ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป‘ซานเฉี่ยว’คนนี้มาจากตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองเหยียนจิงจริงหรือ
(note: ซานเฉี่ยวคือบุตรชายคนที่สาม)
‘เย่เฟิง’คิดในใจพลางมองไปยังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของ’อู๋เอ’ที่ดูเหมือนกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ในใจ เขารู้สึกว่า’อู๋บี’ไม่น่าจะหลอกเขาอย่างแน่นอนเรื่องที่หยกมัจฉาขาวนี้มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี แต่พ่อของ’อู๋บี’กลับบอกว่ามันมีอายุถึงห้าพันปีเสียได้ หรือว่า’อู๋เอ’คิดจะหลอกโก่งราคาจากซานเฉี่ยวคนนี้กันแน่
“อีกครึ่งเดือนก็จะถึงวันคล้ายวันเกิดครบรอบอายุเจ็ดสิบปีของปู่ผมแล้ว ดังนั้นไม่ว่าของจะราคาแพงเท่าไรไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขอแค่เป็นของที่ท่านปู่ชอบก็เพียงพอ”
‘ซานเฉี่ยว’แห่งตระกูลหลินพูดอย่างเย่อหยิ่งขณะเดินตาม’อู๋เอ’
เขามองมาทาง’เย่เฟิง’ด้วยสายตาดูถูกและหันไปมองหยกหยินหยางมัจฉาขาว มันช่างสวยงามและน่าดึงดูดนัก!
แน่นอนว่าสายตาที่เขามองหยกไม่ใช่แบบเดียวกับที่’เย่เฟิง’มองมัน ‘อู๋บี’คิดปลีกตัวเองจากสถานการณ์นี้ เขารีบดึง’เย่เฟิง’ไปยังด้านข้างและกระซิบ
“ผึ้งน้อย นายต้องห้ามไปมีเรื่องกับบุตรคนที่สามคนนี้เด็ดขาดนะ เดี๋ยวฉันพานายไปดูของบริเวณอื่นดีกว่า”
‘เย่เฟิง’ได้แต่ผงกหัวเดินตามไป แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวการมีเรื่องกับ’ซานเฉี่ยว’อะไรนั่น และก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำแบบนั้นเช่นนั้น หรือพูดให้ชัดอีกอย่างว่าเขาไม่ได้เห็นซานเฉี่ยวคนนั้นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“เขามีชื่อว่าหลินซิ่วเหวิน จำที่ฉันเคยบอกเกี่ยวกับตระกูลหลินได้ใช่มั้ย เขาคนนี้คือบุตรชายลำดับที่สามจากคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดของตระกูลหลิน”
ห่างออกไปอู๋บีกำลังอธิบายเรื่องของบุตรชายคนที่สามให้ฟัง ‘เย่เฟิง’โดยปกติสนใจเพียงแค่เกมออนไลน์เท่านั้นจึงไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้ แต่’อู๋บี’นั้นต่างออกไปเพราะพ่อของเขาทำให้เขามีความรู้เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลในเมืองเหยียนจิงเป็นจำนวนมาก
“เขาเป็นนักเรียนปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยเหยียนชาน และเป็นหลานคนโปรดของปู่เขาเพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่นายจะเห็นเขาเป็นพวกเย่อหยิ่งชอบกดหัวคนที่ให้ต่ำกว่าตัวเอง แทบไม่มีใครสักคนในเมืองเหยียนจิงเลยนะที่กล้าไปมีเรื่องกับเขาน่ะ”
ขณะที่’อู๋บี’เล่าไปเขาก็พลันคิดว่ามันเป็นเรื่องดีหรือเปล่าที่เขาเล่าประวัติของซานเฉี่ยวคนนั้นให้’เย่เฟิง’ฟังแบบนี้ ตอนนี้ทั้งสองคนมาอยู่บริเวณมุมของร้าน ‘เย่เฟิง’พลันรู้สึกถึงความร้อนจากแหวนมังกรดาบโบราณ เขารีบกวาดตามองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น
“ผึ้งน้อย นายเป็นอะไรเนี่ย”
‘อู๋บี’ที่สังเกตได้ถึงความผิดปกติของ’เย่เฟิง’ เขารีบถามทันที
‘เย่เฟิง’ไม่ได้ตอบแต่ยังคงมองหาสิ่งที่เขาต้องการด้วยการชี้นำของแหวนมังกรดาบโบราณ ตาเขาไปหยุดที่มุมของร้านที่มีกองสินค้าเหมือนขยะมากมายสุมอยู่บริเวณนั้น มองจากตรงนี้แล้วมันดูเป็นเหมือนเพียงของไร้ค่าเท่านั้น ในกองเหล่านั้นมีหินสีเขียวเข้มที่มีอยู่ครึ่งเดียวดึงดูดสายตาของ’เย่เฟิง’
หลิงชี! (หินจิตวิญญาณ) น่าเสียดายมันมีอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ‘เย่เฟิง’ถอนหายใจในใจด้วยความเสียดาย เขารีบตรงไปตรงนั้นและหยิบหินสีเขียวเข้มที่เหลือเพียงครึ่งเดียวขึ้นมาขณะมองพิจารณามันอย่างระมัดระวัง
“อย่าบอกว่านายชอบไอ้นี่นะ?”
‘อู๋บี’มองท่าทางแปลกประหลาดของ’เย่เฟิง’แล้วจึงเดินไปให้คำแนะนำแก่เขา
“สิ่งนี้มาพร้อมกับหยกหยินหยางมัจฉาขาว ถึงแม้มันจะเก่ามากและเหลือแค่ครึ่งเดียว แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ขนาดจัดของเสร็จเรียบร้อยแล้วยังไม่รู้จะเอามันไปวางไว้ตรงไหนดีเลย”
“ถ้ามันเป็นของไร้ประโยชน์ขนาดนั้นนายคงให้ฉันได้ใช่ไหม?”
‘เย่เฟิง’ถามหยั่งเชิง ถ้าเขามีโอกาสที่จะไม่เสียเงินแน่นอนว่าเขาต้องคว้าไว้ ดูท่าทีแล้ว’อู๋บี’ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหินสีเขียวก้อนนี้เลย หินจิตวิญญาณจัดว่าเป็นวัตถุดิบสำหรับการเพิ่มระดับวรยุทธ์ที่หายาก เมื่อใช้มันในครั้งแรกแล้วจะสามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ขึ้นได้
แต่หากใช้มันอีกครั้งจะทำได้เพียงช่วยให้ซวนฉีฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่แน่นอนว่ามันเป็นของที่ล้ำค่ามาก ในระหว่างการต่อสู้หากซวนฉีหมดไปเจ้าหินจิตวิญญาณนี้จะมีประโยชน์อย่างสูง
ในโลกที่เขาจากมาหลายสำนักใช้เจ้าหินนี้ในปริมาณเพียงน้อยนิดช่วยฝึกลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักเพื่อช่วยเพิ่มระดับวรยุทธ์ แต่สำหรับโลกนี้แล้ว’เย่เฟิง’ยังไม่เคยใช้มันมาก่อน
“น่าเสียดายที่หินมันเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
‘เย่เฟิง’ถอนหายใจในใจอีกครั้ง หินที่เหลือเพียงครึ่งเดียวจะสูญเสียหลิงฉีไปอย่างรวดเร็ว หินจิตวิญญาณที่เหลือครึ่งเดียวจะมีหลิงฉีเหลือเพียงหนึ่งในสามจากของเดิมเท่านั้น
“ให้นายเหรอ? พ่อฉันก็ฆ่าฉันตายเลยสิ”
‘อู๋บี’ปฏิเสธโดยไม่ลังเล เขากลอกตาครั้งนึงมองไปทาง’เย่เฟิง’
“นายมีเงินเท่าไรก็เอาให้ฉันเลยละกันไม่ต้องต่อราคานะ หรือว่าจะให้ฉันถามพ่อดีเรื่องราคาของหินก้อนนี้”
ขูดเลือดขูดเนื้อกันจริง ช่างเป็นสองพ่อลูกที่เหมือนกันยิ่งนัก!
‘เย่เฟิง’แทบอยากจะอัด’อู๋บี’ให้ตาย จริงอยู่ที่เขามีเช็คเงินสองแสนซึ่งเขาอยากจะใช้มันไปซะ ด้วยเงินจำนวนนี้เขาสามารถซื้อหยกหยินหยางมัจฉาขาวได้ทั้งก้อนเลยทีเดียว แต่กับหินครึ่งก้อนนี่ไม่มีคนปกติที่ไหนอยากจะมาเสียเงินให้มันแม้แต่สักหยวนหรอกนะ!
“มีแค่สองร้อย นายจะโอเคมั้ย”
‘เย่เฟิง’หยิบเงินสองร้อยหยวนสุดท้ายออกมาจากกระเป๋ากางเกง นี่เป็นเงินค่าใช้จ่ายที่ปู่ของเขาให้ในแต่ละเดือน โดยเฉพาะของเดือนนี้เขาใช้ไปเยอะแล้ว โชคร้ายนักตอนที่เขามาถึงโลกนี้เงินในห้องมันก็เหลือเพียงแค่สองร้อยเท่านั้น
“นายบ้าไปแล้ว!”
‘อู๋บี’มองเงินนั่นละว่าเขา
“ปู่ของนายใช้นายมาซื้อของโบราณแล้วให้เงินมาแค่สองร้อยเนี่ยนะ”
“ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ ไม่งั้นฉันจะไปซื้อหินนี่ไปทำไมล่ะ เห็นมั้ยว่ามันไม่ได้ดูสวยอะไรเลย”
‘เย่เฟิง’ยักไหล่ ‘อู๋บี’สืบทอดนิสัยมาจากพ่อเขาได้อย่างดีจริงๆ แต่ใช่ว่า’เย่เฟิง’จะร้ายน้อยกว่าตรงไหน!
“โอเค ตกลงตามนี้ก็ได้ ราคาสองร้อยนะ”
‘อู๋บี’ผงกหัวอย่างไม่เต็มใจนักแล้วหยิบเงินสองร้อยมาจาก’เย่เฟิง’ ถึงแม้ว่าเขาจะโตมาพร้อมกับ’เย่เฟิง’และมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก แต่พ่อเขาสอนไว้เสมอตั้งแต่เด็กๆแล้วว่า เมื่อมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ ต่อให้ค้าขายกับพี่ร่วมสายเลือดเขาต้องห้ามเสียเปรียบอย่างเด็ดขาด!
‘เย่เฟิง’เก็บหินจิตวิญญาณครึ่งก้อนใส่กระเป๋าของเขา ตอนนี้เขาแทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปดูดซับหลิงฉีจากหินก้อนนี้แล้ว ถึงแม้ว่าหลิงฉีจะเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามจากของเดิมเท่านั้น แต่หากดูดซับพลังของมันทั้งหมดระดับวรยุทธ์ของเขาจะเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งปี!
ถึงตอนนั้นเขาจะสามารถใช้วรยุทธ์ได้อย่างว่องไวเมื่อสู้กับคนที่ใช้อาวุธปืน แม้กระทั่งหลบกระสุนก็ยังทำได้ ในการไปคิดบัญชีกับหัวหน้าของกลุ่มอสรพิษสวรรค์เขาจำเป็นต้องมีระดับลมปราณมากกว่านี้ ยิ่งมากเท่าไหร่เขาก็มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นเท่านั้น
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะ”
เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว’เย่เฟิง’ต้องการกลับบ้านของเขาทันที
“เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง”
‘อู๋บี’ผงกหัว พวกเขาเดินมาถึงบริเวณล็อบบี้ของร้านก็เจอกับ’หลินซิวเหวิน’ที่ซื้อของเสร็จเรียบร้อยและกำลังเตรียมตัวกลับ เขาทิ้งคนรับใช้วัยกลางคนไว้สำหรับจ่ายเงินและยังมีคนรับใช้วัยหนุ่มอีกคนที่กำลังแบกกล่องที่ถูกห่ออย่างสวยงามและถุงอีกมากมายถูกหิ้วไว้บนบ่า มันดูลำบากนักเมื่อต้องถือของเหล่านี้ไปพร้อมๆกัน
“หลินซิวเหวินซื้อของพวกนี้ทั้งหมดเลยงั้นเหรอ”
‘เย่เฟิง’มองไปข้าวของพวกนั้นพลางคิด บุตรคนที่สามนี้ช่างซื้อของมากมายนัก เขาก็เหมือนพวกลูกศิษย์หลักของสำนักใหญ่ๆในโลกที่เขามา มากไปกว่านั้นยังเป็นประเภทพวกซื้อของทิ้งไว้แล้วทิ้งให้คนข้างหลังจัดการให้
“เอาล่ะ หนึ่งในของพวกนี้มีแจกันด้วยนะ ระวังแตกล่ะ”
หลังจากชำระเงินเรียบร้อย คนรับใช้วัยกลางคนหันกลับมาและยกแจกันลายครามสีขาวน้ำเงินขึ้นข้างหนึ่ง ขณะที่คนรับใช้วัยหนุ่มที่แบกของอยู่มากมายอยู่แล้วยังต้องมาช่วยพยุงแจกันอีกด้านหนึ่งด้วย โชคร้ายที่คนรับใช้วัยหนุ่มนั้นไม่มีทักษะด้านนี้เท่าไหร่ เขาไม่สามารถประคองแจกันขนาดเท่าครึ่งตัวคนไว้ได้
ทันใดนั้นแจกันก็หล่นลงกับพื้น ตอนนั้น’เย่เฟิง’และ’อู๋บี’ก็เดินผ่านไปโดยบังเอิญเช่นกัน
“ระวัง!”
‘อู๋เอ’ที่รับเงินเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นด้วย เขารีบตะโกนเตือนเสียงดัง ‘อู๋บี’ไม่รู้ตัวใดๆทั้งสิ้นแต่’เย่เฟิง’ยืดแขนออกไปตามสัญชาติญาณช่วยจับแจกันลายครามนั้นไว้
เพล้ง!
เสียงของบางอย่างร่วงหล่นสู่พื้นดินแตกเป็นชิ้นๆ เพียงแต่มันไม่ใช่แจกันหากแต่เป็นกล่องที่อยู่บนไหล่ของคนรับใช้หนุ่มคนนั้นที่ตกลงมา มันเป็นกล่องใส่หยกหยินหยางมัจฉาขาวซึ่งตอนนี้แตกออกครึ่งหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น”
ได้ยินเสียงเช่นนั้น คนรับใช้วัยกลางคนรีบหันกลับมาดูอย่างรวดเร็ว
“นี่มัน… ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เขาเป็นคนทำมันแตก เขาผลักผม!”
คนรับใช้หนุ่มรีบพูดแก้ตัวอย่างรวดเร็ว เหงื่อเขาแตกด้วยความตื่นกลัวเขารีบชี้นิ้วป้ายความผิดไปทาง’เย่เฟิง’โดยทันที ………………………………
แปลโดย : Teepo_V เดี๋ยวเย็นๆลงให้อีกตอนนะครับจะได้ไม่ค้างกัน 🙂
ที่มา: