เป็นเวลาประมาณเที่ยงคืน
หานซั่วและฟีบี้หนีออกไป พอดีกับตอนที่โกรเวอร์พาทหารยามของสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์กลุ่มใหญ่บุกเข้ามาในห้อง
“ใครกัน? ใครเป็นคนทำ
ข้าทุ่มเหรียญทองไปกับทหารยามอย่างพวกเจ้าตั้งมากมาย เสียเปล่าจริง
ๆ ไม่มีใครเห็นเลยรึไงว่ามีนักฆ่าลักลอบเข้ามา
แล้วถ้าเป้าหมายของพวกมันเป็นข้า
ศพที่นอนกองอยู่บนพื้นนั่นคงไม่ใช่เจ้าสองคนนี่หรอก!!!
”
โกรเวอร์ตวาดเสียงดังใส่กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของเขาทันทีเมื่อเข้ามาในห้อง
“
นายท่านโกรเวอร์
ฝีมือของนักฆ่าคนนี้เก่งกาจนัก
เขาหลบเลี่ยงการตรวจจับของเวทย์กำแพงลมของข้าได้
แถมยังสังหารทั้งดาร์เนลล์และยูนาในระยะเวลาอันสั้น
เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าความแข็งแกร่งของนักฆ่าคนนี้อยู่เหนือจินตนาการของพวกเราไปมากทีเดียวครับ
”
นักเวทย์ผมยาวคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
หลังจากมองสำรวจไปรอบ
ๆ
ห้อง
โกรเวอร์ถอนหายใจเบา
ๆ
ก่อนจะมองไปที่นักเวทย์ผมยาวคนนั้น
และพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“
ขอโทษนะ
เอลลิส
ข้าโมโหมากไปหน่อย
”
แต่ทว่า
นักเวทย์ธาตุลม
เอลลิส
ยังคงไม่แสดงสีหน้าใด
ๆ
เขามองไปยังศพของดาร์เนลล์ด้วยท่าทางประหลาดใจ
“
หืม…?
”
เขาเดินเข้าไปหาศพ
และสังเกตว่านิ้วมือซ้ายหายไปนิ้วหนึ่ง
พลางร้องอุทานด้วยความสงสัย
“
นิ้วกลางข้างซ้ายที่ดาร์เนลล์สวมแหวนมิติถูกหั่นออกไป
เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย ?
”
“
ไม่ใช่แค่ดาร์เนลล์นะ
ยูนาเองก็โดนเหมือนกัน
เป็นไปได้ว่าเจ้านั่นฆ่าทั้งสองคนนี้เพื่อชิงทรัพย์รึเปล่า
?”
โกรเวอร์ถามด้วยความสับสน
หลังจากที่ได้ยินเอลลิสพูด
“
เป็นไปไม่ได้หรอกครับ
”
เอลลิสปฏิเสธอย่างเฉียบขาด
พลางมองไปรอบ
ๆ
และอธิบาย
“
ถ้าเขาฆ่าเพราะต้องการทรัพย์สินจริง
ๆ
ก็คงไม่เลือกปล้นสองคนนี้แน่
เพราะเมื่ออยู่ด้วยกัน ฝีมือของพวกเขานับว่ารับมือยากที่สุดเลยก็ว่าได้ ยังไม่รวมถึงของมีค่ามากมายที่อยู่ในสมาคมนี้อีก ถ้าหวังของมีค่าอย่างเดียว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหาเรื่องประมือกับสองคนนี้หรอกครับ และถ้าดูจากความสามารถของนักฆ่าที่ข้าประเมินได้ เจ้านั่นอาจจะได้อะไรจากสมาคมไปมากกว่านี้ โดยที่พวกเราเองก็คาดไม่ถึงก็เป็นได้”
โกรเวอร์ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้าเชิงเห็นด้วย และพูดพร้อมสีหน้าที่เข้มขึ้นด้วยความโกรธ
“ถ้าไม่ได้ฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ งั้นก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฟีบี้หลานรักของข้าเองสินะ อาจเป็นเพราะเริ่มรับไม่ได้หลังจากที่ต้องอดทนต่ออะไรหลาย ๆ อย่างมานาน”
“เห็นด้วยครับ ฟีบี้ต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ ดาร์เนลล์และยูนาเองก็เคยลอบฆ่าเธอมาแล้วหนหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องล่าถอยไปเสียก่อน แต่ข้ารู้สึกว่าฟีบี้ต้องรู้แน่ ๆ ว่าเป็นฝีมือของสองคนนั้น…
อีกอย่าง สายตาที่ดาร์เนลล์มองฟีบี้ก็เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ขนาดข้าที่เป็นคนนอกก็มองออกได้ไม่ยาก เพราะฟีบี้เองก็มีส่วนเกี่ยวข้องและยังเป็นคนที่รู้จักทุกอย่างเป็นอย่างดี ในเมื่อพวกเรายังปลอดภัย และสองคนนี้คือคนที่ต้องมาตายแทน ก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้แล้วล่ะครับ เว้นเพียงแต่ว่า เจ้านักฆ่านี่ค่อนข้างละโมบโลภมากทีเดียว แม้จะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ ยังไม่ลืมที่จะขโมยแหวนมิติกลับไปด้วย คนรอบข้างของฟีบี้มีคนประเภทนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เอลลิสนิ่วหน้าและพูดอย่างเชื่องช้า ขณะคิดหาเหตุผลวกไปวนมาในหัว
โกรเวอร์สะดุ้งและนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาเข้มขึ้นเรื่อย ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้ารู้แล้วล่ะ…ว่าเป็นใคร
ต้องเป็นเจ้า “ไบรอัน” ที่สังหารนักฆ่า “ปีศาจเงา”
ไปถึง 3 คนเมื่อคราวก่อนแน่ ๆ ข้าได้ยินจากพวกทหารยามมาว่าเจ้านั่นมาเจรจาธุรกิจกับเฟเบียนเพราะต้องการเงิน ถ้าเจ้านั่นแข็งแกร่งถึงขนาดปลิดชีพนักดาบระดับสูงได้ถึง 3 คนด้วยลำพังตัวเองคนเดียว แสดงว่าต้องแข็งแกร่งพอที่จะฆ่าทั้งดาร์เนลล์และยูนาได้แน่
บ้าจริง ฟีบี้ไปหาเจ้าเด็กนี่มาจากไหนกันนะ ข้าไม่รู้ว่าเธอซ่อนเขาไว้ที่ไหนเสียด้วยสิ เพราะไม่ได้คอยอยู่ข้างกายฟีบี้ตั้งแต่ที่ออกจากสมาคมไปคราวก่อน ข้าเคยส่งคนไปสืบหาที่อยู่ของมัน แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย ยากพอควรทีเดียวเชียวล่ะ”
เอลลิสพยักหน้ารับ พร้อมสรุปความ
“งั้นก็น่าจะใช่เขาจริง ๆ นั่นล่ะครับ และพวกเราก็ต้องกำจัดคน ๆ นี้ให้ได้ก่อน ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ไม่งั้นเป้าหมายการลอบสังหารครั้งต่อไปอาจเป็นพวกเราก็ได้”
“ตกลง กระจายคำสั่งของข้าออกไป ตอนนี้อย่าเพิ่งฆ่าฟีบี้ แต่ให้ทุกคนทุ่มเทสุดกำลัง หาตัวเจ้าคน
ๆ นี้มาให้ได้ มันทำลายแผนของข้ามาสองครั้งแล้ว ข้าจะทำให้มันมีชีวิตอยู่เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นเลยทีเดียวเชียว
!
”
โกรเวอร์พูดด้วยสีหน้ามุ่งร้ายและเย็นชา
็เดด
ในตอนนั้นเอง หานซั่วซึ่งถูกโกรเวอร์เกลียดเข้ากระดูกดำไปเรียบร้อยแล้ว กำลังพาฟีบี้หนีไปให้ห่างจากสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ และมุ่งหน้าสู่แหล่งกบดานของฟีบี้ในพื้นที่ทางตอนเหนือของเมือง
มีอะไรแปลก ๆ บางอย่างเกิดขึ้นกับฟีบี้ และดูเหมือนเธอจะควบคุมตนเองไม่ได้ ร่างของเธอเฉื่อยชาและร้อนเมื่อสัมผัส หานซั่วลากเธอไปอย่างเร่งรีบเพื่อทิ้งห่างระยะทาง ทั้งสองคนสวมชุดอำพรางกายสีดำและแฝงกายในความมืดขณะลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ จนหลบเลี่ยงการถูกพบเห็นได้อย่างสมบูรณ์
แต่เมื่อเข้าใกล้เขตทางตอนเหนือของเมือง ทหารรักษาการณ์ประจำเมืองก็ปรากฏให้เห็นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หานซั่วจำเป็นต้องคอยหลบเลี่ยงและซ่อนตัวอยู่เนือง ๆ และฟีบี้ซึ่งถูกหานซั่วลากไปลากมาและเคยวิ่งตามหลังเขาได้เป็นอย่างดี ในตอนนี้ จู่ ๆ ฝีเท้าเธอก็ช้าจนดึงรั้งหานซั่วไว้ และร่างกายของเธอก็ร้อนขึ้นทุกที ๆ
เมื่อไม่มีทางเลือก หานซั่วก็อุ้มร่างของเธอแบกขึ้นหลัง โดยไม่สนใจว่าเธอจะยอมหรือไม่ แต่ดูจากสถานการณ์ที่ต้องหลบเลี่ยงความสนใจจากพวกทหารรักษาการณ์ที่เดินเกลื่อนอยู่เต็มเมืองแล้ว หานซั่วก็ล้มเลิกความคิดที่จะพาฟีบี้กลับไปยังแหล่งกบดาน แต่พาเธอไปยังวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนแทน
เพราะที่แห่งนั้น คือสถานที่
ๆ เงียบที่สุดเท่าที่เขารู้จัก และไม่มีทหารเข้าไปเดินป้วนเปี้ยนในนั้น ที่นี่จึงเป็นสถานที่แรกที่เขานึกถึงในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้
เมื่อหานซั่วใช้เส้นทางอ้อมเขตพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองพร้อมแบกฟีบี้ไว้บนหลัง เขาวิ่งผ่านถนนแคบ ๆ เพื่อตรงไปยังเส้นทางเดินในป่า… ทันใดนั้น
เขาก็รู้สึกว่าฟีบี้กำลังฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตนเอง และมือทั้งสองข้างของเธอก็ลูบไล้ไปทั่วร่างกายของหานซั่ว
หานซั่วตกตะลึงและหยุดในทันที แม้จะพยายามสงบสติอารมณ์แล้ว หานซั่วก็รู้สึกได้ถึงหน้าอกกลมกลึงของฟีบี้กำลังแนบแน่นไปกับแผ่นหลังแข็งแรงของหานซั่ว จนเขารับสัมผัสอันน่ามหัศจรรย์ของยอดอกคู่นั้นได้อย่างชัดเจน ราวกับมีเปลวไฟพุ่งพล่านขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ภายในอกของเขา และมือนิ่มนวลของฟีบี้ก็ลูบไล้ไปตามหน้าอกของหานซั่วโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เมื่อได้รับแรงกระตุ้นต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
เขาเหวี่ยงตัวฟีบี้จากหลังของเขา เพื่อมาอุ้มเรือนร่างแสนวิเศษนั้นไว้ด้วยทั้สองมือ ก่อนจะวางเธอลงและผลักร่างนั้นจนแนบกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ …สองมือของเขาเริ่มเคลื่อนไปนวดคลึงพื้นที่ต้องห้ามบนเรือนร่างของฟีบี้
แม้จะมีชุดดำรัดรูปบดบังเอาไว้ แต่หานซั่วก็สามารถสัมผัสความน่ามหัศจรรย์บนเรือนร่างของเธอ หน้าอกกลมกลึงข้างหนึ่งของฟีบี้กระเพื่อมไปตามจังหวะแรงมือของหานซั่ว ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งของเขาก็ลูบไล้ไปตามท่อนขาเรียวยาวและบีบรัดก้นกลมแน่นของเธอ สัมผัสที่แสนวิเศษเหล่านี้เองที่กำลังเร้าให้หานซั่วปรารถนาที่จะถลำตัวลึกลงไปให้มากขึ้นอีก
ตอนนั้นเอง ฟีบี้ถอดหน้ากากของเธอออก เผยให้เห็นดวงตาสดใสที่กำลังรื้นไปด้วยแรงปรารถนาอันเย้ายวนใจ ใบหน้างดงามจนน่าตื่นตะลึงของเธอกำลังร้อนผ่าว พร้อมด้วยสีหน้าที่ชายใดได้มาเห็นล้วนรู้สึกราวกับใจหล่นหาย กลิ่นหอมจาง
ๆ บางอย่างลอยฟุ้งออกมาจากลมหายใจของเธอ ทำให้หัวใจของหานซั่วเต้นระรัวราวกับม้าที่ควบอย่างบ้าคลั่ง และแทบจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะในการควบคุมตนเองอย่างสิ้นเชิง
แล้วมือขวาของหานซั่วก็ปลดชุดดำอำพรางตัวของฟีบี้ออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวบริสุทธิ์ ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานเต็มที่เบื้องหน้าหานซั่ว พร้อมจุดอัศจรรย์สีชมพูเหนือยอดอกงดงามคู่นั้น
นอกจากจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว เขาก็ควบคุมแรงของมือขวาไม่ได้เช่นกัน
“อ๊า…”
ในตอนนั้นเอง เสียงร้องอย่างหมดแรงก็ดังจากปากเล็ก ๆ น่ารักของฟีบี้ คิ้วของเธอขมวดน้อย ๆ เพราะความเจ็บตรงหน้าอก แต่แล้วก็ถอนใจอย่างแผ่วเบาเพราะแรงบีบที่คลายลง
จู่
ๆ เขาก็ถูกความสงบเยือกเย็นของตัวเองโจมตีจากภายในจิตใจ ทำให้เขาคืนสติได้อีกครั้ง เมื่อเขาเพ่งมองฟีบี้ ก็นึกได้ทันทีว่าก่อนหน้านี้ ตัวเขาเองก็สูดหายใจเอากลิ่นแปลก ๆ บางอย่างเข้าไปเช่นกัน และรู้ว่าฟีบี้กำลังตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ยากระตุ้นกำหนัด ที่ส่งผลข้างเคียงทำให้เขาสูญเสียสติเชิงเหตุผลเพราะสูดเอาพิษตัวเดียวกันเข้าไป
ในหัวของเขาหมุนติ้ว หลังจากพยายามคิดอย่างถี่ถ้วนถึงผลดีผลเสียที่จะตามมาด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เขาก็อุ้มฟีบี้ไว้ในอ้อมแขน และวิ่งพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความโมโห
หานซั่วคุ้นเคยกับพื้นที่ในบริเวณนั้นเป็นอย่างดี และไม่นานนัก
เขาก็รมาถึงลำห้วยคดเคี้ยวแห่งหนึ่ง ลำห้วยนั้นค่อนข้างแคบ และเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าน้ำจะไหลไปสิ้นสุด ณ ที่แห่งใด เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าท้องน้ำตื้นมาก เพราะเคยผ่านบริเวณนี้มาหลายครั้ง
ทันทีที่เขามาถึง ก็เดินย่ำลงใปในน้ำทันทีโดยที่ยังอุ้มฟีบี้เอาไว้ ช่วงเวลานั้นใกล้เข้าสู่หน้าหนาวเต็มที สภาพอากาศจึงหนาวจัด จนน้ำในลำห้วยเริ่มจะกลายเป็นน้ำแข็งในเวลากลางคืน หานซั่วราดน้ำรดหัวเธอเบา ๆ จนฟีบี้จามออกมา
ส่วนหานซั่วเอวก็ถึงกับจุ่มหัวตัวเองลงไปในน้ำตรง ๆ เมื่อน้ำที่เย็นยะเยือกราวน้ำแข็งทำให้ทั่วทั้งหัวของเขารู้สึกชา อารมณ์พุ่งพล่านก่อนหน้านี้ก็เริ่มมอดดับ และปฏิกิริยาทุกส่วนในร่างกายก็กลับคืนสู่ความสงบได้อีกครั้ง
“ฮัดชิ้วววว… ฮัดชิ้วววว…”
หลังจากฟีบี้จามไปสองถึงสามครั้ง สติของเธอก็ค่อย ๆ คืนสู่ภาวะปกติเพราะความเย็นเยียบของน้ำในลำห้วย เธอพ่นน้ำเย็น
ๆ ในปากออกมา สีแดงระเรื่อบนแก้มทั้งสองข้างค่อย ๆ จางหายไป และดวงตาที่เคยฉ่ำเยิ้มก็กลายเป็นปกติอีกครั้ง
“ที่นี่ที่ไหนกัน? แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ฮัดชิ้วววว
!
”
ฟีบี้มองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน และตอนที่เธอก้มหน้าลงเพื่อจาม เธอก็เห็นทันทีว่าหน้าอกทั้งสองข้างของเธอกำลังเปลือยเปล่าท่ามกลางอากาศยามกลางคืน หน้าอกที่ขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ พร้อมจุดกลมสีชมพูสองจุดเหนือยอดอกคู่นั้นส่งผลต่อฟีบี้อย่างมหาศาล
เพียะ
!
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ใบหน้าของหานซั่วก็สั่นสะเพือนเพราะแรงตบ
สีหน้าของฟีบี้เต็มไปด้วยความโกรธอย่างบ้าคลั่งถึงขีดสุด เธอกรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงใส่หานซั่ว
“คนโรคจิต ท่านทำอะไรข้า?”
ในตอนนั้น หานซั่วรู้สึกผิดต่อฟีบี้จากใจจริง เขาตะกุกตะกัก
และพูดอะไรไม่ออก ขณะที่มองไปยังเด็กผู้หญิงที่เริ่มจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เมื่อฟีบี้เห็นท่าทีของหานซั่วแล้ว เธอก็ระเบิดร้องไห้เสียงดังออกมาทันที สูญเสียท่าทีเย่อหยิ่ง เย็นชา
และสงบเสงี่ยมตามปกติแบบที่เธอเคยเป็นโดยสิ้นเชิง เธอคิดอะไรไม่ออก และเริ่มใช้ทั้งกำปั้นและเท้าทุบตีต่อยเตะหานซั่วทุกวิถีทางที่ทำได้จนเปียกโชกกันไปหมด
เพราะฟีบี้ช็อกมาก จนลืมแม้กระทั่งตัวเองซึ่งเป็นถึงจอมดาบ เธอเสียขวัญจนเล่นงานหานซั่วด้วยวิธีแสนปกติธรรมดาของผู้หญิงทั่วไปที่กำลังโกรธ โดยไม่ใช้ออร่าต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
แต่หากฟีบี้ใช้ออร่าต่อสู้ขึ้นมาล่ะก็ ด้วยความแข็งแกร่งระดับจอมดาบของเธอในตอนนี้ แม้หานซั่วจะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนเวทมนตร์มาในระดับหนึ่ง ก็สามารถทำให้เขาถึงกับบาดเจ็บสาหัสได้เลยทีเดียว และแม้ว่าการทุบตีของเธอจะรัวใส่เขาไม่หยุด ด้วยร่างกายที่แข็งแรงมากกว่าคนปกติ เขาก็รู้สึกเพียงแรงสัมผัสที่ไม่แม้แต่จะเรียกว่าเจ็บ
หานซั่วทนรับการระบายอารมณ์ของฟีบี้ด้วยสีหน้าขมขื่น จนหมัดของเธอเริ่มอ่อนแรงลงเพราะความเหนื่อย หานซั่วหัวเราะเบา ๆ
“พวกเราทั้งคู่โดนฤทธิ์ยากระตุ้นกำหนัดเข้าไปน่ะ แต่ร่างกายของท่านยังปราศจากมลทินเหมือนเดิมนะครับ”
ฟีบี้คืนสติได้ทันทีหลังจากฟังที่หานซั่วพูด เธอชะงักหมัดทั้งคู่เอาไว้ และกำลังยืนอยู่ตรงหน้าหานซั่วในระยะห่างไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน เธอมองหานซั่วด้วยสายตาขุ่นเคือง ราวกับกลัวที่จะต้องรับเรื่องน่าตกใจเรื่องอื่นไว้อีก ก่อนจะถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“จริงเหรอ? ท่านไม่ได้ทำอะไรข้าจริง ๆ นะ?”
หานซั่วพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น เขาชูมือขวาขึ้นอย่างยอมจำนน และให้คำมั่นกับเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าสาบานครับ ว่าข้าไม่ได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมกับท่านแม้แต่น้อยเลย”
ความรู้สึกยินดีเพราะโล่งอกปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามที่รื้นไปด้วยน้ำตาของเธอ เธอกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เมื่อเห็นหน้าอกเปลือยเปล่าของตัวเอง ก็รีบดึงชุดดำอำพรางตัวขึ้นมาใส่ตามเดิมทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองหานซั่วตาเขม็ง
พร้อมเสียงคำรามแผ่วเบาที่ลอดผ่านฟันที่ขบแน่นด้วยความโกรธ
“งั้นท่านอธิบายมาสิ ว่าทำไมเสื้อผ้าด้านหน้าของข้าถึงฉีกขาดแบบนี้?”
หานซั่วยักไหล่ และพูดอย่างใสซื่อ
“ข้าไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ? ก็ท่านเองนั่นแหละ ที่ขาดสติและเริ่มฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเองก่อน ข้าเองก็ควบคุมสติจนแทบคลั่ง กว่าจะดั้นด้นพาท่านมาถึงที่นี่ เพราะคิดว่าน้ำเย็น ๆ น่าจะช่วยทำให้ท่านคืนสติได้ ข้าเองก็เป็นสุภาพบุรุษที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะครับ อย่าเข้าใจข้าผิดแบบนั้นสิ”
“ช่างหัวเกียรติ ช่างหัวศักดิ์ศรีสุภาพบุรุษบ้าบอของท่านสิ
!
คนเลวทราม
ไร้ยางอาย จอมฉวยโอกาส
!
ครั้งก่อนท่านก็จับมือข้า กอดข้า
ไม่เคยขอโทษข้าสักคำ แถมยังไม่ขอโทษตอนฉวยโอกาสกับข้าที่รอยแยกในภูเขาจำลองของสมาคมนั่นอีก ครั้งนี้ท่านล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว ข้าจะเล่นงานท่านไปจนถึงชั้นล่างสุดของแดนนรกเลย คอยดูเถอะ
!
”
สีหน้าของฟีบี้เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ท่าทีคุกคามของเธอไล่ต้อนเขาไปเรื่อย ๆ และเริ่มปล่อยออร่าต่อสู้ออกมาจนหานซั่วสัมผัสได้
หานซั่วสะดุ้งทันทีและคิดว่าฟีบี้อาจจะรู้ตัวและจำได้ว่าเสื้อด้านหน้าของเธอถูกปลดโดยมือทั้งสองข้างของเขาเอง จึงรีบหนีและกระโดดไปยังอีกฝั่งของลำห้วย พลางพูดยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง
“ท่านฟีบี้ ฟังข้าก่อนครับ ข้าเองก็สูดเอากลิ่นของยากระตุ้นกำหนัดเข้าไปเหมือนกัน มันทำให้ข้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทันทีที่ข้าได้สติ ข้าก็รีบพาท่านมาที่ลำห้วยนี้ไง ดินฟ้าเป็นพยานเลย ข้าไม่ได้ฉวยโอกาสกับร่างกายท่านจริง ๆ นะครับ
ตอนที่ท่านตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ยาแล้วลูบคลำข้าไปทั้งตัว ท่านก็ฉวยโอกาสกับข้าเหมือนกันนี่ นอกจากท่านแล้ว ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนแตะต้องข้าแบบนั้นมาก่อนเลยนะครับ ข้ายังบริสุทธิ์อยู่เหมือนกัน ข้าโดนท่านทำมิดีมิร้ายจนเป็นแผลลึกในจิตใจแล้วเนี่ย ข้าเองก็เสียหายไม่ต่างอะไรกับท่านนะ เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราเสมอกันได้มั้ยครับ อย่าทำให้มันยุ่งยากไปกว่านี้เลย…”
เมื่อหานซั่วหนีจนเปียกปอนไปทั้งตัว คำพูดทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมาจากปาก เหมือนตอนที่เขาเคยพรั่งพรูใส่ชูชางหลานอย่างคนเสียสติเมื่อครั้งที่โดนพาตัวไปยังดวงจันทร์ เว้นเพียงแต่ว่าเมื่อครั้งนั้นเป็นการก่นด่าและดูถูก ในขณะที่ครั้งนี้พรั่งพรูเพื่ออธิบาย
“หุบปาก วายร้ายใจบาปจอมเห็นแก่ตัวอย่างท่านสมควรเวียนว่ายตายเกิดอีกเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ข้าไม่เชื่ออะไรที่ท่านพูดทั้งนั้น
!
”
เสื้อผ้าเนื้อบางเบาของฟีบี้เปียกชุ่ม และผมเปียก
ๆ ของเธอก็ดูน่ายั่วยวนใจไปอีกแบบ แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวพร้อมดาบในมือดูโหดร้ายน่ากลัวยิ่งกว่า
“ช่างเถอะ คิดซะว่าข้ามันโชคร้ายเองก็แล้วกัน ขอตัวล่ะ
แล้วข้าค่อยกลับมารับเหล็กไหลตอนที่ท่านสงบสติอารมณ์ได้ดีกว่านี้ ลาก่อนครับ”
หานซั่วรู้ดีว่าคุยกับฟีบี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้หญิงที่โกรธจนขาดสติก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์วิเศษที่น่ากลัวน่าสยดสยองที่สุดในโลก ยังไม่รวมเรื่องที่เธอเป็นถึงจอมดาบ อันตรายในเหตุการณ์แบบนี้ หานซั่วเปรียบเทียบการเผชิญหน้ากับสุดยอดสัตว์วิเศษอย่างมังกรเลยทีเดียว
เขาถอนหายใจ พลางนึกในใจว่าทำไมเขาถึงโชคร้ายขนาดนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะชะลอฝีเท้าลง แต่พุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วเพื่อไปยังสุสาน จนค่อย
ๆ ทิ้งห่างฟีบี้ผู้ซึ่งไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ไว้เบื้องหลัง
———————————-