I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Dragon Marked War God ตอนที่ 113 นักพรตทมิฬ

| Dragon-Marked War God | 1577 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

แปลไทยโดย  Takumi Kun

 

ตรวจทาน       Subaru-Kyun

=======================================================

          ภายใต้การนำของกวนอี้หยุน พวกเขาได้ผ่านไปยังเขตที่ลึกที่สุดของภูเขาทมิฬ พระราชวังโบราณได้ถูกสร้างขึ้นในที่แห่งนี้ และมันดูเหมือนว่าจะมีประวัติศาสตร์ไม่ต่ำกว่าสองสามร้อยปี

ตลอดทางกวนอี้หยุนได้บอกเจียงเฉินเกี่ยวกับผู้นำนิกาย นิกายทมิฬได้ตั้งอยู่ที่ทางตอนล่างของแคว้นฉีมากกว่าสองสามร้อยปีที่ผ่านมา และเคยมีผู้นำนิกายสองสามรุ่น ตามที่กวนอี้หยุนบอก ไม่มีผู้ใดรู้นามที่แท้จริงของท่านผู้นำนิกาย ผู้นำท่านก่อนๆทั้งหมดต่างใช้นามเดียวกันคือ นักพรตทมิฬ

นักพรตทมิฬเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายทมิฬ ระดับขั้นการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่จุดสูงสุดของอาณาจักรแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ ครึ่งก้าวสู่นักสู้จิตวิญญาณ อย่างไรก็ตามมันมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างอาณาจักรแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์และนักสู้จิตวิญญาณ คนส่วนมากไม่สามารถที่จะก้าวข้ามช่องว่างนี้ได้ไ่ม่ว่าพวกเขาจะบ่มเพาะมากเพียงใด นิกายทมิฬไม่ได้มีอยู่นาน แต่ยังไม่มีนักสู้จิตวิญญาณปรากฎออกมาแม้แต่คนเดียวในประวัติศาสตร์

พระราชวังนี้เป็นสถานที่สำคัญที่สุดในนิกายทมิฬ โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงแค่ผู้อาวุโสแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถมายังที่นี่ได้ แม้แต่กวนอี้หยุนยังไม่สามารถที่จะมาที่นี่ได้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต

แท้จริงแล้ว นิกายทมิฬมีกลุ่มศิษย์หลักอยู่ อย่างไรก็ตามมันมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับผู้ที่จะมาเป็นศิษย์หลัก ไม่เพียงแค่ต้องเป็นระดับแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ และยังต้องเข้าสู่อาณาจักรแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ก่อนช่วงอายุหนึ่ง ดังนั้น นิกายทมิฬมีศิษย์หลักอยู่เพียงแค่หยิบมือ พวกเขาส่วนใหญ่ออกไปฝึกฝนนอกนิกายและมันหาได้ยากที่จะมาอยู่ใกล้ๆศูนย์บัญชาการ นี่เป็นเหตุที่ว่าการแข่งขันประจำแคว้นฉีถึงได้มีไว้สำหรับเหล่าศิษย์ในและศิษย์นอก

พระราชวังนี้ตั้งอยู่ที่ส่วนที่แคบที่สุดของภูเขา แม้ว่าจะมีเรื่องราวการก่อนสร้างเพียงแค่อย่างเดียว มันยังคงเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และเป็นพิธีการด้วย

แผ่นจารึกสีดำแขวนอยู่ที่ด้านบนสุดของพระราชวัง มีคำสองคำขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยอักษรสีทองว่า ‘วังทมิฬ’ อักษรที่เขียนไว้มันดูเยี่ยมยอดมาก ทำให้ผู้ที่ได้มองเกิดความรู้สึกต้องการที่จะเคารพบูชามัน

แน่นอนว่า ความรู้สึกที่อยากจะเคารพบูชาส่งผลต่อนักสู้ทั่วๆไปเท่านั้น มันไม่มีสิ่งใดในทวีปต้นกำเนิดเซียนที่สามารถทำให้เจียงเฉินเคารพบูชาได้ รวมถึงแคว้นเล็กๆอย่างแคว้นฉี ตลอดเวลาเจียงเฉินจะเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือจากคนอื่นๆ

“วังทมิฬเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของนิกายทมิฬ เป็นสถานที่สูงส่ง ศิษย์น้องเจียง ภายหลังเมื่อเจ้าได้พบกับท่านผู้นำนิกายอย่าได้ลืมแสดงความเคารพด้วยล่ะ!”

กวนอี้หยุนได้เตือน

“อืม”

เจียงเฉินผงกศีรษะ

“เข้ามาได้”

ขณะที่เจียงเฉินและกวนอี้หยุนกำลังคุยกัน เสียงทุ่มลึกดังสะท้อนมาจากข้างในวัง หลังจากนั้นประตูวังได้เปิดขึ้นด้วยตัวมันเอง

กวนอี้หยุนปัดชุดของเขาและด้วยท่าทางสง่างามของเขา เขาได้เดินเข้าไปยังวังทมิฬ ในฐานะอัจฉริยะของนิกายทมิฬ พระราชวังทมิฬนั้นมีความหมายที่สำคัญมากต่อใจเขา มันหมายถึงเป็นเกียรติสำหรับเขาที่ได้เดินผ่านประตูนี้

เทียบกับกวนอี้หยุนที่กระวนกระวาย เจียงเฉินที่อยู่อีกด้านหนึ่งดูสงบและผ่อนคลาย นอกจากนั้นประสบการณ์ของเจียงเฉินไม่ใช่สิ่งที่กวนอี้หยุนจะสามารถไปเปรียบเทียบได้

เจียงเฉินและกวนอี้หยุนทั้งคู่ได้เดินเข้าไปยังโถงหลักของพระราชวัง ตรงหน้าพวกเขามีเก้าอี้ตัวใหญ่และชายสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ เขาดูเหมือนวัยสี่สิบ แน่นอนว่าอายุที่แท้จริงของเขาย่อมมากกว่านี้

แม้ว่าชายผู้นี้กำลังนั่งอยู่ก็ตาม เจียงเฉินสามารถที่จะบอกได้ว่าเขาเป็นคนสูง ใบหน้าเรียวและแสดงออกถึงความสูงส่ง นี่เป็นหนึ่งในขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นฉี นักพรตทมิฬ

เขาดูต่างจากที่เจียงเฉินคาดการณ์ไว้ เขาคิดว่านักพรตทมิฬจะดูเป็นชายแก่ผมขาว แต่ในความจริงแล้วเขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูหล่อเหลา

“ศิษย์กวนอี้หยุน น้อมคารวะท่านผู้นำนิกาย”

“ศิษย์เจียงเฉิน   น้อมคารวะท่านผู้นำนิกาย”

กวนอี้หยุนโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งต่อนักพรตทมิฬแต่เจียงเฉินเพียงแค่ผงกศีรษะ

“อื้ม”

นักพรตทมิฬยิ้มให้ เขามองสำรวจกวนอี้หยุนก่อน แล้วเขาก็จ้องมองเจียงเฉินและสำรวจรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ท่าทีของนักพรตทมิฬเปลี่ยนไปในทันที ชายหนุ่มอายุสิบห้าถึงสิบหกปีที่อยู่ตรงหน้าเขาทำให้เขารู้สึกว่าไม่สามารถที่จะรู้ตื้นลึกหนาบางได้ ด้วยฐานบ่มเพาะจุดสูงสุดของแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ เขาสามารถที่จะมองศิษย์น้องได้ทะลุปรุโปร่งอย่างง่ายดาย แต่เขามองไปยังเจียงเฉินเหมือนมองไปยังหลุมที่ไม่มีก้น

ด้วยรอยยิ้มบนหน้าของเขา เจียงเฉินไม่ได้หลบสายตาของนักพรตทมิฬ ไม่มีความกังวลใจบนหน้าของเขา ส่วนอีกด้านหนึ่ง กวนอี้หยุนประหม่าอย่างมาก

นักพรตทมืฬผงกหัว และมองไปที่กวนอี้หยุนอีกครั้งแล้วพูด “อี้หยุน เจ้ามีพรสวรรค์ที่ล้ำค่าสำหรับนิกายทมิฬ เจ้าแน่ใจแล้วรึที่จะเข้าไปยังนรกอเวจี? ข้าคงไม่ต้องบอกถึงความอันตรายของนรกอเวจีหรอกนะ หากว่าข้าได้ไปด้วยตนเอง ข้าคงประสบกับอันตรายเช่นกัน”

“ขอรับ ข้าตัดสินใจแล้ว”

กวนอี้หยุนยืนยันหนักแน่น การตัดสินใจที่จะลงไปยังนรกอเวจีเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของเขาและเขาจะไม่เปลี่ยนความคิดโดยง่าย เขาต้องการที่จะฝึกฝนตนด้วยความอันตรายของนรกอเวจี มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่เขาสามารถจะแข็งแกร่งขึ้นได้

“ดี ข้าชื่นชมความกล้านั่น มีอัจฉริยะจำนวนมากจากนิกายทมิฬได้เข้าไปยังนรกอเวจีแต่ไม่มีผู้ใดที่รอดกลับมาได้เลย ข้าจะไม่ห้ามเจ้าที่จะไปหรอกนะ ข้าหวังเพียงอย่างเดียวขอให้เจ้าเป็นศิษย์คนแรกจากนิกายทมิฬที่สามารถกลับออกมาจากนรกอเวจีได้”

นักพรตทมิฬพูดขณะที่มองไปยังกวนอี้หยุนด้วยความพึงพอใจ

“อี้หยุนจะไม่ทำให้ท่านผู้นำนิกายต้องผิดหวังขอรับ!”

กวนอี้หยุนพูดขณะที่ประสานมือ นี่เป็นการที่ไปฝึกฝนที่นรกอย่างแท้จริง

“อี้หยุน เจ้าออกไปก่อน ข้ามีบางสิ่งที่จะพูดกับเจียงเฉินเป็นการส่วนตัว”

นักพรตทมิฬกล่าว

“ขอรับ”

กวนอี้หยุนประสานมือและออกจากวังไป

นักพรตทมิฬมองมายังเจียงเฉิน เขาผงกหัวแล้วก็พูด “ไม่เลวเลยด้วยระดับแก่นแท้มนุษย์ขั้นกลางสามารถที่จะสังหารหลี่หวู่หลิงที่อยู่ขั้นแก่นแท้สวรรค์ได้ แม้ว่ารากฐานของเขาจะยังไม่เสถียรก็ตาม คนทั่วๆไปไม่สามารถสังหารเขาได้หรอกนะ หากข้าจำไม่ผิดตอนที่เจ้าแข่งขันในการแข่งประจำแคว้นฉีเจ้ายังอยู่ระดับแก่นแท้มนุษย์ขั้นต้นสินะ”

“ถูกต้องแล้ว”

เจียงเฉินไม่ได้ปฎิเสธใดๆ

“เจียงเฉิน เจ้าไม่กลัวข้าเลยหรือ?”

นักพรตทมิฬถามด้วยความสนใจอย่างมาก

เมื่อได้ยินคำถาม เจียงเฉินยิ้มให้ “เหตุใดข้าจักต้องหวาดกลัวท่านผู้นำนิกายด้วย? ข้าเป็นศิษย์ของนิกายทมิฬ เห็นได้ชัดว่าท่านผู้นำนิกายไม่ได้เป็นภัยอันตรายต่อข้า เหตุใดที่ข้าต้องกลัวท่านด้วย?”

การตอบสนองของเจียงเฉินสุขุมเยือกเย็นและผ่อนคลาย ไม่มีสัญญาณของความกังวลแม้แต่น้อย

‘คนๆนี้มีท่าทีสงบและมีสติ เขาไม่ได้แสดงออกถึงความขวยเขินใดๆ นอกจากนี้เขามีความสง่างามและมีออร่าของผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุด ข้าสามารถทำนายได้เลยว่าเขาจะมีอนาคตไร้ที่สิ้นสุด อัจฉริยะเช่นนี้เป็นดั่งความหวังของนิกายทมิฬในอนาคต พรสวรรค์และศักยภาพของเขาไม่ด้อยกว่าหนานเป่ยเฉาแม้แต่น้อย’

นักพรตทมิฬตกตะลึง เขาคิดตีค่าว่าเจียงเฉินนั้นดูค่อนข้างสูง เขาไม่เคยพบเด็กหนุ่มแก่นแท้มนุษย์ที่มีทัศนคติเช่นนี้มาก่อน การตอบสนองของเจียงเฉินไม่เหมาะสมกับวัยของเขา เขาเหมือนกับปีศาจผู้ซึ่งอาศัยอยู่มากกว่าพันปี ทั้งสงบทั้งผ่อนคลาย

เขาเป็นถึงผู้นำนิกายทมิฬ ทุกๆคนในนิกายทมิฬตั้งแต่ศิษย์ฝึกหัดยันผู้อาวุโสนิกายจะมีความเคารพเมื่อได้พบเขา แม้แต่ผู้อาวุโสแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ยังรู้สึกกระวนกระวายเมื่ออยู่ตรงหน้าเขา อย่างไรก็ตามเจียงเฉินดูเหมือนจะไม่แยแส

“ประเสริฐ เจียงเฉิน ข้าชมเชยในพรสวรรค์ของเจ้าอย่างแท้จริง และนั่นเป็นเหตุว่าข้าได้เรียกเจ้ามาที่นี่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะต้องสู้กับหนานเป่ยเฉาหนึ่งปีนับจากนี้สินะ…..เจ้ามีความมั่นใจในการต่อสู้งั้นรึ? หนานเป่ยเฉาเป็นอัจฉริยะที่ไร้ผู้เปรียบ และเขาไร้คู่แข่งในหมู่ของผู้ที่อยู่อาณาจักรแก่นแท้สวรรค์ และเขาอาจจะทะลวงเข้าสู่อาณาจักรแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกเมื่อ แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์และศักยภาพ ระดับขั้นการบ่มเพาะของเจ้ายังอ่อนแอเกินไป เจ้ามีเวลาเพียงแค่ปีเดียว และเจ้ายังคงอยู่ที่อาณาจักรแก่นแท้มนุษย์ขั้นกลาง เจ้าจะรับมือได้เช่นไร?”

นักพรตทมิฬถาม เขาสนใจข้อตกลงในการต่อสู้กันระหว่างเจียงเฉินและหนานเป่ยเฉาอย่างมาก ตอนนี้เจียงเฉินกลายเป็นศิษย์นิกายทมิฬไปแล้วการต่อสู้ของเขานั้นส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงนิกายทมิฬ

“ข้ามีหนทางอยู่ เพียงแค่หนึ่งปีก็เกินพอ”

เจียงเฉินยักไหล่ดูมีความมั่นใจ

“ดี! เจ้าจำเป็นต้องพยายามทำการบ่มเพาะให้สุดความสามารถ นิกายทมิฬไม่เคยขาดแคลนทรัพยากร แต่เจ้าจำเป็นต้องแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากร ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสุดยอดอัจฉริยะอย่างไร เจ้าจะสามารถที่จะเติบโตได้ภายใต้การแข่งขันเท่านั้น”

นักพรตทมิฬกล่าว

“ศิษย์ทราบแล้ว”

เจียงเฉินผงกหัว

“ตกลง เจียงเฉินเจ้ากลับไปได้แล้ว ข้าจะมอบสิทธิพิเศษให้แก่เจ้า จากนี้ต่อไปประตูของวังทมิฬจะเปิดให้เจ้าเสมอ หากเจ้ามีคำถามใดๆเกี่ยวกับการบ่มเพาะ เจ้าสามารถมาพบข้าได้ทุกเมื่อ”

นักพรตทมิฬพูด นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนิกายทมิฬที่สัญญาเช่นนี้ นี่ทำให้ประตูวังทมิฬที่ไม่เคยเปิดรับศิษย์คนใดจากศิษย์นอกเช่นนี้ ได้รับการชี้แนะโดยตรงจากผู้นำนิกายด้วยตนเองเป็นความฝันของศิษย์จำนวนมาก

หากว่ามีศิษย์นิกายทมิฬคนใดรับรู้ พวกเขาคงจะอิจฉาริษยาเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม แย่หน่อยที่เจียงเฉินทำได้เพียงหัวเราะต่อคำกล่าวของนักพรตทมิฬ เหตุใดที่เซียนผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาต้องขอคำชี้แนะจากยอดฝีมือแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ตัวจ้อยด้วย? นี่มันเรื่องตลกอันใด?

หากไม่หยาบคาย เจียงเฉินสามารถที่จะให้คำแนะนำแก่นักพรตทมิฬได้ง่ายๆ และเขาจะได้รับผลประโยชน์มากมายจากมัน มันสามารถทำให้เขาสามารถทะลวงเข้าสู่อาณาจักรนักสู้จิตวิญญาณในช่วงเวลาสั้นๆได้ นี่เป็นสิ่งที่ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเจียงเฉิน
แน่นอนว่าเจียงเฉินไม่ได้ให้การชี้แนะแก่นักพรตทมิฬ การกลับมาเกิดใหม่ของเขานั้นเป็นความลับสุดยอด เขาไม่บ้าพอที่จะหาเรื่องใส่ตัว นอกจากนี้การชี้แนะจากศิษย์ขั้นแก่นแท้มนุษย์ชี้แนะต่อผู้นำนิกายขั้นแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์ จะมีหรือที่นักพรตทมิฬจะยอมฟังเขา?

เจียงเฉินประสานมือและคำนับต่อนักพรตทมิฬ แล้วเขาหันกลับออกจากวังทมิฬ มองไปยังหลังของเจียงเฉิน นักพรตทมิฬได้หรี่ตาของเขา และพูดอย่างไม่แยแสว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

ภายนอกวังทมิฬ กวนอี้หยุนยังรอเจียงเฉินอยู่ เมื่อเขาเห็นว่าเจียงเฉินได้ออกมาแล้ว เขาจึงรีบเดินไปหาเจียงเฉิน

“ศิษย์น้องเจียง ท่านผู้นำนิกายได้ให้อะไรดีๆงั้นหรือ?”

กวนอี้หยุนถาม ด้วยสถานะของเขาในนิกายทมิฬ ในหมู่ศิษย์นอกมีเพียงแค่เจียงเฉินเท่านั้นที่ทำให้เขาพูดจาสุภาพได้

“ดูข้าเหมือนคนที่ได้รับอะไรดีๆมางั้นหรือ?”

เจียงเฉินโชว์มือให้ดู แล้วเขาเบี่ยงประเด็น “ศิษย์พี่กวน ท่านตัดสินใจแน่แล้วหรือที่จะลงไปยังนรกอเวจีในวันพรุ่งนี้?”

“ใช่แล้วล่ะ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ข้าอาจจะรุ่งหรือจะหายไป ข้าจะเดิมพันอนาคตไว้กับนรกอเวจี!”

กวนอี้หยุนพูดอย่างจริงจัง

“โปรดระวังตัวด้วย”

เจียงเฉินเตือนเขา เขามีความประทับใจที่ดีต่อกวนอี้หยุน เขาจึงไม่ต้องการเห็นสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นต่อเขา

“ตกลง ข้าจำเป็นต้องเตรียมตัวก่อน ศิษย์น้องเจียงเฉิน เจ้ามีปีกเจ้ากลับเองได้สินะ”

หลังจากที่พูดจบ กวนอี้หยุนได้บินสู่ท้องฟ้าและหายลับไปจากสายตาของเจียงเฉิน

**********************************************************************

จบจ้า

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments