“หุบปากนะ!
อย่ามากล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐานแบบนี้!
ข้ารักพี่ชายของข้า ข้าจะไปฆ่าเขาเพื่ออะไร? หลานรัก
ข้าเสียใจแทนเจ้าจริง ๆ ที่ต้องมาเจอคนรักที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้!
”
สีหน้าของโกรเวอร์เปลี่ยนไปทันที เขาใช้มือทุบโต๊ะเสียงดังลั่นและลุกขึ้นยืน พลางคำรามอย่างกราดเกรี้ยว
หานซั่วทำท่าทางตามปกติเหมือนอย่างเคย เขาหัวเราะเบา
ๆ และพูดอย่างไม่ใยดี
“ทุกท่านในที่นี้รู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว ฟีบี้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของอดีตหัวหน้าสมาคม และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะสืบทอดตำแหน่ง คิดว่าหากเธอถูกลอบสังหาร ใครจะเป็นผู้ได้รับผลกระโยชน์กันล่ะครับ?”
“เมื่อไหร่กันที่คนนอกมีสิทธิ์มีเสียงออกความเห็นเรื่องภายในสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์? ฟีบี้ หลานควรเอาคนนอกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างเจ้านี่ไปเก็บไกล ๆ เลยจะดีกว่านะ”
โกรเวอร์จ้องมองหานซั่วด้วยแววตาดุร้าย และหันไปพูดกับฟีบี้
ในตอนนั้น
ฟีบี้มีท่าทีสงบลงหลังจากที่ตื่นตกใจไปก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนหน้านี้เธอปิดบังตัวตนและพยายามสุภาพกับโกรเวอร์มาโดยตลอด แต่อยู่ดี
ๆ หานซั่วกลับประกาศตนเป็นปฏิปักษ์โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นตั้งแต่เริ่มงาน
จนทำให้แผนของเธอปั่นป่วนไปหมด เธอจึงทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม
ขณะที่หานซั่วและโกรเวอร์กำลังปะทะคารมกันอยู่ ฟีบี้ก็รู้สึกว่าการกระทำของหานซั่วทั้งเถรตรงและเด็ดเดี่ยว และเพราะเขา
ตัวตนของเธอถึงได้ปรากฏแก่สายตาของเหล่าผู้อาวุโสรุ่นก่อตั้งอย่างชัดเจน และแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่ไม่ยอมแม้แต่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อจุดยืนของตัวเอง
เว้นเพียงแต่ว่า หากประเมินถึงผลดีและผลเสียแล้ว ในเมื่อหานซั่วแสดงท่าทีออกไปอย่างชัดเจน ฟีบี้ก็ไม่มีทางที่จะกู้สถานการณ์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมตามแผนได้ แม้ว่าจะต้องการเพียงใดก็ตาม ทันทีที่โกรเวอร์พูดจบประโยค ฟีบี้ก็พูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ
“ท่านอาคะ
ข้าเชื่อว่าข้ามีคุณสมบัติ และคู่ควรกับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมค่ะ”
“ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้ ข้าจะใช้ชีวิตอยู่นอกสมาคมมาโดยตลอด แต่ท่านพ่อก็ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจในการพร่ำสอนข้า และความรู้ที่ข้าได้รับนั้นก็สามารถนำมาบริหารจัดการสมาคมได้อย่างแน่นอน ท่านพ่อเตรียมการเรื่องทั้งหมดนี้ไว้อย่างดี ข้าหวังว่าท่านอาจะให้การสนับสนุนข้า และสั่งสอนข้าหากข้าบกพร่องในเรื่องใด ก็ตามๆ
ข้ามั่นใจว่าข้าจะดูแลสมาคมได้เป็นอย่างดีค่ะ”
“หลานรัก
ความอาจหาญของเจ้าน่าชื่นชมยิ่งนัก
แต่ถึงอย่างนั้น การใหญ่เยี่ยงนี้ก็ไม่ใช่สนามเด็กเล่น หากผิดพลาดแม้เพียงก้าวเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้สมาคมของเราทั้งหมดล่มจมจนมิอาจถอนคืนได้เลยทีเดียว อาเป็นคนขี้ขลาด อาไม่กล้าแบกรับความรับผิดชอบที่หลานอาจก่อขึ้นได้มากถึงขนาดนั้นหรอก”
ในเมื่อทุกฝ่ายต่างเผยความตั้งใจของตัวเองออกมา โกรเวอร์ก็ไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไป และพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ในตอนนั้นเอง
แอนดรูว์ก็หยิบไม้เท้ามาค้ำจุนตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงประนีประนอม
“ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาถกเถียงกันอยู่แบบนี้หรอก เอางี้…
ทำไมเราไม่ลองให้แม่หนูฟีบี้ลองดูก่อนล่ะ?
ถ้าหากสมาคมสามารถดำเนินการขยับขยายต่อไปได้อย่างราบรื่นภายใต้การกำกับดูแลของเธอเป็นเวลา 3 เดือน ก็ให้ฟีบี้เป็นหัวหน้าสมาคม แต่ถ้าไม่…
โกรเวอร์ก็ค่อยรับช่วงต่อ ทุกคนมีความเห็นว่ายังไง?”
เมื่อแอนดรูว์พูดขึ้น นอกจากผู้อาวุโส 3 คนที่คอยสนับสนุนโกรเวอร์แล้ว ผู้อาวุโสทุกคนที่เหลือต่างก็ยอมรับในข้อเสนอนั้น แอนดรูว์รอให้แสดงท่าทีกันครบทุกคน ก่อนจะหันมายิ้มอย่างอารมณ์ดีให้โกรเวอร์
“ในเมื่อมติเป็นเอกฉันท์ งั้นก็เอาตามนี้แหละ เจ้าว่างั้นมั้ย?”
แม้จะไม่เต็มใจ แต่เสียงส่วนมากของเหล่าผู้อาวุโสได้ลงความเห็นแล้ว และโกรเวอร์ก็ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใด ๆ ได้อีก เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันพูดอย่างยอมจำนน
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ทำตามที่พวกท่านปรารถนาเถอะครับ”
แอนดรูว์พยักหน้าพร้อมกับยิ้ม
“ดีจริง
ข้ามีธุระนิดหน่อยที่ต้องสะสาง งั้นข้าขอตัวกลับก่อนล่ะ แม่หนูฟีบี้
เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ถ้าเจ้าว่างแล้วละก็
แวะมาคุยที่บ้านข้าหน่อยดีมั้ย!
”
“ได้แน่นอนค่ะ
ข้าเองก็อยากถามท่านปู่เกี่ยวกับประสบการณ์ต่าง ๆ ในการบริหารสมาคมเหมือนกัน”
ฟีบี้ยิ้มน้อย
ๆ และลุกขึ้นยืน เธอวางแก้วไวน์ลง ส่งสายตาให้หานซั่ว และเดินออกไปโดยไม่หันมามองโกรเวอร์เลยแม้แต่น้อย
หานซั่ววางแก้วไวน์ลงบ้าง และหันไปยิ้มอย่างเยาะเย้ยและเย็นชาให้โกรเวอร์ที่กำลังจ้องเขม็งมาที่เขาอย่างไม่วางตาเช่นกัน ก่อนจะเดินตามฟีบี้ออกไปจากห้องโถง
เมื่อออกมาจากสมาคมแล้ว ฟีบี้ก็มองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าปลอดคน เธอก็พูดกับหานซั่วด้วยเสียงแผ่วเบา
“เจ้ากลับไปรอที่บ้านพักของข้าก่อน ข้าจะรีบกลับไปหาทันทีที่คุยกับท่านปู่แอนดรูว์เสร็จ เรามีเรื่องต้องคุยกัน!
”
“ฮ่าฮ่าฮ่า
แม่หนูฟีบี้ คนรักของเจ้านี่ช่างห้าวหาญดีจริง ๆ กล้าเถียงกับโกรเวอร์กลางงานเลยทีเดียว เจ้านี่ตาดีใช่ย่อยเลยนะ!
”
แอนดรูว์ยืนอยู่ข้าง ๆ รถม้าของเขา ขณะมองมายังฟีบี้และหานซั่วอย่างมีเมตตา
ใบหน้างดงามของเธอแดงระเรื่อขึ้นทันที ฟีบี้หันมามองหานซั่วและกระซิบบอกเขา
“ระวังตัวด้วยนะ”
แล้วเธอก็เดินไปหาแอนดรูว์ก่อนจะพูดงอน ๆ อย่างน่ารัก
“ไม่จริงค่ะ
ท่านไม่รู้หรอกว่าน่าเบื่อแค่ไหน แถมบางทีเขาก็ชอบทำตัวงี่เงาเสียเหลือเกิน!
”
หานซั่วไม่ได้ฟังทั้งสองคนคุยกันมากไปกว่านี้ และไม่ได้นั่งรถม้าคันเดิมที่มาส่งเขาและฟีบี้ในตอนแรก แต่เขาเลือกจะเดินกลับไปทางตอนเหนือของเมืองด้วยตัวเองคนเดียว
เพราะเวลานั้นดึกมากแล้ว จึงไม่ค่อยมีผู้คนเดินอยู่ตามท้องถนน และตอนที่หานซั่วเดินออกมาจากสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายเท่าไรนัก แต่เมื่อเดินผ่านไปยังถนนเส้นหนึ่ง และกำลังเดินเข้าไปในตรอก เขาก็รู้สึกตื่นตัว
ความคิดของเขาโลดแล่นเต็มที่ ขณะที่ร่างของปีศาจปฐมภูมิทั้ง 3 ตนลอยออกมาจากด้านหลังคอของหานซั่วอย่างไร้เสียง เมื่อปลดปล่อยพวกมันออกไปแล้ว เขาก็เชื่อมต่อกับปีศาจไร้รูปร่างทั้ง 3 ตนที่กำลังพุ่งไปสอดแนมจาก 3 ทิศทางโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เลยนอกจากความมืดของรัตติกาล
เหมือนกับมีดวงตาเพิ่มเติมอีกหลายคู่ ทำให้หานซั่วสามารถมองเห็นได้มากกว่าทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า คือทั้งด้านซ้าย ขวา และด้านหลัง เพราะปีศาจปฐมภูมิถูกหล่อหลอมขึ้นโดยแก่นมนตรา มันจึงไม่มีทั้งเศษเสี้ยวของออร่าต่อสู้หรือพลังเวทมนตร์ใด ๆ และอยู่ในสถานะไร้รูปร่าง ทำให้ยากเกินกว่าที่สายตามนุษย์จะตรวจจับได้ ดังนั้นแล้ว
การมีตัวตนอยู่ของพวกมันจึงอยู่นอกเหนือการรับรู้ของมนุษย์ทุกคน
ตอนนั้นเอง
เอลลิส นักเวทย์ธาตุลมระดับสูงที่หานซั่วเคยเจอเมื่อคราวก่อน กำลังลอยตัวอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับภูตผีอยู่ด้านหลังของหานซั่ว และรอคอยอยู่อย่างนั้น ในขณะที่นักฆ่าในชุดสีดำปิดบังใบหน้าจำนวน 4 คน ก็กำลังไล่ตามใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
หานซั่วสะดุ้ง
โดยไม่คาดคิดว่าโกรเวอร์จะกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ เพียงเขาแค่เดินออกจากสมาคมได้ไม่เท่าไหร่ โกรเวอร์ก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคงเกลียดหานซั่วเข้ากระดูกดำ
หานซั่วเริ่มสงบจิตใจทันทีเมื่อเข้าสู่สถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเอาชีวิตรอด ศัตรูมีด้วยกัน 5 คน นอกจากเอลลิสที่เป็นนักเวทย์ธาตุลมระดับสูงแล้ว นักฆ่าอีก
4 คนที่เหลือก็ดูฝีมือไม่ธรรมดาเช่นกัน เท่าที่เขาสังเกตผ่านปีศาจปฐมภูมิ ทั้ง 4 คนนั้นเป็นนักดาบ 2 คน นักเวทย์
1 คน และนักธนูอีก
1 คน หากไม่ใช่เพราะการจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของคนพวกนั้นผ่านปีศาจปฐมภูมิแล้ว หานซั่วคงทำได้เพียงวิ่งหนีไปเรื่อย ๆ อย่างไม่คิดชีวิตเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม
แม้จะมีตัวช่วยอย่างพวกปีศาจปฐมภูมิ
และหานซั่วเองก็ไม่ได้มีข้อได้เปรียบอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาสิ้นหวังและไร้หนทางเสียทีเดียว
จากคำอธิบายของฟีบี้ หานซั่วรู้ว่าบริเวณนั้นมีคฤหาสน์อยู่หลังหนึ่งซึ่งเป็นที่พักของเหล่าทหารของจักรวรรดิที่ประจำการณ์อยู่ในเมืองนั้น หานซั่วจึงเดินเข้าไปในตรอกเปลี่ยว ๆ ที่จะนำเขาไปสู่สถานที่ปลายทางที่ตั้งใจไว้
ความคิดของหานซั่วโลดแล่นอย่างบ้าคลั่ง เขารู้ดีว่านักฆ่าเหล่านี้สามารถเคลื่อนไหวได้ตามตรอกมืด ๆ แบบนี้เท่านั้น และหากเขาสามารถเดินพ้นออกไปได้ พวกนั้นก็จะเสียโอกาสทันที แหวนมิติส่องแสงจาง ๆ แล้วหานซั่วก็ได้มีดสั้นมาถือไว้ในมือขวา เขาเดินด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป ในขณะที่สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของศัตรูผ่านเหล่าปีศาจปฐมภูมิ
ในที่สุด
เมื่อหานซั่วเดินมาจนถึงกลางตรอก นักฆ่าทั้ง 5 คน รวมทั้งเอลลิสเหมือนจะเชื่อว่านี่คือโอกาสดีที่สุด จึงรีบพุ่งตัวเข้ามาด้วยความเร็วสูง
แล้วเสียงลูกธนูดอกหนึ่ง ก็พุ่งแหวกอากาศจนดังขึ้นในระยะการได้ยินของหานซั่ว ลูกธนูดอกนั้นคมกริบเป็นพิเศษ และกำลังพุ่งเข้าใส่หานซั่วอย่างรุนแรงและน่ากลัว
ผู้ที่ยิงมาต้องเป็นนักธนูมืออาชีพอย่างแน่นอน ทั้งองศาและทิศทางการยิงถูกคำนวณมาอย่างดีเพื่อการทำลายล้างด้วยพลังที่รุนแรง และด้วยพลังของปีศาจปฐมภูมิ ก็ทำให้เขาไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวไม่เว้นแม้แต่ลูกธนูดอกนั้น
จู่ ๆ หานซั่วก็เร่งความเร็วขึ้น เขาไม่ได้พุ่งตัวไปข้างหน้า แต่กลับเบี่ยงตัวหลบไปทางด้านซ้าย ทำให้ลูกธนูทำได้เพียงพุ่งเฉียดเสื้อผ้าของเขา ก่อนจะลอยต่อไปในทิศทางเบื้องหน้า
ลูกธนูแตกหักออกเป็นชิ้น ๆ เบื้องหน้าของหานซั่วทันที เพราะเวทย์คมดาบวายุที่เอลลิสยิงออกมาก่อนหน้านั้น ดูเหมือนเอลลิสจะรอคอยจังหวะให้หานซั่วก้าวไปข้างหน้าอีกเล็กน้อยเพื่อให้เวทย์ที่ยิงออกไปโจมตีโดนเขาพอดี เพียงแต่หานซั่วจับการเคลื่อนไหวของเขาได้ และหลบทันเสียก่อน
ทันใดนั้นเอง
อากาศว่างเปล่าเหนือศีรษะของหานซั่วก็ก่อร่างขึ้นเป็นกำแพงไฟทันที และกำลังร่วงลงมาใส่เขา ในขณะที่ร่างที่รวดเร็วว่องไวจำนวน 2 ร่างกำลังพุ่งลงมาจากหลังคาพร้อมกับดาบยาวในมือ เพราะแสงสะท้อนจากกำแพงไฟ ทำให้หานซั่วเห็นออร่าต่อสู้สีเขียวอ่อนและออร่าต่อสู้สีเขียวเข้มของทั้งสองร่างนั้นได้อย่างชัดเจน
ก่อนที่กำแพงไฟจะร่วงลงมาทับร่างในตำแหน่งที่หานซั่วยืนอยู่ เขาก็เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูง ก่อนจะเลี้ยวไปทางโค้งทางด้านซ้ายอย่างฉับพลัน เพื่อหลบเวทย์คมดาบวายุของเอลลิส และมุ่งสู่ทางเข้าตรอกเบื้องหน้าทันที
ไม่ว่าคนพวกนั้นจะจินตนาการได้ลึกล้ำเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าหานซั่วมองเห็นความเคลื่อนไหวทุกชั่วขณะของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งผ่านสายตาของเหล่าปีศาจปฐมภูมิ
จากที่คาดการณ์ว่าจะโจมตีโดยไม่ให้ทันได้ตั้งตัว กลับกลายเป็นว่าหานซั่วมองออกทุกอย่าง ทำให้กลุ่มนักฆ่ามากฝีมือทั้ง 5 คนประสบความล้มเหลวในการโจมตีครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง
“อย่าปล่อยให้มันรอดชีวิตออกไปจากตรอกนี่ได้!
”
เสียงนุ่มนวลของเอลลิสทั้งเด็ดขาดและหนักแน่นร้องดังขึ้น
นักธนูและนักเวทย์ธาตุไฟกำลังยืนอยู่คนละฝั่งของหลังคาบ้านที่อยู่ด้านข้างตรอก ทันทีที่เอลลิสพูดจบ พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกัน นักธนูหยิบลูกธนูออกมา 3 ดอกขึ้นมาง้างกับสาย และยิงออกไปอย่างรุนแรงพร้อมกันในคราเดียว ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หน้าผาก หลัง และต้นขาของหานซั่วแต่เขาก็หลบได้ทัน
แล้วกำแพงไฟอีกระลอกหนึ่งก็ก่อร่างขึ้นในทิศทางที่หานซั่วกำลังพุ่งตัวไปพอดี หมายจะกันไม่ให้เขาหนี และเปลี่ยนไปใช้ทางอ้อมที่ไกลขึ้น ไม่อย่างนั้น
ก็ยากเกินกว่าจะหลบเลี่ยงไฟที่อาจคลอกเขาจนกลายเป็นศพโดยกำแพงเพลิงที่กำลังลุกโชนเช่นนี้
นักดาบอีกสองคนรีบฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้เข้าถึงตัวเป้าหมายทันทีพร้อมกับดาบยาวในมือ พวกเขาอยู่ห่างจากหานซั่วไปเพียง 10 เมตร และเอลลิสที่กำลังลอยตัวอยู่เหนือพื้นก็รีบเข้าประชิดจากทางด้านหลังเช่นกัน เพื่อช่วยกันปิดล้อมเขาให้จนตรอก
หานซั่วเบี่ยงตัวอีกครั้งและเปลี่ยนทิศทางไปทางขวา เพื่อจะอ้อมกำแพงไฟและออกไปสู่ถนนใหญ่ ทันใดนั้นเอง
เวทย์คมดาบวายุก็พุ่งเข้ามา แต่ก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของหานซั่วอีกเช่นกัน มีดสั้นในมือของเขาฟาดฟันจนทำลายคมดาบวายุทั้ง 5 เล่มไปได้ อย่างไรก็ตาม
คมดาบวายุอีก 3 เล่มยังคงโจมตีโดนต้นขาและแขนของเขา
หานซั่วเจ็บปวดจากเวทย์โจมตีทั้ง 3 เล่มนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่หานซั่วสามารถมองเห็นได้ล่วงหน้า มิเช่นนั้นแล้ว หากคมดาบวายุทั้ง 10 เล่มที่เอลลิสยิงออกมาโจมตีโดนเขาทั้งหมด หานซั่วอาจถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจวิ่งหนีต่อไปได้อีก
หานซั่วอดกลั้นความเจ็บปวดบริเวณต้นขาและแขน ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบเวทย์คมดาบวายุที่เหลือ
หลบทั้งกำแพงไฟ และลูกธนูที่พุ่งเข้ามาในเวลาเดียวกัน เขารีบพุ่งไปยังทางเข้าตรอกเบื้องหน้าด้วยความเร็วราวสายฟ้า และกำลังจะออกสู่ถนนใหญ่เพียงอีกไม่กี่อึดใจ
ในตอนนั้นเอง
เสียงร้องโหยหวนก็ดังลั่นขึ้นท่ามกลางความสงบเงียบของท้องฟ้ายามราตรี ระหว่างที่กำลังวิ่งไปได้ครึ่งทาง หานซั่วก็มองผ่านปีศาจปฐมภูมิและพบว่าคันธนูถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ในขณะที่ร่างของนักธนูกำลังร่วงลงจากหลังคาอย่างไร้ชีวิตในสภาพเลือดกบปาก และฟีบี้ก็กำลังยืนอย่างสง่างามในตำแหน่งที่นักธนูคนนั้นเคยยืนอยู่ก่อนพร้อมด้วยดาบยาวในมือ
“ฟ…ฟีบี้
ท่านเป็นนักดาบงั้นรึ?”
แม้จะปิดบังใบหน้า แต่เอลลิสก็ตกตะลึงจนลืมที่จะอำพรางเสียงที่แท้จริงของตัวเอง เขาไม่ปริปากพูดอะไรอีกเมื่อร่างของเขาที่กำลังพุ่งเข้ามาต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ก่อนที่จะหันหลังกลับ หนีออกไปทางด้านหลังด้วยความเร็วสูงยิ่งกว่าเดิม
ฟีบี้พ่นลมอย่างดูถูกและไม่ใส่ใจไล่ตามเอลลิสที่กำลังหนี เพราะอย่างไรเสีย หากนักเวทย์ธาตุลมตั้งใจหลบหนีอย่างเต็มที่ ก็ยากเกินไปที่จะไล่ตามให้ทัน ดาบยาวในมือของเธอกวัดแกว่งไปมา และฟีบี้ที่ยืนอยู่ด้วยท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขาม ก็กระโดดลงมาจากหลังคา ก่อนจะลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวลเบื้องหน้านักดาบทั้งสองคน ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจจะจัดการกับพวกที่เหลืออยู่มากกว่า
หานซั่วที่กำลังวิ่งหนีออกจากตรอกในตอนนั้นก็รู้สึกสุขจนล้นใจทันทีที่เห็นฟีบี้ปรากฏตัว แล้วเขาก็อ้าปากร่ายเวทย์อัญเชิญเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กออกมา และหันกลับไปเผชิญหน้ากับนักดาบทั้งสองคนด้วยตัวเอง
เพราะเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กอาจช่วยอะไรเขาไม่ได้มากเท่าไหร่ในตอนที่หานซั่วกำลังหนีเอาชีวิตรอด แต่ในเมื่อมีจอมดาบอย่างฟีบี้อยู่ด้วย หานซั่วก็พลิกบทบาทจากผู้ถูกล่ามาเป็นผู้ล่าทันที และเจ้าโครงกระดูกตัวน้อยก็จะสามารถสังหารศัตรูได้เต็มที่
ทันทีที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กพร้อมกริชกระดูกในมือปรากฏตัวขึ้น มันก็เริ่มวิ่งอย่างรวดเร็วตามคำสั่งของหานซั่ว เดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นดีดตัวพุ่งออกจากหลังของมันขึ้นไปยังหลังคาทันที หมายจะปลิดชีวิตนักเวทย์ธาตุไฟผู้นั้น
แล้วนักเวทย์ธาตุไฟก็ต้องตื่นตระหนก เพราะไม่คาดคิดว่าอยู่ดี ๆ เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กจะกระโดดลอยตัวขึ้นมาบนหลังคาได้ทันทีแบบนี้ เขารีบร่ายเวทย์ทั้ง ๆ ที่กำลังตกใจ และกำแพงไฟที่ลุกโชนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขวางกั้นทิศทางที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กกำลังพุ่งเข้ามา
อย่างไรก็ตาม
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็ไม่สนใจสิ่งกีดขวางอย่างกำแพงไฟเลยแม้แต่น้อยและพุ่งตัวเข้าใส่ทันที มันเดินออกมาพร้อมกับร่างกายที่แดงเพราะความร้อนระอุของเปลวเพลิง และมาหยุดอยู่ตรงหน้านักเวทย์ธาตุไฟที่กำลังช็อกสุดขีด แล้วกริชกระดูกในมือของมันก็ลอยขึ้นในอากาศ ก่อนจะพุ่งตัวฉวัดเฉวียนไปมาเพื่อทิ่มแทงร่างของนักเวทย์คนนั้นจนพรุนเป็นรังผึ้ง
………………………………………