ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบทที่ 299 เสี่ยวเยวี่ยเมามาย
เย่เฟิงสามารถเชื่อมโยงได้ถึงเป้าหมายของอีกฝ่าย เสี่ยวเยวี่ยและเสี่ยวฉีก็คงสามารถคาดเดาได้ถูกเช่นกัน
เมื่อเสี่ยวเยวี่ยได้ยินคำของอีกฝ่าย “ดอกไม้เหี่ยวเฉา” สี่คำนี้ เธออยากที่จะวิ่งหนีออกไปในทันที แต่มันคงจะเป็นไปตามความต้องการของอีกฝ่าย จากนั้นเธอพลันคืนสติยกยิ้มออกมา
เธอไม่จำเป็นต้องโมโหอีกฝ่าย เป้าหมายของเสี่ยวลี่ลี่ไม่ใช่ว่าจะเกลี้ยกล่อมเย่เฟิงหรอกหรือ?
เสี่ยวเยวี่ยรู้ว่าเย่เฟิงไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายดายเช่นนั้น ต่อให้เป็นผู้หญิงเช่นเสี่ยวลี่ลี่ สำหรับเย่เฟิงเกรงว่าเขาคงจะปฏิเสธแน่นอน
สำหรับคำพูดที่ใส่ร้ายเธอ เธอไม่ได้กังวลซึ่งตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว หากเธออธิบายไปมันก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเธอจะอธิบายไปยังไงเสี่ยวลี่ลี่ก็จะต้องหาคำพูดมาโต้เถียงและทำลายชื่อเสียงเธออีก ทางที่ดีอย่าได้ต่อล้อต่อเถียง ทำได้เพียงไม่สนใจอีกฝ่าย
ปล่อยมันไว้เช่นนั้น เสี่ยวเยวี่ยขบคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ สำหรับต่อหน้าเสี่ยวฉีและเย่เฟิง พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าใครที่พูดความจริง เหตุใดเธอจะต้องใส่ใจกัน?
“เสียใจด้วยกลับไปเถอะ ผมไม่มีความสนใจคุณ”
คำพูดเย่เฟิงที่บอกอีกฝ่าย มันไม่ได้ต่างอะไรจากการใช้มือตบหน้าคนโดยตรง
คำพูดนี้มันทำให้เสี่ยวลี่ลี่ที่มั่นใจในตอนแรกกลายเป็นใบ้กินในทันที เธอตกอยู่ในอาการตะลึง ผู้ชายคนนี้โง่เง่ามากเลยเหรอ ไม่เข้าใจมารยาทอะไรเลย กับคนที่ชวนไปกินข้าวกลับพูดตอบออกมาเช่นนี้โดยตรง?
เธอไม่คาดคิดว่าก้าวแรกที่เธอเข้ามาภายในห้องส่วนตัวนี้ จากนั้นก็ทำลายชื่อเสียงเสี่ยวเยวี่ยอย่างไร้มารยาท แน่นอนว่าผู้หญิงเช่นนี้มักจะคิดว่าคนอื่นผิดเสมอและเธอถูกต้องตลอด
คิดว่าจะเป็นไปตามความต้องการของเธองั้นหรือ? รอชาติหน้าเถอะ
“นายคือเย่เฟิงใช่ไหม? นายรู้หรือไม่ฉันเป็นใคร?”
เสี่ยวลี่ลี่พูดอย่างไม่พอใจ ระดับเสียงที่ถามเพิ่มขึ้นอย่างดัง และจากนั้นก็กลายเป็นที่สนใจของกลุ่มคนทึ่อยู่หน้าทางเข้าห้องส่วนตัวในทันที
“…”
เย่เฟิงเหลือบมองไปยังนัยน์ตาของเธอ และขบคิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างเกินเยียวยาเหลือล้น
เขาคร้านที่จะพูดคุยกับอีกฝ่ายที่ไร้สาระ จากนั้นก็โคจรเจินชี่ออกไป ตรงไปยังข้อเท้าของเสี่ยวลี่ลี่ จากนั้นก็กระชากออกทันที
ตึง!
ทันใดนั้น ท่าทางของเสี่ยวลี่ลี่ก็เป็นเหมือนกับจ้าวเหรินเจี๋ย ลื่นไถลและกระเด็นออกไปนอกห้องไปยังห้องโถงทางเดิน จากท่าทางการเคลื่อนที่แล้วคล้ายว่าเธอจะหยุดลื่นไถลไม่ได้ ทันใดนั้นก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นเช่นเดิม และแน่นอนว่าไม่มีใครที่สงสัยว่าเป็นการกระทำของเย่เฟิง
ห้องโถงทางเดินพลันเงียบกริบ
เกิดอะไรขึ้นที่นี้กัน?
แม้แต่ผู้จัดการผู้หญิงก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นศึกชิงรักหักสวาทของเสี่ยวซาน*จนทำให้เกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้?
[คั่นหนังสือ : *小三 /เสี่ยวซาน = มือที่สาม]
สำหรับผู้จัดการผู้หญิง เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก แต่ที่สำคัญจริงๆคือมันจะทำให้ลูกค้าหายไปหมด แม้ว่ามันจะไม่เกิดเรื่องสูญเสียอย่างที่ว่า แต่เรื่องเช่นนี้มันเกิดขึ้นภายในภัตตาคารของพวกเขา ผลกระทบมันไม่ดีแน่และนี่เป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องนึกถึง
“เสี่ยวฉี เธอกลับไปก่อนละกันบอกป๊าว่าเกิดเรื่องขึ้นที่นี้”
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้เจอจ้าวเหรินเจี๋ย เสี่ยวเยวี่ยไม่มีอารมณ์ที่จะกินอาหารอีกต่อไป ดังนั้นจึงส่งกุญแจรถให้เสี่ยวฉีบอกให้เธอกลับบ้านไปก่อน
“แล้วพี่ล่ะ?”
เสี่ยวฉีค่อนข้างสงสัย เรื่องที่บอกให้เธอกลับไปก่อน แล้วเสี่ยวเยวี่ยกับเย่เฟิงจะทำยังไงกัน?
“พี่กับเสี่ยวเย่คุยถูกคอกัน จากนั้นกะว่าจะไปหาที่ดื่มต่ออีกสักหน่อย”
เสี่ยวเยวี่ยยิ้มหวานให้แต่อีกมือก็คว้ากอดแขนเย่เฟิงเอาไว้ ร่องอกของเธอเสียดสีอยู่กับแขนของเขาขณะที่เดินมันก็เสียดสีถูไปมา
“…”
เย่เฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย เสี่ยวเยวี่ยคนนี้ไปไม่ถึงหวงเหอก็ไม่ยอมหยุด*จริงๆ มันดูเหมือนถ้าเธอไม่ดื่มจนล้มหน้าทิ่มพื้นมันคงไม่ใช่เธอสินะ หวังจะมอมเหล้าเย่เฟิงตัวเขาคนนี้เพื่อล้วงความลับงั้นหรือ? ช่างไร้เดียงสานัก
[คั่นหนังสือ : *不到黄河心不死/ไปไม่ถึงหวงเหอก็ไม่ยอมหยุด (แม่น้ำเหลือง/หวงเหอ/ฮวงโห) = พยายามจนถึงที่สุดไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ]
มองดูเสี่ยวเยวี่ยที่หมกมุ่น แต่เย่เฟิงก็ไม่ได้ต่อต้าน ภายในใจเสี่ยวฉีสึกอึดอัด ทั้งสองต่างเป็นกำพร้าแม่ การออกไปดื่มข้างนอก หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจะต้องทำเช่นไร?
ในมุมหนึ่งเธอค่อนข้างประทับใจเย่เฟิงอย่างมาก แต่อีกมุมหนึ่งความจริงเธอคือพี่สาวของเธอ หากกลายเป็นอย่างอื่นไปมันคงรู้สึกอึดอัดซับซ้อนอย่างยิ่ง
“พวกเขาคงจะไม่เกิดเรื่องอะไรให้ครึกโครมหรอกนะ”
เสี่ยวฉีส่ายหัว ไม่ยอมขบคิดถึงมันอีก เธอรู้ว่าพี่สาวเธอรักนวลสงวนตัวเก็บความบริสุทธิ์มาได้นมนานและไม่ได้เสียมันไป เธอไม่จำเป็นต้องกังวลกับพี่สาวในเรื่องนี้
ทั้งสามก็ตัดสินใจออกจากภัตตาคาร
ที่ภัตตาคาร เย่เฟิงจ่ายแบงค์สีแดงรูปคุณปู่ไปมากกว่า 20 ใบอย่างไม่แยแส เขาเข้าใจถึงการสูญเสียลูกค้าของอีกฝ่าย ผู้จัดการภัตตาคารเห็นเย่เฟิงจัดการเช่นนี้อย่างเป็นเรื่องปกติ ก็รู้ว่าฐานะของเขาต้องไม่ธรมดา ซึ่งผู้ชายที่มีสาวสวยเช่นเสี่ยวเยวี่ยอยู่ข้างกายเขาจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไงกัน?
ทันใดนั้นก็ไม่มีใครกล้าที่จะรั้งทั้งสามคนเอาไว้
ขณะที่จ้าวเหรือเจี๋ยและเสี่ยวลี่ลี่จะล้มนอนอยู่บนโถงทางเดินชั้น 1
เวลาตอนที่เย่เฟิงออกมาจากภัตตาคารกับเสี่ยวเยวี่ย พระจันทร์เพิ่งจะเริ่มขึ้น จากนั้นก็มาถึงผับที่อยู่บริเวณใกล้ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เฟิงมาผับ แต่ผับในครั้งนี้ดูไม่ค่อยคึกคักเลยสักนิด เนื่องจากค่ำคืนนี้เพิ่งเริ่มต้น แต่ช่วงเวลาเงินทองของผับมันอยู่ที่ดึกดื่นเที่ยงคืน
เมื่อพวกเขาเข้ามาภายในผับ เย่เฟิงสามารถรู้สึกถึงอาการหายใจติดขัดของพวกผู้ชายทั่วทั้งผับ แน่นอนว่าสาเหตุไม่ได้มาจากเย่เฟิง แต่สาเหตุมันมาจากสาวเซ็กซี่กระโปรงแดงเสี่ยวเยวี่ยผู้หญิงคนนี้
แต่เรื่องนี้ เสี่ยวเยวี่ยไม่ได้สนใจ เอียงคอเลือกเหล้าจากนั้นก็นั่งลงโต๊ะที่ว่าง
เย่เฟิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ มองไปยังแก้วค็อกเทลที่เพิ่งถูกเสิร์ฟมา บนใบหน้าเขาฉาบไว้รอยยิ้มเลือนลาง เหล้าในเมืองไม่มีความแตกต่างอะไรสำหรับเย่เฟิง มันเป็นเรื่องยากที่เย่เฟิงจะเมาได้ไม่ว่าเขาจะดื่มไปเท่าไหร่ มันก็เหมือนกับเขาดื่มน้ำเปล่า
ไม่เหมือนกับเหล้าหมักสูตรพิเศษที่โลกเทวะ มันอาจจะทำให้เขารู้สึกเมาเล็กน้อย เหล้าหมักในโลกเทวะสิถึงจะเรียกว่าเหล้าจริงๆ
สิ่งเหล่านี้ที่อยู่เบื้องหน้าเย่เฟิงมันไม่ต่างอะไรจากของเด็กเล่น
เนื่องจากผับมีคนน้อย พวกเขาทั้งสองจึงไม่เจอปัญหาอะไร และไม่นานก็เริ่มดื่มและคุยกัน
“นายมีแฟนสาวถึงสองคนเลยหรือ?”
เสี่ยวเยวี่ยเริ่มจากเรื่องที่อยากรู้ที่สุด นอกจากนี้ในเมืองมีหลายคนที่สนับสนุนกับการมีภรรยาหลายคน
แน่นอนว่า ตอนนี้เรื่องเสี่ยวซานมักจะอาละวาดกันตลอด ก่อนหน้านี้มันเหมือนจะมีความแตกต่าง แต่แม้ว่าเสี่ยวซานมันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่กันอย่างสงบแต่มันก็ยังมีตัวอย่างที่อยู่กันได้อย่างสงบ เสี่ยวเยวี่ยรู้ดีว่าผู้หญิงอิจฉาน่ากลัวแค่ไหน
“ใช่แล้ว”
เรื่องนี้เย่เฟิงไม่ได้มีความคิดปิดบังอะไรพลางพยักหน้า จากนั้นถามเล็กน้อย “ถ้างั้นเธอเรียนจบมาสองปีแล้ว ทำไมจ้าวเหรินเจี๋ยถึงยังตามตื้อเธออยู่อีก พ่อของเธอไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้เธอหรอกหรือ?”
“เขาเป็นคนดื้อด้าน”
เสี่ยวเยวี่ยอดไม่ได้ต้องส่ายหน้า มือเธอขาวเนียนของเธอสะบัดผมยาวสีดำที่พาดไหล่อยู่ออกอย่างนุ่มนวล “เขาเอาแต่พูดว่าต้องตอบแทนบุญคุณ พูดแต่ตอบแทนบุญคุณ บอกให้ฉันพยายามเปลี่ยนผู้ชายคนนั้นให้ได้ เฮ้อ”
เมื่อเย่เฟิงได้ยินก็รู้สึกปวดไข่ในทันที นึกถึงเสี่ยวเต๋อเฉิงจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่มันก็ซื่อสัตย์เกินไปหรือไม่?
[คั่นหนังสือ 蛋疼/ตันเถิง = ปวดไข่ เป็นคำอุทานของคนจีนใน
สถานการณ์ที่รู้สึกน่าเบื่อจนแทบอยากตาย
สถานการณ์ที่เห็นบางสิ่งที่ตลกมากแต่ดูโหดร้าย(อย่างเช่นประมาณว่าเห็นคนก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์และตกบันไดคืออยากจะขำแต่เหตุการณ์มันดูเจ็บหนัก)
สถานการณ์ที่รู้สึกไม่พอใจ ไม่ถูกใจอย่างมาก]
แต่เมื่อฟังดูแล้ว มันเหมือนกับว่าเสี่ยวเต๋อเฉิงก็ไม่ได้พอใจกับการกระทำของจ้าวเหรินเจี๋ยสักเท่าไหร่ ถึงยังคงให้เสี่ยวเยวี่ยพยายามเปลี่ยนแปลงจ้าวเหรินเจี๋ย แต่ก็ไม่ได้บังคับเธอให้อยู่ด้วยกันกับอีกฝ่าย
จากจุดนี้เห็นได้ว่ามโนธรรมของเสี่ยวเต๋อเฉิงไม่เหมือนกับซูซินฉางหรือหลงโมหรันที่ไม่แยแสคนเช่นนั้น
มันแปลกอย่างมาก เมื่อต้องอยู่กับเย่เฟิงเพียงลำพัง เสี่ยวเยวี่ยมีเรื่องมากมายที่ต้องพูดออกไป ในขณะนั้นก็บังเอิญดื่มไปมากมายโดยไม่ระวัง ใบหน้าที่อ่อนโยนและสวยงามแดงก่ำไปถึงเจ็ดส่วน
แต่เย่เฟิงในตอนนี้ก็ได้ดื่มไปเป็นเวลานานแล้ว แต่มันไม่รู้สึกถึงอาการเมาเลยแม้แต่นิดเดียว
……………………………..
แปลโดย คั่นหนังสือ