ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป” เขาคือ ชูเฟิง!!! เขายังเด็กอยู่เลยหนิ!!! “
หลังที่’ชูเฟิง’ปรากฏ เขาก็ได้กลายจุดสนใจของทุกๆคนในบริเวณนั้น เพราะทุกคนต่างรอคอยให้เขาปรากฏตัว แต่เมื่อเขาพบ ‘ชูเฟิง’ ที่ยังเด็กอยู่นั้นทำให้ทุกคนตกใจอย่างมาก
แม้ว่าการประลองครั้งนี้จะจำกัดอายุอยู่ที่ 18 ด้วยการนั้น ทุกคนที่โดดเด่นมักจะอยู่ในช่วงอายุ 18 พอดี เป็นเหตุผลที่ตัวแทนส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วงเวลานั้น
แต่ ‘ชูเฟิง’ กลับอยู่ห่างไกลจากคนอายุ 18 เขาจะดูเด็กกว่าคนอื่นๆก็ไม่แปลก แต่ด้วยเรื่องของพลังวิญญาณของเขา นั้นยังห่างไกล หากเทียบกับ ศิษย์หลักจากสำนักอื่นๆ
สิ่งที่ทำให้ทุกคนสับสน ก็คือทำไมนครทอง – ม่วงถึงเลือกเขามาเป็นตัวแทน ถ้าดูจากศักยภาพที่เขามีในตอนนี้ยังอ่อนแออยู่มาก ทำไมพวกเขาถึงไม่เลือกคนอื่นๆที่เก่งกว่านี้เข้าร่วม
” เจ้าหายหัวไปไหนมา ทำไมถึงมาช้าจัง “
‘ซูเหม่ย’วิ่งเข้ามาด้วยความโกรธ ขณะนั้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
” อ๋อ ข้าเหนื่อยมาก เมื่อวานเลยเผลอหลับไปสักพักใหญ่ “
‘ชูเฟิง’ทำท่าทางโง่ๆพร้อมกับยิ้ม
” เจ้านี่ . . . . . . คนอื่นๆไล่ฆ่า เขา – วิญญาณ ด้วยทุกอย่างที่พวกเขามี แต่เจ้ากลับเอาเวลาไปนอน!!! “
” นี่เจ้าตั้งใจไปฆ่าพวกมันจริงๆหรือเปล่า เจ้าไม่รู้หรือไง เหล่าผู้คนที่ติด 10 อันดับแข็งแกร่งแค่ไหน ข้าว่าเจ้าจะดูถูกคนอื่นมากเกินไปแล้วนะ “
‘ซูเหม่ย’กัดริมฝีปากด้วยความโกรธ นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
” ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ตั้งใจไปฆ่า เขา – วิญญาณ แต่ไม่น่าจะมีปัญญาเรื่องที่ข้าจะติด 1 ใน 10 “
‘ชูเฟิง’พูดอย่างมั่นใจ
เห็นฉากนั้น ผู้ตัดสินก็ได้เข้าใจ หลังจากเขาเห็นสายตาของ’ซูเหม่ย’ คุณหนูที่สามของตะกูล ซู ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบสหายทั่วไปกับ ‘ชูเฟิง’ ส่วนใหญ่เป็น ‘ซูเหม่ย’ ที่ออกตัวเข้าหา ‘ชูเฟิง’
” เป็นงั้นหรอ ข้าเขาใจและที่แท้เขาก็ได้ความช่วยเหลือจากท่านหญิงที่ 3 ของตะกูล ซู ไม่แปลกใจเลยที่เขามีป้ายทอง – ม่วง อยู่ในมือ!!! “
” ถ้าเขามีความสัมพันธ์กันจริงๆล่ะ งานนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องความแข็งแกร่งแล้ว งั้นแสดงว่าเขาได้ถูกเลือกเข้าไปใน 10 อันดับเรียบร้อยแล้วสินะ ด้วยพลังวิญญาณแค่นี้จะมีปัญญาไปติด 1 ใน 10 ได้ยังไง “
ตัวแทนหลายคนที่เป็นตัวแทนจากนครทอง – ม่วง มีทัศนคติ ไม่ดีต่อ ‘ชูเฟิง’ พวกเขารู้สึกว่า ‘ชูเฟิง’ ไม่ควรได้รับสิทธิเข้าร่วมงานประลองในครั้งนี้ด้วยความแข็งแกร่งที่เขามี ไม่เพียงแต่จะทำให้นครทอง – ม่วงต้องขายหน้า พวกเขายังต้องขายหน้าเพราะเขาอีกด้วย
หลังจากที่สนทนากับ’ซูเหม่ย’ สั้นๆ ‘ชูเฟิง’ก็เดินตรงเข้าไปด้านหน้าของผู้ตัดสิน ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาได้โยน เขา – วิญญาณ 200 อันไปด้านหน้าของผู้ตัดสินหนึ่งในจำนวนเขาพวกมีนั้นมี เขาสีม่วงรวมอยู่ด้วย
” เขาฆ่า เขา – วิญญาณมากมายขนาดนั้นได้ยังไง!!! “
” เป็นไปไม่ได้ ด้วยพลังวิญญาณที่เขามีทำไมถึงล่าพวกมันมาได้มากมาย ดูจากจำนวนที่กองอยู่สิ น่าจะมีอยู่ประมาณ 200 กว่าอันเลยใช่มั้ย ? “
เห็นกองภูเขา ของเขา – วิญญาณ รวมทั้งเขาสีม่วง ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ภายนอกหรือภายใน ต่างเกิดความวุ่นวาย พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ‘ชูเฟิง’ จะล่า เขา – วิญญาณได้ถึงขนาดนี้ หากเทียบกับจำนวนที่เขานำมา เทียบได้กับของ ‘เฉิน หว่านชิง’ ทีเดียว
” มันบ่แมน มันเป็นไปบ่ได้!!! เขาต้องโกงอย่างแน่นอน!!! “
เมื่อเทียบกับไปหน้าของคนอื่นๆ ‘หว่าน เวิ้นเพิง’ ดูลุกลี้ลุกลน เขาถูกได้รับเลือกให้เป็น อันดับ 10 หากเทียบกับผลลัพธ์ของ’ชูเฟิง’แล้ว นับว่าจำนวนของเขายังห่างไกลจากของ’ชูเฟิง’ยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงต้องถูกถีบตกจากอันดับ
ถ้าเป็นคนอื่นที่ถีบเขาให้ตกรอบด้วยความแข็งแกร่งเหนือเขา เขาอาจจะพอยอมรับได้ แต่นี้กับเป็น ‘ชูเฟิง’ ที่ทำให้เขาต้องตกรอบ ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับมัน
ในความเป็นจริงไม่ใช่แค่ ‘หว่าน เวิ้นเพิง’ ที่คิดเช่นนั้นคนเดียว คนอื่นๆก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าดูจากความสัมพันธ์ของ ‘ชูเฟิง’ กับ ‘ซูเหม่ย’ พวกเขารู้สึกว่า ‘ชูเฟิง’ ต้องให้นางช่วยนำเอาเขาม่วงมาได้และเขาของตัวอื่นๆมา โดยที่เขาไม่ได้ไปล่ามันด้วยตัวเอง
แต่ยังไงก็แค่สมมติฐานเท่านั้น พวกเขาจึงไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกมาโดยไม่มีหลักฐาน หากพูดไปคงจะมีปัญหากับ ท่านหญิงที่ 3 ของตะกูล ซู เป็นแน่
เหมือนกับที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ตอนนี้ผลลัพธ์ได้ถูกตัดสินออกมาเรียบร้อย หว่าน เวิ้นเพิง ถูกทีบออกจากอันดับที่ 10 และตกรอบ
” บัดซบที่สุด . . . . “
เมื่อมองหน้า’ชูเฟิง’ที่เดินขึ้นไปบนเวทีลานประลอง ‘หว่าน เวิ้นเพิง’ โกรธเป็นบ้าเป็นหลัง ใบหน้าของเขาแสนจะน่าเกลียด
” ศิษย์พี่หว่าน อย่าได้โกรธไป ด้วยพลังวิญญาณของเขา มีแต่จะขายหน้าตัวเองเปล่าๆตอนประลอง “
” ใช่แล้วๆ พวกเรามาดูกันว่าเขาจะถูกตียังไงตอนที่เริ่มประลอง “
หลายคนจากนครทอง – ม่วงเริ่มปลอบใจเขา
” คู่ต่อสู้ของชูเฟิงคือศิษย์หลักจากสำนักวายุเมฆาของข้า ข้ามั่นใจมากในเรื่องความแข็งแกร่งของเขา เมื่อชูเฟิงต้องสู้กับเขา รับลองได้เลยว่าเขาต้องสำนึกแน่ๆที่โผล่หัวออกมา “
” ไม่เพียงแต่เขาจะทำให้ตัวเองขายหน้า เขายังทำให้นครทอง – ม่วง เสียหน้าอีกด้วย เขาไม่เห็นแก่หน้าคนอื่นๆบ้างเลยหรอ ข้าเป็นหนึ่งคนในนั้นที่ไม่อยากให้ใครต้องมาเสียหน้าเพราะเขา “
ในความโกรธ ‘หว่าน เวิ้นเพิง’ ยังพูดเข้าค้างตัวเอง เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา คนที่มาจากนครทอง – ม่วง ต่างรู้สึกว่า หว่าน เวิ้นเพิง พูดได้ถูกต้อง และพวกเขาไม่สามารถทนกับการกระทำของ’ชูเฟิง’ได้
” ข้าอยากจะสั่งสอน หว่าน เวิ้นเพิง จริงๆ แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า แต่ก็ช่างเถอะข้าจะได้ไม่ต้องใช้ออกแรงมากเท่าไหร่ แค่ทีเดียวเจ้าก็แพ้โดยที่ไม่ต้องให้ข้าเลอะมือ “
ศิษย์จากสำนักวายุเมฆามอง’ชูเฟิง’ พร้อมกับดูถูก เหมือนกับว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
” แน่นอน ว่าเจ้าไม่ต้องเลอะมือเพราะว่าเจ้าจะไม่แม้แต่จะถูกตัวของข้า อย่าว่าแต่เจ้าเลยที่จะคิดว่าเอาชนะข้าได้ง่ายๆ แม้แต่ทุกคนที่นี้ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะตีข้าได้เลยด้วยซ้ำ “
‘ชูเฟิง’ ยิ้มขณะที่กล่าวดูถูก ในเวลานั้นศิษย์จากสำนักวายุเมฆาต่างได้ยินและลุกหือ ไม่ใข่แค่เขาดูถูกเหยียดหยามเท่านั้น ‘ชูเฟิง’ยังไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา
” เจ้านี่มัน. . . . ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตาจริงๆสินะ เด๋วข้าจะสั่งสอนให้เจ้าได้สำนึก “
ศิษย์สำนักวายุฯ โกรธ’ชูเฟิง’อย่างมาก จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้า และใช้ทักษะที่แข็งแกร่งออกมา
ร่างกายของเขา กลายเป็นหลายคน ปรากฏขึ้นและหายไป เด๋วหาย เด๋วมา ด้วยความเร็วที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น จนทำให้คนเห็นรู้สึกสับสน ในตอนนั้น ‘ชูเฟิง’ ถูกเขาล้อมจากทุกทิศทาง
ทักษะที่เขาใช้ ทำให้ผู้คนต่างถอนหายใจออกมาด้วยความชื่นชม หนุ่มสาวสมัยนี้ช่างมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา
” นั้นมันทักษะของสำนักวายุฯ ทักษะติดตัว ระดับ 4 มันเรียกว่าวิชา แยกเงา เขาใช้เวลาทำความเข้าใจถึง 3 ปี ถึงจะเข้าใจแก่นแท้ของมัน ในตอนนี้เขาสามารถใช้มันได้อย่างสมบูรณ์ “
” ไม่ต้องพูดถึง ชูเฟิง แม้แต่ข้า ยังต้องค่อยๆระวัง ไม่เช่นนั้นจะเจ็บตัวแน่ๆ “
‘หว่าน เวิ้นเพิง’ อธิบาย
” นี้หมายความว่า จุดจบของชูเฟิงมาถึงแล้ว ? “
” ไม่เพียงแต่เขาจะแพ้เท่านั้น เขายังต้องเจ็บตัวอย่างหนักเลยทีเดียว!!! “
‘หว่าน เวิ้นเพิง’ เต็มไปด้วยความมั่นใจ ว่าฝีมือของคนๆนั้นไม่ธรรมดา ขนาดเขายังหวาดกลัวนับประสาอะไรกับ ‘ชูเฟิง’ ยังไงเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เป็นความจริง ที่ ‘หว่าน เวิ้นเพิง’ พูดมา ว่าทักษะ แยกเงา นั้นน่ากลัว หากเป็นคนอื่นๆคงจะ งง เป็นไก่ตาแตก แต่กับ ‘ชูเฟิง’ แล้วเขารู้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าร่างไหนคือร่างจริง
* ย๊าากกกก *
จู่ร่างคนๆนั้นก็วิ่งเข้ามาหา’ชูเฟิง’ด้วยความรวดเร็ว ด้วยจำนวนที่มากมาย
ในตอนนั้น ทุกคนที่กำลังรอคอยเห็นสภาพของ’ชูเฟิง’ที่ดับอนาถ ได้แต่หัวเราะชอบใจ และยกมุมปากขึ้นมา พวกเขารู้สึกว่าเวลาที่พวกเขารอคอยมาถึงแล้ว
หลังจากที่เขาพุ่งเข้ามา ‘ชูเฟิง’ รู้ร่างจริงของพวกเขาแล้ว
ดังนัน ‘ชูเฟิง’ จึงไม่คิดที่จะหลบหรือหลีกเลี่ยงมัน เขายกหมัดขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงออกไป
เขาไม่ได้ใช้แม้แต่ทักษะใดๆ แค่ต่อยออกไปเท่านั้น แต่ด้วยความเร็วที่เหมือนกับฟ้าผ่าจึงทำให้ความแรงของมันไม่ธรรมดา หมัดที่รุนแรงของเขากระแทกลงบนใบหน้าของคนๆนั้นอย่างจัง
” อ้าาาา ! “
ขณะที่หมัดของ’ชูเฟิง’ประทับลงบนใบหน้า ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ ‘ชูเฟิง’ เงยหน้ามองตามร่างของเขาไป จากนั้นศิษย์จากสำนักวายุฯก็ตกลงบนพื้นอย่างแรง
เขาเอามือขึ้นมาจับใบหน้า ขณะที่กลิ้ง หลุน หลุน ไปตามพื้น พร้อมกับหอนออกมาด้วยความเจ็บปวด
เขาเดินเข้าไปหาคนๆนั้นที่นอนร้องอยู่กับพื้น พร้อมแสยะยิ้มและกล่าว
” เจ้าพูดถูกแล้ว กับคนอย่างเจ้า แค่ทีเดียวก็พอ!!! “
โปรดติดตามวันต่อไป . . . . .
ที่มา: