวนในตันเถียนพุ่งไปยังทุกส่วนของร่างกายของเขา ทำให้เขาทะลวงอาณาจักรฉีจิงขั้นที่เก้าได้
************************************************************************
อิอิอิ ตอนที่สี่จบแล้วจ้า อิอิอิ