ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
คณะเดินทาง 12 คน รวมทั้งหานซั่ว ต่างตกตะลึงในความสวยงามตระการตาของประตูเมืองซาโจสกี้ ประตูขนาดมหึมานี้สร้างขึ้นด้วยหินที่แข็งแกร่งที่สุด แต่งแต้มด้วยสีคล้ายเลือดที่แห้งกรัง แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ามันคืออะไรเพราะรอยที่ว่า สาดกระจายอยู่ทั่วกำแพงหินเต็มไปหมด
ทหารรักษาการณ์จำนวนมากในชุดเกราะเต็มยศกำลังเดินลาดตระเวนอยู่บนกำแพงที่สูงขึ้นไปจากพื้นดินหลายเมตร เครื่องมือป้องกันหลากชนิดเรียงรายให้เห็นโดยรอบกำแพงเมือง
หากมองจากระยะไกล ประตูเมืองนี้ดูราวกับสัตว์วิเศษกระหายเลือด ปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมของมันกำลังอ้ากว้างอยู่ พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลก เงี่ยงปลายแหลมมากมายติดตั้งอยู่ทั่วกำแพงเมือง พร้อมกับส่องแสงเป็นประกายยามต้องแสงอาทิตย์ ให้ความรู้สึกข่มขวัญน่าเกรงขามอย่างเหลือเชื่อ
ประตูขนาดใหญ่สีดำราวน้ำหมึก 2 บาน-ที่ไม่มีใครรู้ว่าทำจากอะไร-กำลังเปิดออก เผยให้เห็นทางเข้าเมืองที่กว้างพอให้ม้าสิบตัวเดินเรียงหน้าเข้ามาพร้อมกัน หน้าประตูพลุกพล่านไปด้วยสัตว์วิเศษแปลกประหลาดหลายชนิดค่อย ๆ เดินผ่านประตูและเข้ามาในเมือง พร้อมกับผู้คนและสัมภาระมากมายบนหลังของพวกมัน
สัตว์วิเศษเหล่านี้มีขนาดใหญ่กว่าสัตว์ตัวใดที่หานซั่วเคยรู้จัก พวกมันสูงประมาณ 5 เมตร และน่าจะมีความยาวราว 10 เมตร ผิวหนังเป็นสีน้ำตาลเข้ม รูปทรงของหัวคล้ายช้าง หน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ที่แก้มทั้งสองข้างมีงาสีขาวโค้งยาวออกมาราว 1 เมตร
“นี่คือมังกรดินจ้ะ เป็นสัตว์วิเศษที่อ่อนโยนมาก พวกมันเลี้ยงให้เชื่อฟังได้ง่าย แม้จะเคลื่อนไหวได้ช้า แต่ก็บรรทุกน้ำหนักได้เยอะทีเดียว เราจึงนิยมใช้มันในการขนส่งภายในจักรวรรดิ พวกพ่อค้าก็จะใช้มังกรดินในการบรรทุกสินค้าจำนวนมากไปขายในต่างแดนด้วยล่ะ”
แฟนนี่อธิบายพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นนักเรียนหลายคนจ้องมองมังกรดินด้วยความประหลาดใจ
“อาจารย์แฟนนี่ ฝากดูแลพวกนักเรียนก่อนนะครับ ข้าจะไปลงทะเบียนที่หน่วยทหาร ขอยืมม้ามาสักหน่อย เพราะเราคงเดินเท้าไปถึงเมืองดรอลไม่ทันก่อนค่ำแน่ ๆ…”
จีนมองแฟนนี่ด้วยสายตาเป็นประกาย และพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม สายตาของเขามองไปยังใบหน้าอันงดงามของแฟนนี่โดยไม่ละสายตาเลยแม้เพียงชั่วขณะ
เป็นที่รู้กันทั้งสาขาศาสตร์แห่งความตายว่าจีนรู้สึกยังไงกับแฟนนี่ แม้แต่แฟนนี่เองก็รู้ดี แต่เธอก็ไม่เคยแสดงท่าทีใด ๆ และจีนก็ไม่เคยเร่งเร้าเธอและอยากพิสูจน์ความจริงใจของเขาไปเรื่อย ๆ เเเกหกสหกสหบ เขาจึงมักพยายามส่งผ่านความรู้สึกนี้ไปในหลายรูปแบบทุกครั้งที่มีโอกาส การมองเธอด้วยสายตาเปี่ยมความหมายเป็นเวลานาน ๆ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
หานซั่วแอบสาปแช่งในใจเมื่อเห็นสายตาอันแสนเปิดเผยของจีน ในความคิดของหานซั่ว แฟนนี่เป็นของเขามาแต่ไหนแต่ไร จึงเป็นธรรมดาที่เขารู้สึกไม่พอใจเวลามีคนอื่นมาทำตัวเจ้าชู้กับเธอต่อหน้าเขา แต่ตอนนี้ เขาเป็นเพียงทาสรับใช้ และยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะแสดงพลังออกมา แม้จะคับแค้นใจ แต่เขาก็ต้องเก็บความรู้สึกไว้เงียบ ๆ
“อื้ม ไปเถอะ ข้าจะดูแลให้เอง”
แฟนนี่ยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ และเพื่อหลบสายตาอันเร่าร้อนของจีน เธอจึงหันไปมองกำแพงเมืองและพูดอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก
“ถึงจะเคยเห็นมันมาหลายครั้งแล้ว แต่ข้าก็รู้สึกภูมิใจกับประตูเมืองซาโจสกี้ทุกครั้งที่ได้มาเยือนที่นี่ เพราะประตูที่มั่นคงแข็งแรงนี้ ฝูงออร์คป่าเถื่อนจำต้องถอยร่นกลับไปทุกครั้ง เพราะไม่เคยทำอะไรกำแพงได้เลย”
หานซั่วซึ่งแบกสิ่งของมากมายจนร่างแทบจะกลืนไปกับสัมภาระ ในตอนนั้นเองที่ทุกคนกำลังหยุดอยู่นิ่ง ๆ ยกเว้นหานซั่ว เขาโน้มตัวพร้อมกับยืดเส้นสายที่ขา บิดข้อมือ และทำซ้ำไปเรื่อย ๆ ด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
“ไบรอัน ทำอะไรของเจ้าน่ะ?”
เอมี่ซึ่งยืนถัดจากหานซั่วถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นสิ่งของมากมายเคลื่อนไหวไปมาตามจังหวะการขยับร่างกายของหานซั่ว
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเอมี่พูด ก็เริ่มเบนความสนใจมาที่หานซั่ว ทุกคนต่างมองเขาด้วยสีหน้างุนงง
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกปวดนิดหน่อย ก็เลยขยับตัวไปเรื่อย ๆ จะได้บรรเทาลงน่ะ”
หานซั่วตอบเรียบ ๆ ด้วยท่าทางซื่อบื้อ
“เจ้าโง่! ระวังหน่อยสิ ของที่เจ้าถืออยู่มีค่ามากเลยนะ ถ้าบังเอิญทำมันพังขึ้นมาล่ะก็ พวกเรารับผิดชอบความเสียหายไม่ไหวหรอก ต่อให้ต้องขายเจ้าก็เถอะ”
เบลล่านิ่วหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เบลล่า เจ้านั่นแหละที่โง่ ของพวกนั้นแข็งแรงดีจะตาย แล้วมันจะพังง่าย ๆ ได้ยังไง อีกอย่าง ไม่มีใครให้เขาถือของที่มีค่ามาก ๆ หรือของที่เปราะบางแตกง่ายไว้หรอก”
ลิซ่ามองเบลล่าด้วยสายตาดูถูกและประชดกลับไป
“เจ้าสองคนนี่ทะเลาะกันอยู่เรื่อยเลย…พอได้แล้วล่ะ ยังไงเราก็ต้องเผชิญกับอันตรายอยู่แล้วไม่มากก็น้อย เวลาเราออกเดินทางเพื่อฝึกฝนในโลกภายนอกแบบนี้ พวกเจ้าควรจะสามัคคีกันเข้าไว้นะ ไม่อย่างนั้น เราคงต้องมีปัญหาไปตลอดการเดินทางแน่”
แฟนนี่ขมวดคิ้วพร้อมกับพยายามแยกทั้งสองคนออกจากกัน เมื่อเห็นลิซ่าและเบลล่าเริ่มทะเลาะกันอีก
หานซั่วเพิกเฉยต่อคำดูถูกของเบลล่าและทำท่าทางเบื่อหน่ายต่อไป การเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่ได้มาจากความทรงจำของชูชางหลาน แต่มาจากท่าเล่นกล้ามที่เขาเคยเห็นมาก่อน เพราะต้องการพัฒนาร่างกายจนบรรลุอาณาจักรพลังรูปธรรมให้ได้ หานซั่วจึงต้องฝึกฝนร่างกายในทุกวินาทีที่มีโอกาส
หลังจากนั้นไม่นาน จีนกลับมามือเปล่าพร้อมกับสีหน้าโกรธเคือง เมื่อเขาเดินไปหาแฟนนี่ เขาก็พูดอย่างโกรธแค้นว่า
“บ้าชะมัด พวกนั้นบังคับให้ข้าจ่ายเงิน!”
คิ้วโก่งงอนสวยงามของแฟนนี่ขมวดเข้าหากัน เธอพูดอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินที่จีนพูด
“วิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังของเราเป็นสถาบันผลิตนักรบ ทหาร และนักเวทย์ของจักรวรรดิ และทุก ๆ ปีที่เราอบรมสั่งสอนเหล่าผู้มีความสามารถมากมายเพื่อรับใช้จักรวรรดิ แม้แต่ทหารรักษาการณ์และนักเวทย์ที่ประจำการอยู่ในเมืองซาโจสกี้นี้หลายคนก็จบการศึกษาจากวิทยาลัยของเรา สนธิสัญญาระหว่างวิทยาลัยกับเมืองซาโจสกี้ก็มีอยู่ พวกนั้นกล้าดียังไงถึงไม่ยอมให้เรายืมม้าล่ะ?”
“ทีแรก ตอนที่ข้าบอกว่ามาจากวิทยาลัย ทหารรักษาการณ์ก็จะให้ข้ายืมม้าอยู่หรอก แต่พอข้าแสดงหลักฐานประจำตัวและรู้ว่าพวกเรามาจากสาขาศาสตร์แห่งความตายเท่านั้นแหละ พวกนั้นก็ดูถูกข้า สั่งให้ข้าจ่ายเงิน 50 เหรียญทองถ้าอยากได้ม้า ถ้าไม่จ่าย ก็ไม่ให้ พวกนั้นยังบอกอีกว่าสาขาศาสตร์แห่งความตายของเราไม่เคยผลิตผู้มีความสามารถให้กับจักรวรรดิมาก่อน จึงไม่ควรได้รับสิทธิพิเศษฟรี ๆ”
จีนโกรธจนตัวสั่นและกัดฟันพูดออกมา
เมื่อพวกนักเรียนได้ยิน ต่างอาฆาตแค้นในศัตรูคนเดียวกัน พวกเขาตะโกนโวยวายด้วยความโกรธทันที เรียกร้องให้แก้แค้นทหารรักษาการณ์พวกนั้น ราวกับว่าความรู้สึกที่ถูกเหยียดหยามนี้เป็นอะไรที่เกินรับได้ นักเรียนเหล่านี้รู้สึกแย่มากพออยู่แล้วที่อยู่ในสาขาที่ไม่ได้รับความนิยม ถึงได้พยายามข่มความโกรธมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรอีกแล้ว
“ช่างมันเถอะ เอาเงิน 50 เหรียญทองจากกองกลางไปจ่ายก็ได้ ทหารพวกนี้อยู่ที่นี่มานาน และเป็นความจริงที่สาขาของเราไม่ได้รับการยอมรับ และอยู่เป็นอันดับล่าง ๆ ของวิทยาลัย ไม่แปลกหรอกว่าทำไมพวกนั้นถึงมองไม่เห็นคุณค่าของเรา ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับคณบดีเองตอนที่เรากลับไป แต่ตอนนี้เราอย่าเพิ่งไปมีเรื่องกับพวกนั้นดีกว่า”
แฟนนี่สั่นศีรษะ เธอพยายามพูดประนีประนอมด้วยท่าทางผิดหวัง และตอบจีนกลับไป
ทีแรก จีนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่แฟนนี่พูด อ้างว่าจะปล่อยให้พวกทหารที่ยโสโอหังแบบนั้นทำตัวกร่างไปทั่วไม่ได้ แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ สั่นศีรษะเมื่อแฟนนี่อธิบายจนเขาสงบลง เขารับเงิน 50 เหรียญทองจากมือแฟนนี่ไปด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และเดินตรงไปยังด้านข้างของประตูเมือง
หานซั่วสังเกตท่าทีของบางคน และมองไปยังแฟนนี่ที่กำลังผิดหวัง เขาหันขวับไปมองกลุ่มทหารรักษาการณ์ที่อยู่ไกล ๆ พร้อมปฏิญาณในใจว่า สักวันหนึ่ง สาขาศาสตร์แห่งความตายจะทวงคืนเกียรติยศเมื่อครั้งอดีตกลับมาด้วยมือของตัวเขาเอง จนคนพวกนั้นต้องตัวสั่นงันงกทุกครั้งที่ได้ยินชื่อผู้ใช้ความตายเลยทีเดียว
“อย่าเศร้าไปเลย ตอนที่สาขาศาสตร์แห่งความตายอยู่บนจุดสูงสุด ก็ไม่เคยมีใครกล้าดูถูกเราสักคน เพียงเพราะศาสตร์แห่งความตายของเราได้รับผลกระทบจากการสมรู้ร่วมคิดของสาขาอื่น ๆ ก็เท่านั้นเอง ตำนานเล่าว่า ในสงครามมหาเวทย์ครั้งหนึ่ง เราต้องสูญเสียจอมเวทย์ผู้ใช้ความตายไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทำให้ต้องสูญเสียเวทมนตร์ที่ทรงพลังเหนือจินตนาการไปมากมายเช่นกัน ก็เลยเป็นสาเหตุให้สาขาศาสตร์แห่งความตายตกต่ำลง
การเดินทางสู่ป่าทมิฬของเราครั้งนี้น่ะ เป็นการค้นหา สุสานแห่งความตาย ที่ข้าเคยได้ยินมา ว่ากันว่าเคยมีนักเวทย์ผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่ง ได้ศึกษาศาสตร์แห่งความตายมานานหลายปี และอาศัยอยู่ที่สุสานแห่งความตายนั้น ถ้าเราเจอสุสาน และหาคัมภีร์เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายเจอล่ะก็ บางทีเราอาจจะพลิกสถานการณ์ที่สาขาศาสตร์แห่งความตายกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ก็ได้นะจ๊ะ”
แฟนนี่พูดให้กำลังใจเมื่อเห็นนักเรียนต่างพากันสลดหดหู่
นักเรียนหลายคนมีกำลังใจมากขึ้นเมื่อได้ยินแฟนนี่พูด พร้อมกับสีหน้าร่าเริงระคนประหลาดใจ และพร้อมทุ่มเทอย่างสุดกำลังในการเดินทางสู่โลกภายนอกในครั้งนี้
เมื่อเห็นความกระตือรือร้นในสีหน้าของนักเรียนทุกคน แฟนนี่ก็แอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลางคิดในใจว่า “ถึงแม้จะมีข่าวลือออกมาว่ามีการค้นพบสุสานนั่นแล้ว และคนที่ค้นพบกลับเสียชีวิตลงหลังจากออกมาจากที่แห่งนั้นได้เพียงไม่นานก็เถอะ”
ป่าทมิฬนั้นกว้างใหญ่ไพศาล การค้นหาบางสิ่งบางอย่างในนั้นอาจเทียบได้กับการมองหาเข็มในกองฟาง แม้แต่แฟนนี่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก อีกอย่าง หากสถานที่แห่งนั้นถูกค้นพบจริง ต้องดึงดูดเหล่านักผจญภัยจำนวนมากแน่ ๆ และอาจยากเกินจินตนาการที่จะคิดว่า พลังของคนเพียง 12 คนจะสามารถนำสิ่งที่พวกเค้าต้องการกลับคืนมาได้อย่างไร
แฟนนี่จึงหวังได้เพียงว่าคำพูดของเธอจะทำให้ทุกคนสบายใจขึ้นได้บ้าง เพราะจุดประสงค์หลักของการเดินทางในครั้งนี้ คือทดสอบความสามารถด้านศาสตร์แห่งความตาย และช่วยให้พวกนักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ในโลกภายนอกอย่างแท้จริง
“เอ๋? นั่นพวกนักเรียนจากสาขาศาสตร์แห่งความตายไม่ใช่เหรอ? มาผจญภัยกับเขาด้วยรึไง? ฮะฮะฮะ แล้วมายืนทำอะไรกันตรงนี้ล่ะ?”
เสียงหวาน ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกล ๆ ขณะที่นักเรียนศาสตร์แห่งความตายกำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง
ไอรีน นักเรียนจากสาขาเวทมนตร์ธาตุแสง พร้อมกับอาจารย์ และนักเรียนจำนวนหนึ่งจากสาขาเดียวกัน พร้อมกับคล็อด ผู้ติดตามที่กระตือรือร้น ทุกคนขี่อยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ และกำลังควบใกล้เข้ามาจากระยะไกล
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ระวังอย่าเผลอตกจากหลังม้าก็แล้วกัน”
ลิซ่ามองไอรีนด้วยสายตาดูถูกพร้อมกับยิ้มเยาะ
“ฮึฮึฮึ พวกเจ้ายืมม้าไม่ได้เลยสักตัวใช่มั้ยล่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ สาขาศาสตร์แห่งความตายของพวกเจ้าไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับจักรวรรดิเลยนี่นา ถ้าคิดจะมาใช้ทรัพยากรของจักรวรรดิโดยไม่จ่ายเงินเลยสักแดงก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควรอยู่แล้ว”
ไอรีนหัวเราะเบา ๆ อย่างมีสเน่ห์ ทว่าท่าทีงดงามของเธอกลับเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
แม้ลิซ่าและคนอื่น ๆ จะโกรธจนเดือด แต่ก็ไม่สามารถหาคำใดมาสวนสิ่งที่ไอรีนพูดกลับไป เพราะมันคือความจริง พวกเขาจึงได้แต่กัดฟันทนและเดือดพล่านอยู่ในใจ
“สวัสดีครับ อาจารย์แฟนนี่”
บีชเชอร์ นักเวทย์ธาตุแสงระดับสูงบนหลังม้าทักทายแฟนนี่ด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดี บีชเชอร์ เจ้าก็กำลังไปผจญภัยในป่าทมิฬเหมือนกันเหรอ?”
แฟนนี่ยิ้มตอบ และถามเสียงแผ่วเบา
“ใช่ครับ เราวางแผนว่าจะท่องไปในป่าทมิฬเพื่อออกล่าสัตว์วิเศษที่เข้ามารุกรานหมู่บ้านต่าง ๆ รอบนอกเขตป่าน่ะ จะได้ทดสอบความสามารถในการใช้เวทมนตร์ของพวกเขาและตอบแทนจักรวรรดิไปด้วย เอาล่ะ พวกเราคงต้องขอตัวก่อน แล้วเจอกันนะครับ”
บีชเชอร์ตอบอย่างสุภาพ แต่หานซั่วรับรู้ได้ถึงความดูแคลนในสายตาของเขา ราวกับกำลังเย้ยหยันกลุ่มของสาขาศาสตร์แห่งความตาย
ในที่สุด จีนก็หาม้ามาได้ทั้งหมด 6 ตัว หลังจากที่บีชเชอร์และสาขาเวทมนตร์ธาตุแสงคนอื่น ๆ ควบออกไปบนหลังม้าตัวใหญ่ ม้าที่จีนได้มากลับดูต่างจากม้าของสาขาเวทมนตร์ธาตุแสงอย่างสิ้นเชิง ทั้งด้านกายภาพและจำนวน ดูเหมือนว่า แม้จะต้องจ่ายเงินถึง 50 เหรียญทอง สาขาศาสตร์แห่งความตายก็ยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมอยู่ดี
ในขณะที่สาขาศาสตร์แห่งความตายมีด้วยกันทั้งหมด 12 คน แต่มีม้าเพียง 6 ตัว ดังนั้น จึงต้องแบ่งเป็นคน 2 คน ต่อม้า 1 ตัว พวกนักเรียนมองหน้ากันไปมาและเริ่มจับคู่อย่างรวดเร็ว เหลือเพียงหานซั่ว แฟนนี่ จีน และบาค ที่ยังไม่ได้จับคู่
“บาค เจ้ากับไบรอันขี่ม้าไปด้วยกันนะ ข้าจะไปกับอาจารย์แฟนนี่เอง”
สายตาของจีนเป็นประกายขึ้นทันที พร้อมกับดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อพบโอกาสแสนเป็นใจ และส่งยิ้มอย่างมีความสุขให้บาค
“ไม่มีทาง! ข้าไม่มีวันขี่ม้าไปกับทาสรับใช้สกปรกโสโครกอย่างเจ้านี่เด็ดขาด!”
บาคซึ่งยังแค้นหานซั่วไม่หาย รีบค้านออกมาด้วยความไม่พอใจ
ทุกคนรู้ว่าจีนคิดอะไรอยู่ เพราะนี่ถือว่าเป็นโอกาสทองที่จะได้ใกล้ชิดกับแฟนนี่ เขากำลังจะตอบเสียงตะโกนบาคอยู่แล้ว แต่แฟนนี่ยิ้มขึ้นทันทีและพูดว่า
“ถ้าบาคไม่เต็มใจล่ะก็ งั้นข้าจะขี่ไปกับไบรอันเอง”
“ฮะ ๆ ๆ ขอบคุณครับอาจารย์แฟนนี่ ข้ามาแล้ว!”
หานซั่ว โลดเต้นอย่างดีใจต่อหน้าจีน และเดินตัวลอยไปเข้าไปหาแฟนนี่ด้วยความรวดเร็ว
…………………………………ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>>
(0 votes) 0/10