ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป‘เย่เฟิง’มองเห็นสาวสวยร่างสูงที่ยืนอยู่ภายนอก แต่เขาไม่ได้เดินออกไปและไม่ให้เธอเข้ามาข้างในเช่นกัน เขาหยุดเธอไว้หน้าประตูแล้วถามขึ้น
“แม่หญิง คุณมาหาผมทำไมกลางค่ำกลางคืนแบบนี้?”
เลขา‘หูเหม่ยเหมย’รู้สึกรำคาญท่าทีของ’เย่เฟิง’เล็กน้อย ในเมื่อเขาเห็นสาวสวยยืนรออยู่หน้าประตูแล้วเขาไม่คิดจะให้เธอเข้าไปข้างในบ้างหรือยังไง? ไร้มารยาทจริง!
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกี้เขายังเรียกเธอว่า‘แม่หญิง’หมอนี่มันหลุดมาจากยุคกัน? ช่างเถอะ ประธาน’ซูซินฉาง’ไม่ค่อยพอใจเด็กหนุ่มคนนี้ ซึ่งในสายตาเธอแล้วเขาก็ดูหน้าโง่จริงๆ
“ประธานซูฝากคำพูดมาถึงคุณ”
หู’เหม่ยเหมย’จ้องไปยังท่าทางหยาบกร้านของ’เย่เฟิง’ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสายตาดูถูก
“คุณหนูซูไม่เหมาะสมกับคนอย่างคุณ ประธานซูจึงฝากสิ่งนี้มาให้คุณ หลังจากคุณรับไว้แล้ว ก็ห้ามเข้าใกล้คุณหนูซูอีก ตกลงไหม?”
เธอยื่นเช็คออกมา ‘เย่เฟิง’มองเช็คนั่นอย่างประหลาดใจ มันมีมูลค่าถึงสองแสน ก็ในเมื่อ’ซูซินฉาง’รังเกียจเขา แล้วทำไมถึงต้องเอาเงินมาให้เขาด้วย? หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ เขาจึงเข้าใจว่ามันคือค่าเงื่อนไขที่เขาต้องห้ามเข้าใกล้’ซูเหมิงหาน’อีกหลังจากนี้
แต่ปัญหาคือ เขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับ’ซูเหมิงหาน’เป็นพิเศษนี่นา? แล้วทำไม’ซูซินฉาง’ถึงยอมจ่ายเงินกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ด้วย?
แน่นอนว่า’เย่เฟิง’ไม่ลังเลที่จะรับเช็คนั่นไว้ในมือพร้อมทั้งปิดประตูดัง
“ปัง!”
เขาปิดประตูโดยไม่สนใจเลขาสาวแสนสวยเลยแม้แต่น้อย สำหรับ’เย่เฟิง’ตอนนี้แล้ว เงินสองแสนนี่ช่างมาได้ถูกเวลาจริงๆ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการฝึกวรยุทธ์ไม่ว่าโลกเทวะหรือโลกใบนี้ก็ตาม พวกเขาต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอ แล้วในเมื่อมีคนยืนเงินสองแสนมาให้เขาด้วยเงื่อนไขเล็กน้อยแค่นี้ มีหรือเข้าจะไม่รับเอาไว้
‘เย่เฟิง’ตัดสินใจอาบน้ำเสียก่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบ่มเพาะวรยุทธ์ต่อไป
เมื่อ’เย่เฟิง’ปิดประตูดังปัง!
ใบหน้าของ’หูเหม่ยเหมย’ถึงกับเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู เธอเป็นถึงเลขาของ’ซูเซินฉาง’ ประธานของเครือซูเฉิงกรุ๊ป ซึ่งมักจะได้ความเคารพจากคนอื่นๆเสมอแล้วนี่มันอะไรกัน? เจ้าเด็กหน้าโง่นี่ถึงกับปิดประตูใส่หน้าเธออย่างไรมารยาท……
ตอนนี้เธอโมโหเอามากๆ ขณะเดินกลับไปหา’ซูซินฉาง’ด้วยอารมณ์บูดบึ้ง
“เป็นไงบ้าง?”
เมื่อ’ซูซินฉาง’มองเห็นสายตาฉุนเฉียวของเธอ เขาถามขึ้นอย่างไม่แยแส
“เขาตกลงค่ะท่าน”
‘หูเหม่ยเหมย’ตอบกลับอย่างจริงจัง
“เยี่ยม”
‘ซูซินฉาง’พยักหน้า
“ขึ้นไปดูสิว่าทำไมเธอยังไม่ลงมาอีก”
“ไม่ต้องหรอกค่ะพ่อ หนูลงมาแล้ว”
ทันใดนั้น มีเสียงใสของเด็กสาวดังมาจากบันได ‘ซูเหมิงหาน’พึ่งจะอาบน้ำเสร็จ ขณะที่เธอกำลังก้าวลงบันได เธอได้ยินคำพูดของ’หูเหม่ยเหมย’ที่บอกว่า
“เขาตกลงค่ะท่าน”
นั่นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
“อ่อ ดีแล้ว”
‘ซูซินฉาง’หันหน้าไปมองลูกสาวที่แสนน่ารักของเขา เธอพึ่งจะอาบน้ำเสร็จและกำลังเดินมานั่งบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามกับเขา เขาจึงพูดขึ้น
“เหม่ยเหมย บอกว่าพ่อว่าระหว่างเงินสองแสนกับลูก เขาเลือกเงินสองแสน…….”
“หนูบอกพ่อกี่ครั้งแล้วว่าหนูไม่ได้เป็นอะไรกับเขา!”
‘ซูเหมิงหาน’รู้สึกอึดอัดอย่างมากขณะที่นั่งบนโซฟา เธอคิดว่าทำไมพ่อของเธอถึงยอมจ่ายเงินกับเรื่องกับเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้นะ? แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่สามารถอธิบายถึงความรู้สึกอึดอัดในใจตอนนี้ได้ ‘ซูเหมิงหาน’ยังไม่ตระหนักเลยว่าตอนนี้’เย่เฟิง’เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในหัวใจของเธอแล้ว
เมื่อเธอได้ยินว่าเขาเลือกเงิน ความรู้สึกประทับใจในตัวเขาหายวับไปจากใจเธอทันที
“พรุ่งนี้ เหม่ยเหมยจะไปรับลูก แล้วเราจะย้ายไปหมู่บ้าน‘เหยียนซี’กัน” ซูซินฉางพูดด้วยน้ำเสียงที่ห้ามปฏิเสธ หมู่บ้านเหยียนซีคือหมู่บ้านอันหรู่หราแห่งใหม่ในเมืองเหยียนจิงที่มีมูลค่าสูงกว่าหมู่บ้านชิงเฟิง แต่ระยะทางระหว่างหมู่บ้านเหยียนซีกับโรงเรียนของซูเหมิงหานนั้นค่อนข้างไกล”
“อะไรนะคะ?”
‘ซูเหมิงหาน’ยืนขึ้นทันทีแล้วจ้องไปยังพ่อของเธอด้วยดวงตาที่กลมโต
“หนูไม่ไป!”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ลูกจะตัดสินใจได้”
‘ซูซินฉาง’พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แม้’ซูเหมิงหาน’ไม่เต็มใจ แต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรได้ พ่อของเธอถึงกับย้ายเธอไปอยู่ที่อื่นที่เธอไม่ชอบเพียงเพราะเธอออกไปนอกบ้านยามค่ำคืน เพราะเหตุนี้’ซูเหมิงหาน’จึงรู้สึกเคือง’เย่เฟิง’มากขึ้นไปอีก
‘เย่เฟิง’ไม่ได้รับรู้เลยว่า’ซูเหมิงหาน’กำลังก่นด่าเขาในใจ แต่ต่อให้รู้ เขาก็คงไม่เก็บมาใส่ใจ ในเมื่อได้เงินสองแสนมาไว้ในกำมือ เขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว แม้เขาจะไม่รู้มูลค่าของเงินสองแสนนี่แน่ชัด แต่จากความทรงจำแล้ว มันน่าจะมากพอสำหรับรายจ่ายประจำวัน และทำให้เขาอยู่ไปได้อีกนาน
หลังจากทะลุมิติมาอยู่ในโลกใบนี้ สิ่งเดียวที่เขารู้สึกตื่นเต้นที่สุดก็คือแหวนวงหนึ่งที่เขาสวมไว้ ในตอนที่เขายังอยู่ในขุมสมบัติของถ้ำมังกรไฟ เขาสะดุดตากับแหวนอาคมวงนี้ที่ดูเหมือนถูกสร้างขึ้นจากหิน และปัจจุบัน เขาเห็นคำสองคำที่ประทับไว้บนแหวนโบราณซึ่งเขียนไว้ว่า “ดาบมังกร”
เพราะแหวนวงนี้เอง ที่ทำให้เขาต้องเผลอไปเหยียบกลไกบางอย่างจนต้องมาโผล่ในมหานครที่ทันสมัยแบบนี้
“แหวนดาบมังกรโบราณ นี่ไม่ใช่เป็นเพียงตำนานสินะ….”
เมื่อมองแหวนวงนี้ในมือ ‘เย่เฟิง’รู้สึกตื่นเต้นดีใจมากกว่าการได้เงินสองแสนเสียอีก อย่าว่าแต่สองแสนเลย สองพันล้านก็ยังไม่พอที่จะซื้อแหวนวงนี้ได้!
ตามตำนาน หากใครมีแหวนดาบมังกรโบราณนี้ คนๆนั้นจะสามารถเปิดสุสานดาบมังกรโบราณ และได้รับอาวุธเทวะโบราณได้ แต่ตอนนี้คงต้องลืมเรื่องนั้นไปก่อน ‘เย่เฟิง’ยังไม่รู้แม้แต่วิธีกลับไปยังโลกเทวะของเขาเลย
“อากาศของโลกใบนี้สกปรกจริงๆ เราไม่คิดว่าที่นี่จะมีสมบัติสวรรค์อะไรที่ช่วยเราในการฝึก…..”
‘เย่เฟิง’รีบส่ายหัวไล่ความคิดออกไป เขาไม่รู้ว่าแหวนวงนี้จะมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง แต่ชัดเจนว่าตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาจะลองใช้มัน ในโลกเทวะของเขา ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกวรยุทธ์นั้น ขึ้นกับระยะเวลาในการบ่มเพาะวรยุทธ์ อย่างเช่น ผู้ที่บ่มเพาะวรยุทธ์มาแล้วเป็นเวลาสิบปี ย่อมแข็งแกร่งกว่าผู้ที่บ่มเพาะวรยุทธ์ได้เพียงห้าปี
ก่อนมาถึงที่นี่ ‘เย่เฟิง’บ่มเพาะวรยุทธ์มาแล้วสิบปี แต่เมื่อเขาทะลุมิติมาโพล่ในร่างนี้ เขากลับสูญเสียวรยุทธ์ทั้งหมดไป เขาต้องรีบพัฒนาระดับวรยุทธ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แน่นอนว่าการปล่อยให้ระดับวรยุทธ์เพิ่มขึ้นเองตามธรรมชาติย่อมไม่เพียงพอ มันยังมีวิธีมากมายที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะได้
อย่างเช่น การดูดซับสมบัติสวรรค์ หรือการได้พบเจอกับสิ่งอื่นๆ หากเขาโชคดีสามารถแหกกฏสวรรค์ได้ แค่เพียงหนึ่งปี เขาอาจมีระดับวรยุทธ์เทียบเท่าการบ่มเพาะโดยทั่วไปถึงสิบปี ตามแนวทางการฝึกวรยุทธ์แล้ว การบ่มเพาะวรยุทธ์ระดับสิบปีน่าจะถือว่าเพียงพอ
‘เย่เฟิง’นึกถึงแนวทางการฝึกในโลกเทวะ มันมีชื่อเรียกว่า‘กลยุทธ์โคจรดาวสุสาน’ ซึ่งนี่คือวิชาพื้นฐานที่สุดในการบ่มเพาะระดับวรยุทธ์ในแต่ละวัน
ความจริงแล้ว เขาเคยได้ยินว่ามีแนวทางการฝึกที่ให้ผลเร็วกว่าแนวทางนี้นับสิบเท่า แต่โชคไม่ดี ‘เย่เฟิง’ไม่มีแนวทางชั้นสูงนี้ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ‘เย่เฟิง’กลับมาที่ห้องแล้วเริ่มฝึกฝนตามแนวทางโคจรดาวสุสาน
แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปทันที เขาพบว่าร่างกายนี้ ไม่สามารถบ่มเพาะวรยุทธ์ได้! ไม่ใช่แค่เขา ทุกๆคนในโลกใบนี้ล้วนไม่สามารถบ่มเพาะวรยุทธ์ได้ด้วยเหตุผลที่เข้าใจได้ไม่ยากคือ…….
…………………………….
ค้างหนักกว่าเดิมอีก555 ตอนต่อไปน่าจะลงทันวันนี้นะครับ ยังไงเดี๋ยวรีบแปลให้เน้อ 😀
ที่มา: