I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Genius Sword Immortal ตอนที่ 37 ตาแก่เจ้าเล่ห์

| Genius Sword Immortal | 2538 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

ในที่สุด ‘เย่เฟิง’ก็ต้องแสดงทักษะแฝงตัวลอบสังหารต่อหน้าปู่ของเขา เพื่อให้ชายชราตรวจสอบให้แน่ใจ   แม้แต่ปู่ของเขา ‘เย่เวิ่นเทียน’ ก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงวรยุทธ์ของ’เย่เฟิง’ได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น พลังของ’เย่เฟิง’ก่อนหน้านี้ ไม่คล้ายกับพลังฉีภายใน…..

“ใครเป็นคนสอนแก?”

‘เย่เวิ่นเทียน’ถาม’เย่เฟิง’ด้วยความสงสัย

“ยอดฝีมือผู้เร้นกายจากยุทธภพ”

‘เย่เฟิง’นึกถึงอาจารย์ของเขาในโลกเทวะ จู่ๆชายหนุ่มก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย

“ปู่ แม้แต่วรยุทธ์ของปู่ก็ยังด้อยกว่าเธออีก”

“เป็นเช่นนั้นหรือ?”

‘เย่เวิ่นเทียน’ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขาไม่เชื่อในสิ่งที่’เย่เฟิง’พูดออกมา ถึงแม้ว่าชายชราจะไม่ได้อยู่ในจุดที่สูงที่สุดของโลกยุทธภพ แต่เขาก็จัดว่าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ระดับสูงคนหนึ่ง   มันจะเป็นไปได้จริงหรือที่ว่ายอดฝีมือผู้เร้นกายจากยุทธภพคนนั้นมีวรยุทธสูงยิ่งกว่าเขา?

แต่ถึงอย่างงั้น ‘เย่เวิ่นเทียน’ก็ไม่ได้ซักไซร้อะไรต่อและพูดว่า

“อืม ไหนไหนเจ้าก็ได้เข้ามาในเส้นทางแห่งยุทภพและยังสามารถปิดบังพลังของตัวเองได้อีก ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามเจ้าเด็กเวร เจ้าจะต้องระวังตัวไว้ให้ดีและอย่าให้ใครจับได้ โดยเฉพาะตระกูลมังกร เข้าใจไหม?”

ตระกูลมังกร? ‘เย่เฟิง’ไม่ได้ถามอะไรต่อและ พยักหน้า

“ได้ ผมเข้าใจ”

“นี่ จำเบอร์นี้ไว้ มันเป็นเบอร์เพื่อนเก่าของฉัน หลังจากนี้หากแกมีอะไรอยากจะถามหรือมีปัญหาอะไร ก็ให้โทรไปหาเขา”

หลังจากนั้น ‘เย่เวิ่นเทียน’จึงนำมือถือของตัวเองออกมาหาเบอร์ และส่งให้’เย่เฟิง’   เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ว่าปู่ของเขาก็มีมือถือใช้ด้วยหรือนี่?

“มีอะไร ตกใจอะไรนักหนา เจ้าเด็กเวร รีบๆจดเบอร์นี้ลงในมือถือของแกซะ อย่าทำให้ฉันเสียเวลา เวลาของฉันมีค่ามากนะจะบอกให้”

‘เย่เวิ่นเทียน’ ตบหัว’เย่เฟิง’ไปทีหนึ่งและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ‘เย่เฟิง’จึงจำใจต้องมองไปที่หมายเลขและดูชื่อของเจ้าของเบอร์ คือ “หลิน หงชวน” เขาถามชายชราว่า

“ปู่ นี่ใช่หลินหงชวนจากตระกูลหลิน ที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิงงั้นหรอ?”

“ใช่”

‘เย่เวิ่นเทียน’พยักหน้า

“พวกเราได้ตกลงกันไว้ว่า เมื่อแกเข้ามหาวิทยาลัยเหยียนจิงได้เมื่อไหร่ เขาจะยกลูกสาวของเขาให้กับแก”

“เดี๋ยวๆๆๆ”

‘เย่เฟิง’โบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกไม่ยินดีอย่างมาก ไม่ว่าใครในโลกนี้ต่างก็รู้สึกอย่างเดียวกันหากพวกเขาต้องเจอกับการคลุมถุงชนแบบนี้

“ผมเป็นคนมีพรสวรรค์ ปู่คิดว่าผมจะยอมให้กับเรื่องแบบนี้หรอ”

‘เย่เฟิง’คิดว่าเขายังไม่รู้เลย ว่าหลานสาวของ’หลินหงชวน’คนนี้ เป็นคนยังไง หน้าตาดีหรือน่าเกลียด อ้วนหรือหุ่นดี สูงหรือเตี้ย เป็นพวกมีเหตุผลหรือเป็นพวกขี้วีน……..?

แต่ถ้าคิดตามจากสิ่งที่’อู๋บี’เคยบอกเขาไว้ ดูเหมือนว่าผู้หญิงจากตระกูลหลินถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความงดงามแทบทุกคน แต่’เย่เฟิง’ยังไม่แน่ใจจนกว่าเขาจะได้เห็นตัวจริงๆ และทำความรู้จักกับเธอ มันไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ผู้คนพูดมาจะเป็นเรื่องจริงไปซะทุกอย่าง

“ผมขอปฏิเสธ”

‘เย่เฟิง’คิดอย่างดีแล้วจึงพูดออกมาเพื่อยืนยันความคิดของตน

“เจ้าเด็กเวร ฉันไม่ได้ให้แกยอมรับหรือปฏิเสธ มันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว”

‘เย่เวิ่นเทียน’ดุ’เย่เฟิง’ และยิ้มขึ้นมา

“หรือว่า จะเป็นความจริงที่แกหลงรักสาวน้อยที่อาศัยอยู่ข้างบ้านเสียแล้ว ฉันบอกแกตรงๆเลยนะ ไว้แกได้เจอตัวหลานสาวตระกูลหลินเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นแกจะรู้สึกอยากจะทิ้งผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านมาในชีวิต เหมือนกับในโลกนี้ไม่มีผู้หญิงอื่นอีกแล้ว”

“ทำไมปู่ถึงชอบชมเธอเหลือเกิน? เธอมีชื่อว่าอะไร?”

‘เย่เฟิง’ไม่ได้ตอบคำถามเรื่อง’ซูหมิงหาน’ แต่รู้สึกสงสัยและถามชื่อของหญิงสาวคนนี้กับปู่ของเขา

“หลินชื่อฉิง เธอเป็นคนดังในมหาลัยเหยียนจิงเชียวละ”

‘เย่เหวนเทียน’ตบไหล่ของ’เย่เฟิง’และพูดว่า

“อย่าได้ลังเลเพราะความโชคดีระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็คิดจะมีได้ และก็อย่าได้ก้าวเข้ามายุ่งกับเรื่องในโลกยุทธภพมากเกินไป มันไม่ดีต่อความปลอดภัยของแก ฉันจะส่งคนมาคอยสอดแนมแกเอง …..”

“เดี๋ยวๆๆ”

เกิดความซับซ้อนขึ้นบนหน้าของ’เย่เฟิง’

“เอาอย่างงี้ดีไหม? เรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า”

‘เย่เฟิง’ไม่สามารถยอมให้ใครมาสอดแนมเขาตลอดเวลาแน่ มันเป็นอะไรที่เป็นอันตรายต่ออิสระของเขาอย่างมาก เพราะงั้นการเสียสละบางอย่างเพื่ออิสระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องเสียหายอะไรมากนัก

“ข้อตกลงอะไร?”

‘เย่เหวนเทียน’ขมวดคิ้วและถาม

“ผมสัญญาว่าผมจะยินดีตอบรับหญิงสาวคนนั้น หลินชื่อฉิง และจะสอบเข้ามหาลัยเหยียนจิงให้ได้”

‘เย่เฟิง’พูดอย่างช้าๆ

“แต่ปู่ห้ามส่งใครมาสอดแนมผม ปู่ไม่จำเป็นต้องมายุ่งเรื่องของผม หากปู่ยังจะบังคับ ผมก็ยินดีที่จะตายดีกว่ายอมรับคำสั่งที่เห็นแก่ตัวแบบนี้”

“ก็ได้ เจ้าเด็กเวร ความกล้าของแกนี่มีมากจริงๆ”

‘เย่เวิ่นเทียน’ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า

“เอาละ ในเมื่อตระกูลเราก็เหลือกันอยู่สองคน ฉันกับแก เพราะฉะนั้น ตาแก่คนนี้คงจะส่งใครไปสอดแนมแกไม่ได้หรอกจริงไหม ฮ่าๆๆ”

‘เย่เฟิง’ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่สาบแช่งอยู่ในใจ ‘บัดซบ’ เขาถูกตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้ปั่นหัวเหมือนกับของเล่น!

ชายหนุ่มลืมไปว่าเจ้าเฒ่าประหลาดนี่เป็นแค่ผู้นำไม่มีลูกน้อง ตาแก่คนนี้จะไปส่งใครมาสอดแนมเขาได้อย่างไร?

“เอาละ ในเมื่อทุกๆอย่างก็ตัดสินกันได้แล้ว แกห้ามคืนคำเด็ดขาด…ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ”

ทันใดนั้น ‘เย่เวิ่นเทียน’ก็ได้หายไปจากสายตาของ’เย่เฟิง’อย่างรวดเร็ว เหมือนดั่งสายลม   ‘เย่เฟิง’รู้สึกแค้นใจอย่างมาก เพราะเขาถูกตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้ปั่นหัวเล่นซะไม่เหลือชิ้นดี   จะทำยังไงดี มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือที่จะต้องหมั้นหมายกับ’หลินชื่อฉิง’?

“อืม ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคิดให้มากความอะไรตอนนี้ ต่อให้เราเต็มใจจะหมั้นกับเธอ ก็ใช่ว่าเธอจะยอมหมั้นกับเราจริงไหม?”

ในขณะที่’เย่เฟิง’คิดอยู่นั้น เขาก็ยืนขึ้นละแต่งตัวเองให้เรียบร้อย   ถ้าพูดตามตรง เขาดูไม่เหมือนชายรูปหล่อที่รวย และมีเสน่ห์เลยสักนิด   หากตระกูลหลินคือตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนจิง เพราะฉะนั้นหลินชื่อฉิงก็คงจะเป็นผู้หญิงที่หวังสูงและคงไม่สนใจคนอย่างเขาหรอกจริงไหม?

‘เย่เฟิง’ไม่ได้คิดอะไรมากมายกับสิ่งเหล่านี้ และเขาก็ไม่ได้เดินไปเปิดห้องใหม่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมอีก ชายหนุ่มตัดสินใจนอนที่ห้องซึ่งเขาใช้คุยกับปู่ของเขาก่อนหน้านี้ซะเลย จะได้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีก   ‘เย่เฟิง’อาบน้ำและล้มตัวลงนอนบนเตียง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หลับไป

แต่เมื่อไม่มีสัมผัสวิญญาณ การหลับของเขาจริงไม่สงบนิ่งมากนัก   ถ้าเกิด’เย่เฟิง’มีวรยุทธระดับ 10 ปี เขาจะมีสัมผัสวิญญาณที่แกร่งกล้าซึ่งต่อให้หลับลึกแค่ไหน ชายหนุ่มก็สามารถรับรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดกับเขาแม้มันจะเล็กน้อยก็ตาม ทักษะนี้เป็นทักษะที่ค่อนข้างท้าทายสวรรค์

และสามารถฝึกได้เฉพาะผู้ฝึกวรยุทธ์แนวทางเซียนเท่านั้น   ต่อให้เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างหวงเหล่าก็ไม่สามารถฝึกฝนทักษะนี้ได้ เพราะถ้าหากชายชราคนนั้นสามารถใช้ทักษะนี้ เขาคงไม่จำเป็นต้องยื่นแขนมาตรวจสอบวรยุทธ์ของเย่เฟิงเลย ใครก็ตามที่สามารถใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณได้ คนๆนั้นจะสามารถตรวจสอบระดับวรยุทธ์ของคนอื่นโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสตัวกันแต่อย่างใด

………

เช้าวันต่อมา ‘เย่เฟิง’และ’ซูเหมิงหาน’ออกจากโรงแรม แล้วโบกรถแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ

“ไว้ฉันจะจ่ายเงินสองแสนคืนนายทีหลัง”

ขณะที่อยู่ในแท็กซี่ ‘ซูเหมิงหาน’กัดริมฝีปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันเบา

“ช่างมันเถอะ”

‘เย่เฟิง’ที่นั่งอยู่ข้างๆเธอส่ายหัว   เวลานี้ เขารู้ดีถึงสถานการณ์ครอบครัวของสาวน้อยคนนี้ หากต้องรอจนเธอคืนเงินครบสองแสน สู้เขาให้เธอไปเสียเลยจะดีกว่า   ถึงอย่างไร เวลานี้เขาก็มีแก๊งอสรพิษสวรรค์ค่อยหนุนหลังอยู่แล้ว เงินสองแสนนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสำหรับเขา

“ไม่ ฉันไม่อยากติดหนี้นาย”

‘ซูเหมิงหาน’มองออกไปนอกหน้าต่าง ขนตาเรียวยาวของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าของเธอยังคงนิ่งเฉย

“ถ้างั้น เอาตามที่เธอสบายใจก็แล้วกัน”

‘เย่เฟิง’ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาไม่อยากฝืนใจเธอ

“นาย……”

‘ซูเหมิงหาน’หันกลับมาจ้อง’เย่เฟิง’ เธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่กลับมีท่าทางลังเล

“มีอะไรหรอ?”

‘เย่เฟิง’มองเธออย่างแปลกใจ   ‘ซูเหมิงหาน’อยากจะถามบางอย่าง แต่คำพูดกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น และเด็กสาวไม่สามารถพูดออกมาได้ หัวใจของเธอยังคงย้ำเตือนถึงเรื่องสาวสวยคนนั้นที่เจอกันใกล้กับโรงพยาบาลเมื่อวาน

“ไม่…ไม่มีอะไรหรอก”

‘ซูเหมิงหาน’ส่ายหัว เด็กสาวบอกใจตัวเองว่าเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษกับ’เย่เฟิง’   แน่นอนว่า’เย่เฟิง’ไม่สามารถอ่านใจเธอได้ เขาจึงไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเด็กสาว   ชายหนุ่มพยายามเดาสุ่มแล้วพูดว่า

“เธอกำลังคิดถึงเรื่องญาติของเธออย่างงั้นหรอ? ไม่ต้องกังวลไป ไว้กลับไปเมื่อไหร่ ฉันจะตรวจสอบเกี่ยวกับแหล่งที่มาของยา แล้วฉันจะเล่าให้เธอฟัง”

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย คนโง่”

‘ซูเหมิงหาน’ตำหนิ’เย่เฟิง’ในใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป   หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย เด็กสาวรู้สึกสับสน และไม่รู้จะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชายหนุ่มอย่างไรดี

เด็กสาวได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางสงบ แต่หัวใจของเธอกลับไม่สงบเหมือนท่าทางของเธอที่แสดงออกมาภายนอกเลยแม้แต่น้อย   เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายเมื่อวาน ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยใจ

เมื่อขึ้นรถไฟ เด็กสาวจึงผลอยหลับไปและเผลอซบหัวเข้ากับไหล่ของชายหนุ่ม

………………………………….

แปลโดยทีมงาน GSI

Solar Spark : ต้องขอบคุณ คุณ Eins มานะที่นี้ด้วยนะครับ แปลได้โหดจริงๆ แปปเดียวเกือบ 3 ตอนเข้าไปแล้ว

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments