ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นเมื่อหานซั่วและนักเรียนศาสตร์แห่งความตายรวมตัวกันอยู่ในวงมิติเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์มนตรามากมาย
เมื่อคืน หานซั่วทดลองส่งเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กไปยังมิติอื่น และอัญเชิญมันกลับมาอีกครั้งจนสำเร็จถึง 3 รอบ เขาหยิบถุงเงินที่ซ่อนออกมาจากใต้เตียงอย่างอารมณ์ดี และเตรียมตัวสำหรับการทัศนศึกษา
เขาตื่นตาตื่นใจในขณะที่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อพินิจพิจารณามิติเวทมนตร์ใกล้ชิด มิติเวทมนตร์นี้มีรูปร่างเป็นวงกลม และมีรูปดาวหกแฉกขนาดมหึมาอยู่บนพื้นหินใต้เท้าของเขา สัญลักษณ์มนตราสวยงามมากมายเรียงตัวเป็นแถวอยู่โดยรอบ พร้อมกับออร่าเวทมนตร์จาง ๆ ส่องประกายออกมาทั่วทั้งวงมิติ
ชั่วพริบตาที่แล้ว เขากำลังยืนอยู่บนวงมิติเคลื่อนย้ายของวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลน เมื่อวงมิติทำงาน หานซั่วรู้สึกได้เพียงกระแสเวทมนตร์ทรงพลังแผ่กระจายอยู่ในอากาศ และมาปรากฏตัวอยู่อีกที่หนึ่งเมื่อสิ้นสุดแสงวาบสีขาว
เมื่อฟังจากนักเรียนที่อยู่รอบ ๆ หานซั่วจึงรู้ว่านี่คือ วงมิติเวทย์เคลื่อนย้าย ซึ่งเวทมนตร์เคลื่อนย้ายนั้นหายากอย่างยิ่ง นอกจากจะต้องใช้เวทมนตร์ที่สลับซับซ้อนมากมายแล้ว ยังเป็นการลงทุนราคาแพงในการเสกเวทย์นี้ด้วย
“เลิกจ้องตาไม่กะพริบซะที มิติเวทย์เคลื่อนย้ายมันน่ามหัศจรรย์มากก็จริง แต่เจ้าไม่ต้องทำท่าประหลาดใจจนออกนอกหน้าขนาดนั้นก็ได้!”
ลิซ่าซึ่งอยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้นเมื่อเห็นหานซั่วมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้น
เวทมนตร์นี้มหัศจรรย์มากจริง ๆ แม้หานซั่วจะเคยได้ยินเกี่ยวกับมิติเวทย์เคลื่อนย้ายมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้มันจริง ๆ และรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก เขาหยุดมองมันเมื่อพิจารณาพื้นที่รอบ ๆ วงมิติเวทย์อย่างถี่ถ้วนเรียบร้อยแล้ว
หานซั่วรู้ทันทีว่าความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์อันน้อยนิดของเขาในตอนนี้ อาจจะไม่เข้าใจทฤษฎีต่าง ๆ เบื้องหลังมิติเวทย์เคลื่อนย้ายนี้เลย และคงเสกมันไม่ได้แน่นอน
ยังไม่รวมถึงองค์ประกอบทั้งหมดของการเสกมิติเคลื่อนย้ายที่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบเวทมนตร์มากมายเกินจะเอ่ย แม้ว่าจักรวรรดิจะสามารถสร้างมิตินี้ขึ้นในเมืองต่าง ๆ ได้ แต่การเปิดมิติแต่ละครั้งก็ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก จนแม้แต่ครอบครัวชนชั้นสูงบางครอบครัวยังไม่สามารถลงทุนไหว
ถ้าไม่ใช่เพราะวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนมีมิติเวทย์เคลื่อนย้าย และการที่หานซั่วได้ติดสอยห้อยตามเหล่านักเรียนมาทัศนศึกษา ชั่วชีวิตนี้เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เดินทางผ่านมิติเวทย์นี้สักครั้งเลยก็ได้
สถานที่แห่งนี้ คือ เมืองซาโจสกี้ ซึ่งอยู่ในพื้นที่รอบนอกและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิแลนสล็อต มี หุบเขาเคอร์ลัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง ซึ่งเป็นเขตแดนของพวกออร์ค ใครก็ตามที่เผลอหลงเข้าไปในหุบเขานั้นมักไม่รอดกลับมา ส่วนทางทิศใต้คือ ป่าทมิฬ ที่ซึ่งเหล่าสิ่งมีชีวิตวิเศษและทรงพลังอำนาจมากมายอาศัยอยู่ในป่าทมิฬอันกว้างขวาง รวมถึงเผ่าเอลฟ์ผู้บูชาธรรมชาติ
เมืองซาโจสกี้ไม่เคยสงบ จักรวรรดิเคยส่งกองทหารจำนวนมากมายังเมืองนี้ เพื่อป้องกันการรุกรานของฝูงออร์คที่เหี้ยมโหด ว่ากันว่าเขตแดนของออร์คแห้งแล้งมาก ส่งผลให้เผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายนี้ต้องการยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของจักรวรรดิ เมืองซาโจสกี้จึงถือเป็นปราการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดในฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นที่หมายตาของเหล่าออร์คอยู่ไม่น้อย
ป่าทมิฬจึงเป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเอลฟ์ผู้บูชาธรรมชาติซึ่งมีความสัมพันธ์ที่คาดเดาได้ยากกับจักรวรรดิ และบ่อยครั้งที่สัตว์วิเศษจากป่าทมิฬจำนวนมากชอบออกมาปรากฏตัวในเมืองหรือหมู่บ้านใกล้ ๆ จนทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ใกล้เคียงค่อนข้างตึงเครียด
เพราะเหตุการณ์ความไม่สงบนี้เอง จักรวรรดิจึงต้องใช้ทรัพยากรในการเสกมิติเวทย์เคลื่อนย้ายในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก แม้จะทำให้ง่ายต่อการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างจักรวรรดิและเมืองซาโจสกี้ แต่กลับกัน จักรวรรดิก็ไม่สามารถส่งกองกำลังทหารขนาดใหญ่มาได้เนื่องจากพลังงานปริมาณมหาศาลที่ต้องใช้จะเคลื่อนย้ายคนได้ในจำนวนจำกัด
และด้วยตำแหน่งเมืองซาโจสกี้ที่มีความพิเศษนี้เอง ที่ทำให้มันกลายเป็นสวรรค์สำหรับนักผจญภัยและเหล่าพ่อค้าที่ดั้นด้นมาที่นี่ด้วยความกระหายในทองคำและทรัพย์สมบัติ
ไม่ว่าจะเป็นคริสตัล กระดูก หนัง หรือเนื้อของสัตว์วิเศษที่อาศัยอยู่ในป่าทมิฬ อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทำขึ้นโดยเผ่าเอลฟ์ อัญมณีมีค่าจากพื้นที่แห้งแล้งในเขตแดนของเหล่าออร์ค ตลอดจนสิ่งล้ำค่ามากมายที่ล้วนแล้วแต่จะให้ผลตอบแทนอย่างงาม — สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของเหล่านักล่าสมบัติ
“เหล่าจอมเวทย์ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย ขอต้อนรับสู่เมืองซาโจสกี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในเมืองแห่งนี้ และสมปรารถนาในทุกสิ่งที่ต้องการ!”
เจ้าหน้าที่ดูแลมิติเวทย์เคลื่อนย้ายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โค้งคำนับหานซั่วและคนอื่น ๆ อย่างอ่อนน้อม
“ขอบคุณสำหรับคำต้อนรับอันอบอุ่นของท่านค่ะ ข้ามั่นใจว่าเราต้องได้อะไรกลับไปบ้างแน่”
แฟนนี่ยิ้มและน้อมหัวให้เขา ก่อนจะหันมาทางกลุ่มนักเรียนศาสตร์แห่งความตายและพูดอย่างอ่อนโยน
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สงบสุข ทุกคนต้องระมัดระวังและอย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองล่ะ ไปกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ แฟนนี่ก็เดินนำกลุ่มนักเรียนไปตามถนนเส้นหลัก พวกนักเรียนต่างมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยไม่ต่างจากหานซั่ว เพื่อประเมินทุกสิ่งและทุกคนที่อยู่รอบกาย
นอกจากแฟนนี่ และจีน ซึ่งเป็นอาจารย์เพียงสองคนแล้ว ก็มีนักเรียนศาสตร์แห่งความตายทั้งหมด 9 คน และหานซั่ว รวมเป็น 12 คน แฟนนี่และจีนต่างเป็นนักเวทย์ผู้ใช้ความตายระดับสูง และฟิทช์ก็ไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วยเพราะอยู่ระหว่างการสอบเลื่อนขั้นเพื่อเป็นนักเวทย์ระดับสูง
ส่วนความแข็งแกร่งของนักเรียนอีก 9 คนที่เหลือก็จัดว่าธรรมดา นอกจากนักเวทย์ระดับกลางคนหนึ่งที่ชื่อดีเร็ค ที่เหลือเป็นนักเวทย์ระดับเริ่มต้น และนักเวทย์ฝึกหัด
อาคารบ้านเรือนที่เรียงรายไปตามถนนล้วนทำจากหิน และขาดสัมผัสของความงามในเชิงศิลป์อย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในจักรวรรดิ ทว่ายังให้ความรู้สึกถึงเกียรติยศและความทรหดอดทน และเพราะถูกออร์ครุกรานอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่กำแพงเมืองซาโจสกี้ที่ถูกสร้างให้แข็งแกร่งและคงกระพัน สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในเมืองก็ถูกสร้างขึ้นตามหลักของความมั่นคงแข็งแรงเช่นกัน
ตลอดเส้นทางที่เดิน หานซั่วสังเกตว่ามีร้านอาวุธ ร้านขายยา ร้านขายวัตถุเวทมนตร์ และร้านอาหารจำนวนมากเรียงรายตามข้างทาง รวมทั้งร้านเหล้าเล็ก ๆ เพื่อความบันเทิงเริงใจ โรงประมูลทาส และสถานที่สำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขายวัตถุดิบต่าง ๆ
ดูเหมือนเหล่าพ่อค้าจะรู้ดีกว่าการแลกเปลี่ยนสินค้าประเภทใดจะให้ผลกำไรมากที่สุด เพราะคุณลักษณะที่โดดเด่นของพื้นที่ ผู้คนที่เดินทางเข้าออกพื้นที่เหล่านี้จึงมีทั้งทหาร อัศวิน นักเวทย์ในสายเวทมนตร์ต่าง ๆ โจร นักธนู พ่อค้า นักกวี หรือแม้แต่เอลฟ์ผู้มีใบหูแหลม ร่างกายปราดเปรียว และสง่างามบางตนจากป่าทมิฬ
ถนนเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าพ่อค้า เสียงร่ายบทกลอนอันแผ่วเบาจากนักกวี เสียงร้องของม้าทหาร ตลอดจนเสียงทะเลาะเบาะแว้งที่ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ — ฉากเหล่านี้ล้วนอยู่นอกเหนือสิ่งที่หานซั่วจินตนาการไว้มากมายนัก เขาตื่นตาตื่นใจและเริ่มเข้าใจความโกลาหลของเมืองนี้อย่างชัดเจนมากขึ้น
“ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูมากนักหรอก เราต้องออกไปจากเมืองก่อนตะวันตกดิน ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ ๆ เราควรใช้เวลาอยู่นานเกินไป จุดหมายต่อไปของเราคือ เมืองดรอล ถ้าเราไปไม่ถึงที่นั่นก่อนตะวันตกดิน คืนนี้เราก็ต้องค้างแรมกันกลางป่านะ”
จีนตะโกนบอกเสียงดังเพื่อเร่งให้พวกนักเรียนเดินกันเร็วขึ้น
“ฮะ ๆ ๆ พวกเค้าเป็นดอกไม้ที่เคยอยู่แต่ในเรือนกระจกนี่นา บางคนก็เพิ่งเคยมาที่เมืองซาโจสกี้เป็นครั้งแรก ไม่สงสัยหรอกว่าทำไมถึงอยากรู้อยากเห็นกันราวกับว่าอนาคตอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก”
แฟนนี่กวาดตามองไปในกลุ่มนักเรียน เธอยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจเมื่อเห็นนักเรียนบางคนมีอาการตื่นเต้นเป็นที่สุดในทุกสิ่งที่ได้พบเห็นเป็นครั้งแรก
“ไบรอัน เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย ที่แบกของตั้งหลายอย่างไว้ที่หลังแบบนั้นน่ะ?”
ลิซ่านิ่วหน้าเมื่อเธอมองมาที่หานซั่ว จึงถามออกไป
“เอ๋ ลิซ่า เจ้าเริ่มเป็นห่วงเป็นใยไบรอันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ดูไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะ!”
เบลล่า นักเวทย์ระดับเริ่มต้น มองลิซ่าและถามด้วยความสงสัย
นอกจากหน้าที่จิปาถะต่าง ๆ แล้ว หานซั่วยังต้องรับหน้าที่กรรมกรแบกหามตลอดการทัศนศึกษานี้ด้วย แม้ว่า “แหวนบรรจุสรรพสิ่ง” จะสามารถใส่สิ่งของที่มีอยู่บนโลกนี้ได้ทุกอย่าง แต่เพราะราคาสูง ที่แม้แต่ครอบครัวชนชั้นสูงทั่วไปยังยากที่จะได้มาครอบครอง นับประสาอะไรกับคนธรรมดา
ทั้งอาจารย์และนักเรียนศาสตร์แห่งความตายก็ไม่มีแม้เพียงสักคนที่โชคดีพอจะได้เป็นเจ้าของแหวนบรรจุสรรพสิ่ง ทุกคนจึงต้องจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางใบหนักอึ้ง และในฐานะทาสรับใช้ หานซั่วจึงต้องกลายเป็นกุลีไปโดยปริยาย
สิ่งของมากมายถูกผูกอยู่ทั้งบนหลัง ไหล่ ข้อมือ หรือแม้แต่ขาทั้งสองข้างของเขา ทีแรก ไม่มีใครสักคนคิดว่าหานซั่วจะแบกน้ำหนักสิ่งของที่เยอะขนาดนั้นไหว แต่เมื่อเห็นว่าหานซั่วสามารถเดินได้อย่างสบาย ๆ ทั้งอย่างนั้น แม้จะประหลาดใจแต่ก็ พากันมาฝากสัมภาระต่าง ๆ บนตัวเขาเพิ่มอีก
แม้หานซั่วจะแกล้งเสียสติและถือของน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่เขาก็ไม่ทำเพราะตั้งใจจะฝึกฝนร่างกายตัวเองไปด้วย เขาจึงเต็มใจยอมรับภาระหน้าที่ ตอนนี้จึงมีของมากมายอยู่บนตัวเขา รวมทั้งกระเป๋าหลายใบที่ห้อยอยู่รอบคอ แต่ใบหน้าเปื้อนฝุ่นเขากลับยิ้มอย่างมีความสุข
“อ๋อ ไม่มีปัญหาเลยล่ะ สบายมาก”
หานซั่วยิ้มให้ลิซ่าและพูดอย่างไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ ตั้งแต่เหตุการณ์ในหลุมกับดักครั้งนั้นที่หานซั่วบอกความในใจและ “สารภาพรัก” กับเธอ ทัศนคตของลิซ่าที่มีต่อหานซั่วก็เปลี่ยนไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคำของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นถ้อยคำที่ต้องการปกป้องเค้า
เมื่อเห็นว่าหานซั่วมองไม่ออกและไม่มีท่าทีซาบซึ้งที่เธออุตส่าห์หวังดี ลิซ่าจึงบ่นอุบอิบและพึมพำกับตัวเอง
“ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เรารึอุตส่าห์หวังดี คนอะไรงี่เง่าชะมัด”
“แต่ก็เป็นเพราะเจ้านี่แหละ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสาปกรีดวิญญาณของเจ้าล่ะก็ ไบรอันจะเพี้ยนขนาดนี้ได้ยังไงกัน แต่ก็แปลกนะ ไบรอันดูเหมือนจะสูงขึ้น แล้วก็แข็งแรงขึ้นตั้งแต่นั้นมาเลย ลิซ่า เจ้าเนี่ย ยอดไปเลยนะ!”
เบลล่าพูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย
“เบลล่า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เงียบไปเลยนะ!”
ลิซ่าหันขวับไปค้อนเบลล่า และตอบอย่างเย็นชา
“เชอะ ใครอยากจะยุ่งเรื่องของเจ้ากัน แค่สงสัยก็เท่านั้นเอง!”
เบลล่าตอบพร้อมพ่นลมอย่างดูถูก
“เอาล่ะ เอาล่ะ ใจเย็นกันก่อน เรารีบเดินออกจากเมืองนี้ให้เร็วขึ้นดีกว่า ถ้าเราไปไม่ถึงดรอลก่อนมืดล่ะก็ ร่างกายบอบบางอย่างพวกเจ้าไม่รอดแน่”
แฟนนี่ขมวดคิ้วพร้อมกับตักเตือนเบา ๆ จากนั้นเธอก็หันไปหาหานซั่วและพูดอย่างอ่อนโยน
“ไบรอัน เจ้าไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ?”
หานซั่วยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ และตอบอย่างชัดเจนว่า
“ไม่มีปัญาหาครับ ปันส่วนอาหารดี ๆ ทำให้ข้าแข็งแรงขึ้นเยอะเลย”
แฟนนี่ยิ้มและหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินหานซั่วพูด
“ดูเหมือนที่ข้าไปขอฝ่ายบริหารวิทยาลัยให้เพิ่มปันส่วนอาหารให้เจ้าจะส่งผลดีจริง ๆ สินะ”
เมื่อไม่มีใครเอ่ยปากคุยกันอีกต่อไป แม้กระทั่งสายตาของพวกนักเรียนก็หยุดสอดส่องสิ่งรอบข้าง ทุกคนต่างรีบมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองอย่างรีบเร่ง
…………………………………
อ่านตอนต่อไปล่วงหน้าทันที ที่นี่ >>>
(0 votes) 0/10