หานซั่วไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ดี ๆ จะเปิดฉากโจมตีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทันทีที่พูดจบเพียงประโยคเดียว ดาบใหญ่นั้นกำลังฟาดฟันลงมา เปลวไฟที่ลุกท่วมดาบเริ่มแผ่รังสีความร้อนมากระทบผิวหนังของเขา
หานซั่วพ่นลมดูถูกอย่างเยือกเย็น ขณะที่คมมีดพิชิตมารปรากฏขึ้นในมือซ้ายของเขาทันที เขาโคจรแก่นมนตราตามหลักของ “เวทย์อัคคีเหมันต์” ทำให้คมมีดพิชิตมารซึ่งมีสีแดงเข้ม กลับเปล่งประกายเป็นแสงสีม่วงจาง ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยไอเย็นยะเยือก
แล้วอุณหภูมิภายในห้องนั้นก็เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทันที ซีกห้องฝั่งที่แคนดิซอยู่นั้นร้อนระอุราวกับอยู่ในกองเพลิง ในขณะที่ฝั่งของหานซั่วกลับเย็นเยียบราวน้ำแข็ง
แต่ทว่า เมื่อทั้งดาบและมีดสั้นยังไม่ทันจะได้ฟาดฟันใส่กัน มวลความร้อนและความเย็นก็ปะทะกันจนเกิดเป็นไอพลุ่งพล่านออกมาเกิดเป็นหมอกหนา แต่สิ่งที่ฟีบี้ประหลาดใจที่สุด ก็คือมวลอากาศหนาวเหน็บสีม่วงของหานซั่วที่แตกต่างจากเวทมนตร์น้ำแข็งทุกอย่างที่เธอเคยพบเห็นมา มวลแสงและความเย็นนั้นดูพริ้วไหวไปมาราวกับมีชีวิต
และเมื่ออาวุธของหานซั่วและแคนดิซปะทะกัน ทั้งเรี่ยวแรงอันหนักหน่วงที่ผสานเข้ากับพลังของออร่าต่อสู้ ดาบใหญ่ของแคนดิซฟาดใส่หานซั่วราวกับค้อนเหล็ก แม้หานซั่วเซจะเซถอยหลังไป 2-3 ก้าว แต่ออร่าต่อสู้ก็ไม่สามารถแผ่ซ่านเข้าสู่คมมีดพิชิตมารได้ง่ายดายนัก และไม่สามารถทำอันตรายหานซั่วได้เลยแม้แต่น้อย
กลับกลายเป็นแคนดิซที่ต้องร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อหมอกควันสีขาวค่อย ๆ จางลง เผยให้เห็นหานซั่วที่กำลังจับจ้องเธอตาเขม็ง ดาบใหญ่ในมือของเธอมีรอยร้าวขนาดใหญ่ เพราะปะทะเข้ากับคมมีดพิชิตมาร
ดูเหมือนว่าแคนดิซจะแข็งแกร่งเทียบเท่านักดาบระดับสูง
ซึ่งพลังของเธอก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นอีกเพราะสามารถใช้เวทย์ธาตุไฟได้ด้วย ดาบใหญ่นั้นก็น่าจะเป็นดาบเวทมนตร์ที่มีคุณภาพสูงไม่ใช่น้อย เพราะสามารถรองรับต่อการผสานเวทย์ธาตุไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าดาบคุณภาพสูงจะถูกอาวุธของหานซั่วทำให้บิ่นได้ถึงเพียงนั้น
เมื่อแคนดิซเหลือบมองไปที่ดาบใหญ่ของตัวเองด้วยความตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว จึงคิดจะสู้ต่อเพื่อให้สาสมกับความเดือดดาลของเธอ ทันใดนั้นเอง
ฟีบี้ซึ่งยืนมองอยู่จากทางด้านข้างก็พูดโพล่งขึ้นมา
“พอได้แล้ว แคนดิซ
จุดแข็งของไบรอันไม่ใช่เรื่องพละกำลังหรอก
ข้าก็บอกไปตั้งนานแล้วนี่ว่าความน่าทึ่งของเขาอยู่ที่ประสาทสัมผัสที่ดีผิดมนุษย์ของเขาต่างหาก”
“แต่เขา – เขาทำดาบเวทมนตร์ของข้าบิ่น
!”
แคนดิซหันขวับไปมองหานซั่วด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะรีบฟ้องฟีบี้
“ไร้สาระ เจ้านั่นแหละไปหาเรื่องเขาก่อนเอง และถ้าเจ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์หุนหันพลันแล่นให้ได้ล่ะก็ เจ้าจะต้องเดือดร้อนเพราะข้อเสียของตัวเองในข้อนี้เข้าสักวัน”
ฟีบี้ชำเลืองมองแคนดิซด้วยท่าทีเอือมระอา แต่ก็พยายามเตือนเธอด้วยความหวังดี แล้วดวงตาคู่งามของฟีบี้ก็หันมามองหานซั่วอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะอุทานด้วยความประหลาดใจ
“นี่คืออาวุธที่เจ้าตั้งใจจะหลอมเมื่อครั้งนั้นเหรอ? ขอข้าดูหน่อยได้มั้ย?”
“ไม่มีอะไรให้ดูหรอก มันก็แค่คมกว่าอาวุธธรรมดาทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
หานซั่วเก็บคมมีดปีศาจกลับไปโดยไม่เปลี่ยนท่าที เพียงแต่ยิ้มให้ฟีบี้เท่านั้น
“เชอะ
!”
ฟีบี้ทำหน้างอนก่อนจะผายมือไปยังแคนดิซ แนะนำเธอให้หานซั่วรู้จัก
“นี่คือแคนดิซ ผู้กองของหน่วยทหารรับจ้างเพลิงสงคราม เป็นเพื่อนของข้าที่รู้จักกันมาได้สักพักนึงแล้ว ถึงจะอารมณ์ร้ายไปหน่อย แต่เธอก็เป็นคนดี อย่าถือสาเธอเลยนะ”
หานซั่วพยักหน้ารับ พลางหันไปมองแคนดิซและยิ้มให้
“ข้าไม่ถือหรอก แต่หวังว่าเจ้าจะไม่คิดแค้นข้านะ ฮ่า ๆ ๆ”
“มันเป็นดาบเวทมนตร์ ไม่ได้เสียหายอะไรมากนักหรอก และข้าเองก็ไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น ฟีบี้ เชิญพวกเจ้าคุยธุระส่วนตัวกันตามสบายเถอะ ข้าจะไปเฝ้ายามที่ประตูข้างนอกล่ะ หวังว่าถ้าไอ้ชั่วโกรเวอร์นั่นโผล่มาเมื่อไหร่ เจ้าคงจะสัมผัสได้จริง ๆ นะ”
แคนดิซหันมามองหานซั่วด้วยสายตาดูถูกดูแคลน ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูทางเข้าพลางมองดาบใหญ่ในมือด้วยท่าทีปวดใจ
เมื่อเห็นแคนดิซเดินออกจากห้องไป หานซั่วก็สัมผัสได้ว่า ถึงแม้แคนดิซจะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เธอก็ไม่ใช่พวกคิดเยอะ หรือเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่อย่างนั้น
เธอคงไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ ขนาดนี้
“รอบนี้ ข้ามาซื้อเสบียงอาหารจากท่านน่ะ แล้วก็อยากจะมาขอให้ช่วยหาที่พักเงียบ ๆ เปลี่ยว ๆ ให้ข้าสักแห่ง ไม่ต้องใหญ่โตอะไร ตราบใดที่มันดีพอจะทำให้ใครก็ตามหาตัวข้าพบได้ไม่ง่ายนัก”
หานซั่วไม่คิดปิดบังอะไรกับฟีบี้อยู่แล้ว จึงมองหน้าเธอพร้อมพูดอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ
“ไม่มีปัญหานี่ ต้องการอาหารมากเท่าไหร่ล่ะ?”
ฟีบี้พูดอย่างเด็ดขาดและไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เธอตอบตกลงก่อนจะถามปริมาณอาหารที่เขาต้องการเสียอีก
“กะว่าให้พอสำหรับคนประมาณ 100 คนที่จะได้เอามาตุนไว้ช่วงฤดูหนาวน่ะ”
หานซั่วตอบ
ฟีบี้มองหานซั่วด้วยสีหน้าแปลก ๆ ทันทีที่เขาพูดจบ เธอจ้องอยู่อย่างนั้นจนหานซั่วเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน เธอจึงถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสับสน
“เจ้าจะเอาเสบียงอาหารสำหรับคน 100 คน ในช่วงฤดูหนาวไปเพื่ออะไรกัน? เจ้าตั้งใจจะย้ายออกจากจักรวรรดิเหรอ?”
หานซั่วส่ายหน้าอย่างขมขื่น เพราะรู้อยู่แล้วว่าฟีบี้จะต้องสงสัยแน่ จึงตอบกลับไป
“อย่าคิดมากเลย ข้าแค่พยายามช่วยเพื่อนที่กำลังลำบากเพราะเรื่องนี้เฉย ๆ น่ะ ไม่ต้องห่วง
ถ้ายังกำจัดโกรเวอร์ไม่ได้ ข้าไม่มีวันออกไปจากจักรวรรดิหรอก”
“งั้นเรื่องเสบียงอาหารก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่เจ้าคงต้องให้เวลาข้าจัดเตรียมสัก 2-3 วัน ส่วนเรื่องที่พักสำหรับกบดาน ข้าไม่แนะนำให้เจ้าแยกตัวออกไปอาศัยอยู่เพียงลำพังในเวลาที่โกรเวอร์กับนักฆ่า “ปีศาจเงา”
เห็นเจ้าเป็นหนามยอกอกแบบนี้ และถ้าข้าหาที่พักให้เจ้าด้วยวิธีของข้า บางทีอาจทำให้โกรเวอร์รู้เบาะแสง่าย ๆ ก็ได้”
“อืม… ถ้าเจ้าไม่รังเกียจล่ะก็ เจ้าอยู่ที่บ้านข้าไปก่อนก็ได้นะ แบบนั้นแล้ว
มีอะไรพวกเราก็จะได้ช่วยเหลือกัน
และถ้าพวกเราจัดการถอดเขี้ยวถอดเล็บโกรเวอร์ได้เมื่อไหร่ ข้าก็ค่อยกลับไปอยู่ที่สมาคมตามเดิม และยกบ้านหลังนี้ให้กับเจ้า คิดว่าไงล่ะ?”
ฟีบี้คิดอยู่ครู่หนึ่งและมองหน้าหานซั่ว
หานซั่วลองใคร่ครวญถึงข้อเสนอของฟีบี้ และรู้สึกว่าที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลทีเดียว อย่างไรก็ตาม
เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะยอมรับบ้านหลังนี้เท่าใดนัก แม้ปัญหาของโกรเวอร์จะหมดไป แต่ก็ยังมีองค์กรลอบสังหารยักใหญ่อย่าง “ปีศาจเงา”
ที่รู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร แต่อย่าเป็นห่วงเลย แม้ว่าโกรเวอร์จะถูกกำจัด แต่ข้าก็สังหรณ์ใจว่า “ปีศาจเงา”
จะตามมารังควานและสร้างปัญหาให้พวกเราอีกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ช่วงหลัง
ๆ มานี่ข้าสามารถควบคุมสมาคมได้อย่างเป็นทางการแล้ว และกำลังรวบรวมหลักฐานเรื่องคดีของท่านพ่อของข้าอยู่ ท่านปู่แอนดรูว์เองก็สนับสนุนข้าอย่างเต็มกำลังเหมือนกัน และท่านปู่แอนดรูว์ยังตามสืบจนเจอชู้รักของโกรเวอร์แล้วด้วยนะ ท่านก็เลยส่งคนไปเอาของพวกนั้นคืนมา ข้าว่าตอนนี้โกรเวอร์เองก็น่าจะเป็นฝ่ายเกรงกลัวพวกเรามากกว่า”
ฟีบี้พูดอธิบายให้หานซั่วคลายกังวล เมื่อเห็นว่าเขานิ่วหน้าเพราะกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
แล้วหานซั่วก็พยักหน้าตอบรับ
“งั้นก็ตกลง ระหว่างนี้
ข้าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน แล้วข้าค่อยออกไปหลังจากที่โกรเวอร์ถูกจัดการจนเรียบร้อยแล้ว”
“เยี่ยมไปเลย ถ้ามีเจ้าอยู่ที่นี่ พวกนักฆ่าชั่วช้านั้นก็คงจะไม่ลอบโจมตีพวกเราอีก”
ฟีบี้ดีใจอย่างเหลือล้นทันทีที่หานซั่วตอบตกลง
ฟีบี้รีบสั่งให้เฟเบียนจัดแจงห้องพักให้เขา ห้องของหานซั่วกว้างขวางมากพอสมควร พร้อมด้วยของใช้ประจำวันอำนวยความสะดวกที่จัดเตรียมไว้ให้อย่างพร้อมสรรพ และมีเพียงผนังห้องที่กั้นกลางระหว่างห้องของเขาและห้องนอนของฟีบี้
กลางดึกคืนนั้น หานซั่วนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่บนเตียง และโคจรแก่นมนตราเพื่อฝึกฝนเวทมนตร์ตามปกติ
อาณาจักรพลังเวทมนตร์ปีศาจของหานซั่วในตอนนี้ บรรลุถึงระดับพลังหลอมวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขั้นนี้นั้น
เป็นกระบวนการในการทำลายขีดจำกัดประสิทธิภาพของสมอง และเมื่อใดก็ตามที่บรรลุระดับอาณาจักรพลังนี้ ทั้งความทรงจำ
ความสามารถในการเข้าใจ และทักษะในการสังเกตของหานซั่วจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลยิ่งกว่าทวีคูณ เรียกว่าสมองของเขาจะฉลาดกว่าคนธรรมดาเลยก็ว่าได้
เว้นเสียแต่ว่า เพราะอาณาจักรพลังนี้เป็นการปลุกความสามารถของจิต จึงมีความเสี่ยงหากทำผิดพลาด
จนส่งผลให้จมดิ่งสู่ห้วงจิตแห่งความสับสน และร่างของผู้ฝึกจะเคลื่อนไหวและตอบสนองทุกอย่างโดยสัญชาติญาณ หากเป็นในกรณีรุนแรง ผู้ฝึกฝนอาจถึงขั้นสูญเสียความทรงจำ หรือกลายเป็นคนมีหลายบุคลิกแม้จะฟื้นตัวจากห้วงจิตนั้นได้แล้วก็ตาม
ขณะนั่งอยู่ที่ขอบเตียง รอบศีรษะของหานซั่วปกคลุมไปด้วยมวลแสงสีดำจาง ๆ ราวกับก้อนเมฆดำทะมึนที่คอยส่งประกายแสงวาบของฟ้าแล่บอันน่าอัศจรรย์ออกมาอยู่เรื่อย ๆ
เขาอยู่ในภาวะนี้นานเท่าใดไม่มีใครล่วงรู้ แต่แล้วหานซั่วก็ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจลงและตื่นขึ้นทันทีด้วยใจที่หวาดกลัว หลังจากที่รู้ถึงความน่าสยดสยองของผลจากการฝึก “อาณาจักรพลังหลอมวิญญาณ” แล้ว หานซั่วก็ฝึกฝนทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น และเขาจะเลือกช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุดในการฝึกเสมอ เพราะไม่กล้าให้ใครบังเอิญเข้ามารบกวนเขาในระหว่างการฝึก
เมื่อฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็รู้ตัวว่าตนเองยังอยู่ในสภาพจิตใจที่ดี จึงเริ่มเข้าฌานด้วยความระมัดระวังอีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะเพิ่มพูนปริมาณพลังจิตผ่านการทำเช่นนั้น แต่ทันใดนั้นเอง หัวของหานซั่วก็สั่นเทิ้มราวกับถูกกระแทก แล้วพลังจิตของหานซั่วก็เริ่มโลดแล่นอย่างปั่นป่วนด้วยความเร็วที่เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัวจากความเร็วในระดับปกติตามสิ่งที่หานซั่วคิด
พลังงานแห่งความตาย
อบอวลอยู่ในทุกพื้นที่ระหว่างสวรรค์และโลก ซึ่งหานซั่วสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการใช้ประโยชน์จากพลังจิตในครั้งนี้ ทำให้เขาสามารถซึมซับพลังงานแห่งความตายเข้าไปอย่างช้า ๆ แม้กระทั่งสัมผัสได้ว่ากระบวนการในการซึมซับพลังงานแห่งความตายไม่สามารถกระทำได้ด้วยการร่ายเวทมนตร์ด้วยวิธีปกติทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
การเข้าฌานในครั้งนี้ราวกับทำให้หานซั่วเข้าสู่โลกใหม่ที่น่าตกตะลึง หานซั่วรู้สึกอย่างชัดเจนว่าพลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าแต่ก่อน แม้ว่าปริมาณที่เพิ่มขึ้นจะเทียบไม่ได้กับตอนที่ใช้ “เนตรอสูร”
แต่พลังจิตที่ได้มาจากการเข้าฌานก็ทั้งบริสุทธิ์ สะอาด และปราศจากความเจ็บปวดใด ๆ
เมื่อหานซั่วตื่นขึ้นจากฌาน เขาก็นึกย้อนไปถึงอาณาจักรพลังเวทมนตร์ปีศาจ 2 อาณาจักรแรก ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเส้นชีพจร และกระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในขณะที่อาณาจักรพลัง “หลอมวิญญาณ”
นี้ จะมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ตามปกติแล้ว
การเข้าฌานของนักเวทย์ทั่วไป จะเป็นการรวบรวมพลังจิตที่อยู่ภายในหัวเท่านั้น แต่ไม่เคยฝึกกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงนี้ หากสมองของหานซั่วพัฒนาขึ้นจนถึงระดับสูง แปลว่าการรวบรวมพลังจิตในสมองของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเช่นกัน อันจะนำไปสู่ผลพลอยได้จากการฝึกฝนเวทมนตร์ที่ไร้ซึ่งปริมาณจำกัดได้ในอนาคต
“จริงด้วย ดูเหมือนว่าการฝึกฝนเวทมนตร์ปีศาจที่เหมือนกัน แต่มาจาก
2 โลกที่แตกต่างกัน กลับเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี ต่อให้ข้าไม่มี “เนตรอสูร”
ปริมาณพลังจิตที่ข้าจะได้จากการเข้าฌานก็มากกว่านักเวทย์ทั่วไปตั้งมากมายแล้วนะนี่”
หานซั่วดีอกดีใจขณะพึมพำกับตัวเอง
“ฟีบี้ เจ้าชอบไอ้หนุ่มนั่นจริง ๆ เหรอ?”
ในตอนนั้นเอง เสียงพูดคุยเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากห้องข้าง ๆ
แม้ว่าบ้านหลังนี้จะค่อนข้างกันเสียงได้ดีในระดับหนึ่ง หากเป็นคนอื่นทั่วไปล่ะก็ คงยากเกินกว่าจะฟังบทสนทนาจากห้องข้าง ๆ ได้ชัดเจน แต่เพราะหานซั่วไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ประสาทหูที่พิเศษผิดมนุษย์ของเขาทำให้สามารถได้ยินเสียงพึมพำของหญิงสาวสองคนกลางดึกที่เงียบสงัดเช่นนี้ได้อย่างชัดเจน
“แคนดิซ พูดเรื่องไร้สาระอะไรของเจ้าน่ะ? ไบรอันก็แค่เคยช่วยข้าไว้ พวกเราเป็นแค่เพื่อนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันได้ก็เท่านั้นเอง”
ฟีบี้พยายามเบาเสียงอย่างที่สุดขณะเถียงกลับไป
“แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นแค่เพื่อนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเฉย ๆ ล่ะก็ ทำไมเจ้าถึงได้คอยปกป้องหรือออกตัวแทนเขาอยู่เรื่อย แถมยังชื่นชมเขามากซะขนาดนั้นล่ะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าทั้งคู่รึไง? จากสัญชาติญาณของทหารรับจ้างประสบการณ์สูงอย่างข้า เจ้าน่ะ
ปฏิบัติกับเขาต่างจากคนอื่นจริง ๆ นะ
!”
“จริง ๆ นะ มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ พวกเราเองก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีแล้ว ข้าจะโกหกเจ้าทำไม ออ…จริงสิ
ว่าแต่เจ้าคิดยังไงเกี่ยวกับไบรอันล่ะ?”
“เจ้าหมายความว่าไง?”
“คำเดียวเลย – พิลึก
! ทั้งทักษะประหลาด ๆ ทั้งดาบพิลึกพิลั่นในมือ และยังภูมิหลังของเขาอีก ทุกอย่างดูแปลกไปหมด ข้าว่าคน
ๆ นี้ต้องมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ ข้าว่าควรระวังตัวไว้ดีกว่านะ”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้าเรื่องนั้นซะหน่อย เรื่องนั้นน่ะข้ารู้มาตั้งนานแล้ว… ไม่ต้องให้เจ้ามาย้ำเตือนข้าหรอก แต่ที่ถามน่ะ
คือเจ้าคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหนต่างหาก”
น้ำเสียงของฟีบี้แปลกไปเล็กน้อย และถามแคนดิซอีกครั้ง
“หืมมม… แล้วไหนบอกว่าพวกเจ้าเป็นแค่เพื่อนกันเฉย ๆ ข้าไม่เห็นว่าเจ้าเคยใส่ใจเพื่อนคนอื่นของเจ้าขนาดนี้มาก่อนเลยนี่นะ รวม ๆ แล้วก็ถือว่าดูดีแหละ แต่ก็ไม่ได้หล่อหรือมีเสน่ห์มากมายอะไรขนาดนั้น ส่วนข้ออื่นยังสัมผัสอะไรไม่ได้เท่าไหร่ แต่จากที่เจ้าเคยเล่าให้ฟัง ไม่เห็นเป็นแบบที่เจ้าพูดเลย ที่ว่า
เลวทราม เห็นแก่ตัว
หรือแม้แต่บ้ากามขั้นเทพอะไรนั่นน่ะ”
หานซั่วได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ และกำลังสาปส่งแคนดิซอยู่ในใจอยู่แล้ว เมื่อปีศาจปฐมภูมิที่กำลังสอดแนมอยู่สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของนักฆ่าที่อยู่ไกลออกไป
ครั้งนี้ มีนักฆ่ามาด้วยกันทั้งหมด 10 คน ทุกคนล้วนแต่งกายในชุดดำ ในขณะที่ร่างเหล่านั้นกำลังลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งเป็นความสามารถระดับจอมขมังเวทย์ขึ้นไป และด้วยการมองเห็นผ่านปีศาจปฐมภูมิ หานซั่วเห็นว่าแม้แต่โกรเวอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ ด้วยสีหน้าระแวดระวังสุดขีด พร้อมด้วยสมุนรอบกาย ทั้งเอลลิสและคนอื่น ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ราวกับว่าโกรเวอร์ต้องการทุ่มทุกอย่างที่มีอย่างสุดตัวด้วยการเสี่ยงทอยลูกเต๋าเพียงครั้งเดียว เพื่อให้ฟีบี้ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้อีก
ปีศาจปฐมภูมิทั้ง 3 ตนเปลี่ยนทิศทางในทันทีตามคำสั่งของหานซั่ว เพื่อหลบเลี่ยงการรับรู้ในระยะพลังจิตของจอมขมังเวทย์ผู้นั้น พร้อมทั้งรับรู้และประเมินความแข็งแกร่งและจำนวนของผู้บุกรุกที่กำลังใกล้เข้ามา เวลานั้นใกล้รุ่งเช้าเต็มที เหล่าทหารยามกำลังรวมตัวกันอย่างแน่นหนาในพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองซึ่งกินเวลาหลายนาที ทำให้เป็นเวลาที่ระดับการรักษาความปลอดภัยในบริเวณบ้านที่ฟีบี้พักอยู่หละหลวมมากที่สุด ราวกับว่าคนพวกนี้คิดวางแผนการและสำรวจพื้นที่มาเป็นอย่างดีทีเดียว
หานซั่วประเมินความแข็งแกร่งของกลุ่มคนในฝั่งเขาบ้าง และความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างก็รบกวนจิตใจ เพราะเขาไม่สามารถรับรู้ถึงบทสนทนาภายในห้องของฟีบี้และแคนดิซอีกแล้ว เขารีบออกจากห้องด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้ และใช้เท้าถีบประตูห้องให้เปิดออก ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปข้างในทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
……………………………………….