I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Great Demon King ตอนที่ 80 สุสานอาถรรพ์

| Great Demon King | 817 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
หลังจากที่หานซั่วร่วงลงสู่เบื้องล่าง  เขาก็ลงมายืนทรงตัวอย่างมั่นคงบนพื้นแข็ง  ๆ  ของสถานที่แห่งหนึ่ง  และพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องทดลอง  ที่เต็มไปด้วยภาชนะบรรจุของต่าง  ๆ  มากมาย  และกระดูกขนาดใหญ่ที่วางเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งห้อง  แสงไฟมืดหม่นที่กะพริบวาบราวกับดวงวิญญาณสีเขียวจำนวนหนึ่งติดอยู่ตามจุดต่าง  ๆ  ของผนังด้านข้าง  ทำให้ภายในห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย
ยังมีห้องที่แยกตัวออกไปอีกจากทั้ง 
4  ด้านของห้องทดลอง  หานซั่วเข้าไปสำรวจแต่ละห้อง  และพบว่า 
2  ห้องในนั้นเต็มไปด้วยหนังสือและตำรามากมายเกี่ยวกับศาสตร์แห่งความตาย  รวมทั้งบางเล่มที่เป็นเวทมนตร์ธาตุมืด  หนังสือทั้งหมดในนี้มีสภาพเก่าแก่อย่างเห็นได้ชัด  อีกทั้งยังปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ  ซึ่งจำนวนของตำราทั้งหมดในนี้  ก็มีมากกว่าจำนวนหนังสือในหมวดหมู่เวทมนตร์ธาตุมืดของห้องสมุดในวิทยาลัยเสียอีก  และหลายเล่มก็เป็นตำราที่หานซั่วไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
ส่วนอีก  4  ห้องที่เหลือเป็นห้องเก็บวัตถุดิบเวทมนตร์ต่าง  ๆ  ขวดโหลปิดผนึกอย่างแน่นหนา  และแต่ละขวดเต็มไปด้วยของเหลวสีสันต่าง  ๆ  ห่อหุ้มกระดูกรูปทรงแปลกประหลาด  หรือแม้แต่เขี้ยวของสัตว์ที่กำลังส่องแสงเรืองๆอยู่ภายใน
ขณะที่หานซั่วกำลังสำรวจพื้นที่ไปรอบ  ๆ  ลูกแก้วสีเขียวในมือของเขาจู่  ๆ  ก็ส่องแสงสีเขียวสว่างจ้าจนแสบตาวาบไปทั่วห้อง  ทันใดนั้นเอง    เงาดำที่ดูราวกับมวลร่างของวิญญาณก็ก่อร่างขึ้นเหนือสัญลักษณ์มนตรารูปวงกลมที่ตั้งอยู่จุดหนึ่งบนพื้นภายในห้องทดลอง
“ลูกข้า  หากเจ้ามาถึง  และพบกับภาพสะท้อนที่เจ้ากำลังเห็นอยู่นี่  แปลว่าข้าคงกลายเป็นเถ้าธุลีไปเรียบร้อยแล้ว  หากเจ้าต้องการจะเข้าใจในทุกสิ่งเกี่ยวกับสุสานแห่งความตาย  เจ้าต้องตั้งใจและรับฟังในทุกอย่างที่ข้ากำลังจะบอก…”
เงาดำนั้นเป็นเพียงมวลสารบางอย่างที่รวมตัวเข้าด้วยกัน  ไม่ว่าจะเป็นเพราะสายตาของเขาเอง  หรือแสงสว่างจากลูกแก้วสีเขียว  หานซั่วก็ไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์เดิมของร่างนั่นได้  เสียงที่ไม่ชัดเจนนั้นยังคงค่อย  ๆ  เปล่งแต่ละคำออกมาด้วยความยากลำบาก
แม้หานซั่วจะตกใจในทีแรก  แต่เขาก็เข้าใจทันทีว่านี่คือวิธีที่เหล่านักเวทย์ใช้ในการทิ้งข้อความบางอย่างเอาไว้  โดยใช้ 
มนตร์ภาพสะท้อน 
   เพื่อให้เข้าใจความหมายของคำทุกคำที่ได้ยินอย่างถูกต้อง  หานซั่วรีบเพ่งสมาธิและตั้งใจฟังทุกประโยคของเสียงนั้นอย่างใจจดใจจ่อ
“ก่อนอื่น  เจ้าต้องรู้ว่าสุสานแห่งความตายถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายในยุคสมัยของข้า  เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย  สุสานแห่งความตายสามารถเคลื่อนย้ายได้  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงทุกสิ่งอย่างภายในสถานที่แห่งนี้  วันนั้น 
เจ้าจะพบว่าเจ้าได้ครอบครองเมืองที่น่าพรั่นพรึงแห่งหนึ่งเลยทีเดียว…”
เสียงเล็ก  ๆ  นั้นอธิบายต่อไปอย่างไม่รู้จบ  หานซั่วเพ่งสมาธิและตั้งใจฟังคำอธิบายอย่างเชื่องช้า   จนกระทั่งเสียงนั้นพูดขึ้นว่า
“…เจ้าจะได้พบข้าอีกในชั้นถัดไป”
แล้วเงาสีดำนั้นก็หายวับไปในพริบตา
นอกจากชั้นบนดินที่มีมิติเวทมนตร์เคลื่อนย้ายบนพื้นกลางโถงใหญ่ของสุสานแห่งความตายแล้ว  ยังมีชั้นที่อยู่ลึกลงไปอีก  2  ชั้น  นอกเหนือจากชั้นของห้องสมุดและห้องทดลองในชั้นที่หานซั่วกำลังยืนอยู่นี้  และหากต้องการล่วงรู้ถึงความลับทั้งหมดของสุสานแห่งความตาย  เขาต้องลงไปยัง  2  ชั้นเบื้องล่างที่ว่าเช่นกัน  หานซั่วเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดจากเงาดำ  และก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อได้รู้ว่า  แท้จริงแล้ว 
สุสานแห่งความตายเป็นปราสาทที่สามารถเคลื่อนย้ายได้  อีกทั้งยังเป็นปราสาทที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ 



ภาพ Fan Art จริงของ “สุสานแห่งความตาย” จากเว็บแปล GDK ภาษาอังกฤษ  Big thanks to etvo!

ลูกแก้วสีเขียวเปรียบเสมือนกุญแจที่ไขเข้าสู่สุสานแห่งความตาย  ซึ่งมีดวงจิตปีศาจของนักเวทย์ผู้ใช้ความตายคนหนึ่งบรรจุอยู่ภายใน  หากคนธรรมดาสัมผัสลูกแก้วลูกนี้  พวกเขาเหล่านั้นจะไม่สามารถหนีพ้นจากจิตที่แทรกแซงของลูกแล้ว  และในที่สุด 
ก็จะกลายเป็นเพียงผีดิบที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะอีกต่อไป  เว้นแต่ว่าผู้สัมผัสจะเป็นนักเวทย์ผู้ใช้ความตายเท่านั้น
แม้ตอนนั้นหานซั่วจะเป็นเพียงนักเวทย์ฝึกหัด  แต่เพราะเขามีเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายแฝงอยู่ในตัว  จึงนับว่าเคราะห์ยังดีที่ครั้งนั้นเขาไม่ถูกคำสาปของลูกแก้วสูบพลังไปเสียก่อน  และหากในตอนนั้นเขามีพลังจิตที่อ่อนแอกว่านั้น  อีกทั้งยังปราศจากผลของแก่นมนตรา  เขาอาจตายไปแล้วก็ได้
พลังอันน่ามหัศจรรย์ของแก่นมนตราแตกต่างจากพลังงานทุกชนิดบนโลกนี้  และมันก็ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อตอนที่จิตของเขาถูกรุกล้ำโดยพลังจิตของลูกแก้วสีเขียว  อีกทั้งยังช่วยหานซั่วในการเพิ่มปริมาณพลังจิตได้ด้วยเหตุผลที่น่างุนงงเกินกว่าจะเข้าใจ  ทำให้เขาได้รับผลตอบแทนเป็นพลังจิตปริมาณมากแลกกับการแบกรับความเจ็บปวดที่ทรมานเกินกว่ามนุษย์ผู้ใดจะทานทน  และนี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้สรรค์สร้างลูกแก้วสีเขียวลูกนี้ไม่ได้คิดฝันถึงมาก่อนด้วยก็เป็นได้
จากการอธิบายของเงาดำ  หานซั่วยังรับข้อมูลที่ค่อนข้างจำกัด  ดูเหมือนว่าคำอธิบายที่ละเอียดลึกซึ้งกว่าจะอยู่ในอีกชั้นที่ลึกลงไป  เขานิ่งเงียบและคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยหนังสือและตำรามากมายอีกครั้ง
ตำราเวทมนตร์ถือเป็นแก่นสารสำคัญของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย  เป็นผลผลิตของกาลเวลาที่สั่งสมมาในยามที่เวทมนตร์แขนงนี้รุ่งโรจน์ถึงขีดสุด  พวกมันจึงถือเป็นสมบัติล้ำค่าของหานซั่ว  แม้วิทยาลัยจะมีตำราต่าง  ๆ  อยู่ค่อนข้างมาก  แต่ตำราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์แห่งความตายอย่างแท้จรืงกลับมีน้อยมาก  ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงความรู้พื้นฐานสำหรับนักเวทย์ระดับเริ่มต้นและระดับกลางเท่านั้น  และเล่มที่มีเนื้อหาเวทมนตร์ระดับสูงก็มีเพียงไม่กี่เล่ม
เขาพลิกหน้าตำราเล่มต่าง  ๆ  ที่ฝุ่นจับหนาเตอะในทั้งสองห้อง  หานซั่วถึงกับถอนหายใจด้วยความปลาบปลื้มยินดี  เพราะตำราเวทมนตร์ของที่นี่เรียกได้ว่าเหนือกว่าตำราของห้องสมุดที่วิทยาลัยแทบทุกด้าน  ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพหรือปริมาณ
ชิ้นในนั้น  เป็นม้วนตำราชุด  เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย ”  ที่แบ่งเป็นระดับพื้นฐาน  ระดับกลาง  และระดับสูง 
พวกมันถูกจัดวางอยู่ในที่  ๆ  เด่นสะดุดตา 
และดูเหมือนว่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมากเป็นพิเศษ  เพราะบรรจุอยู่ในกล่องมนตรา  จึงทำให้พวกมันดูค่อนข้างใหม่  และไม่สลายไปตามกาลเวลาแม้จะล่วงเลยมานานกว่า 
100  ปี
ม้วนตำรา  ศาสตร์แห่งความตาย ”  ระดับพื้นฐานนั้นค่อนข้างหนา 
หานซั่วอ่านดูแล้วพบว่าเนื้อหาภายในครอบคลุมรายละเอียดยิบย่อยเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง  ครอบคลุมตั้งแต่จุดกำเนิด  ไปจนถึงแก่นของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายที่แท้จริง  องค์ความรู้ที่บรรจุในม้วนตำราก็ค่อนข้างแตกต่างจากที่สอนในวิทยาลัย  และหลายอย่างที่บันทึกไว้ล้วนเป็นสิ่งที่หานซั่วไม่เคยได้ยินมาก่อน
มีลายมือจดบันทึกย่อเอาไว้ในแต่ละหน้าโดยเริ่มตั้งแต่กลางเล่มเป็นต้นไป  ซึ่งจะระบุรายละเอียดเพิ่มเติมของเนื้อหาบางช่วงตอนในบทนั้น  ๆ  แต่ดูเหมือนว่าตำราทั้ง  เล่มจะเป็นเนื้อหาที่มีเอกลักษณ์ลึกซึ้ง  เมื่อหานซั่วลองอ่านตำราระดับเริ่มต้นและระดับกลางดู  เขาก็ยังไม่เข้าใจเนื้อหาหลายอย่างแม้จะมีจดบันทึกย่อช่วยอธิบายเพิ่มก็ตาม
หานซั่วแทบไม่เข้าใจแม้จะอ่านไปได้เพียงเนื้อหาครึ่งแรกของตำราระดับพื้นฐาน  และโชคไม่ดี 
เนื้อหาส่วนที่ไม่มีลายมือจดบันทึกย่อเอาไว้ก็ยิ่งยากเกินกว่าจะเข้าใจ  บางที  ผู้เขียนตำราเล่มนี้อาจจะรู้สึกว่าผู้อ่านไม่จำเป็นต้องอาศัยบันทึกย่อเพื่อเข้าใจเนื้อหาพื้นฐานก็ได้  จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ทิ้งคำอธิบายใด  ๆ  ไว้เลย
หลังจากคิดไปได้ครู่หนึ่ง  หานซั่วก็ตัดสินใจเริ่มที่ตำราเล่มแรก  โดยตั้งใจว่าจะใช้ตำราชุด  เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย ”  เป็นตำราเล่มหลัก  และจะค่อย  ๆ  ศึกษาและฝึกฝนไปเรื่อย  ๆ  เมื่อตัดสินใจแล้ว  หานซั่วก็ใช้ลูกแก้วสีเขียวอีกครั้งเพื่อออกจากชั้นนี้  ขึ้นไปยังชั้นบนดิน  และเพราะไม่ได้รับผลกระทบใด  ๆ  จากม่านพลัง  ทำให้เขาเริ่มศึกษาตำราเล่มนั้นทันที  โดยลืมแม้แต่จะทานอาหารหรือนอนหลับพักผ่อน
หานซั่วศึกษาตำรา  ศาสตร์แห่งความตาย ”  เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน  จนในที่สุดก็เข้าใจทุกถ้อยคำในเนื้อหา  จากการศึกษาตำราชุดนี้  ทำให้หานซั่วรู้เรื่องต่างๆมากขึ้น  ทั้งองค์ความรู้และบทคาถาต่าง  ๆ  ที่สอนอยู่ในวิทยาลัยปัจจุบันนั้นตื้นเขินยิ่งกว่าสิ่งที่อธิบายอยู่ในตำรานี้มากมายนัก
แม้กระทั่งมนตร์ ปีศาจ ที่หานซั่วไม่มีทางได้เรียนรู้จากแฟนนี่
เวทย์ชุบศพ ”  ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย  เป็นการใช้เวทมนตร์เพื่อเปลี่ยนศพของมนุษย์ที่ตายไปให้กลายเป็นผีดิบ  เพื่อสู้รบตามความปรารถนาของผู้ร่ายเวทย์  และยิ่งมีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่  ก็จะสามารถสร้างกองทัพผีดิบที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น
เวทย์เสริมแกร่งความตาย ”  อีกหนึ่งบทคาถาในมนตร์ปีศาจ  เมื่อใดก็ตามที่เวทมนตร์นี้ถูกร่ายขึ้น  ทั้งความแข็งแกร่งในการสู้รบ  และความว่องไวของอสูรมิติมืดที่อัญเชิญมาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลภายใต้กระโจมมนตราคล้ายม่านพลังโปร่งแสงที่เสกครอบคลุมพื้นที่วงกว้างรอบตัวผู้ร่าย  อีกทั้งยังลดพลังต่อสู้ของศัตรูที่อยู่ภายขอบเขตของเวทมนตร์นี้อีกด้วย
ยังมีเวทมนตร์อีกเป็นจำนวนมากที่คล้ายคลึงกันกับ  เวทย์ชุบศพ ”  และ  เวทย์เสริมแกร่งความตาย ”  ซึ่งระบุเป็นรายการไว้ในตำรา 
อีกทั้งยังกล่าวว่าเวทมนตร์เหล่านี้ได้สูญหายไปเป็นเวลานาน  และยังไม่มีนักเวทย์ผู้ใช้ความตายคนใดใช้เวทย์เหล่านี้ได้  แต่ก็ยังมีรายละเอียดทั้งหมดระบุอยู่ในตำรา 
เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย ”  เล่มนี้
หานซั่วรู้ทันทีว่าเขาได้เลือกสมบัติล้ำค่าขึ้นมาได้ถูกชิ้นเลยทีเดียว  หากตำรา 
เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย ”  เล่มนี้เผยแพร่ออกไป  อาจเปลี่ยนแปลงสถานะปัจจุบันของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตาย  อีกทั้งยังเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาให้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  และในที่สุด 
ความน่าพรั่นพรึงของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายก็จะถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง
เขาศึกษาตำราเวทมนตร์พื้นฐานทั้งสองอย่างจริงจังเป็นเวลาเกือบสิบวัน   แต่โชคร้ายสำหรับ  “เวทย์ชุบศพ”  เพราะหานซั่วไม่มีศพให้ใช้ฝึก  และ  “เวทย์เสริมแกร่งความตาย”  ก็เป็นเวทย์ที่ขั้นสูงกว่า  ซึ่งหานซั่วก็ยังมีพลังจิตไม่เพียงพอที่จะฝึกร่ายได้
แต่ระหว่างการฝึกฝนในช่วงนี้ 
ก็ทำให้หานซั่วเชี่ยวชาญใน  ”เวทย์คมหอกกระดูก”  มากขึ้น 
แม้แต่การอัญเชิญนักรบผีดิบก็เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง  เพียงแต่ยังพบความต้านทานบางอย่างขณะพยายามสื่อสารกับอีกมิติหนึ่ง
เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว  จึงน่าจะเป็นเวลาที่คมมีดพิชิตมารเสร็จสมบูรณ์พอดี  หานซั่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง  ก่อนจะออกจากสุสานแห่งความตายพร้อมกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก  โดยคอยหลบเลี่ยงสัตว์วิเศษระดับ  3  ขึ้นไปที่เจอระหว่างทางด้วยความระมัดระวัง  เขาล่าสัตว์วิเศษที่ระดับต่ำกว่านั้นมาจำนวนหนึ่งและนำมันติดตัวไปด้วย  ก่อนจะเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านคนแคระ
ระหว่างทางนั้นเอง  ตอนที่หานซั่วใกล้ถึงทางเข้าหมู่บ้าน  เขาก็ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันดังขึ้น  หานซั่วตกใจและรีบเร่งความเร็วทันที  ทะลุผ่านแมกไม้และพุ่มไม้หนาแน่นไปพร้อมกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเพื่อมุ่งตรงไปยังที่มาของเสียง
อสูรกินคนกว่า  20  ตนและก็อบลินร่วม  100  ตนกำลังโอบล้อมเหล่าคนแคระ  ในขณะที่เหล่าคนแคระต่างถืออาวุธใหม่เอี่ยมอยู่ในมือ  และดูคมกริบกว่ามากเมื่อเทียบกับอาวุธที่อสูรกินคนและก็อบลินกำลังใช้อยู่  ซึ่งดาบที่ตีขึ้นอย่างหยาบ  ๆ  และกระบองไม้ที่เป็นอาวุธของพวกก็อบลินล้วนแตกพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันทีเมื่อปะทะเข้ากับเหล่าคนแคระ 
และเพราะความเหนือชั้นกว่าในอาวุธของพวกเขานี้เอง  ที่ทำให้พวกคนแคระซึ่งเสียเปรียบด้านจำนวนเป็นอย่างมากกลับยืนหยัดต้านทานการต่อสู้ได้จนถึงตอนนี้  หมู่บ้านคนแคระด้านหลังอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก  ซึ่งพวกเขาทำไม่ได้กระทั่งถอยร่นเข้าไป  เพราะจะเป็นการเปิดเผยตำแหน่งของหมู่บ้าน  และจะทำให้พวกผู้หญิงและเด็กตกอยู่ในอันตราย
เมื่อหานซั่วเห็นภาพเหตุการณ์นั้น 
เขาก็รู้สึกเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที 
หน้าไม้เตรียมพร้อมในมือของเขาขณะวิ่ง 
และส่งลูกดอกออกไปจำนวนหนึ่งพุ่งแทรกผ่านอากาศ  ก่อนจะยิงใส่อสูรกินคนตนหนึ่งและก็อบลินอีก  2  ตนจนร่วงลงไป  ดูเหมือนเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเองก็สามารถสัมผัสความโกรธของหานซั่วได้จากเบื้องลึกในจิตใจ  มันจึงรีบร่อนไปด้านหน้า  และเดือยกระดูกทั้ง  7  ชิ้นบนหลังของมันก็พุ่งออกไปทุกทิศทาง  เสียบแทงร่างของเหล่าอสูรกินคนและก็อบลินทั้งหลายพร้อมกับเสียงวัตถุแทรกผ่านอากาศที่แหลมบาดหู
“โอ้  หานนี่นา  เขามาแล้ว !
เบ็นเน็ตต์ชูกระบองเหล็กขึ้นสูงขณะถูกรายล้อมไปด้วยก็อบลิน  5-6  ตัว  และร้องอุทานด้วยความประหลาดใจทันทีที่เห็นหานซั่ว
ราวกับหมาป่าที่กระโจนเข้าไปในฝูงแกะ  การมาถึงของหานซั่วและเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเปิดฉากสังหารทันที  แม้แต่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็เกรี้ยวกราดมากกว่าปกติ  เดือยกระดูกทั้ง  7  ชิ้นบินฉวัดเฉวียนไปมาท่ามกลางฝูงมนุษย์กินคนและก็อบลิน  ทำให้พวกมันต่างบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
ส่วนหานซั่วเอง  ก็รีบอัญเชิญนักรบโครงกระดูกออกมาอีกจำนวนหนึ่ง  แล้วพวกมันก็กวัดแกว่งกริชกระดูกในมือพร้อมวิ่งเข้าใส่พวกวายร้ายเหล่านั้น  ในขณะที่หานซั่วยังคงยืนมั่นอยู่กับที่  เพ่งสมาธิไปที่ซากศพของอสูรกินคนและก็อบลินที่ตายไป  และเริ่มร่าย 
“เวทย์ชุบศพ”  ทันที
แม้จะร่ายเวทย์ล้มเหลวไปหลายครั้ง 
แต่หานซั่วยังคงยืนอยู่ที่เดิม  และพยายามร่ายเวทย์ซ้ำอยู่เรื่อย  ๆ  จนในที่สุดก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่าคนแคระ  ที่อยู่ 
ๆ  ร่างของศพที่เพิ่งตายไป  กลับลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง
ตอนนั้นเอง  ร่างของก็อบลินที่มีลูกดอกหน้าไม้เสียบทะลุอกก็ลุกขึ้นยืนทันทีที่หานซั่วร่ายเวทย์เสร็จ  มันหยิบกระบองเหล็กขึ้นมา  ก่อนจะเดินโซเซไปโจมตีก็อบลินอีกตัวที่ยังมีชีวิตและอยู่ข้าง  ๆ  มันทันที  เมื่อพอใจกับความสำเร็จไปหนึ่งอย่าง  หานซั่วก็สงบจิตใจและพยายามทบทวนประสบการณ์ที่เพิ่งเรียนรู้มาเมื่อครู่  ก่อนจะเริ่มร่าย  “เวทย์ชุบศพ”  อีกครั้งทันที
แล้วเขาก็ประสบความสำเร็จอีกครั้ง 
คราวนี้เป็นซากศพของอสูรกินคน  ด้วยพลัง  “เวทย์ชุบศพ”
  ของหานซั่ว  ศพของอสูรกินคนและก็อบลินประมาณ  5-6  ตัวก็ลุกขึ้นมา  ชูอาวุธในมือของมันตามคำสั่งของหานซั่ว  และเริ่มโจมตีพวกที่ยังมีชีวิตอยู่ทันที
เมื่อเหล่าอสูรกินคนและก็อบลินเจอเข้ากับปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้  ก็สร้างความหวาดผวาแก่พวกมันทุกตนทันที  อีกทั้งยังประหลาดใจสุดขีดเมื่อเห็นสหายร่วมรบที่ตายไปแล้วของพวกมันอยู่ดี  ๆ  ก็ฟื้นและลุกขึ้นมาโจมตีพวกเดียวกันเอง  พวกมันพูดบางอย่างขึ้นมาในภาษาของตัวเองและชี้มาที่หานซั่วด้วยความตระหนก  แล้วพวกมันก็แตกฮือกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทางเพื่อหนีเอาชีวิตรอด
แม้แต่เหล่าคนแคระที่อยู่ด้านหลังยังรู้สึกหวาดกลัว   ทุกคนต่างมองหานซั่วด้วยสายตาแปลก 
ๆ  แตกต่างจากเดิมที่เคยมอง  หานซั่วเองก็นิ่งอึ้งคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง  ก่อนที่จะเริ่มตั้งสติได้  เขารีบถอนเวทมนตร์ออกทันที  แล้วร่างของเหล่าอสูรกินคนและก็อบลินที่ชุบขึ้นมาทุกตนก็ร่วงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
“หาน  เวทมนตร์ของเจ้าช่างชั่วร้ายเหลือเกิน  แม้แต่พวกเรายังรู้สึกหวาดกลัวเอามาก  ๆ  เลย”
เบ็นเน็ตต์เดินเข้ามาหาหานซั่วอย่างลังเล
หานซั่วรู้ดีว่า  “เวทย์ชุบศพ”  เป็นมนตร์ปีศาจที่ชั่วร้ายจริง  ๆ  และยากที่คนธรรมดาทั่วไปจะยอมรับได้  เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป
“เบ็นเน็ตต์  ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านครับ  แต่ที่ข้าทำไป 
ทั้งหมดก็เพื่อช่วยพวกท่านทุกคนให้ได้เท่านั้นเอง”
“พวกเราเข้าใจดี  ขอบคุณนะ  หาน  แต่ไม่ว่ายังไง  เวทมนตร์ประเภทนี้ก็ยากเกินรับได้จริง  ๆ  นั่นแหละ  ขนาดพวกอสูรกินคนกับก็อบลินจอมชั่วร้ายพวกนั้นยังกลัวเจ้าแทบตาย  ฮ่าฮ่าฮ่า 
ไปกันเถอะ  อาวุธของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ  เราจะได้มอบให้เจ้าทันทีที่พวกเรากลับถึงหมู่บ้าน”
“พวกท่านสร้างมันเสร็จแล้ว !
หานซั่วตื่นเต้นดีใจทันทีที่รู้ว่าคมมีดพิชิตมารของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขารีบตามหลังกลุ่มคนแคระและตรงไปยังหมู่บ้านคนแคระพร้อมกัน
เมื่อเดือยกระดูก  7  ชิ้นกลับมาติดกับหลังของมันอีกครั้ง  เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กไม่ได้ตามหานซั่วกลับไปยังหมู่บ้านคนแคระด้วย  แต่มันยังคงอยู่ที่เดิมตามคำสั่งของหานซั่วเพื่อค้นหาของจากศพของพวกที่ตายด้วยความชำนาญเช่นเคย
หานซั่วตามคาลวินกลับมายังหมู่บ้าน 
และมาถึงยังสถานที่ซึ่งคมมีดพิชิตมารถูกสร้างขึ้น
“หาน  นี่คืออาวุธที่พวกเราสร้างตามความต้องการของเจ้า  คิดว่าอย่างไรบ้าง?  เจ้าพอใจกับมันมั้ย?
เบ็นเน็ตต์ใช้ค้อนในมือชี้ไปที่อาวุธที่วางอยู่ด้านข้าง  ขณะพูดกับหานซั่ว
คมมีดพิชิตมารมีความยาว  2  ฟุต  พร้อมด้วยแสงสีเงินที่ส่องเป็นประกายตามขอบคมของมัน  ตัวมีดเป็นสีน้ำตาลเข้มที่มีหนาม  3  แง่งยื่นออกมาตรงปลายแหลม  และค่อนข้างหนักเมื่อถืออยู่ในมือของเขา
หานซั่วถือคมมีดพิชิตมารและเพิ่งมองมันอย่างพินิจพิจารณา  ก่อนจะลองแทงใส่หินลับมีดที่วางอยู่ด้านล่างอย่างกะทันหัน  แล้วคมมีดพิชิตมารก็แทงจมลึกลงไปในหินลับมีดก้อนนั้นอย่างง่ายดาย
หานซั่วพยักหน้า  และมองคาลวินที่กำลังดูกระวนกระวายด้วยความพอใจ
“ท่านผู้เฒ่า  ขอบคุณที่ช่วยสร้างมันขึ้นมาครับ  ข้าถูกใจอาวุธชิ้นนี้จริง  ๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า  ถ้าเจ้าชอบมันข้าก็ดีใจ  อาวุธชิ้นนี้หล่อหลอมขึ้นจากการผสมผสานกันของทั้งเหล็กสีนิล  เหล็กไหล 
และแร่หายากอีกกว่า  10  ชนิด  แม้แต่ข้าเองก็พอใจกับอาวุธชิ้นนี้มากเช่นกัน”
คาลวินถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปที่คมมีดพิชิตมารขณะพูดกับหานซั่ว
“พวกท่านเองก็ระมัดระวังตัวกันให้ดีนะครับ  ช่วงนี้พวกอสูรกินคนกับก็อบลินอาจจะมาปรากฏตัวแถวนี้อีกก็ได้  ข้าคงไปไม่นาน 
และจะรีบนำเสบียงอาหารสำหรับฤดูหนาวกลับมา 
ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
หลังจากย้ำเตือนเหล่าคนแคระแล้ว 
หานซั่วก็รีบกลับไปยังสุสานแห่งความตายทันที  เพื่อโคจรแก่นมนตราภายในร่าง  เขาใช้เลือดสด 
ๆ  ของตัวเองเป็นแก่นสารสำคัญแทนวงโคจรสำหรับคมมีดพิชิตมาร  และเฝ้าหล่อหลอมอาวุธต่อไปอีกเป็นเวลาถึง  3  วัน  3  คืน  ตามความทรงจำที่ชูชางหลานทิ้งไว้  เพื่อให้เลือดของหานซั่วผสมผสานรวมกันกับแก่นมนตรา  และซึมซาบเข้าสู่คมมีดพิชิตมารในที่สุด
สามวันผ่านไป  หานซั่วทั้งเหนื่อยล้าและอ่อนแรง  เพราะแก่นมนตราในร่างใกล้จะเหือดแห้งเต็มที  ในขณะที่คมมีดพิชิตมารที่เดิมทีเคยเป็นสีน้ำตาลเข้ม  กลับกลายเป็นสีแดงเข้ม  หลังจากที่หานซั่วฟื้นฟูแก่นมนตราต่อไปอีก  2  วัน  เขาก็เริ่มฝึกฝน  “กฎปลุกอาคม” 
กับคมมีดพิชิตมารทันที  เพื่อสั่งการอาวุธด้วยจิตของเขา
Note  กันลืม  :    “ กฎปลุกอาคม   คือหลักในการสั่งให้  ขุมพลังเวทมนตร์   โจมตี  เหมือนที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กสั่งกริชกระดูกและเดือยกระดูกทั้ง  7  ชิ้นบนหลัง  (ซึ่งทั้งสองอย่างคือขุมพลังเวทมนตร์ของตัวมันเอง)  ให้โจมตีได้
ระหว่างนั้น  เส้นชีพจรในร่างของหานซั่วจะเจ็บปวดทรมานอยู่เป็นระยะ  วันนี้เขาจึงกัดฟันทนใต้แรงถาโถมอันหนักหน่วงของน้ำตก  เพื่อให้แก่นมนตราเสริมสร้างเส้นชีพจรอย่างต่อเนื่อง  และทันใดนั้นเอง  เขาก็จมดิ่งลงสู่ห้วงจิตปีศาจอีกครั้ง
โดยไม่รับรู้ทั้งเหตุการณ์หรือแม้แต่เวลาว่าล่วงเลยไปนานเพียงใด  หานซั่วค่อย 
ๆ  ลืมตาขึ้น  และพบว่าร่างของเขาจมลงสู่เบื้องลึกของสระน้ำ  เมื่อเขาว่ายกลับขึ้นมาลอยตัวอยู่บนผิวน้ำที่เย็นยะเยือก  เขาก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าคมมีดพิชิตมารหายไปแล้ว  หานซั่วสะดุ้งตกใจ  และต้องการหามันให้พบด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
ทันใดนั้นเอง  แสงสีแดงเข้มแสงหนึ่งกำลังพุ่งตัวขึ้นมาหาหานซั่วจากท้องน้ำเบื้องล่าง  ด้วยคิดว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา  เขาจึงพยายามหาทางหนีทันที  แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในจิตใจ  ราวกับแสงสีแดงเข้มที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาเขานั้นมีความผูกพันกับเขาอย่างน่าประหลาด
หานซั่วนิ่งอึ้งคิดอะไรไม่ออก 
แต่เมื่อความคิดวูบหนึ่งผ่านเข้ามาในหัว 
ทุกอย่างก็กระจ่างทันที  ในหัวของหานซั่วโลดแล่นอย่างรวดเร็ว  ในขณะที่แสงสีแดงเข้มนั้นพุ่งขึ้นไปในอากาศ  หานซั่วซึ่งรับรู้ถึงปลาตัวหนึ่งที่กำลังว่ายอยู่ในน้ำ  และหลังจากคิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นในหัว  ปลาตัวนั้นก็ถูกคมมีดพิชิตมารพุ่งแทงเข้าใส่ทันทีในเวลาเพียงชั่วพริบตา




“ดูเหมือนข้าจะทำสำเร็จแล้วสินะ”
หานซั่วยื่นมือซ้ายออกไป  และคมมีตพิชิตมารก็ลอยขึ้นจากน้ำมาอยู่ในมือของเขา
ระหว่างที่กำลังลองโคจรแก่นมนตรา 
ความเร็วของ  “เวทย์อัคคีเหมันต์”  ก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่าตัวจนหานซั่วตกตะลึง  และทันใดนั้นเอง  เขาก็สัมผัสได้ถึงมวลอากาศเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากคมมีดพิชิตมารในมือซ้ายของเขาที่กำลังหลอมรวมกับพลังจากเวทย์อัคคีเหมันต์    และเป็นเพราะคมมีดพิชิตมารหันปลายแหลมชี้ลงไปที่ผิวน้ำ  ชั้นน้ำแข็งก็ก่อตัวขึ้นบนผิวน้ำทันทีที่สัมผัสมวลอากาศเย็นยะเยือกนั้น
หานซั่วรู้ทันทีว่านั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่าเขาบรรลุ  “อาณาจักรพลังเบิกทาง”   และเข้าสู่  “อาณาจักรพลังหลอมวิญญาณ”  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เขารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างมาก  เพราะหลังจากผ่านอุปสรรคเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย  ผ่านวันคืนที่โหมฝึกฝนจนไม่ได้หลับได้นอนมากมายนับไม่ถ้วน  ในที่สุด 
เขาก็สามารถบรรลุความสำเร็จสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
ในเมื่อพลังเวทมนตร์ของหานซั่วเพิ่มมากขึ้น  และตอนนี้ก็ยังมีคมมีดพิชิตมารที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ในมือ  หานซั่วจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกจากสุสานแห่งความตาย  เพื่อไปกำจัดโกรเวอร์ผู้เป็นศัตรูคู่อาฆาตให้สิ้นซาก
หานซั่วเดินออกจากสุสานบนภูเขาด้านหลังวิทยาลัย  เขาไม่ได้ไปหาฟีบี้ในทันที  แต่เขากลับโหยหาแฟนนี่  เพราะมีคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับความรู้ด้านเวทมนตร์ที่พวกเขาคุยค้างไว้ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งสุดท้าย  และเสียดายที่ตอนนั้นเขารีบกลับไปยังสุสานแห่งความตายทันทีที่ได้รับแร่เหล็กไหลจากฟีบี้โดยไม่ได้แวะมาหาเธอเสียก่อน
ตำรา  “เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย”  ที่เขาพบประกอบไปด้วยความรู้มากมายที่หานซั่วเองก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด  เพราะตำราเล่มนี้ไม่มีลายมืดจดบันทึกย่อช่วยอธิบายเอาไว้มากนัก  ในฐานะนักเวทย์ระดับสูง  แฟนนี่ย่อมมีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า  หานซั่วจึงจดจำหัวข้อที่เขายังไม่เข้าใจ  และหาโอกาสมาพบเพื่อถามเธออีกครั้ง
วิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนถือเป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิของจักรวรรดิ  แม้โกรเวอร์จะเกลียดหานซั่วเข้าไส้  แต่เขาคงไม่บ้าบิ่นพอจะลอบทำร้ายหานซั่วในเขตวิทยาลัยเป็นแน่  เพราะเหล่าอาจารย์ของแต่ละสาขาล้วนแข็งแกร่ง  นอกจากสาขาศาสตร์แห่งความตายแล้ว  อาจารย์ของสาขาอื่น  ๆ  ยิ่งมีบุคลิกตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า  ต่อให้นักฆ่า 
“ปีศาจเงา”  เข้ามาตามหาหานซั่วที่นี่และถูกพบตัว  ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีกลับออกไปแบบยังมีชีวิต
เวลานั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว  เหล่านักเรียนกำลังพักผ่อนและทานมื้อเย็นหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเรียนมาตลอดทั้งวัน  หานซั่วไม่ได้ไปหาแฟนนี่ที่ห้องทดลองในทันที  เพราะกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น  ๆ  มากเกินไป  เขาจึงรอจนท้องฟ้ามืดสนิท  และเดินตรงไปยังอาคารที่แฟนนี่พักอยู่โดยที่ไม่มีใครรู้
หานซั่วเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ของสาขาเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายมาเป็นเวลานาน  และด้วยความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ  จึงรู้ดีว่าแฟนนี่พักอยู่ที่ไหน   หานซั่วลัดเลาะไปตามทางด้วยความชำนาญภายใต้ความมืดของรัตติกาล  ก่อนจะเดินไปยังหอนอนของพวกอาจารย์ที่แฟนนี่พักอาศัยอยู่   

———————————————————–
(0 votes) 0/10
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments