หลังจากที่หานซั่วร่วงลงสู่เบื้องล่าง เขาก็ลงมายืนทรงตัวอย่างมั่นคงบนพื้นแข็ง ๆ ของสถานที่แห่งหนึ่ง และพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องทดลอง ที่เต็มไปด้วยภาชนะบรรจุของต่าง ๆ มากมาย และกระดูกขนาดใหญ่ที่วางเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งห้อง แสงไฟมืดหม่นที่กะพริบวาบราวกับดวงวิญญาณสีเขียวจำนวนหนึ่งติดอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของผนังด้านข้าง ทำให้ภายในห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย
ยังมีห้องที่แยกตัวออกไปอีกจากทั้ง
4 ด้านของห้องทดลอง หานซั่วเข้าไปสำรวจแต่ละห้อง และพบว่า
2 ห้องในนั้นเต็มไปด้วยหนังสือและตำรามากมายเกี่ยวกับศาสตร์แห่งความตาย รวมทั้งบางเล่มที่เป็นเวทมนตร์ธาตุมืด หนังสือทั้งหมดในนี้มีสภาพเก่าแก่อย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ ซึ่งจำนวนของตำราทั้งหมดในนี้ ก็มีมากกว่าจำนวนหนังสือในหมวดหมู่เวทมนตร์ธาตุมืดของห้องสมุดในวิทยาลัยเสียอีก และหลายเล่มก็เป็นตำราที่หานซั่วไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
ส่วนอีก 4 ห้องที่เหลือเป็นห้องเก็บวัตถุดิบเวทมนตร์ต่าง ๆ ขวดโหลปิดผนึกอย่างแน่นหนา และแต่ละขวดเต็มไปด้วยของเหลวสีสันต่าง ๆ ห่อหุ้มกระดูกรูปทรงแปลกประหลาด หรือแม้แต่เขี้ยวของสัตว์ที่กำลังส่องแสงเรืองๆอยู่ภายใน
ขณะที่หานซั่วกำลังสำรวจพื้นที่ไปรอบ ๆ ลูกแก้วสีเขียวในมือของเขาจู่ ๆ ก็ส่องแสงสีเขียวสว่างจ้าจนแสบตาวาบไปทั่วห้อง ทันใดนั้นเอง เงาดำที่ดูราวกับมวลร่างของวิญญาณก็ก่อร่างขึ้นเหนือสัญลักษณ์มนตรารูปวงกลมที่ตั้งอยู่จุดหนึ่งบนพื้นภายในห้องทดลอง
“ลูกข้า หากเจ้ามาถึง และพบกับภาพสะท้อนที่เจ้ากำลังเห็นอยู่นี่ แปลว่าข้าคงกลายเป็นเถ้าธุลีไปเรียบร้อยแล้ว หากเจ้าต้องการจะเข้าใจในทุกสิ่งเกี่ยวกับสุสานแห่งความตาย เจ้าต้องตั้งใจและรับฟังในทุกอย่างที่ข้ากำลังจะบอก…”
เงาดำนั้นเป็นเพียงมวลสารบางอย่างที่รวมตัวเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะสายตาของเขาเอง หรือแสงสว่างจากลูกแก้วสีเขียว หานซั่วก็ไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์เดิมของร่างนั่นได้ เสียงที่ไม่ชัดเจนนั้นยังคงค่อย ๆ เปล่งแต่ละคำออกมาด้วยความยากลำบาก
แม้หานซั่วจะตกใจในทีแรก แต่เขาก็เข้าใจทันทีว่านี่คือวิธีที่เหล่านักเวทย์ใช้ในการทิ้งข้อความบางอย่างเอาไว้ โดยใช้
มนตร์ภาพสะท้อน
เพื่อให้เข้าใจความหมายของคำทุกคำที่ได้ยินอย่างถูกต้อง หานซั่วรีบเพ่งสมาธิและตั้งใจฟังทุกประโยคของเสียงนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
“ก่อนอื่น เจ้าต้องรู้ว่าสุสานแห่งความตายถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายในยุคสมัยของข้า เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย สุสานแห่งความตายสามารถเคลื่อนย้ายได้ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงทุกสิ่งอย่างภายในสถานที่แห่งนี้ วันนั้น
เจ้าจะพบว่าเจ้าได้ครอบครองเมืองที่น่าพรั่นพรึงแห่งหนึ่งเลยทีเดียว…”
เสียงเล็ก ๆ นั้นอธิบายต่อไปอย่างไม่รู้จบ หานซั่วเพ่งสมาธิและตั้งใจฟังคำอธิบายอย่างเชื่องช้า
จนกระทั่งเสียงนั้นพูดขึ้นว่า
“…เจ้าจะได้พบข้าอีกในชั้นถัดไป”
แล้วเงาสีดำนั้นก็หายวับไปในพริบตา
นอกจากชั้นบนดินที่มีมิติเวทมนตร์เคลื่อนย้ายบนพื้นกลางโถงใหญ่ของสุสานแห่งความตายแล้ว ยังมีชั้นที่อยู่ลึกลงไปอีก 2 ชั้น นอกเหนือจากชั้นของห้องสมุดและห้องทดลองในชั้นที่หานซั่วกำลังยืนอยู่นี้ และหากต้องการล่วงรู้ถึงความลับทั้งหมดของสุสานแห่งความตาย เขาต้องลงไปยัง 2 ชั้นเบื้องล่างที่ว่าเช่นกัน หานซั่วเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดจากเงาดำ และก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว
สุสานแห่งความตายเป็นปราสาทที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ อีกทั้งยังเป็นปราสาทที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ
|
ภาพ Fan Art จริงของ “สุสานแห่งความตาย” จากเว็บแปล GDK ภาษาอังกฤษ Big thanks to etvo! |
ลูกแก้วสีเขียวเปรียบเสมือนกุญแจที่ไขเข้าสู่สุสานแห่งความตาย ซึ่งมีดวงจิตปีศาจของนักเวทย์ผู้ใช้ความตายคนหนึ่งบรรจุอยู่ภายใน หากคนธรรมดาสัมผัสลูกแก้วลูกนี้ พวกเขาเหล่านั้นจะไม่สามารถหนีพ้นจากจิตที่แทรกแซงของลูกแล้ว และในที่สุด
ก็จะกลายเป็นเพียงผีดิบที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะอีกต่อไป เว้นแต่ว่าผู้สัมผัสจะเป็นนักเวทย์ผู้ใช้ความตายเท่านั้น
แม้ตอนนั้นหานซั่วจะเป็นเพียงนักเวทย์ฝึกหัด แต่เพราะเขามีเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายแฝงอยู่ในตัว จึงนับว่าเคราะห์ยังดีที่ครั้งนั้นเขาไม่ถูกคำสาปของลูกแก้วสูบพลังไปเสียก่อน และหากในตอนนั้นเขามีพลังจิตที่อ่อนแอกว่านั้น อีกทั้งยังปราศจากผลของแก่นมนตรา เขาอาจตายไปแล้วก็ได้
พลังอันน่ามหัศจรรย์ของแก่นมนตราแตกต่างจากพลังงานทุกชนิดบนโลกนี้ และมันก็ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อตอนที่จิตของเขาถูกรุกล้ำโดยพลังจิตของลูกแก้วสีเขียว อีกทั้งยังช่วยหานซั่วในการเพิ่มปริมาณพลังจิตได้ด้วยเหตุผลที่น่างุนงงเกินกว่าจะเข้าใจ ทำให้เขาได้รับผลตอบแทนเป็นพลังจิตปริมาณมากแลกกับการแบกรับความเจ็บปวดที่ทรมานเกินกว่ามนุษย์ผู้ใดจะทานทน และนี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้สรรค์สร้างลูกแก้วสีเขียวลูกนี้ไม่ได้คิดฝันถึงมาก่อนด้วยก็เป็นได้
จากการอธิบายของเงาดำ หานซั่วยังรับข้อมูลที่ค่อนข้างจำกัด ดูเหมือนว่าคำอธิบายที่ละเอียดลึกซึ้งกว่าจะอยู่ในอีกชั้นที่ลึกลงไป เขานิ่งเงียบและคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือและตำรามากมายอีกครั้ง
ตำราเวทมนตร์ถือเป็นแก่นสารสำคัญของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย เป็นผลผลิตของกาลเวลาที่สั่งสมมาในยามที่เวทมนตร์แขนงนี้รุ่งโรจน์ถึงขีดสุด พวกมันจึงถือเป็นสมบัติล้ำค่าของหานซั่ว แม้วิทยาลัยจะมีตำราต่าง ๆ อยู่ค่อนข้างมาก แต่ตำราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์แห่งความตายอย่างแท้จรืงกลับมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงความรู้พื้นฐานสำหรับนักเวทย์ระดับเริ่มต้นและระดับกลางเท่านั้น และเล่มที่มีเนื้อหาเวทมนตร์ระดับสูงก็มีเพียงไม่กี่เล่ม
เขาพลิกหน้าตำราเล่มต่าง ๆ ที่ฝุ่นจับหนาเตอะในทั้งสองห้อง หานซั่วถึงกับถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้มยินดี เพราะตำราเวทมนตร์ของที่นี่เรียกได้ว่าเหนือกว่าตำราของห้องสมุดที่วิทยาลัยแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพหรือปริมาณ
3
ชิ้นในนั้น เป็นม้วนตำราชุด
“
เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย
”
ที่แบ่งเป็นระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับสูง
พวกมันถูกจัดวางอยู่ในที่ ๆ เด่นสะดุดตา
และดูเหมือนว่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมากเป็นพิเศษ เพราะบรรจุอยู่ในกล่องมนตรา จึงทำให้พวกมันดูค่อนข้างใหม่ และไม่สลายไปตามกาลเวลาแม้จะล่วงเลยมานานกว่า
100
ปี
ม้วนตำรา
“
ศาสตร์แห่งความตาย
”
ระดับพื้นฐานนั้นค่อนข้างหนา
หานซั่วอ่านดูแล้วพบว่าเนื้อหาภายในครอบคลุมรายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ครอบคลุมตั้งแต่จุดกำเนิด ไปจนถึงแก่นของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายที่แท้จริง องค์ความรู้ที่บรรจุในม้วนตำราก็ค่อนข้างแตกต่างจากที่สอนในวิทยาลัย และหลายอย่างที่บันทึกไว้ล้วนเป็นสิ่งที่หานซั่วไม่เคยได้ยินมาก่อน
มีลายมือจดบันทึกย่อเอาไว้ในแต่ละหน้าโดยเริ่มตั้งแต่กลางเล่มเป็นต้นไป ซึ่งจะระบุรายละเอียดเพิ่มเติมของเนื้อหาบางช่วงตอนในบทนั้น ๆ แต่ดูเหมือนว่าตำราทั้ง
3
เล่มจะเป็นเนื้อหาที่มีเอกลักษณ์ลึกซึ้ง เมื่อหานซั่วลองอ่านตำราระดับเริ่มต้นและระดับกลางดู เขาก็ยังไม่เข้าใจเนื้อหาหลายอย่างแม้จะมีจดบันทึกย่อช่วยอธิบายเพิ่มก็ตาม
หานซั่วแทบไม่เข้าใจแม้จะอ่านไปได้เพียงเนื้อหาครึ่งแรกของตำราระดับพื้นฐาน และโชคไม่ดี
เนื้อหาส่วนที่ไม่มีลายมือจดบันทึกย่อเอาไว้ก็ยิ่งยากเกินกว่าจะเข้าใจ บางที ผู้เขียนตำราเล่มนี้อาจจะรู้สึกว่าผู้อ่านไม่จำเป็นต้องอาศัยบันทึกย่อเพื่อเข้าใจเนื้อหาพื้นฐานก็ได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ทิ้งคำอธิบายใด ๆ ไว้เลย
หลังจากคิดไปได้ครู่หนึ่ง หานซั่วก็ตัดสินใจเริ่มที่ตำราเล่มแรก โดยตั้งใจว่าจะใช้ตำราชุด
“
เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย
”
เป็นตำราเล่มหลัก และจะค่อย ๆ ศึกษาและฝึกฝนไปเรื่อย ๆ เมื่อตัดสินใจแล้ว หานซั่วก็ใช้ลูกแก้วสีเขียวอีกครั้งเพื่อออกจากชั้นนี้ ขึ้นไปยังชั้นบนดิน และเพราะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากม่านพลัง ทำให้เขาเริ่มศึกษาตำราเล่มนั้นทันที โดยลืมแม้แต่จะทานอาหารหรือนอนหลับพักผ่อน
หานซั่วศึกษาตำรา
“
ศาสตร์แห่งความตาย
”
เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน จนในที่สุดก็เข้าใจทุกถ้อยคำในเนื้อหา จากการศึกษาตำราชุดนี้ ทำให้หานซั่วรู้เรื่องต่างๆมากขึ้น ทั้งองค์ความรู้และบทคาถาต่าง ๆ ที่สอนอยู่ในวิทยาลัยปัจจุบันนั้นตื้นเขินยิ่งกว่าสิ่งที่อธิบายอยู่ในตำรานี้มากมายนัก
แม้กระทั่งมนตร์
ปีศาจ
ที่หานซั่วไม่มีทางได้เรียนรู้จากแฟนนี่
“
เวทย์ชุบศพ
”
ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย เป็นการใช้เวทมนตร์เพื่อเปลี่ยนศพของมนุษย์ที่ตายไปให้กลายเป็นผีดิบ เพื่อสู้รบตามความปรารถนาของผู้ร่ายเวทย์ และยิ่งมีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะสามารถสร้างกองทัพผีดิบที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น
“
เวทย์เสริมแกร่งความตาย
”
อีกหนึ่งบทคาถาในมนตร์ปีศาจ เมื่อใดก็ตามที่เวทมนตร์นี้ถูกร่ายขึ้น ทั้งความแข็งแกร่งในการสู้รบ และความว่องไวของอสูรมิติมืดที่อัญเชิญมาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลภายใต้กระโจมมนตราคล้ายม่านพลังโปร่งแสงที่เสกครอบคลุมพื้นที่วงกว้างรอบตัวผู้ร่าย อีกทั้งยังลดพลังต่อสู้ของศัตรูที่อยู่ภายขอบเขตของเวทมนตร์นี้อีกด้วย
ยังมีเวทมนตร์อีกเป็นจำนวนมากที่คล้ายคลึงกันกับ
“
เวทย์ชุบศพ
”
และ
“
เวทย์เสริมแกร่งความตาย
”
ซึ่งระบุเป็นรายการไว้ในตำรา
อีกทั้งยังกล่าวว่าเวทมนตร์เหล่านี้ได้สูญหายไปเป็นเวลานาน และยังไม่มีนักเวทย์ผู้ใช้ความตายคนใดใช้เวทย์เหล่านี้ได้ แต่ก็ยังมีรายละเอียดทั้งหมดระบุอยู่ในตำรา
“
เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย
”
เล่มนี้
หานซั่วรู้ทันทีว่าเขาได้เลือกสมบัติล้ำค่าขึ้นมาได้ถูกชิ้นเลยทีเดียว หากตำรา
“
เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย
”
เล่มนี้เผยแพร่ออกไป อาจเปลี่ยนแปลงสถานะปัจจุบันของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตาย อีกทั้งยังเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาให้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในที่สุด
ความน่าพรั่นพรึงของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายก็จะถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง
เขาศึกษาตำราเวทมนตร์พื้นฐานทั้งสองอย่างจริงจังเป็นเวลาเกือบสิบวัน
แต่โชคร้ายสำหรับ “เวทย์ชุบศพ” เพราะหานซั่วไม่มีศพให้ใช้ฝึก และ “เวทย์เสริมแกร่งความตาย” ก็เป็นเวทย์ที่ขั้นสูงกว่า ซึ่งหานซั่วก็ยังมีพลังจิตไม่เพียงพอที่จะฝึกร่ายได้
แต่ระหว่างการฝึกฝนในช่วงนี้
ก็ทำให้หานซั่วเชี่ยวชาญใน ”เวทย์คมหอกกระดูก” มากขึ้น
แม้แต่การอัญเชิญนักรบผีดิบก็เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง เพียงแต่ยังพบความต้านทานบางอย่างขณะพยายามสื่อสารกับอีกมิติหนึ่ง
เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว จึงน่าจะเป็นเวลาที่คมมีดพิชิตมารเสร็จสมบูรณ์พอดี หานซั่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะออกจากสุสานแห่งความตายพร้อมกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก โดยคอยหลบเลี่ยงสัตว์วิเศษระดับ 3 ขึ้นไปที่เจอระหว่างทางด้วยความระมัดระวัง เขาล่าสัตว์วิเศษที่ระดับต่ำกว่านั้นมาจำนวนหนึ่งและนำมันติดตัวไปด้วย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านคนแคระ
ระหว่างทางนั้นเอง ตอนที่หานซั่วใกล้ถึงทางเข้าหมู่บ้าน เขาก็ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันดังขึ้น หานซั่วตกใจและรีบเร่งความเร็วทันที ทะลุผ่านแมกไม้และพุ่มไม้หนาแน่นไปพร้อมกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเพื่อมุ่งตรงไปยังที่มาของเสียง
อสูรกินคนกว่า 20 ตนและก็อบลินร่วม 100 ตนกำลังโอบล้อมเหล่าคนแคระ ในขณะที่เหล่าคนแคระต่างถืออาวุธใหม่เอี่ยมอยู่ในมือ และดูคมกริบกว่ามากเมื่อเทียบกับอาวุธที่อสูรกินคนและก็อบลินกำลังใช้อยู่ ซึ่งดาบที่ตีขึ้นอย่างหยาบ ๆ และกระบองไม้ที่เป็นอาวุธของพวกก็อบลินล้วนแตกพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันทีเมื่อปะทะเข้ากับเหล่าคนแคระ
และเพราะความเหนือชั้นกว่าในอาวุธของพวกเขานี้เอง ที่ทำให้พวกคนแคระซึ่งเสียเปรียบด้านจำนวนเป็นอย่างมากกลับยืนหยัดต้านทานการต่อสู้ได้จนถึงตอนนี้ หมู่บ้านคนแคระด้านหลังอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ซึ่งพวกเขาทำไม่ได้กระทั่งถอยร่นเข้าไป เพราะจะเป็นการเปิดเผยตำแหน่งของหมู่บ้าน และจะทำให้พวกผู้หญิงและเด็กตกอยู่ในอันตราย
เมื่อหานซั่วเห็นภาพเหตุการณ์นั้น
เขาก็รู้สึกเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที
หน้าไม้เตรียมพร้อมในมือของเขาขณะวิ่ง
และส่งลูกดอกออกไปจำนวนหนึ่งพุ่งแทรกผ่านอากาศ ก่อนจะยิงใส่อสูรกินคนตนหนึ่งและก็อบลินอีก 2 ตนจนร่วงลงไป ดูเหมือนเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเองก็สามารถสัมผัสความโกรธของหานซั่วได้จากเบื้องลึกในจิตใจ มันจึงรีบร่อนไปด้านหน้า และเดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นบนหลังของมันก็พุ่งออกไปทุกทิศทาง เสียบแทงร่างของเหล่าอสูรกินคนและก็อบลินทั้งหลายพร้อมกับเสียงวัตถุแทรกผ่านอากาศที่แหลมบาดหู
“โอ้ หานนี่นา เขามาแล้ว
!
”
เบ็นเน็ตต์ชูกระบองเหล็กขึ้นสูงขณะถูกรายล้อมไปด้วยก็อบลิน 5-6 ตัว และร้องอุทานด้วยความประหลาดใจทันทีที่เห็นหานซั่ว
ราวกับหมาป่าที่กระโจนเข้าไปในฝูงแกะ การมาถึงของหานซั่วและเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเปิดฉากสังหารทันที แม้แต่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็เกรี้ยวกราดมากกว่าปกติ เดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นบินฉวัดเฉวียนไปมาท่ามกลางฝูงมนุษย์กินคนและก็อบลิน ทำให้พวกมันต่างบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ส่วนหานซั่วเอง ก็รีบอัญเชิญนักรบโครงกระดูกออกมาอีกจำนวนหนึ่ง แล้วพวกมันก็กวัดแกว่งกริชกระดูกในมือพร้อมวิ่งเข้าใส่พวกวายร้ายเหล่านั้น ในขณะที่หานซั่วยังคงยืนมั่นอยู่กับที่ เพ่งสมาธิไปที่ซากศพของอสูรกินคนและก็อบลินที่ตายไป และเริ่มร่าย
“เวทย์ชุบศพ” ทันที
แม้จะร่ายเวทย์ล้มเหลวไปหลายครั้ง
แต่หานซั่วยังคงยืนอยู่ที่เดิม และพยายามร่ายเวทย์ซ้ำอยู่เรื่อย ๆ จนในที่สุดก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่าคนแคระ ที่อยู่
ๆ ร่างของศพที่เพิ่งตายไป กลับลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง
ตอนนั้นเอง ร่างของก็อบลินที่มีลูกดอกหน้าไม้เสียบทะลุอกก็ลุกขึ้นยืนทันทีที่หานซั่วร่ายเวทย์เสร็จ มันหยิบกระบองเหล็กขึ้นมา ก่อนจะเดินโซเซไปโจมตีก็อบลินอีกตัวที่ยังมีชีวิตและอยู่ข้าง ๆ มันทันที เมื่อพอใจกับความสำเร็จไปหนึ่งอย่าง หานซั่วก็สงบจิตใจและพยายามทบทวนประสบการณ์ที่เพิ่งเรียนรู้มาเมื่อครู่ ก่อนจะเริ่มร่าย “เวทย์ชุบศพ” อีกครั้งทันที
แล้วเขาก็ประสบความสำเร็จอีกครั้ง
คราวนี้เป็นซากศพของอสูรกินคน ด้วยพลัง “เวทย์ชุบศพ”
ของหานซั่ว ศพของอสูรกินคนและก็อบลินประมาณ 5-6 ตัวก็ลุกขึ้นมา ชูอาวุธในมือของมันตามคำสั่งของหานซั่ว และเริ่มโจมตีพวกที่ยังมีชีวิตอยู่ทันที
เมื่อเหล่าอสูรกินคนและก็อบลินเจอเข้ากับปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้ ก็สร้างความหวาดผวาแก่พวกมันทุกตนทันที อีกทั้งยังประหลาดใจสุดขีดเมื่อเห็นสหายร่วมรบที่ตายไปแล้วของพวกมันอยู่ดี ๆ ก็ฟื้นและลุกขึ้นมาโจมตีพวกเดียวกันเอง พวกมันพูดบางอย่างขึ้นมาในภาษาของตัวเองและชี้มาที่หานซั่วด้วยความตระหนก แล้วพวกมันก็แตกฮือกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทางเพื่อหนีเอาชีวิตรอด
แม้แต่เหล่าคนแคระที่อยู่ด้านหลังยังรู้สึกหวาดกลัว
ทุกคนต่างมองหานซั่วด้วยสายตาแปลก
ๆ แตกต่างจากเดิมที่เคยมอง หานซั่วเองก็นิ่งอึ้งคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มตั้งสติได้ เขารีบถอนเวทมนตร์ออกทันที แล้วร่างของเหล่าอสูรกินคนและก็อบลินที่ชุบขึ้นมาทุกตนก็ร่วงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
“หาน เวทมนตร์ของเจ้าช่างชั่วร้ายเหลือเกิน แม้แต่พวกเรายังรู้สึกหวาดกลัวเอามาก ๆ เลย”
เบ็นเน็ตต์เดินเข้ามาหาหานซั่วอย่างลังเล
หานซั่วรู้ดีว่า “เวทย์ชุบศพ” เป็นมนตร์ปีศาจที่ชั่วร้ายจริง ๆ และยากที่คนธรรมดาทั่วไปจะยอมรับได้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป
“เบ็นเน็ตต์ ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านครับ แต่ที่ข้าทำไป
ทั้งหมดก็เพื่อช่วยพวกท่านทุกคนให้ได้เท่านั้นเอง”
“พวกเราเข้าใจดี ขอบคุณนะ หาน แต่ไม่ว่ายังไง เวทมนตร์ประเภทนี้ก็ยากเกินรับได้จริง ๆ นั่นแหละ ขนาดพวกอสูรกินคนกับก็อบลินจอมชั่วร้ายพวกนั้นยังกลัวเจ้าแทบตาย ฮ่าฮ่าฮ่า
ไปกันเถอะ อาวุธของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ เราจะได้มอบให้เจ้าทันทีที่พวกเรากลับถึงหมู่บ้าน”
“พวกท่านสร้างมันเสร็จแล้ว
!
”
หานซั่วตื่นเต้นดีใจทันทีที่รู้ว่าคมมีดพิชิตมารของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขารีบตามหลังกลุ่มคนแคระและตรงไปยังหมู่บ้านคนแคระพร้อมกัน
เมื่อเดือยกระดูก 7 ชิ้นกลับมาติดกับหลังของมันอีกครั้ง เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กไม่ได้ตามหานซั่วกลับไปยังหมู่บ้านคนแคระด้วย แต่มันยังคงอยู่ที่เดิมตามคำสั่งของหานซั่วเพื่อค้นหาของจากศพของพวกที่ตายด้วยความชำนาญเช่นเคย
หานซั่วตามคาลวินกลับมายังหมู่บ้าน
และมาถึงยังสถานที่ซึ่งคมมีดพิชิตมารถูกสร้างขึ้น
“หาน นี่คืออาวุธที่พวกเราสร้างตามความต้องการของเจ้า คิดว่าอย่างไรบ้าง? เจ้าพอใจกับมันมั้ย?
เบ็นเน็ตต์ใช้ค้อนในมือชี้ไปที่อาวุธที่วางอยู่ด้านข้าง ขณะพูดกับหานซั่ว
คมมีดพิชิตมารมีความยาว 2 ฟุต พร้อมด้วยแสงสีเงินที่ส่องเป็นประกายตามขอบคมของมัน ตัวมีดเป็นสีน้ำตาลเข้มที่มีหนาม 3 แง่งยื่นออกมาตรงปลายแหลม และค่อนข้างหนักเมื่อถืออยู่ในมือของเขา
หานซั่วถือคมมีดพิชิตมารและเพิ่งมองมันอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะลองแทงใส่หินลับมีดที่วางอยู่ด้านล่างอย่างกะทันหัน แล้วคมมีดพิชิตมารก็แทงจมลึกลงไปในหินลับมีดก้อนนั้นอย่างง่ายดาย
หานซั่วพยักหน้า และมองคาลวินที่กำลังดูกระวนกระวายด้วยความพอใจ
“ท่านผู้เฒ่า ขอบคุณที่ช่วยสร้างมันขึ้นมาครับ ข้าถูกใจอาวุธชิ้นนี้จริง ๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเจ้าชอบมันข้าก็ดีใจ อาวุธชิ้นนี้หล่อหลอมขึ้นจากการผสมผสานกันของทั้งเหล็กสีนิล เหล็กไหล
และแร่หายากอีกกว่า 10 ชนิด แม้แต่ข้าเองก็พอใจกับอาวุธชิ้นนี้มากเช่นกัน”
คาลวินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปที่คมมีดพิชิตมารขณะพูดกับหานซั่ว
“พวกท่านเองก็ระมัดระวังตัวกันให้ดีนะครับ ช่วงนี้พวกอสูรกินคนกับก็อบลินอาจจะมาปรากฏตัวแถวนี้อีกก็ได้ ข้าคงไปไม่นาน
และจะรีบนำเสบียงอาหารสำหรับฤดูหนาวกลับมา
ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
หลังจากย้ำเตือนเหล่าคนแคระแล้ว
หานซั่วก็รีบกลับไปยังสุสานแห่งความตายทันที เพื่อโคจรแก่นมนตราภายในร่าง เขาใช้เลือดสด
ๆ ของตัวเองเป็นแก่นสารสำคัญแทนวงโคจรสำหรับคมมีดพิชิตมาร และเฝ้าหล่อหลอมอาวุธต่อไปอีกเป็นเวลาถึง 3 วัน 3 คืน ตามความทรงจำที่ชูชางหลานทิ้งไว้ เพื่อให้เลือดของหานซั่วผสมผสานรวมกันกับแก่นมนตรา และซึมซาบเข้าสู่คมมีดพิชิตมารในที่สุด
สามวันผ่านไป หานซั่วทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนแรง เพราะแก่นมนตราในร่างใกล้จะเหือดแห้งเต็มที ในขณะที่คมมีดพิชิตมารที่เดิมทีเคยเป็นสีน้ำตาลเข้ม กลับกลายเป็นสีแดงเข้ม หลังจากที่หานซั่วฟื้นฟูแก่นมนตราต่อไปอีก 2 วัน เขาก็เริ่มฝึกฝน “กฎปลุกอาคม”
กับคมมีดพิชิตมารทันที เพื่อสั่งการอาวุธด้วยจิตของเขา
Note
กันลืม
: “
กฎปลุกอาคม
”
คือหลักในการสั่งให้
“
ขุมพลังเวทมนตร์
”
โจมตี เหมือนที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กสั่งกริชกระดูกและเดือยกระดูกทั้ง 7 ชิ้นบนหลัง (ซึ่งทั้งสองอย่างคือขุมพลังเวทมนตร์ของตัวมันเอง) ให้โจมตีได้
ระหว่างนั้น เส้นชีพจรในร่างของหานซั่วจะเจ็บปวดทรมานอยู่เป็นระยะ วันนี้เขาจึงกัดฟันทนใต้แรงถาโถมอันหนักหน่วงของน้ำตก เพื่อให้แก่นมนตราเสริมสร้างเส้นชีพจรอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้นเอง เขาก็จมดิ่งลงสู่ห้วงจิตปีศาจอีกครั้ง
โดยไม่รับรู้ทั้งเหตุการณ์หรือแม้แต่เวลาว่าล่วงเลยไปนานเพียงใด หานซั่วค่อย
ๆ ลืมตาขึ้น และพบว่าร่างของเขาจมลงสู่เบื้องลึกของสระน้ำ เมื่อเขาว่ายกลับขึ้นมาลอยตัวอยู่บนผิวน้ำที่เย็นยะเยือก เขาก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าคมมีดพิชิตมารหายไปแล้ว หานซั่วสะดุ้งตกใจ และต้องการหามันให้พบด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
ทันใดนั้นเอง แสงสีแดงเข้มแสงหนึ่งกำลังพุ่งตัวขึ้นมาหาหานซั่วจากท้องน้ำเบื้องล่าง ด้วยคิดว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา เขาจึงพยายามหาทางหนีทันที แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในจิตใจ ราวกับแสงสีแดงเข้มที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาเขานั้นมีความผูกพันกับเขาอย่างน่าประหลาด
หานซั่วนิ่งอึ้งคิดอะไรไม่ออก
แต่เมื่อความคิดวูบหนึ่งผ่านเข้ามาในหัว
ทุกอย่างก็กระจ่างทันที ในหัวของหานซั่วโลดแล่นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แสงสีแดงเข้มนั้นพุ่งขึ้นไปในอากาศ หานซั่วซึ่งรับรู้ถึงปลาตัวหนึ่งที่กำลังว่ายอยู่ในน้ำ และหลังจากคิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นในหัว ปลาตัวนั้นก็ถูกคมมีดพิชิตมารพุ่งแทงเข้าใส่ทันทีในเวลาเพียงชั่วพริบตา
“ดูเหมือนข้าจะทำสำเร็จแล้วสินะ”
หานซั่วยื่นมือซ้ายออกไป และคมมีตพิชิตมารก็ลอยขึ้นจากน้ำมาอยู่ในมือของเขา
ระหว่างที่กำลังลองโคจรแก่นมนตรา
ความเร็วของ “เวทย์อัคคีเหมันต์” ก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่าตัวจนหานซั่วตกตะลึง และทันใดนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงมวลอากาศเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากคมมีดพิชิตมารในมือซ้ายของเขาที่กำลังหลอมรวมกับพลังจากเวทย์อัคคีเหมันต์ และเป็นเพราะคมมีดพิชิตมารหันปลายแหลมชี้ลงไปที่ผิวน้ำ ชั้นน้ำแข็งก็ก่อตัวขึ้นบนผิวน้ำทันทีที่สัมผัสมวลอากาศเย็นยะเยือกนั้น
หานซั่วรู้ทันทีว่านั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่าเขาบรรลุ “อาณาจักรพลังเบิกทาง”
และเข้าสู่ “อาณาจักรพลังหลอมวิญญาณ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างมาก เพราะหลังจากผ่านอุปสรรคเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ผ่านวันคืนที่โหมฝึกฝนจนไม่ได้หลับได้นอนมากมายนับไม่ถ้วน ในที่สุด
เขาก็สามารถบรรลุความสำเร็จสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
ในเมื่อพลังเวทมนตร์ของหานซั่วเพิ่มมากขึ้น และตอนนี้ก็ยังมีคมมีดพิชิตมารที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ในมือ หานซั่วจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกจากสุสานแห่งความตาย เพื่อไปกำจัดโกรเวอร์ผู้เป็นศัตรูคู่อาฆาตให้สิ้นซาก
หานซั่วเดินออกจากสุสานบนภูเขาด้านหลังวิทยาลัย เขาไม่ได้ไปหาฟีบี้ในทันที แต่เขากลับโหยหาแฟนนี่ เพราะมีคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับความรู้ด้านเวทมนตร์ที่พวกเขาคุยค้างไว้ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งสุดท้าย และเสียดายที่ตอนนั้นเขารีบกลับไปยังสุสานแห่งความตายทันทีที่ได้รับแร่เหล็กไหลจากฟีบี้โดยไม่ได้แวะมาหาเธอเสียก่อน
ตำรา “เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย” ที่เขาพบประกอบไปด้วยความรู้มากมายที่หานซั่วเองก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะตำราเล่มนี้ไม่มีลายมืดจดบันทึกย่อช่วยอธิบายเอาไว้มากนัก ในฐานะนักเวทย์ระดับสูง แฟนนี่ย่อมมีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า หานซั่วจึงจดจำหัวข้อที่เขายังไม่เข้าใจ และหาโอกาสมาพบเพื่อถามเธออีกครั้ง
วิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนถือเป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิของจักรวรรดิ แม้โกรเวอร์จะเกลียดหานซั่วเข้าไส้ แต่เขาคงไม่บ้าบิ่นพอจะลอบทำร้ายหานซั่วในเขตวิทยาลัยเป็นแน่ เพราะเหล่าอาจารย์ของแต่ละสาขาล้วนแข็งแกร่ง นอกจากสาขาศาสตร์แห่งความตายแล้ว อาจารย์ของสาขาอื่น ๆ ยิ่งมีบุคลิกตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ต่อให้นักฆ่า
“ปีศาจเงา” เข้ามาตามหาหานซั่วที่นี่และถูกพบตัว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีกลับออกไปแบบยังมีชีวิต
เวลานั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เหล่านักเรียนกำลังพักผ่อนและทานมื้อเย็นหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเรียนมาตลอดทั้งวัน หานซั่วไม่ได้ไปหาแฟนนี่ที่ห้องทดลองในทันที เพราะกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ มากเกินไป เขาจึงรอจนท้องฟ้ามืดสนิท และเดินตรงไปยังอาคารที่แฟนนี่พักอยู่โดยที่ไม่มีใครรู้
หานซั่วเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ของสาขาเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายมาเป็นเวลานาน และด้วยความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ จึงรู้ดีว่าแฟนนี่พักอยู่ที่ไหน
หานซั่วลัดเลาะไปตามทางด้วยความชำนาญภายใต้ความมืดของรัตติกาล ก่อนจะเดินไปยังหอนอนของพวกอาจารย์ที่แฟนนี่พักอาศัยอยู่
———————————————————–