ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบทที่ 282 คุ้นหูเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าหลินจื่อฉิงจะอายุไม่ถึง 30 ปี และได้นั่งในตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักการคลังแล้ว แต่เงินเดือนที่เขาได้รับมันไม่ได้มากมายอะไร
เนื่องจากเป็นกฎระเบียบของแต่ละคน ตระกูลไม่ต้องการให้เหล่าลูกหลานใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย รายได้ส่วนใหญ่ของเขานั้นได้มาจากการร่วมมือกับบริษัทเหล่านั้นเป็นประจำ
อย่างเช่นครั้งนี้ เขาได้หารือกับหลินเหรินเทียนก่อนที่จะใช้โอกาสนี้ในการดึงพวกบริษัทอัญมณีทั้งสองนี้และทำให้พวกเขามาที่งานแสดงสินค้าครั้งนี้เพื่อใช้เป็นประโยชน์และรับเอาค่านายหน้า แม้ว่างานรักษาความปลอดภัยจะถูกเย่เฟิงแย่งไปแล้ว หลินจื่อฉิงก็ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ สรุปก็คือต้องทำเงินในเรื่องอันตราย
เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินแล้ว หลินจื่อฉิงมากจะกลายเป็นหน้ามืดตามัว
แต่ในตอนนี้ เย่เฟิงกลับทำให้ดวงตาคู่นี้ของเขาสว่างวาบ เย่เฟิงคนนี้มันมีความลับมากมายแค่ไหนกัน?
จากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ลูกน้องของหน้าบากได้จัดการคนกลุ่มหนึ่งที่มาก่อกวน มันก็ทำให้หลินจื่อฉิงรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย แต่ตอนนี้ ทับทิม ไพลิน โมราและอื่นๆสารพัดที่อยู่เบื้องหน้าเขา มันทำให้เขารู้สึกมึนงงไปหมด
เขาได้แต่ขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มองผิดไป แต่มันก็ยังเป็นอัญมณีอันหลากหลายที่แต่ละชนิดมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งโหลได้กองอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้านี้
หลินชื่อฉิงคาดเดาถึงเรื่องที่เป็นไปได้ว่าของเหล่านี้เย่เฟิงเอามันมาจากสำนักเซียนเร้นลับ และคิดว่าสำนักในยุทธภพก็ต่างมั่งคั่งอยู่เหมือนกัน แต่สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนมันจะเป็นเพียงแค่ทรัพย์สินส่วนตัวของฉีหลินจื่อเพียงคนเดียวเท่านั้น
หลินชื่อฉิงยากที่จะเข้าใจว่าเย่เฟิงเอาสิ่งพวกนี้ออกมาทั้งหมดได้ยังไง แต่ก็ไม่ได้คิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง
เมื่อเย่เฟิงคิดถึงสิ่งเหล่านี้ก็หยิบเอาบัตรเงินสดออกมาหลายใบพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เอ่อ…พี่หลินช่วยเช็คดูรหัสผ่านบัตรและยอดเงินพวกมันได้หรือไม่? ฉีหลินจื่อก็ตายไปแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นคนในโลกยุทธภพ การเช็คดูข้อมูลมันคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
พี่ชายกับน้องสาวตระกูลมองมาอย่างประหลาดใจก็เห็นเป็นบัตรเงินสดที่มีด้วยกันทั้งหมดห้าใบ นอกจากนี้มันยังเป็นบัตรเงินสดธรรมดาของธนาคารรายใหญ่ในประเทศ ดูไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีเงินในบัตรเท่าไหร่ ได้แต่ทึกทักเอาว่า ในเมื่อมันเป็นบัตรที่เก็บไว้ของฉีหลินจื่อ มันก็คงไม่มีเพียงแค่พันหรือหมื่นหรอกใช่ไหม?
“น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยเช็คดูให้ แต่ต้องหลังจากวันนี้นะ”
หลินชื่อฉิงรับบัตรเงินสดมาเก็บใส่ในกระเป๋าสีชมพูอย่างรวดเร็ว ใช้อำนาจของหน่วย NSA เพื่อเช็คบัญชีธนาคารของฉีหลินจื่อมันก็คงง่ายดายและคงไม่มีอุปสรรคใดๆ
ในเวลาต่อมาหลินชื่อฉิงไม่ได้รู้สึกลังเลอะไรก็กดโทรออกโทรศัพท์ทันที และเรียกให้เจ้าหน้าที่หลายคนของตระกูลหลินเข้ามาหา เพื่อให้มาประเมินอัญมณีมากมายที่อยู่เบื้องหน้านี้ และรวมถึงตั้งราคาที่เหมาะสมของอัญมณีที่เย่เฟิงมอบให้มา
ภายใต้การคุ้มกันของลูกน้องหน้าบากสี่คน อัญมณีแต่ละชุดก็ถูกส่งออกจากห้องประชุมทยอยไปยังห้องโถงของงานแสดงสินค้า และทำป้ายราคาอ้างอิงเริ่มต้นและวันเวลาปิดประมูล ฯลฯ
ความจริงแล้วงานแสดงสินค้าเครื่องประดับในครั้งนี้ มันก็เหมือนเช่นเดียวกันกับงานประมูลสินค้า เพียงแต่ว่ามีสินค้ามากมายกว่า นอกจากนี้มันจะมีระยะเวลานานกว่าอีกด้วย และตราบเท่าที่มีลูกค้าให้ราคาสูงกว่ามูลค่าที่อ้างอิงเริ่มต้นเอาไว้ถึงสองหรือสามเท่า ซึ่งลูกค้าสามารถที่จะนำกลับไปได้ในทันทีเลย
แน่นอนว่ามันสำหรับสินค้าที่มีคุณภาพสูง ที่ส่วนใหญ่จะถูกแสดงอยู่ที่ศูนย์การแสดงสินค้าชั้นที่สอง แต่ภายในศูนย์การแสดงสินค้าชั้นที่หนึ่งนี้มันมีป้ายอ้างอิงราคามันเป็นเพียงสินค้าราคาต่ำธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น แหวนเพชร กำไลหยก และอื่นๆ ที่มีราคาหนึ่งหมื่นถึงหนึ่งแสนเท่านั้น
สินค้าภายในศูนย์การแสดงสินค้าชั้นที่หนึ่งและสองมีส่วนสำคัญต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จากการคำนวณสินค้าแต่ละชิ้นของเย่เฟิง ถ้าหากขายพวกมันออกไปทั้งหมดจะรู้ได้ว่ามันมีมูลค่ารวมกันประมาณ 200 ล้าน แน่นอนว่าจะต้องขายทั้งหมดโดยไม่ต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้ และตราบเท่าที่ขายมันได้แค่เพียงครึ่งเดียว เย่เฟิงก็ยังคงกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านทันที แน่นอนว่าเงื่อนไขของเงินที่ขายได้มันควรจะต้องเป็นของเย่เฟิง
“เสี่ยวเย่ ในเมื่อเราช่วยพี่ในเรื่องนี้ หากเครื่องประดับเหล่านี้ขายไปแล้ว พี่จะไม่เอาเงินเราสักแดงเดียวเลย”
หลินชื่อฉิงกล่าวหยอกล้อเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม
“มันจะเป็นดีหรอ ทำตามระเบียบของพี่เอาไปสัก 2% เถอะ ”
เย่เฟิงส่ายหัว เขารู้ถึงเป้าหมายงานแสดงสินค้าของหลินชื่อฉิงครั้งนี้ว่าจะต้องทำกำไร ในฐานะของผู้จัดงานแล้วงานแสดงสินค้านี้ผลกำไรโดยรวมแล้วอาจจะไม่ใช่เครื่องประดับที่ราคาแพงที่สุด แต่พวกเขาเพียงเตรียมการลงทุน ใช้โอกาสของทรัพยากรเพื่อดำเนินการที่ยังไม่ได้เปิดตัวสินค้า ถ้าหากในสามวันมียอดถึงสิบล้านมันก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เย่เฟิงต้องการเงินจำนวนมากก็จริงแต่เมื่อเทียบกับไม่กี่ล้านที่จะมอบให้หลินชื่อฉิงเขาก็คร้านที่จะใส่ใจ ในเมื่อต้องพึงพางานแสดงสินค้าของอีกฝ่ายในการทำเงินกรณีนี้
หลินจื่อฉิงที่อยู่ด้านข้างมองเหล่าเครื่องประดับที่นำออกไปทีละกองจนต้องกลืนน้ำลาย พวกมันต่างเป็นเงินทั้งนั้นแต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ของเขา เรื่องนี้ทำให้เขาอิจฉาเล็กน้อยและไม่รู้ว่าของเหล่านี้เย่เฟิงเอามาจากที่ไหน
“น้องสาว ในเมื่อบูธชั้นที่สองเกือบจะเต็มแล้ว บูธชั้นที่หนึ่งก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่อีกสองบริษัทนั้นดีไหม?”
หลินจื่อฉิงได้กรั่นกรองถ้อยคำจนท้ายสุดก็เอ่ยปากออกมา
ในตอนนี้ตัวเขาไม่ได้โอหังอีกแล้วแสร้งพูดเพื่อจะช่วยหลินชื่อฉิงแต่แท้จริงแล้วเป็นหลินชื่อฉิงต่างหากที่ช่วยเขา อย่างไรก็ตามตัวแทนบริษัททั้งสองนั้นได้บรรลุข้อตกลงกันแล้ว และยังได้ผลตอบแทนอย่างมากเช่นกัน ฉะนั้นจำต้องช่วยหาโอกาสเพื่อให้อีกฝ่ายได้กอบโกยเงิน
ถ้าอีกฝ่ายทำเงินได้ ตัวเขาหลินจื่อฉิงก็จะได้เงินเหมือนกัน!
อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจให้หนึ่งในนั้นได้มีส่วนร่วมด้วย
“บริษัททั้งสองมาจากไหนบ้าง?”
เมื่อหลินชื่อฉิงได้รับความช่วยเหลือจากเย่นเฟิงใบหน้าก็ปรากฏยิ้มหวานไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับหลินจื่อฉิงอีก ในตอนนี้ดูเหมือนว่าพี่ใหญ่คนนี้ต้องการที่จะทำเงินเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวและไม่ได้มีพิษภัยต่อตัวเธอ ซึ่งทำให้เธอคลายความระมัดระวังลง
เมื่อกล่าวถึงผลประโยชน์ การช่วยเหลือของหลินจื่อฉิงมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ เนื่องจากได้สานสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายให้เป็นประโยชน์ และยังสามารถเบี่ยงเบนความสนใจหลินเหรินเทียนได้เช่นกัน
“บริษัทบลูสกายจิวเวลรี่และหลิวกรุ๊ป”
หลินจื่อฉิงพูดบอกชื่อของทั้งสองบริษัท
“อะไรนะ หลิวกรุ๊ปงั้นหรือ?”
หลินชื่อฉิงพลันขมวดคิ้วมุ่น หลิวกรุ๊ปนี้มันไม่ใช่บริษัทในเครือของพวกเครื่องประดับ เมื่อหลายปีก่อนถือเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจภายในเหยียนจิง แต่ก็ตกต่ำลงเมื่อเร็วๆนี้ อิทธิพลในด้านอุตสาหกรรมอัญมณีก็อยู่ในขั้นต่ำมาก
สาเหตุมาจากคุณชายผู้เจ้าชู้ชั้นหนึ่ง เพียงไม่กี่ปีตระกูลหลิวก็ล้มละลาย จากการเป็นตระกูลอันดับสองของเหยียนจิง ตระกูลหลิวก็กลายมาเป็นเรื่องตลกในแวดวงผู้มีอิทธิพลอย่างกะทันหัน
“น้องสาว แม้ว่าจะมอบโอกาสให้พวกเขา ถึงอย่างไรอูฐผอมก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า*”
[คั่นหนังสือ : *瘦死的骆驼比马大/อูฐผอมก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า = ถึงจะตกต่ำแต่ก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน]
หลินจื่อฉิงก็ค่อนข้างรู้สึกอึดอัดเช่นกันรู้อยู่แล้วว่าหลิวกรุ๊ปชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรก็ตามมันทำให้เขาได้ผลประโยชน์มากมายนัก ดังนั้นก็ไม่ลังเลที่จะช่วยพูดสิ่งดีๆให้กับอีกฝ่าย
เย่เฟิงไม่รู้จักหลิวกรุ๊ปเลยสักนิด แต่รู้สึกคุ้นหูกับ ‘บริษัทบลูสกายจิวเวลรี่’ อีกบริษัทหนึ่งมากกว่า จดจำได้ว่าตอนที่มายังโลกนี้ครั้งแรกก็ได้ปะทะกับเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อ เทียนโย่วเหลียง และพ่อของเขาที่ชื่อ เทียนจงข่าย ที่เป็นประธานของบริษัทบลูสกายแอดเวอร์ไทซิ่ง
หลังจากวันที่บุกคาสิโนของหน้าบาก พ่อลูกคู่นั้นก็ไม่ได้ปรากฏมาให้เย่เฟิงเห็นอีกเลย ไม่รู้ว่าบริษัทบลูสกายแอดเวอร์ไทซิ่งและบริษัทบลูสกายจิวเวลรี่ในวันนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?
เรื่องนี้ทำให้เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะอยู่ภายในห้องประชุมนี้และต้องการที่จะเดินออกไปยลโฉมตัวตนของอีกฝ่าย
แต่ไม่นานหลังจากนั้น ตัวแทนบริษัททั้งสองแห่งก็ได้แจ้งเพื่อจะมายังห้องประชุมนี้
“โอ้ ไม่คาดคิดว่าจะเป็นหนุ่มคนนั้นจริงๆ”
เย่เฟิงก็เห็นว่าชายหนุ่มผมมันวาวที่ผ่านประตูเข้ามา นั่นมันเทียนโย่วเหลียงไม่ใช่หรือ? แม้ว่าจะสวมเสื้อสูทอยู่ แต่ชายหนุ่มคนนี้ยังมีท่าทางอันธพาลอยู่พลางยกเท้าสูงยามก้าวเท้าและถือดีเดินเข้ามาภายในห้องประชุมอย่างมั่นใจในตัวเอง
……………………………..
แปลโดย คั่นหนังสือ