ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปแปลไทยโดย Takumi Kun
ตรวจทาน Takumi Kun
**************************************************************************
แหล่งพลังงาน นั้นสร้างมาจากพลังธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ นอกเหนือจากพลังงานที่มีปริมาณมาก มันยังมีความสามารถที่จะรวบรวมพลังธรรมชาติเข้าด้วยกันได้อีกด้วย มันเป็นเพราะนิกายใหญ่ทั้งสี่แต่ละแห่งได้ครอบครองแหล่งพลังงานแห่งละอันทำให้พวกเขาสามารถเติบโตได้ถึงบัดนี้
นอกจากนั้นแหล่งพลังงานเป็นตัวแทนของโชคลาภ โดยการครอบครองแหล่งพลังงาน มันหมายถึงว่าได้ครอบครองโชคลาภอย่างมากมาย นั่นเป็นอีกสาเหตุที่บรรดานิกายใหญ่ทั้งสี่นั้นทรงพลังก็เพราะโชคลาภนั่นเอง
หากว่าเจียงเฉินได้ครอบครองแหล่งพลังงานเป็นของตนเอง เขาสามารถที่จะจัดตั้งพรรคได้ด้วยตัวเขาเอง หรืออีกกรณีหนึ่ง เขาสามารถที่จะดูดซับพลังงานที่บรรจุอยู่ภายในและทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขาพุ่งเหมือนติดจรวด
“หวงต้า เจ้าแน่ใจนะ?”
เจียงเฉินถามด้วยความสงสัย เพราะด้วยสัมผัสของเขา เขาไม่สามารถที่จะหาสิ่งใดๆที่อยู่ภายใต้เมืองสุริยันสีชาด แน่นอนว่าเขามีความมั่นใจอย่างมากในความสามารถหาสมบัติของหวงต้า
“แน่นอนสิ เจ้าคิดว่าบิดดาเจ้าเป็นผู้ใด? ในการล่าสมบัติ หากบิดาเจ้าบอกว่าเป็นอันดับสองล่ะก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าตนเองยอดเยี่ยมที่สุดเป็นแน่! เจ้าหนู… เจ้าเองก็รอบรู้นี่ เจ้าควรจะรู้ว่าก่อนที่แหล่งพลังงานจะถูกขุดขึ้นมา มันจะมีม่านพลังธรรมชาติปกคลุมอยู่ กีดกั้นไม่ให้พลังงานทั้งหมดไหลออกไป ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถสัมผัสถึงตัวตนของมันได้ ตราบเท่าที่พวกเราสามารถหาที่ตั้งที่ชัดเจนของแหล่งพลังงานนี้ได้ พวกเราสามารถทำลายม่านพลังบางส่วนและได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงจากมันได้ แหล่งพลังงานภายใต้เมืองสุริยันสีชาดยังเป็นขั้นบริสุทธิ์อยู่ ไม่เคยมีผู้ใดได้สัมผัสมัน หากว่าพวกเขาทำระดับการบ่มเพาะที่อยู่ขั้นกลางที่นี่คงจะไม่อ่อนแอและเมืองศิลาเหลืองย่อมไม่ถูกตระกูลหยูครอบครองเพียงผู้เดียว แน่นอนว่าหากแหล่งพลังงานเริ่มทำงานแล้วมันคงจะถูกพรรคใหญ่ครอบครองไปแล้ว”
หวงต้าอธิบาย
“เยี่ยม พวกเราไม่เสียความพยายามที่อยู่ที่นี่อย่างแท้จริง นี่เป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่เลยนะนี่! หวงต้า เจ้าสามารถที่จะตรวจสอบที่อยู่ของแหล่งพลังงานได้แน่ชัดหรือไม่?”
เจียงเฉินถาม แน่นอนว่าแหล่งพลังงานเป็นผลตอบแทนที่มากมายนัก เพียงแค่พบสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวก็คุ้มค่ากับความพยายามที่มายังที่นี่
“ข้ายังยืนยันไม่ได้ แต่ข้าแน่ใจว่ามันอยู่ภายใต้เมืองนี้ ตอนนี้ข้าจะลองค้นหารอบๆเมืองดูก่อน และเมื่อข้าพบสถานที่ที่แน่นอน ข้าจักเริ่มงานยามราตรี”
หน้าของหวงต้ามีรอยยิ้มชั่วร้าย
“หลักแหลมนัก”
เจียงเฉินยกนิ้วโป้งให้หวงต้าและชมมัน เจ้าหมานี่ทำในสิ่งอัศจรรย์ขึ้นอีกครั้ง
เมืองศิลาเหลืองเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเขตนี้ มันใหญ่โตและงดงามมาก เมืองเล็กๆอย่างเมืองสุริยันสีชาดไม่สามารถที่จะเทียบได้ แม้แต่เมืองจันทราสีเงินยังดูด้อยกว่า
หลังจากที่เดินทางด้วยความเร็วเต็มที่ ในที่สุดจางเฉวียนก็มาถึงเมืองศิลาเหลืองและมายังประตูหน้าของตระกูลอี้
“หยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าไม่รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?”
ชายร่างกำยำปิดทางจางเฉวียนที่จะไป
“ข้ามาจากเมืองสุริยันสีชาด ข้าขอพบท่านผู้นำตระกูล”
จางเฉวียนระบุว่าตัวเองมาจากที่ไหน เขามีศิษย์จากนิกายทมิฬหนุนอยู๋ แน่นอนว่าเขาจะต้องไปต่อ
“เมืองสุริยันสีชาดรึ? มันเป็นเพียงเมืองเล็กๆเพียงเท่านั้น เจ้าไม่เหมาะสมที่จะเข้าพบท่านผู้นำตระกูล”
ยามได้ปฎิบัติต่อจางเฉวียนราวกลับเขาอยู่ต้อยต่ำกว่ายาม
“ฮึ่ม!ข้าสงสัยว่าหากปีศาจโลหิตจักทำให้ท่านผู้นำตระกูลอี้เป็นกังวล เมืองสุริยันสีชาดถูกปีศาจโลหิตจำนวนมากเข้าจู่โจม และมันทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ขึ้น แต่โชคดีที่พวกเราได้รับการช่วยเหลือจากศิษย์ของนิกายทมิฬและวันนี้ศิษย์ของนิกายทมิฬได้ส่งข้ามาพบกับท่านผู้นำตระกูลอี้ พวกเรามีธุระที่ต้องพูดคุย และเจ้าเป็นยามชั้นต่ำ เจ้าพยายามที่จะกีดกันเรื่องสำคัญของศิษย์นิกายทมิฬงั้นรึ?!”
จางเฉวียนแค่นเสียงอย่างเย็นชา เขาชี้ไปยังจมูกของยามคนนั้น
เมื่อยามได้ยินว่ามันเกี่ยวกับปีศาจโลหิตและศิษย์จากนิกายทมิฬ ท่าทีหยิ่งยโสของเขาได้หายไปในทันที มีปีศาจโลหิตเพียงไม่กี่ตนได้ปรากฎขึ้นภายนอกเมืองศิลาเหลืองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และทุกๆคนต่างหวาดกลัวพวกมัน รวมถึงยามผู้นี้ด้วย เขาไม่สามารถที่จะกีดกันผู้ที่ถูกศิษย์นิกายทมิฬส่งมาได้
“โปรดมากับข้า”
หลังจากที่พิจารณาแล้ว ยามได้นำทางจางเฉวียนผ่านประตูทางเข้าด้านหน้าของตระกูลอี้
ภายในโถงประชุมตระกูลอี้ มีคนห้าคนนั่งอยู่ พวกเขาทั้งหมดเป็นยอดฝีมือแก่นแท้สวรรค์ และผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางดูเหมือนว่าเขาจะมีอายุราวๆสี่สิบปลายๆ เขามีพลังวิญญาณที่สุกใสและพลังงานที่แข็งแกร่ง และเขาอยู่ระดับอาณาจักรแก่นแท้สวรรค์ขั้นกลางและเป็นผู้นำตระกูลอี้ อี้เทียนหลง
มีชายแก่อีกสามคนในห้องโถง และชายแก่ทั้งสามเป็นยอดฝีมือแก่นแท้สวรรค์ขั้นต้น พวกเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลอี้ ถัดจากอี้เทียนหลงเห็นชายหนุ่มอายุราวๆยี่สิบปี และระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ขั้นแก่นแท้สวรรค์ขั้นต้นเช่นกัน พลังของเขาที่ปลดปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจแข็งแกร่งกว่าชายแก่ทั้งสามมากนัก
ชายไม่กี่คนนี้กำลังสนทนาเรื่องเกี่ยวกับปีศาจโลหิตเมื่อยามพาจางเฉวียนเข้ามา
“เจ้าเสียมารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าไม่เห็นงั้นหรือว่าพวกข้าอยู่ระหว่างกายสนทนาอยู่”
อี้เทียนหลงต่อว่ายาม
“ท่านผู้นำตระกูลขอรับ ชายผู้นี้มาจากเมืองสุริยันสีชาดและเขากล่าวว่าเขาถูกศิษย์จากนิกายทมิฬส่งมาเพื่อมาพบท่านผู้นำตระกูลขอรับ”
ยามพูดขณะประสานมือ
เมื่อพวกเขาได้ยินเกี่ยวกับศิษย์จากนิกายทมิฬ พวกเขาทุกคนมองไปยังจางเฉวียน พวกเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเมืองสุริยันสีชาด และแม้แต่ชายแก่แก่นแท้มนุษย์ขั้นสูงสุด แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะไม่สนใจนิกายทมิฬได้
“เจ้ามาจากเมืองสุริยันสีชาด?”
อี้เทียนหลงมองไปยังจางเฉวียน
“จางเฉวียนจากเมืองสุริยันสีชาดขอคารวะท่านผู้นำตระกูลอี้! เมื่อคืนนี้เมืองของพวกข้าได้ถูกปีศาจโลหิตบุกจู่โจม แต่โชคดีที่พวกข้าได้รับการช่วยเหลือจากศิษย์นิกายทมิฬและตอนนี้ภัยอัตรายได้ถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เมื่อปีศาจโลหิตเองก็สร้างความวุ่นวายที่นี่ นายน้อยจากนิกายทมิฬได้ส่งข้ามาเชิญท่านผู้นำตระกูลอี้ไปพบเขาที่เมืองสุริยันสีชาด และสนทนาถึงวิธีในการที่จะจัดการปีศาจโลหิตขอรับ”
จางเฉวียนกล่าว
“เหลวไหล! เขาเป็นแค่ศิษย์จากนิกายทมิฬ เขากล้าดีอย่างไรที่ขอให้พวกเราไปเยี่ยมเยือนเขา?เจ้าไม่คิดว่ามันโอหังเกินไปงั้นรึ?”
“ฮึ่ม!เหล่าปีศาจโลหิตไม่เพียงแค่สร้างปัญหาให้กับเมืองสุริยันสีชาด พวกข้าก็สนทนาถึงวิธีที่จะรับมือพวกมันอยู่ ผู้นำตระกูลพวกข้านั้นเป็นผู้ที่มีเกียรติ เขาไม่ไปยังเมืองสุริยันสีชาดเล็กๆเช่นนั้นด้วยตนเอง”
“เจ้าไม่คิดงั้นหรือว่ามันมากเกินไปสำหรับศิษย์นิกายทมิฬ? นายน้อยของพวกข้าเองก็เป็นศิษย์นิกายทมิฬเช่นกัน และเขาเป็นถึงศิษย์ในอีกด้วย”
ชายแก่ทั้งสามกราดเกรี้ยวทันที ดูจากปฎิกิริยาของพวกเขา พวกเขาเตรียมที่จะไล่จางเฉวียนออก
ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยได้โบกมือของเขา เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูดีในชุดสีขาว เขายืนขึ้นอย่างช้าๆและยืนข้างๆจางเฉวียน “บอกข้ามา ศิษย์นิกายทมิฬคนใดที่กล้ามาโอหังที่นี่? ข้าอี้จื่อฮันเป็นศิษย์ในจากนิกายทมิฬ ไม่มีผู้ใดที่ข้าไม่รู้จักในนิกายทมิฬ”
อี้จื่อฮันเป็นอัจฉริยะจากตระกูลอี้ เขาได้ขึ้นสู่ระดับอาณาจักรแก่นแท้สวรรค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัยและได้กลายเป็นศิษย์ใน เขาเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลอี้
“ข้าไม่ทราบนามของนายน้อยผู้นั้นขอรับ แต่ว่าเป็นนายน้อยที่สังหารหัวหน้าหน่วยปีศาจโลหิตขั้นแก่นแท้สวรรค์ได้ขอรับ และไม่มีการละเว้นปีศาจโลหิตแม้ตนเดียวที่บุกเมืองสุริยันสีชาด เขาเป็นผู้กอบกู้เมืองสุริยันสีชาด! จุดประสงค์ที่ข้ามายังที่นี่คือนำสาส์นจากนายน้อยมาส้ง”
จางเฉวียนกล่าว
“ฮึ่ม!ช่างเป็นคนโง่เขลาและโอหังยิ่ง! หากว่าเขาต้องการคุยกับข้า บอกเขามายังที่นี่ด้วยตนเอง!”
อี้เทียนหลงแค่นเสียงเย็นชา เขาเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่ง และบุตรของเขาก็เป็นถึงศิษย์ในนิกายทมิฬ แน่นอนว่าเขาก็มีความภาคภูมิใจของตนเอง
“ท่านผู้นำตระกูลอี้ เมื่อวานนี้เหล่าปีศาจโลหิตได้สร้างความสูญเสียมากมายแก่เมืองสุริยันสีชาด และพวกมันไม่ยอมรามือเพียงแค่นี้เป็นแน่ นายน้อยได้อยู่ที่เมืองสุริยันสีชาดเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของพวกข้า ข้าหวังว่าท่านผู้นำตระกูลอี้เข้าใจ”
จางเฉวียนพยายามอธิบาย
“ฮึ! เหตุที่เขาต้องการให้ท่านผู้นำตระกูลอี้ไปพบเพราะเขาต้องการความช่วยเหลือของตระกูลอี้ช่วยเขาจัดการปีศาจโลหิต จากตรงนี้ข้าสามารถบอกได้ว่า ‘นายน้อย’ผู้นั้นเป็นเพียงคนทั่วๆไป และข้าไม่คิดว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่านายน้อยของพวกข้า เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาควรมาด้วยตนเอง”
ชายแก่แค่นเสียงเย็นชา
อี้จื่อฮันขมวดคิ้ว จากที่ฟังจางเฉวียน เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าศิษย์คนใดอยู่ในเมืองสุริยันสีชาด มันมีศิษย์จำนวนมากในนิกายทมิฬที่มีความสามารถที่จะสังหารหัวหน้าหน่วยปีศาจโลหิต อี้จื่อฮันเองก็เช่นกัน
“ท่านพ่อ ข้าจะตามเขาไปยังเมืองสุริยันสีชาดและไปพบศิษย์นิกายทมิฬผู้นั้นด้วย”
อี้จื่อฮันกล่าว เขารู้ดียิ่งกว่าผู้ที่อยู่ที่นี่เกี่ยวกับนิกายทมิฬ มีอัจฉริยะมากมายในนิกายทมิฬ และพวกเขาทั้งหมดย่อมมีความภาคภูมิใจ ก่อนที่จะรู้ถึงตัวตนของคนผู้นั้น เขาจะต้องไม่ล่วงเกินคนผู้นี้
แน่นอนว่าอี้จื่อฮันนั้นรักษาเกียรติของบิดาเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปเยี่ยมเยือนเมืองสุริยันสีชาดด้วยตนเอง
“ชายผู้นั้นมาเพื่อสังหารปีศาจโลหิต หากว่าเขาไม่โอหังเกินไป พวกเราอาจร่วมมือด้วยกันได้”
อี้เทียนหลงผงกศีรษะ
………………………………………………………………..
ณ เมืองสุริยันสีชาดจางเฉินเดินเข้ามาคารวะต่อเจียงเฉินและหวงต้า “นายน้อยเจียง นายน้อยตระกูลอี้จากเมืองศิลาเหลือง อี้จื่อฮันมาที่นี่แล้วขอรับ เขาเองก็เป็นศิษย์นิกายทมิฬเช่นกัน”
“โอ้ ศิษย์จากนิกายทมิฬ? พาเขาเข้ามาได้”
เจียงเฉินกล่าว
ภายนอกห้องโถงประชุม อี้จื่อฮันและจางเฉวียนได้ยืนข้างๆกัน เขาดูหล่อเหลาและสง่างาม และใบหน้าของเขามีความภาคภูมิใจอยู่ ความภาคภูมิใจของอัจฉริยะ
“นายน้อยอี้ นายน้อยได้เชิญท่านเข้าไปได้”
จางเฉวียนเดินนำหน้า อี้จื่อฮันกล่าว
“ฮึ! เจ้าคนโอหัง ขอข้าดูหน่อยเถอะว่าผู้ใดในนิกายทมิฬที่โอหังเช่นนี้”
อี้จื่อฮันแค่นเสียงอย่างเย็นชา จากคำพูดของเขา คนอื่นๆสามารถบอกได้ว่าเขากำลังโกรธ ในฐานะศิษย์ในของนิกายทมิฬ อี้จื่อฮันมีสถานะค่อนข้างดีในนิกายทมิฬ เขารู้จำนวนของคนที่อยู่ภายใน แล้วเขาเองก็เป็นอัจฉริยะจากตระกูลอี้ และเขาได้เก็บความภาคภูมิใจของเขาเอาไว้และเดินทางมายังเมืองสุริยันสีชาด แต่นายน้อยผู้นั้นกลับไม่ออกมาต้อนรับเขาด้วยตนเอง
อี้จื่อฮันโบกแขนและเดินเข้าไปยังโถงประชุม เมื่อเขาพบชายหนุ่มที่นั่งอยู่ทีโถงประชุม ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป (อะเฮื้อ….นี่ นี่มัน)
เจียงเฉิน!
อี้จื่อฮันตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น ทุกๆคนในนิกายทมิฬต่างรู้ว่าเจียงเฉินเป็นใคร เขาได้ทุบตีผู้อาวุโสนิกายอย่างโหดเหี้ยม เขาได้สังหารเจียงเหว่ยอย่างเหี้ยมโหด ก่อความวุ่นวายขึ้นในนิกายทมิฬ และยังไม่ได้รับการลงทัณฑ์ เจียงเฉินเป็นคนเดียวที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้
หากเป็นคนอื่นๆ อี้จื่อฮันคงจะต่อว่าไปแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นเจียงเฉิน ความกราดเกรี้ยวของเขาได้มลายหายไปในทันที
เมื่อวานในตอนที่เจียงเฉินได้ก่อความวุ่นวายขึ้นที่นิกายทมิฬ อี้จื่อฮันได้อยู่ที่ฉากนั้นด้วย เขาได้เห็นหมดทุกอย่าง เมื่อนักพรตทมิฬมาได้ทำให้ทุกอย่างสงบลง อี้จื่อฮันได้ข่าวว่าปีศาจโลหิตปรากฎตัวขึ้นที่เขตศิลาเหลืองและเขาได้ออกจากนิกายทมิฬกลับไปยังตระกูลเขาทันที ดังนั้นเขาไม่รู้ว่านักพรตทมิฬได้มอบภารกิจแก่เจียงเฉิน
“เจ้าคืออี้จื่อฮันจากนิกายทมิฬใช่ไหม?”
เจียงเฉินถาม เพราะเขาไม่เคยพบอี้จื่อฮันในนิกายทมิฬมาก่อน
**************************************************************************
จบจ้า ไม่ค้างเท่าไรเลยนะ
โปรดติดตามตอนต่อไป……………………………