ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเมื่อ’เย่เฟิง’เงยหน้าขึ้นมอง’หวงเหล่า’ ในเวลาเดียวกันชายชราก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาเช่นเดียวกัน
“จะให้ฉันเรียกเธอว่าเย่เฟิงหรือโม่จิ่วดี?”
‘หวงเหล่า’ถามอย่างไม่แยแส พร้อมกับเพ่งมองมายัง’เย่เฟิง’
“คุณลุง พวกเราไม่น่าจะเคยเจอกันมาก่อนนะครับ”
‘เย่เฟิง’ยิ้มขณะพูด เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยพบกับชายชราคนนี้มาก่อน
“หึ งั้นรึ?”
‘หวงเหล่า’เปล่งเสียงทางจมูก
“ฉันคือเพื่อนของเจ้าอู๋ หวงเผยหรง เธออาจหลอกคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถหลบซ่อนตัวตนที่แท้จริงจากฉันได้ เธอคือโม่จิ่วใช่ไหม?”
“ขอโทษนะครับ โม่จิ่วเป็นเพื่อนของผมที่เจอกันนานๆครั้ง คุณอยากพบเขาหรอ?”
‘เย่เฟิง’ยังคงยืนอยู่หน้าประตูในสภาพตื่นตัวตลอดเวลา เหมือนกับเขาพร้อมรับการจู่โจมจากชายชราทุกเมื่อ ‘หวงเหล่า’มีวรยุทธ์ระดับ 30 ปี ชัดเจนว่า’เย่เฟิง’ไม่อาจต่อกรกับเขาได้
ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็อยากรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของชายชราคนนี้เช่นกัน ‘หวงเหล่า’จ้องมอง’เย่เฟิง’อย่างจับผิด แต่ท่าทางของชายหนุ่มดูเหมือนไม่ได้พูดโกหก เขาจึงเริ่มลังเล
“เธอไม่ใช่โม่จิ่วจริงรึ?”
“ครับ ผมไม่ใช่เขา”
‘เย่เฟิง’ส่ายหัว
“นั่นสินะ เจ้าเฒ่าประหลาดนั่นจะไปสอนวรยุทธ์ให้เธอได้อย่างไร…….”
‘หวงเหล่า’ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“แล้วเธอรู้ไหมว่าฉันจะหาโม่จิ่วได้ที่ไหน?”
“ผมไม่รู้หรอกครับ เขาเป็นคนเข้าใจยาก อยู่ๆก็โพล่มาอยู่ๆก็หายไป ปกติเขาจะเป็นคนเข้ามาหาผมเอง”
‘เย่เฟิง’ยักไหล่ และในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็คิดว่าเฒ่าประหลาดที่อีกฝ่ายพูดถึงน่าจะหมายถึงปู่ของเขาใช่ไหม? ปู่ของเขามีสถานะแบบไหนกันถึงเป็นที่รู้จักของคนบางกลุ่มในโลกยุทธภพด้วย? แต่อย่างน้อย’เย่เฟิง’ก็รู้ว่า ปู่ของเขาไม่ใช่ตาแก่ธรรมดาแน่นอน
“เอาละ ถ้าเขามาหาเธอเมื่อไหร่ ก็ฝากข้อความของฉันถึงเขาด้วยละกัน”
‘หวงเหล่า’ยืนขึ้นและพูดด้วยเสียงโทนต่ำ
“การสังหารดาบหมาป่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และถ้าอยากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเจียงหู ก็ให้มาหาฉันที่เขาเทียนจู่ ไม่เช่นนั้นเธอก็จะโดนตระกูลมังกรไล่ล่า และดูเหมือนว่าตระกูลมังกรเองก็จะไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆด้วย ลาก่อน”
หลังจากที่’หวงเหล่า’พูดจบ ร่างของชายชราได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วดั่งสายลมมายังประตูห้องราวกับเขาไม่ใช่คนแก่อายุ 60 ปี และได้เคลื่อนที่ผ่าน’เย่เฟิง’ที่ยืนอยู่ จากนั้นก็หายตัวไปในพริบตา
แต่ในชั่วขณะนั้นก่อนที่ที่’หวงเหล่า’จะจากไป ชายชราได้ยื่นมือมาจับแขนของ’เย่เฟิง’!
ถึงอย่างนั้น ‘เย่เฟิง’ไม่ลังเลเช่นกันที่จะใช้ทักษะแฝงตัวลอบสังหารในทันที ทักษะแฝงตัวลอบสังหาร เป็นทักษะแห่งเซียนที่ไม่เพียงใช้ในการลอบสังหารเท่านั้น มันยังช่วยอำพรางผู้ใช้ให้เหมือนกลายเป็นคนธรรมดา และสามารถแฝงตัวร่วมกับผู้คนเพื่อหาโอกาสในการลงมือ
ซึ่งขณะที่ใช้งานทักษะนี้ กระแสพลังที่ไหลเวียนในเส้นลมปราณจะหยุดชะงักลง และจุดตันเถียนของคนๆนั้นจะขุ่นมัว จึงสามารถอำพรางวรยุทธ์ของตนเองได้
“เธอเป็น……”
ในที่สุด’หวงเหล่า’จึงเชื่ออย่างสนิทใจว่า’เย่เฟิง’กับ’โม่จิ่ว’ไม่ใช่คนๆเดียวกัน การสังหารดาบหมาป่าในดาบเดียว ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้อย่างแน่นอน หลังจากแน่ใจ ‘หวงเหล่า’จึงพลิวกายจากไปอย่างรวดเร็ว
“บัดซบ”
‘เย่เฟิง’สบถเสียงดัง เขาจำเป็นต้องใช้ทักษะแฝงตัวลอบสังหารอย่างไม่มีทางเลือก แต่ด้วยที่ระดับวรยุทธ์ของเขายังต่ำเกินไป ส่งผลให้เส้นลมปราณของชายหนุ่มต้องรับภาระอย่างหนักและเกิดความเสียหาย
หาก’เย่เฟิง’ยังคงใช้ทักษะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกไม่นานมันต้องเกิดผลร้ายแรงต่อร่างกายของเขาแน่นอน แต่หากชายหนุ่มไม่ใช้มันในเวลาก่อนหน้านี้ เขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ที่จะตามมาอีกในอนาคต….
“หากมีวรยุทธ์ระดับ 5 ปีเมื่อไหร่ เราจะสามารถใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงา และทักษะแฝงตัวลอบสังหารอย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรดีเพื่อให้สามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ได้เร็วกว่านี้?”
‘เย่เฟิง’ได้แค่กัดฟันยอมรับ ถึงแม้ว่าเขาจะได้หญ้าใบทองและหินจิตวิญญาณครึ่งก้อนมาแต่มันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ‘เย่เฟิง’ยอมรับว่าเขานั้นเป็นคนที่ไม่มีโชค
แม้แต่ในโลกเทวะก็ตาม การฝึกอย่างเป็นลำดับขั้นตอนเป็นเรื่องที่เสียเวลาเป็นอย่างมาก เขาจะต้องรอจนจบมหาลัยกว่าเขาจะมีวรยุทธระดับ 5 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกินไปและตัวเขาเองไม่คิดจะรอนานขนาดนั้น
“หลังจากที่เรากลับไปแล้ว เราจะไปถามอู๋บีเกี่ยวกับสถานที่ ที่เขาได้หินจิตวิญญาณครึ่งก้อนมา ดูจากแล้วน่าจะเป็นที่ที่เหมือนกับสวรรค์ของเหล่าเซียน ถ้าหากเราไปเจอแหล่งพลังงานลับนั่นล่ะก็ เราก็จะสามารถฝึกวรยุทธได้เร็วขึ้นเป็นสองเท่าแต่เสียแรงแค่ครึ่งเดียว….”
‘เย่เฟิง’รู้สึกโล่งใจและได้ปลดทักษะแฝงตัวลอบสังหารออกไป แต่ขณะที่เขากำลังคิดจะไปที่เคาน์เตอร์ติดต่อของโรงแรมเพื่อขอเปิดห้อง
ทันใดนั้นก็มีสายลมที่รุนแรงพัดเข้ามา สายลมนี้เป็นสายลมที่รุนแรงยิ่งกว่าของ’หวงเหล่า’ ‘เย่เฟิง’ไม่มีเวลามากพอที่จะตอบสนองต่อพลังที่มากมายมหาศาลที่เข้ามาจับแขนของเขา ความรู้สึกนี้ เหมือนเคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน…
‘เย่เฟิง’คิดว่า คนที่เข้ามานั้นน่าจะเป็นปู่ของเขา หากการลอบจู่โจมนี้ไม่ได้มาจากปู่ของ’เย่เฟิง’ มันจะเป็นใครไปได้อีกเล่า?
‘เย่เฟิง’ไม่สามารถใช้ทักษะแฝงตัวลอบสังหารได้ทันเวลา ทำให้พลังวรยุทธ 1 ปีครึ่งของเขา ถูกอีกฝ่ายรับรู้เข้าแล้ว
“ไอ้เด็กเวร!! ใครสอนทักษะนี้ให้แกกัน?”
เสียงของชายชราที่ส่งผ่านเข้าไปในหูของ’เย่เฟิง’ ตามด้วยแรงผลักที่จู่ๆก็ผลักชายหนุ่มเข้าไปในห้อง ‘เย่เฟิง’ปลิวเข้าไปในห้องก่อนจะตั้งหลักได้ เขาหันมามองและเห็นชายแก่ในชุดสีเทายืนอยู่ตรงหน้าประตูเหมือนทำท่าทางจะขวางไม่ใครออกไป ชายชรามีคิ้วและสายตาที่แหลมคมเหมือนกับเหยี่ยว
จากท่าทางของเขา หากใครได้เห็นเขาในเวลานี้ คงจะคิดว่าชายชราที่ยืนอยู่ตรงนี้เหมือนกับป้อมปราการที่ไม่ไหวติ่งอายุราวหมื่นปี! เวลานี้ ‘เย่เฟิง’ได้เห็นสีหน้าที่แท้จริงของปู่เขาสักที
“แก ทำลายดันเถียนของตัวเองทิ้งซะ ไม่เช่นนั้น เย่เหวินเทียนคนนี้จะทำลายให้เอง!!”
‘เย่เหวินเทียน’คือปู่ของ’เย่เฟิง’ หลังจากที่พูดจบ เขาก็จ้องมาที่’เย่เฟิง’ทันที
“ผมไม่เข้าใจ ผมเป็นหลานของปู่นะ ทำไมล่ะ?”
‘เย่เฟิง’แสดงท่าทางเย็นชาและถามด้วยความสงสัย จะให้เขาทำลายตันเถียนตัวเองงั้นหรอ เขาไม่มีวันทำอย่างงั้นแน่ เพราะลึกๆในใจ ชายหนุ่มคิดอยู่เสมอว่าจะมีสักวันที่เขาจะได้กลับไปยังโลกเทวะ ‘เย่เฟิง’ไม่สามารถปล่อยวางความทรงจำที่เขาได้อยู่กับอาจารย์แสนสวยของเขามาตลอดมากกว่า 10ปีได้หรอก……..
“แกอยากรู้จริงๆรึ ได้! ฉันจะเล่าให้ฟัง!”
‘เย่เหวนเทียน’พูดเสียงดังก่อนจะหันไปล๊อคประตู
“ในอดีต ตระกูลเย่เคยเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่มากในโลกแห่งยุทธภพ แต่แล้วคืนแห่งภัยพิบัติก็ได้มาถึงและทำลายทุกสื่งอย่าง ฉันคนนี้ ได้ทำการรักษาตระกูลของเราไว้จนถึงทุกวันนี้ โดยมีข้อตกลงกับคนกลุ่มอื่น ว่าหากแกไม่ฝึกวรยุทธ์ คนพวกนั้นจะไม่มาตามล่าแก….”
สิ่งที่’เย่เฟิง’ได้ยินนั้นทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่า’เย่เฟิง’ในโลกใบนี้จะอยู่ในตระกูลที่ในอดีตเคยเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในโลกยุทธภพมาก่อน ส่วนเหตุผลที่ตระกูลของเขาถูกทำลายล้างนั้น ชายหนุ่มได้ถามปู่ของเขาไปแล้วแต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา
แต่เขาก็พอจะเดาได้อยู่ และในที่สุดก็เข้าใจว่า ทำไม’หวงเหลา’ถึงพูดเช่นนั้นและทำไมปู่จึงคิดจะทำลายดันเถียนของเขา การที่’เย่เฟิง’เริ่มฝึกวรยุทธ จะทำให้กลุ่มคนฝั่งตรงข้ามหันมาเพ่งเล็งเขา
ดังนั้น การที่ปู่ของเขาไม่ให้ชายหนุ่มฝึกวรยุทธ์จึงเป็นการทำเพื่อความปลอดภัยของ’เย่เฟิง’
“นี่แกคิดว่าฉันคนนี้เป็นพวกขี้ขลาดตาขาวที่ยอมแพ้เรื่องล้างแค้นให้กับตระกูลหรือไง!”
‘เย่เหวินเทียน’แค่นเสียงและพูดว่า
“พวกเจียงหูเป็นพวกเชื่อถือไม่ได้ พวกมันเขาหากับทุกฝ่ายและเรื่องราวก็ซับซ้อนเกินไป แกไม่จำเป็นต้องรู้ แต่สิ่งเดียวที่แกต้องรู้คือ ฉันทำเพื่อแก เพราะฉะนั้น…..”
“เดี๋ยวก่อน”
‘เย่เฟิง’ชูมือขึ้นแล้วพูดว่า
“ผมมีวิธีปิดบังวรยุทธ์ในร่างอยู่ เพราะงั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำลายตันเถียนอีกแล้วใช่ไหม?”
“อืม ข้าเห็นตอนที่เจ้าหวงเหล่าตรวจสอบร่างกายแกแล้ว”
‘เย่เหวินเทียน’พูดอย่างไม่เต็มใจ
“ถึงหวงเหล่ามองไม่ออกว่าแกกำลังใช้ทักษะหลอกมัน แต่ฉันมองทักษะของแกออก เพราะฉะนั้นเผื่อกรณีฉุกเฉิน ฉันจะทำลายวรยุทธ์แก”
“ไปทำให้น้องสาวปู่เองเถอะ”
‘เย่เฟิง’ตอบอย่างไม่ลังเล
“ถ้าปู่บังคับผม ผมจะฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่า ปู่อยากจะปกป้องตระกูลหรอกงั้นหรอ ถ้าผมอยากจะตาย ปู่ก็ห้ามผมไว้ไม่ได้ตลอดหรอกจริงไหม?”
“นี่แก!!”
‘เย่เหวนเทียน’จ้อง’เย่เฟิง’อย่างโกรธเคือง
“ไอ้เด็กเวร นับวันความกล้าของแกชักจะมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว!”
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
สายตาของ’เย่เฟิง’ ไม่ขยับแม้แต่น้อยระหว่างที่ทั้งสองกำลังจ้องหน้ากันอย่างดุเดือด
……………………………
แปลโดยทีมงาน GSI
Solar Spark : ตอนนี้เรามีทีมงานแปลแล้วนะครับ เย้ แต่ตอนนี้ยังมีหลายคนที่ติดธุระอยู่ ถ้ากลับมาแปลพร้อมกันก็มีแนวโน้มที่จะออกมากกว่าวันละหนึ่งตอนได้ ส่วนรายชื่อทีมงานผมลงเอาไว้หน้าแรกของนิยายนะครับ
ที่มา: