ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปปัง!
หลังจากเกิดเสียงดัง ทั้งสองแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว ‘เฟิงหลงซ่ง’ ยืนอย่างมั่นคงอยู่หน้า’หลงยี่’ และไม่ยอมถ่อยแม้แต่เพียงครึ่งก้าว ส่วนผู้อาวุโสเฟิงเทียนเซียงถอยไปหลายก้าวหลังจากการปะทะกัน ใบหน้าเขาซีดลงทันทีและหอบหายใจ
ชัดเจนว่าเขาไม่อาจต่อกรกับ’เฟิงหลงซ่ง’ได้
“เฟิงหลงซ่ง ท่านคือหัวหน้าตระกูล แล้วเหตุใดท่านจริงยอมให้คนภายนอกเข้ามายังหอคัมภีร์?”
‘เฟิงเทียนเซียง’จ้องไปยัง’เฟิงหลงซ่ง’ แล้วพูดอย่างโมโห
“นั้นมันเรื่องของท่าน แต่ในสายตาข้า หลงยี่คือสมาชิกของตระกูลเฟิง”
‘เฟิงหลงซ่ง’กล่าวอย่างไม่แยแส
“สำหรับกรณีนี้ ข้าจะขอตัดสินในฐานะหัวหน้าตระกูล เฟิงหลัวเป็นคนเริ่มและจู่โจมใส่หลงยี่หน้าหอคัมภีร์ และที่เฟิงหลัวขาหัก นั้นถือเป็นการลงโทษที่ใช้ความรุนแรงต่อหน้าหอคัมภีร์นี้ ดังนั้น หลงยี่จึงไม่มีความผิดอันใด!”
“นั้นมันจะมากไปแล้ว!”
‘เฟิงเทียนเซียง’กระฟัดกระเฟียด จนดูเหมือนตาของเขาลุกเป็นไฟ
“ไม่ต้องทำเป็นไขสือ! ท่านรู้ดีที่สุดว่าใครเป็นคนผิดใครเป็นคนถูก”
เกิดประกายดุดันในตาของ’เฟิงหลงซ่ง’
“ในเมื่อท่านไม่สามารถแยกผิดถูกได้ ข้าจะสอนให้ ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าตระกูล ข้าขอถามท่าน เฟิงเทียนเซียง ผู้อาวุโสที่มีหน้าที่คุ้มกันหอคัมภีร์วันนี้ ท่านละเลยปล่อยให้เด็กตระกูลเราใช้ความรุนแรงหน้าหอคัมภีร์ กฏของตระกูลเรานั้นเคร่งครัด ตามกฏแล้ว ข้าขอปลดท่านจากตำแหน่งอาวุโส และต่อจากนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องคุ้มกันหอคัมภีร์อีกต่อไป”
“ท่าน!”
‘เฟิงเทียนเซียง’มองไปยัง’เฟิงหลงซ่ง’อย่างกินเลือดกินเนื้อ
“เฟิงหลงซ่ง ท่านจะปลดข้าจากตำแหน่งอาวุโสงั้นรึ?”
“ในฐานะหัวหน้าตระกูลแล้ว ข้ามีสิทธิ”
‘เฟิงหลงซ่ง’พูดในฐานะผู้นำตระกูลอย่างสง่าผ่าเผย ตอนนี้ สีหน้าของ’เฟิงเทียนเซียง’กลายเป็นขาวซีด เวลานี้ เขาจบสิ้นแล้ว! ไม่เพียงเขาถูกปลดจากตำแหน่งผู้อาวุโส ‘เฟิงหลัว’ต้องกลายเป็นคนพิการต่อหน้าเขา โดยที่เขาไม่อาจช่วยได้ทัน
ถ้าเกิด’เฟิงหยุด’และบิดาของสองพี่น้องนี้รู้เข้า สิ่งที่ตามมา เขาไม่อยากจะคิดถึงมันเลย…
เมื่อ’เฟิงเทียนเซียง’คิดได้ดังนี้ เขาจ้องไปยัง’หลงยี่’ด้วยความโกรธเกลียด เขาคิดว่าความโชคร้ายนี่เกิดจากเจ้าขยะ’หลงยี่’ ถ้าไม่มีมัน เขาก็คงไม่ต้องพบสถานการณ์ที่น่าอนาถแบบนี้!
‘เฟิงเทียนเซียง’ไม่จะคิดโทษตัวเองแม้แต่เพียงน้อยนิด ที่เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้นั้น เป็นเพราะตัวเขาเองทั้งนั้น
“ยี่น้อย เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
‘เฟิงหลงซ่ง’หันกลับมาหาหลงยี่ และถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นอะไรท่านพ่อ ขอบคุณมากที่มาช่วยข้า”
‘หลงยี่’ส่ายหน้า
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงรีบมาเลือกวิทยายุทธ์ที่นี่เล่า”
‘เฟิงหลงซ่ง’ถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่จำเป็นแล้วละท่านพ่อ ตอนนี้ ข้าต้องการออกจากตระกูลเพื่อเดินทางหาประสบการณ์”
‘หลงยี่’ส่ายหัว ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจออกจากตระกูลเฟิง เขาก็ไม่คิดจะแตะต้องวิทยายุทธ์ของตระกูลอีก
“เดินทางหาประสบการณ์?”
‘เฟิงหลงซ่ง’คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นด้วยท่าทีที่พอใจแล้วกระซิบบอก
“เยี่ยม เยี่ยมมาก ตอนนี้เจ้ามีความสามารถพอที่เอาชนะเฟิงหลัวได้ในการโจมตีครั้งเดียว ข้าคิดว่าเจ้าคงดูแลตัวเองได้เมื่อต้องออกไปนอกตระกูล ข้ามีสหายเก่าแก่อยู่ที่นิกายเจิ้นเทียน เจ้าสนใจจะไปยังที่นั้นหรือไม่?”
“นิกายเจิ้นเทียน! ข้าสนใจ”
‘หลงยี่’พยักหน้า สหายเก่าของท่านพ่อที่นิกายเจิ้นเทียน คือใครกัน?
แม้เขาไม่รู้จัก แต่อย่างแรก เขาควรไปที่นั้นก่อน ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจลงมือต่อ’เฟิงหลัว’ ยิ่งเขาออกจากตระกูลได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ‘เฟิงหลงซ่ง’พา’หลงยี่’ กลับจากหอคัมภีร์เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางของเขา ‘หลงยี่’เดินตาม’เฟิงหลงซ่ง’ออกไป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ หอคัมภีร์นั้นกระจายไปทั่วตระกูลเฟิงในเวลาไม่นาน ข่าวที่’หลงยี่’ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นขยะ สามารถใช้วรยุทธ์ได้และไม่ใช่ขยะอีกต่อไปกระจายออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง เขาไม่ใช่ขยะอีกแล้ว และเขายังหักขา’เฟิงหลัว’ได้อย่างเหี้ยมโหดอีกด้วย
ข่าวที่กระจายออกไปนั้นได้ความว่า ในไม่ช้า’หลงยี่’จะไปเข้าร่วมกับนิกายหาญปิง หนึ่งในเจ็ดนิกายใหญ่ของแคว้นถัง
“เจ้าขยะนั้นจะไปเข้ากับหนึ่งในเจ็ดนิกายใหญ่? นั่นมันเรื่องเพ้อฝันชัดๆ!”
“ก็เพราะมันเอาชนะเฟิงหลัวได้น่ะสิ เจ้าโง่นั่นถึงคิดว่ามีพรสวรรค์พอจะเข้ากับหนึ่งในเจ็ดนิกายใหญ่ ช่างไร้สาระสิ้นดี”
“ไม่มีใครแน่ใจได้หรอก บุตรสาวของหัวหน้าตระกูลเป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกายหาญปิง บางทีเจ้าขยะหลงยี่อาจใช้เส้นสายของนางเพื่อเข้าร่วมกับนิกายหาญปิงก็เป็นได้ ฮ่าๆๆ”
กลุ่มคนตระกูลเฟิงพูดคุยกันอย่างออกรส แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าข่าวที่ได้ยินมานั่นความจริงแล้วเป็นข่าวเท็จ นิกายที่หลงยี่จะเข้าร่วมไม่ใช่นิกายหาญปิงแต่เป็นนิกายเจิ้นเทียน นิกายหาญปิงนั้นตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองยี่กวน
ส่วนนิกายเจิ้นเทียนตั้งอยู่ทางใต้ของเมือง ทั้งสองนิกายอยู่ในทิศตรงข้ามกัน นอกจากนั้นยังห่างกันถึงหลายพันไมล์!
นี่คือแผนของ’หลงยี่’ เพราะเขารู้ว่าเมื่อเขาทำให้’เฟิงหลัว’กลายเป็นคนพิการ ต้องมีคนมาตามล่าสังหารเขาอย่างแน่นอน สองวันต่อมา บิดาของ’เฟิงหลัว’ ‘เฟิงหลงเทียน’ทราบเรื่องบุตรชายของเขา เป็นเหตุให้เขาเกรี้ยวกราดเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อใดก็ตามที่’หลงยี่’ออกจากเมืองยี่กวน เขาจะส่งมือสังหารไปตามเก็บมัน!
ตอนนี้ข่าวเท็จแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งตระกูลเฟิงแล้ว ถึงแม้มีใครต้องการสังหาร’หลงยี่’ พวกเขาย่อมไม่มีทางตามหาร่องรอยของ’หลงยี่’พบ คืนหนึ่งในสามวันให้หลัง ม้าได้ถูกจัดเตรียมให้กับ’หลงยี่’ ‘เฟิงหลงซ่ง’เตรียมเงินจำนวณหนึ่งสำหรับการเดินทางให้แก่เขา
และแอบพาเขาไปยังทางใต้ของเมืองยี่กวน นิกายเจิ้นเทียนนั้นอยู่ห่างจากเมืองยี่กวนหลายพันไมล์ แม้จะใช้ม้า ก็ยังคงกินเวลาหลายวันกว่าจะไปถึง
“ท่านพ่อต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้ยาเม็ดหลิงซวนมา และข้ายังไม่สามารถดูดซีมหลิงฉีได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นข้าควรจะทำมันเป็นอันดับแรก”
เมื่อเขาเริ่มออกเดินทาง เขามองกลับหลังแล้วจ้องไปแสงจันทร์ที่ส่องลงมาอาบเมืองยี่กวนไว้ เมืองๆนี้คือที่อยู่ของบุคคลหนึ่งที่ค่อยเป็นห่วงเขาเสมอมา ‘เฟิงหลงซ่ง’
“เข้มแข็งไว้นะท่านพ่อ ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด งานประลองฝีมือตระกูลเฟิงในอีกสามเดือนข้างหน้าข้าจะกลับมากู้หน้าคืนให้ท่าน!”
‘หลงยี่’ตั้งมั่นในใจ แล้วรีบออกเดินทางสู่ปลายทางของเขา นิกายเจิ้นเทียน หลังจาก’หลงยี่’หายตัวไป ก็เกิดการเคลื่อนไหวของคนตระกูลเฟิงในเมืองยี่กวน ผู้ฝึกยุทธ์มากมายมุ่งไปทางเหนือของเมือง โดยได้รับคำสั่งให้ตามสังหาร’หลงยี่’ระหว่างทาง
แต่พวกเขากลับไม่พบร่องรอยของ’หลงยี่’เลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าพวกเขาหลงกลเข้าแล้ว!
“ยี่น้อย ตอนนี่ตระกูลเฟิงคงไม่สงบสุขดั่งเดิมอีกแล้ว ถ้าเจ้าสามารถเข้าสู่นิกายเจิ้นเทียนได้ ข้าอยากให้เจ้าอยู่ที่นั่น มันคงปลอดภัยกว่าการอยู่ในตระกูลเฟิงตอนนี้”
ผู้ที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง ‘เฟิงหลงซ่ง’ เขากำลังมองไปยังที่ๆห่างไกลออกไปพักหนึ่งจากนั้นจึงถอนหายใจ
ปัจจุบันตระกูลเฟิงอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม บางที งานประลองฝีมือของตระกูลในอีกสามเดือนข้างหน้า เขาอาจไม่ได้อยู่ในตำแหน่งผู้นำตระกูลอีกแล้ว ……………..
สามวันต่อมา ‘หลงยี่’ควบม้าไปตามทางที่มุ่งสู่นิกายเจิ้นเทียน ในระหว่างสามวัน เขาค่อยๆดูดซึมหลิงฉีส่วนเกินที่สะสมในจุดตันเถียน และเมื่อมาถึงนิกายเจิ้นเทียน เขาก็สามารถบรรลุเป็นวู่เต้าลำดับที่ 3 ได้แล้ว วู่เต้าลำดับที่ 3 มอบความแข็งแกร่งให้ถึง 4000 จิน และเมื่อปลดปล่อยตรามังกรฟ้า จะเพิ่มอีก 1000 จิน
ทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าผู้ที่มีระดับวู่เต้าที่เท่ากัน เมื่อเขาบรรลุ สังเกตเห็นว่าตรามังกรฟ้าได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง แต่’หลงยี่’ก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันเป็นการบ่งบอกถึงสิ่งใด
ก่อนรุ่งส่าง ‘หลงยี่’มองเห็นเทือกเขาที่สูงตระหง่านและทอดยาวออกไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เขารู้ว่า นิกายเจิ้นเทียนตั้งอยู่สักแห่งในแนวเทือกเขานี้
“นิกายเจิ้นเทียน หนึ่งในเจ็ดนิกายใหญ่ของแคว้นถัง เหมือนดั่งนิกายหาญปิงของเฟิงเหยา แต่ข้ายังไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเข้าสู่นิกายใหญ่นี้ได้”
‘หลงยี่’ควบม้าตรงไปและมองไปยังแนวเขา เขาจำบันทึกที่เขาเคยอ่านเมื่อตอนยังอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฟิงได้
“วู่เต้าลำดับ 9 ไม่ใช่จุดสูงสุดของการฝึกวรยุทธ์ เหนือกว่าวู่เต้าลำดับที่ 9 ไปนั้นยังมีระดับของความแข็งแกร่งอื่นอีก แต่ผู้ที่อยู่ในระดับนั้น จะสามารถพบได้แค่ในนิกายใหญ่เช่นนิกายเจิ้นเทียน….. ข้าต้องรีบแข็งแกร่งขึ้น!”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ‘หลงยี่’หยุดอยู่ไม่ไกลจากแนวเทือกเขา และข้างหน้าของเขามีหุบเขาเป็นแนวลึก มันถูกเรียกว่า หุบเขาเจิ้นเทียน และเป็นเพียงทางเดียวที่จะเข้าไปสู่นิกายเจิ้นเทียนได้ ผู้ฝึกยุทธ์มากมายต้องการเข้าร่วมกับนิกายเจิ้นเทียน และใครก็ตามที่สามารถผ่านหุบเขาเจิ้นเทียนไปได้ จะถือว่าผ่านการทดสอบ
ใกล้กับทางเข้าหุบเขาเจิ้นเทียน กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยคนที่มาจากภูมิภาคใกล้เคียง กำลังปรึกษาหารือการรับมือกับการทดสอบนี้ พวกเขาทั้งหมดคือคนที่ต้องการเข้าร่วมนิกายเจิ้นเทียน และตามกฏแล้ว ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อายุไม่เกิน 18 ปีเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าร่วมการทดสอบนี้ได้
‘หลงยี่’อายุ 18 ปีพอดีและเขาไม่สามารถรอได้อีกแล้ว
“นี่ เจ้าตรงนั้น คนที่ขี่ม้าอยู่น่ะ รีบมาทางนี่ เซียวเจี๋ยมีเรื่องให้เจ้ารับใช้”
(นางแทนตัวเองว่า ‘เซียวเจี๋ย’ที่หมายถึงเด็กสาวหรือหญิงสาว แต่ในที่นี้ให้อารมณ์ประมาณว่า องค์หญิงผู้สูงส่ง)
ทันใดนั้น มีน้ำเสียงเย่อหยิ่งของหญิงสาวผ่านหูเขาไป ‘หลงยี่’ขมวดคิ้ว เขาหันไปมองยังทิศทางที่ได้ยินเสียงแล้วเห็นเด็กสาวคนหนึ่งในชุดสีแดง กำลังเดินอย่างหยิ่งผยองมายังเขาโดยมีคนรับใช้คอยคุ้มกัน
“ข้าหมายถึงเจ้านั้นแหละ เหตุใดเจ้าต้องทำหน้าอย่างนั้น?”
เมื่อเด็กสาวมองเห็นใบหน้าที่ขมวดคิ้วของ’หลงยี่’ ก็ปรากฏความร้อนใจขึ้นในดวงตานาง
“ในเมื่อเจ้าขี่ม้ามาหมายความว่าเจ้าสามารถดูแลม้าได้ใช่หรือไม่? เซียวเจี๋ยจะเข้าไปในหุบเขาเจิ้นเทียน ในระหว่างนี้ เจ้าช่วยดูแลม้าของเซียวเจี๋ยให้ที นางชื่อว่าหิมะขาว แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาง เจ้าต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา!”
หญิงสาวพูดขึ้นขณะชี้นิ้วไปยังม้าสีขาวตัวหนึ่งที่นางเรียกว่า ‘หิมะขาว’ หลังพูดจบ นางก้มลงมอง’หลงยี่’ มันเหมือนกับว่าการที่เขาได้รับมอบหมายหน้าที่นี้คือเกียรติสูงสุดในชีวิตเขา เห็นดังนั้น ผู้คนบริเวณนี้เริ่มพึมพำ
“นั่นคือถานเยว่ นางมาเข้าร่วมนิกายเจิ้นเทียนเช่นกัน ดูเหมือนว่าวันนี้ นางจะต้องการไต่หุบเขาเจิ้นเทียน”
“ถานเยว่คือใคร? นางช่างดูเย่อหยิ่งยิ่งนัก ประวัติเบื้องหลังของนางเป็นอย่างไร?”
“เงียบหน่อย ถ้านางได้ยินเข้า เดี๋ยวเจ้าจะเจอกับชะตากรรมที่น่าอนาถ นางอยู่ในตระกูลถาน หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองยี่กวน และข้าได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลถานบรรลุถึงวู่เต้าลำดับที่ 9 แล้ว ทั่วทั้งเมืองยี่กวน ไม่มีใครเหมาะสมเป็นคู่มือเขา!”
“ไม่เพียงเท่านั้น นานมาแล้ว พี่ชายของนางเข้าร่วมกับนิกายเจิ้นเทียน และติดหนึ่งในสามผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มศิษย์ชั้นในอีกด้วย!”
ได้ยินฝูงชนพูดคุยกันดังนั้น สาวงามยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจ ปรากฏความพึงพอใจขึ้นในสายตา และนางคือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ของโลกใบนี้ แต่ในสายตาหลงยี่แล้ว นางเป็นเพียงตัวโง่งมตัวหนึ่งเท่านั้น เด็กสาวที่เย่อหยิ่งคนนี้ คิดจะให้เขาดูแลม้าให้นางขณะที่นางไม่อยู่
และนางคิดว่าเขาจะน้อมรับอย่างสุภาพเหมือนคนรับใช้?
จากประสบการณ์ในชีวิตก่อน ‘หลงยี่’รู้จักอาการที่เด็กสาวคนนี้เป็นอยู่ เรียกสั้นๆว่า ‘โรคเจ้าหญิง’
(โรคเจ้าหญิง Princess disease / Princess Syndrome อาการก็ตามชื่อเลยครับแบบเห็นคนอื่นเป็นคนรับใช้ไปหมด)
‘หลงยี่’เลิกสนใจ’ถานเยว่’ แล้วหันตัวกลับมุ่งไปยังหุบเขาเจิ้นเทียน เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง และเข้าสู่นิกายเจิ้นเทียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อเห็นการเมินเฉยของ’หลงยี่’ ทุกคนกลายเป็นตื่นตะลึง เด็กหนุ่มชุดดำถึงกับกล้าเมินเฉยต่อคำพูดของ’ถานเยว่’ เขาเรียกร้องหาความตายชัดๆ!
แน่นอนว่าเมื่อ’ถานเยว่’เห็น’หลงยี่’เลิกสนใจนาง และหันกลับไป ใบหน้าที่เย่อหยิ่งกลายกลับเป็นเยียบเย็น
นางไม่คิดเลยว่าในแถบนี้ จะมีชายหนุ่มคนไหนที่กล้าเมินเฉยต่อนางจริง!
ที่มา: