I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Dragon Marked War God ตอนที่ 83 เจ้าหมาราคาถูก !!

| Dragon-Marked War God | 2538 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

 

แปลไทยโดย : Subaru-Kyun


ตรวจทาน       : Subaru-Kyun


====================================================


      สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองจันทราสีเงิน แพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นฉี แม้ว่า….จะไม่มีผู้ใดทราบชื่อชายหนุ่มในชุดสีขาว พวกเขาโดดเด่นมาก กลุ่มเล็กๆของคนทั้งสองกับหมาหนึ่งตัวได้เป็นที่รู้จักไปทั่ว…!


      ความสูญเสียในครั้งนี้นับเป็นประวัติการณ์ของเมืองจันทราสีเงิน จวนเจ้าเมืองเหลือเพียงซากปรักหักพัง..! นายน้อยได้ตายอย่างน่าสมเพศภายในหอคอย ยอดฝีมือแก่นแท้มนุษย์ของเมืองตกตายหมดสิ้น แม้กระทั่งเจ้าเมือง หยินจงเฉิงก็ทำได้เพียงไล่ตามอย่างไร้ประโยชน์ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาของเขาได้จบสิ้นลง เจ้าเมืองซึ่งอยู่จุดสูงสุดของเมืองจันทราสีเงิน เขาได้พ่ายแพ้ในที่ตนเอง เขาไม่รู้จะปลดปล่อยความโกรธได้ที่ไหน ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง


      ขณะนั้นเจียงเฉินและพวกได้เดินทางไปเมืองสุริยันโคจร พวกเขาผ่านไปยังเมืองเล็กๆ หยานเฉินหยู่ได้ซื้อผ้าคลุมหน้าสีม่วงคลุมใบหน้าอันงดงามของนางครึ่งหนึ่ง ถึงจะคลุมใบหน้าไว้ก็ไม่อาจปกปิดความงดงามของนางได้ ก็ดีกว่าไม่ปิดอะไรเลย อย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้พวกเขาเป็นจุดสนใจตลอดการเดินทาง


      เมืองสุริยันโคจร เป็นเมืองใหญ่ในแคว้นฉี ไม่ว่าจะขนาดหรือขุมกำลัง เมืองจันทราสีเงินก็ไม่อาจเทียบได้แม้แต่น้อย เมืองสุริยันโคจรตั้งอยู่ใจกลางแคว้นฉี เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยความร่วมมือของสี่นิกายใหญ่


      ด้วยเมืองสุริยันโคจร เป็นที่ตั้งของนิกายใหญ่ทั้งสี่ จึงเกิดการขัดแย้งกันอย่างไร้สิ้นสุด แต่ยังโชคดีที่เมืองสุริยันโคจรได้จัดการแข่งขันขึ้นทุกปี ถ้าเมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นศูนย์กลางของสินค้าและทรัพยากร หากมิใช่เมืองคงถูกย้อมไปด้วยเลือดเป็นแน่


      ภายในครึ่งเดือน ที่สุดทั้งสามคนก็มาถึงเมืองสุริยันโคจร จากภายนอก โครงสร้างอันงดงามตระการตา ให้ความรู้สึกอันสูงส่ง เมืองจันทราสีเงินไม่อาจเทียบได้ ไม่ต้องพูดถึงเมืองสีชาด และ เมืองฟ้าหอม


      กำแพงของเมืองสุรยันต์โคจร สูงถึงสามสิบเมตร มันเป็นไปไม่ได้ หากยอดฝีมือแก่นแท้มนุษย์ต้องการจะข้ามมัน


      เมื่อทั้งสามมาถึงประตูเมือง ก็พบว่าเต็มไปด้วยผู้คนเข้า-ออกเมือง ไม่สิ…ควรบอกได้ว่ามีแต่คนเข้าเมืองเสียต่างหาก ในทุกปีแคว้นฉีจะจัดการแข่งขันขึ้น ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนจากโลกแห่งการฝึกตน หลั่งไหลกันเข้ามา


      สี่นิกายใหญ่เป็นตัวแทนของแคว้นฉี ทุกคนต่างต้องการเป็นสักขีพยานของการแข่งขันระหว่างศิษย์ของนิกายใหญ่ทั้งสี่ ว่าใครแข็งแกร่งและมีอำนาจมากที่สุด นั้นคือเหตุผลแรกว่าทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่ อีกเหตุผลคือพวกเขาหวังสร้างความสัมพันธ์กับสี่นิกายใหญ่ หากว่าพวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาจะสามารถเดินอย่างพระราชาได้


      หลายคนต่างมาด้วยเหตุผลเช่นนี้ ศิษย์ของนิกายใหญ่ทั้งสี่นั้นมาจากทุกแห่งหนในแคว้นฉี และหลายคนมาจากตระกูลใหญ่ ด้วยเหตุนี้ตระกูลต่างๆจึงมาแสดงความสามารถที่นี่ มีเหตุผลสองประการที่ตระกูลต่างๆมาที่นี่ หนึ่งมาเพื่อแสดงถึงกำลังสนับสนุน สองมาเพื่อแสดงความสามารถ การที่ได้เป็นศิษย์หนึ่งในสี่นิกายใหญ่นับได้ว่าเป็นเกียรติ และถ้าได้เข้าร่วมการแข่งขันถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างมาก


“มีคนเยอะแยะเลย….!”


หยานเฉินหยู่ พูด


“การแข่งขันจัดแค่ปีละครั้ง แน่นอนว่ามันดึงดูดคนมากมาย”


หวงต้า พูด


“การแข่งขันเริ่มต้นพรุ่งนี้ เรามาทันเวลาพอดี”


“ข้าไม่มีโอกาสได้ดูการแข่งระหว่างศิษย์ชั้นใน เพราะงั้นข้าจะไม่พลาดการแข่งขันระหว่างศิษย์ชั้นนอก”

      

“รีบไปยังลานกว้างของเมืองก่อนรุ่งสางเถอะ มิเช่นนั้นเราอาจพลาดอะไรดีๆก็เป็นได้”


……………………


มีการพูดถึงการแข่งขันในทุกๆที่


      แม้ว่าเมืองสุริยันโคจรจะกว้างใหญ่ แต่ที่พักไม่เพียงพอต่อคนในเมือง ไม่กี่วันก่อน โรงเตี้ยม ร้านอาหาร ต่างถูกนักท่องเที่ยวจองไว้ ไม่มีห้องพักว่างแม้แต่ห้องเดียว คนจำนวนมากไปที่ลานกว้างเพื่อจับจองจุดดีๆสำหรับชมการแข่งขัน


      ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างเป็นผู้ฝึกตน การนอนหลับบนถนนมิใช่ปัญหาใดๆ ด้วยพลังหยวน ความหนาวเย็นจึงไม่ส่งผลใดๆกับพวกเขา


      เจียงเฉินหาที่ของตนไม่ได้ และเขาไม่ได้ตามหาราชันย์ปีศาจน้อย เพราะอย่างไรเขาต้องมายังเมืองแห่งนี้แน่นอน


“ท่านพี่เจียงเฉินคะ…! ลานกว้างนี่มันอะไรกันคะ มันช่างกว้างใหญ่อะไรเช่นนี้..!!”


      หยานเฉินหยู่ตกตะลึง นี้เป็นลานกว้างที่กว้างที่สุดที่นางเคยพบเห็น อาณาเขตมันกว้างมากกว่าสิบไมล์ นี่มันเหนือกว่าจินตนาการของนาง ในกลางลานกว้างมีสนามประลองอยู่ และยังมีบันไดสูงถึงเมฆ บันไดใช้ทำอะไรก็ยังคงเป็นปริศนา นอกจากนี้ยังเป็นบันไดที่นำไปยังที่เวทีเพื่อให้ผู้คนสามารถชมการแข่งขันได้สะดวกยิ่งขึ้น


“ไม่รู้รึไงฮะ..! ว่าเมืองนี้สร้างขึ้นโดยความร่วมมือของสี่นิกายใหญ่ การแข่งขันประจำแคว้นฉีจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี จะจัดเล็กๆได้อย่างไร”


“อ้อ..!! ข้ารู้แล้วพวกเจ้าเพิ่งมาที่นี่ มิน่า….มาจากบ้านนอกนี่เอง..!”


      หลังจากที่คำพูดของหยานเฉินหยู่หลุดออกจากปากนาง นางก็ได้ยินคำพูดแย่ๆอีกทั้งยังถูกคนแปลกหน้าเรียกว่าบ้านนอกอีก ใบหน้าอันงดงามภายใต้ผ้าคลุมเริ่มแสดงถึงความขุ่นเคืองเล็กน้อย นางปิดปากและไม่สนใจ แต่เมื่อเห็นเจียงเฉินและหวงต้าพยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะ นางจึงโกรธเป็นอย่างมากและกระทืบเท้าของนาง !!


      หยู่น้อยรู้สึกไม่เป็นธรรมกับนาง ลานกว้างนี้กว้างใหญ่ที่สุดที่นางเคยพบ แม้ว่ามีเมืองสีชาดอีกนับสิบเมือง ก็ยังไม่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แล้วทำไมพวกเขาต้องหัวเราะนางด้วย …?


“ท่านพี่เจียงเฉิน…….!!”


หยานเฉินหยู่เริ่มน้ำตาคลอเบ้า มองมายังเจียงเฉิน นี่คืออาวุธพิเศษของเด็กสาว ยิ่งเด็กสาวนั้นงดงามก็ยิ่งได้ผลดี ไม่มีใครสามารถทานทนได้


“หยู่น้อยพูดถูกแล้ว! ลานกว้างนี้กว้างใหญ่ มันใหญ่โตมโหฬารเลยทีเดียว”


      เจียงเฉินเห็นด้วยกับนาง ขณะเดียวกันในความคิดของเขาด้วยประสบการณ์ของเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ลานกว้างนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาสักนิด เมื่อเทียบกับการแข่งขันระดับสุดยอดในทวีปศักดิ์สิทธิ์แล้ว ลานกว้างนี้ช่างไร้ค่ายิ่งนัก


“เจ้าหนู! เจ้ากล้าดียังไงไม่ชวนข้าบิดาผู้มีเกียรติและสง่างาม ไปเพลิดเพลินบนถนนยามค่ำคืน? เจ้ายังไม่รู้สึกผิดอีกรึ!?”


หวงต้า พูดอย่างไม่พอใจ


“ไสหัวไปเจ้าหมาบ้า! อย่างเจ้าคงจะอยู่แต่ร้านอาหารเป็นแน่”


เจียงเฉินเงียบไป เจ้าหมานี่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ 


“โฮ่ง…แฮ่! บิดามิใช่หมา!!”


หวงต้าเห่าและเถียงกลับ


“นี่มีใครรู้บ้าง ในการแข่งขันประจำแคว้นฉีมันเกิดอะไรขึ้น?”


      ใครบางคนถามขึ้นมา เจียงเฉินและหยานเฉินหยู่ตั้งใจฟัง พวกเขาสนใจเรื่องการแข่งขันประจำแคว้นฉีนี้


“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษหรอก เว้นแต่การแข่งขันเมื่อปีที่แล้ว พวกเจ้าเห็นบันไดหินสูงเฉียฟ้านั่นหรือไม่!? นั่นเรียกว่าเส้นทางสู่สวรรค์ พวกเจ้ารู้ไหมทำไมถึงถูกเรียกว่าเส้นทางสู่สวรรค์? เหตุผลที่มันถูกเรียกว่าเส้นทางสู่สวรรค์เพราะว่ามันยากที่จะปีนขึ้นไป “


“ใช่แล้ว การแข่งขันรอบแรกเริ่มพรุ่งนี้ ทั่งสี่นิกายใหญ่ ต่างส่งยอดฝีมือแก่นแท้สวรรค์ขั้นปลาย ประจำตำแหน่งบนยอดของบันได พวกเขาจะปลดปล่อยแรงกดดันของพวกเขา เหล่าศิษย์ที่ลงแข่งจำต้องปีนขึ้นไปให้ถึงยอด พวกเขาจะต้องฝ่าแรงกดดันอันมากมาย ท้ายที่สุดแล้วมีเพียงแค่สามสิบคนเท่านั้นที่ไปถึงยอดได้ และได้เข้าร่วมการแข่ง”


“แรงกดดันถูกสร้างขึ้นจากยอดฝีมือแก่นแท้สวรรค์ขั้นปลายทั้งสี่คน มันไม่ใช่อะไรที่ยอดฝีมือแก่นแท้มนุษย์จะทานทนได้”


      หลายคนพูดถึงรอบการแข่งขันต่างๆ มีศิษย์จำนวนมากที่เข้าร่วมการแข่งขัน มีเพียงผู้ที่ผ่านเส้นทางสู่สวรรค์มาได้เท่านั้น ถึงสามารถเข้าร่วมการแข่งรอบสองได้


      จนผู้คนต่างพูดว่า ‘ผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น ถึงสามารถอยู่รอดได้’ เพราะว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งจริงเท่านั้นที่จะอยู่รอด


“ข้าได้ยินว่า แม้ว่าไม่ได้เป็นศิษย์สี่นิกายใหญ่ก็สามารถลงแข่งได้ และถ้าลงแข่งได้อันดับดีๆก็สามารถเข้าร่วมนิกายได้อีกด้วย”


“นั่นมันเกิดขึ้นได้ยาก! ข้อกำหนดการเข้าเป็นศิษย์นิกายใหญ่นั่นสูงไม่อยากจะเชื่อ ผู้ที่อยากจะเข้าร่วมต้องอายุไม่เกินยี่สิบห้าปีและพวกเขาต้องอยู่อาณาจักรแก่นแท้มนุษย์ และถ้าอยากเป็นศิษย์ของหนึ่งในนิกายใหญ่ อันดับต้องไม่ต่ำกว่าสามสิบ “


“ใช่มันยากเกินไป ! การที่จะได้เป็นศิษย์นิกายใหญ่ต้องติดอยู่หนึ่งในสามสิบ มันเป็นไปไม่ได้!! มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่ว่าอัจฉริยะส่วนใหญ่เป็นศิษย์นิกายใหญ่อยู่ก่อนแล้ว”


………………………………………………..


      ในที่สุดเจียงเฉิน ได้เข้าใจกฎของการแข่งขันนี้ มิน่า ถึงไม่มีคนอื่นที่ไม่ใช่ศิษย์นิกายใหญ่เข้าร่วมแข่งขัน แค่เข้าร่วมให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีก็ยากเหลือเชื่อ เพราะเหล่าอัจฉริยะของแคว้นฉีต่างอยู่ในสี่นิกายใหญ่


“ท่านพี่เจียงเฉินคะ หมายความว่าท่านพี่กฎการแข่งขันแล้วใช่หรือไม่คะ”


หยานเฉินหยู่ พูด


เสียงของหยานเฉินหยู่ดังขึ้นอย่างน่ารัก หลายคนหันมามองยังเจียงเฉินในทันที


“ก่ะ ก่ะ ท่านพี่เจียงเฉินของเจ้า จัดการเจ้าพวกนั้นได้ง่ายๆอยู่แล้ว เจ้าหนูนั่นต้องได้ที่หนึ่งของการแข่งขันเป็นแน่ แม้แต่ราชันย์ปีศาจน้อยก็ไม่ใช่คู่มือเจ้าหนูนี่หรอก ..!”


      เจ้าหวงต้าพูดอย่างหน้าไม่อาย เส้นสีดำได้ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเจียงเฉิน เจ้าหมาบ้านี่มันรู้ว่าจะพูดยังไงให้ผู้คนเกลียดเขา


      หลังจากคำพูดของหวงต้าหลุดจากปากมัน สายตาจำนวนมากมองมายังเจียงเฉิน เหมือนมองคนโง่งมไม่เจียมตน


“เ**ยไรกัน..?! เจ้าเด็กหน้าไม่อายนี่มันคิดว่ามันเป็นใครกัน มันคิดจะลงแข่งขันและจัดการราชันย์ปีศาจน้อย มันไม่รู้หรือไงว่าราชันย์ปีศาจน้อยเป็นใคร..?!”


“ใช่เลย มันคิดว่ามันมาจากไหนกัน? ขนเบื้องล่างยังไม่ขึ้นเลยมั้ง มันถึงไม่เข้าใจอะไร! “


“เจ้าหนู กลับบ้าน ไปอาบน้ำนอนซะดีกว่า ! คิดจะจัดการราชันย์ปีศาจน้อยหรือ? เจ้ามันบ้ารึเปล่า?”


“เจ้านี่มันบ้า ออกห่างๆมันไว้”


………………………..


      คนที่อยู่ใกล้เจียงเฉินขยับถอยออกห่างในทันที ทุกคนต่างรักษาระยะห่างจากเขา มันจะมีทางรักษาเจ้าเด็กนี่ให้หายบ้าไหมได้หรือไม่


“เจ้าพวกบัดซบ !! เจ้าหมายความว่ากระไรนะ? ข้าจะบอกให้ เจ้าเด็กนี่มันเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง เจ้ามีโอกาสที่จะคุกเข่าตอนนี้เท่านั้น! หลังจากที่เขาชนะเลิศการแข่งขัน มันก็สายไปแล้วที่เจ้าจะมาสรรเสริญเขา”


หวงต้า พูดอย่างอารมณ์ดี


ระยะห่างระหว่างเจียงเฉินกับฝูงชนก็มากยิ่งขึ้น


“บัดซบ …!”


เจียงเฉินเตะไปยังหัวของหวงต้าให้มันหยุดพูดมาก แม้ว่ามันจะหยุดพูดไป แต่มีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของมัน


“เจ้าหมาเวร !! ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้ ถ้าเจ้าหุบปากไม่พูดมาก”


      เจียงเฉินต้องการกดหวงต้าให้จมลงบนพื้นดิน เผื่อว่ามันจะสงบปากสงบคำเสียบ้าง เจ้าหมานี่ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก มันทำให้ทุกคนเกลียดเขา


      หลังจากมันหยุดพูดไปสักพัก มันก็ไม่สามารถยับยั้งตนเองได้อีกต่อไป เลือดของมันกำลังเดือดพล่าน มันยกขาหน้าของมันขึ้นและเดินเหมือนมนุษย์ เอาขาหน้าทั้งสองไขว้หลังเดินไปรอบๆลานกว้าง มันเดินวางท่าไปยังหน้าทุกคน


“เฮ้ สาวน้อย!”


เมื่อหวงต้าพบเจอยอดฝีมือหญิงคนหนึ่ง มันทักทายนางโดยที่ไม่ลืมที่จะหว่านเสน่ห์ใส่


“เจ้าบ้า..! เจ้ากำลังมองอะไร? ข้ากำลังพูดกับเจ้า! มองหน้าข้านี่.!ข้าบิดาเจ้า เจ้าไม่อยากเป็นสัตว์เลี้ยงมนุษย์ของข้าหรือ!”

หวงต้ายังคงพูดและล่วงเกินคนอื่นต่อไป


“บัดซบ…!!  เจ้าหมานี่มาจากไหนกัน?! รีบไล่มันไปไกลๆ”


ท้ายที่สุดแล้ว ใครบางคนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หรือจริงๆแล้วอันหมานี่มันเป็นที่ดึงดูดของความเกลียดชังกันแน่


เจียงเฉินรีบปิดหน้าแล้วพาหยานเฉินหยู่ไปทิศทางอื่น เสมือนว่าพวกเขาไม่รู้จักเจ้าหวงต้า.


====================================================


จบแล้วจ้า 

ไว้พบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ 🙂 เจอปืนครับ =3=

 

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments