ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปถึงแม้’หลิวลี่ฮุย’จะเป็นเพียงผู้กำกับจากสถานีตำรวจสาขาย่อยทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งไม่ได้มีตำแหน่งสูงมากนักในเมืองเหยียนจิง แต่เขาก็ถือว่ามีอิทธิพลอยู่พอตัวเหมือนกัน สถานะทางสังคมของ’ซูซินฉาง’ถือว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับ’หลิวลี่ฮุย’ แล้วคนที่มีสถานะระดับนี้กลับเรียก’เย่เฟิง’ว่า ‘คุณเย่’อย่างนั้นหรือ?
เมื่อเห็นดังนั้น ‘ซูซินฉาง’ก็พลันร้อนรุ่มในใจ ‘เย่เฟิง’ก็เป็นเพียงแค่ญาติของหัวหน้าแก๊งอสรพิษสวรรค์ ‘หลิวลี่ฮุย’ไม่น่าจะถึงขั้นใช้คำว่า“คุณ”หรอกจริงไหม? หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างอื่นอีก?
“อืม….”
‘เย่เฟิง’พยักหน้า เขามองไปที่ชายลงพุงวัยกลางคนแล้วจึงคิดกับตัวเองในใจว่าครั้งล่าสุดที่เจอกันที่โรงพัก ใครเป็นคนโทรศัพท์หาชายคนนี้กัน ถึงทำให้เขาต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นขนาดนั้น?
อาจจะเป็นตระกูลหลิน แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดของ’เย่เฟิง’ก็เป็นเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น
“เออ อีกเรื่องหนึ่ง ใครเป็นคนออกคำสั่งให้คุณค้นหาต้นหญ้าทั้งสามต้นนั้นกัน?”
‘เย่เฟิง’ถามคำถามนี้ออกไป เพราะเขาอยากรู้ว่า’หลงหวางเอ๋อ’มีอิทธิพลมากแค่ไหนในเมืองนี้
“อ่อครับ เขาคือผู้กำกับโหมว”
ทันทีที่’หลิวลี่ฮุย’ได้ยินคำถามของ’เย่เฟิง’ เขาก็เริ่มเหงื่อแตกและรีบบอกชื่อของคนที่มีสถานะสูงกว่าเขาไป ‘หลิวลี่ฮุย’ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยสักนิด
“ผู้กำกับโหมวงั้นหรอ?”
‘เย่เฟิง’ขมวดคิ้ว ขณะที่พวกเขาทั้งคู่พูดคุยกัน ‘ซูซินฉาง’ฟังการสนทนานี้อย่างตั้งใจ แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ผู้กำกับโหมว” ทันใดนั้นเขาก็พลันตื่นตกใจ
‘หลิวลี่ฮุย’เป็นเพียงแค่ผู้กำกับจากสถานีตำรวจสาขาย่อยทางตะวันตกเฉียงเหนือ แต่สำหรับ’ผู้กำกับโหมว’แล้ว เขาไม่เพียงพึ่งได้เลื่อนเป็นผู้กำกับการสำนักงานตำรวจเมืองเหยียนจิง เขายังเป็นสมาชิกของคณะกรรมการตำรวจนครบาลระดับมณฑล ทุกๆที่ในเมืองเหยียนจิง
ผู้คนต่างก็รู้จักเขา เพราะเขามีสถานะทางสังคมที่สูงมาก เมื่อเห็น’เย่เฟิง’ที่ดูเหมือนไม่เข้าใจสถานะของ’ผู้กำกับโหมว’อย่างชัดเจน ‘ซูเหมิงหาน’จึงเข้าไปใกล้เขาแล้วกระซิบด้วยเสียงที่นุ่มนวล
“เขาเป็นผู้กำกับการสำนักงานตำรวจเมืองเหยียนจิง โหมวจิ้นเฉียง ฉันเห็นเขาบ่อยๆในข่าวทางทีวีและหนังสือพิมพ์”
“เข้าใจล่ะ”
เมื่อ’เย่เฟิง’ได้ยังคำอธิบายของเธอ เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้า ชายหนุ่มคิดว่าสาวน้อยคนนี้ช่างมีความรู้รอบด้าน เวลานี้ เขาอยากจะดึงเธอเข้ามากอดแล้วหอมแก้มเธอสักฟอดจริงๆ น่าเสียดายที่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่
โหมวจิ้นเฉียง…..ตระกูลมังกรก็มีอิทธิพลในเมืองนี้ด้วยอย่างงั้นหรอ?
‘เย่เฟิง’แกว่งแก้ววายในมือเล่น แล้วลอบแค่นเสียงในใจ ถ้าไม่ได้มีเรื่องกันอีกก็คงดี เพราะตามวิธีการของเขาแล้ว เขาคงจะใช้ดาบจัดการอีกฝ่ายจนเหี้ยน รับรองว่าพวกนั้นคงจบไม่สวยแน่ เมื่อ’ซูซินฉาง’เห็น’เย่เฟิง’แสดงท่าทีเย้ยยัน เขาก็พลันตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีกในใจ
จากกลิ่นอายที่สัมผัสได้จาก’เย่เฟิง’ เขาดูไม่ให้ความสนใจกับ’โหมวจิ้นเฉียง’เลยแม้แต่น้อย ‘หลิวลี่ฮุย’ไม่กล้าจะพูดถึงหัวข้อนี้ต่อไปอีก เขาจึงเลี่ยงไปพูดหัวข้ออื่น เพราะรู้ว่าเวลานี้ ที่ฝั่งตรงข้ามกำลังมีงานฉลองครบรอบวันเกิด 70 ปีของผู้อาวุโสตระกูลหลิน ถ้า’เย่เฟิง’ไม่ได้ที่ความสัมพันธ์อันใดกับตระกูลหลินแล้วละก็ เขาจะไม่ไปได้อย่างไร?
ขณะที่วางแผนในใจ ทันใดนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรงจากใครสักคน “ปัง”
มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องนี้ด้วยท่าทีคุกคาม ทุกคนในห้องรวมทั้ง’ซูซินฉาง’ล้วนตกใจ ‘เย่เฟิง’ขมวดคิ้วและหันหน้ากลับไปมอง เขาเห็นคนประมาณห้าถึงหกคนซึ่งนำโดย’เซี่ยหมิน’ที่กำลังมอง’ซูซินฉาง’ด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
“ซูซินฉาง คุณมีอะไรจะพูดไหม?”
บรรยากาศรอบตัว’เซี่ยหมิน’ให้ความรู้สึกว่าอีกไม่นานเธอต้องอาละวาดแน่ๆ เธอเดินเข้ามาและชี้นิ้วไปยัง’ซูซินฉาง’พร้อมกับด่าว่าด้วยเสียงอันดัง
“คุณบอกว่าจะมาคุยเรื่องธุรกิจ แล้วนี้มันอะไร? คุณกลับมานั่งกินข้าวกับลูกสาวแบบนี้ ดีมาก ถ้าอย่างนั้นเราหย่ากัน!”
ด้านหลังของ’เซี่ยหมิน’คือคนจากตระกูลเซี่ย ซึ่งดูเป็นผู้นำและมีภูมิฐานมากที่สุด เขาคือพ่อของ’เซี่ยหมิน’ และเป็นเจ้าของธุรกิจของตระกูลเซี่ยในปัจจุบัน ‘เซี่ยผิงฮุย’ ส่วนคนที่เหลือก็เป็นคนจากตระกูลเซี่ยเช่นกัน พวกเขามีทั้งหญิงและชาย ซึ่งตอนนี้ทุกคนต่างจองไปยัง’ซูซินฉาง’รวมทั้ง’ซูเหมิงหาน’ด้วยใบหน้าที่แสดงความไ่พอใจ
เมื่อ’ซูซินฉาง’เห็น’เซี่ยหมิน’เข้าก็ทำให้เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันจะยิ่งจัดการได้ชายขึ้นไปอีก ชายวัยกลางคนรู้สึกปวดหัว และคิดว่าทำไมวันนี้เขาถึงดวงซวยแบบนี้กันว่ะ?
‘ซูซินฉาง’รีบเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการแก้สถานการณ์วิกฤตในตอนนี้ หัวของเขารีบคิดหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ‘หลิวลี่ฮุย’มองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับคิดว่าเวลานี้ดูเหมือนเขาจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทะเลาะระหว่างครอบครัวเสียแล้ว
ระดับของเขาเทียบกับ’เซี่ยผิงฮุย’แล้วยังถือว่าเหนือกว่า เขาจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่นัก แต่ถ้ามองในอีกแง่มุม เขาคือตัวคนเดียว ส่วนฝั่งนั้นคือตระกูลเซี่ยทั้งตระกูล
นอกจาก’เซี่ยผิงฮุย’แล้ว คนอื่นๆของตระกูลเซี่ยก็ล้วนมีความสำคัญในตำแหน่งต่างๆมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนมีอิทธิพลมากมายทั้งในด้านรัฐบาลและด้านธุรกิจ ถึงแม้ตระกูลเซี่ยจะเป็นเพียงตระกูลชั้นสองของเมือง แต่พวกเขาทั้งหมด ก็จัดว่ามีอิทธิพลเหนือว่า’หลิวลี่ฮุย’ที่มีตัวคนเดียว
“ซินฉาง ฉันไม่เชื่อคนหลอกลวงอย่างเธอเลย ฉันไม่คิดว่าเธอจะกล้าหลอกลวงลูกสาวฉันได้”
‘เซี่ยผิงฮุย’เดินไปยัง’ซูซินฉาง’ด้วยสายตาแสดงความผิดหวัง จากนั้นจึงกวาดตามองที่ยังที่นั่งด้านข้าง เขาเห็น’หลิวลี่ฮุย’แล้วพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อทักทาย ในเมื่อ’หลิวลี่ฮุย’ก็มีอิทธิพลไม่น้อย ‘เซี่ยผิงฮุย’จึงไม่อยากลวงเกินเขาเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไร ‘เซี่ยผิงฮุย’ก็อยากจะพูดนัยว่านี้คือเรื่องภายในของตระกูลเซี่ย พวกเขาไม่อยากให้คนภายนอกเข้ามายุ่งด้วย หากเป็น’หลิวลี่ฮุย’ในยามปกติแล้ว เมื่อเห็นดังนี้เขาคงจะรีบถอนตัวออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม เวลานี้ เขาตัดสินใจจะเสี่ยงอันตรายเพื่อผลตอบแทนที่สูงค่า!
‘หลิวลี่ฮุย’แกล้งปั้นหน้ายิ้มทักทาย’เซี่ยผิงฮุย’ จากนั้น เขาจึงย้ายไปนั่งอยู่ข้างๆ’เย่เฟิง’ การกระทำของเขาสื่อความหมายได้สองเรื่องคือ หนึ่ง เขาไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของ’ซูซินฉาง’และตระกูลเซี่ย สอง เขาต้องการจะสื่อความหมายไปให้ฝั่งตรงข้ามโดยปราศจากคำพูดว่า พวกคุณอยากจะทำอะไรก็ได้ แต่ห้ามมาสร้างปัญหาให้แก่’เย่เฟิง’
‘เซี่ยผิงฮุย’เข้าใจความนัยที่’หลิวลี่ฮุย’ต้องการจะสื่ออย่างชัดเจน เขายิ้มและพยักหน้า แต่โชคไม่ดี ‘เซี่ยหมิน’กลับไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เมื่อเห็น’ซูเหมิงหาน’ เธอก็เลือดเดือนไปทั้งตัว เซี่ยมุ่งตรงเข้าไปหาเด็กสาวทันที
“นังแพศยา! ยังกล้านั่งเฉยอยู่อีก ไม่รู้จักการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่หรือไง?”
ด้วยความหยิ่งยโส ‘เซี่ยหมิน’พูดกับ’ซูเหมิงหาน’ด้วยน้ำเสียงคุกคาม
เพี๊ยะ! ‘เย่เฟิง’ยืนขึ้นแล้วตบเข้าไปที่หน้าเธออย่างจัง พร้อมกับกล่าวเสียงเย็นว่า
“ผมแนะนำให้คุณพูดจาอะไรก็หัดระวังปากเอาไว้ซะบ้าง!”
ครึ่งหน้าของ’เซี่ยหมิน’แดงเถือกขึ้นทันที เธอไม่อยากเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ‘เซี่ยหมิน’ใช้มือข้างหนึ่งกุมใบหน้าด้านที่โดนตบและชี้นิ้วด้วยความสั่นเทาไปยัง’เย่เฟิง’พร้อมกับพูดว่า
“แก แกกล้าตบฉัน!”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนที่อยู่ทีนี่ทันที ‘เย่เฟิง’ตบ’เซี่ยหมิน’อย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ทั้ง’ซูซินฉาง’ ‘เซี่ยผิงฮุย’ และคนตระกูลเซี่ย ไม่มีใครคิดเลยว่า’เย่เฟิง’จะกล้าลงมือแบบนี้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่เกรงกลัวตระกูลเซี่ยเลยหรือไง? ถึงแม้จะมี’หลิวลี่ฮุย’คอยให้ท้าย แต่นั้นก็ยังไม่พอที่จะลวงเกินตระกูลเซี่ยได้ ส่วนแก๊งอสรพิษสวรรค์ก็เป็นเพียงกลุ่มแก๊งอันธพาล มันจะมีอิทธิพลมาแค่ไหนกันเชียว
มีเพียง’ซูเหมิงหาน’ที่มองท่าทีโกรธเกรี้ยวของ’เย่เฟิง’ด้วยความเป็นห่วง ส่วน’หลิงลี่ฮุย’คอยมองความโชคร้ายของคนเหล่านั้น เขาคิดว่าตระกูลเซี่ยคงถึงคราวซวยแล้วที่ได้ล่วงเกินคุณเย่ และเขาคงไม่โง่พอจะเอ่ยปากเตือนฝั่งตรงข้ามเรื่องเบื้องหลังของ’เย่เฟิง’
เพราะดูแล้วคุณเย่คงตั้งใจจะใช้แผนหมูกินเสือ ‘เซี่ยหมิน’เดินไปยืนอยู่ข้างหลังชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งในชุดทหาร ซึ่งดูแล้วอายุประมาณ 27-28 ปี เหตุการณ์นี้สร้างความโมโหให้ชายคนนั้นทันที เขาจึงยืนขึ้นและเดินเข้ามาหา’เย่เฟิง’
ชายหนุ่มคนนี้คือน้องชายของ’เซี่ยหมิน’ ชื่อว่า ‘เซี่ยเฉิงเย่’ เขาถูกเลี้ยงดูในตระกูลเซี่ยเพื่อให้เข้ามามีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ในด้านการทหาร แต่ตอนนี้ เขายังคงเป็นเพียงรองผู้บังคับกองพัน ซึ่งยังถือว่าห่างไกลกับที่หวังไว้
“ไอ้หนู ที่บ้านไม่เคยสอนแกหรือไงว่าคนนอกไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคนอื่น และอย่าอวดดีให้มันมากนัก”
ถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะไม่สูงมากนัก แต่ก็มากพอในการจัดการกับ’เย่เฟิง’ และนี่ก็ถือเป็นความผิดตามกฏหมาย ดังนั้น เขาจึงเดินเข้าไปหา’เย่เฟิง’เพื่อจะเข้าไปตบหน้าอย่างรุนแรง ในเมื่อมันมาลงมือกับพี่สาวของเขาอย่างนี้ มันคงเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วงั้นสิ?
เมื่อ’เซี่ยหมิน’เห็นน้องชายของเธอกำลังจะตบหน้า’เย่เฟิง’ ก็ปรากฏความพึงพอใจขึ้นบนใบหน้าของเธอ อีกไม่นานเธอคงจะได้เห็นใบหน้าปูดโปนของ’เย่เฟิง’
ตั้งแต่ยังเด็ก น้องชายคนนี้คอยช่วยเหลือเธอมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สนใจว่าใครถูกผิด ไม่ว่าใครก็ตามที่พยายามจะลวงเกินพี่น้องของเขา มันไม่เคยมีจุดจบที่สวยงามเลยสักรายเดียว!
…………………………
แปลโดยทีมงาน GSI
ที่มา: