I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Great Demon King ตอนที่ 83 ตัวตนที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน

| Great Demon King | 847 | 2366 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป



หานซั่วไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ดี  ๆ  จะเปิดฉากโจมตีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทันทีที่พูดจบเพียงประโยคเดียว  ดาบใหญ่นั้นกำลังฟาดฟันลงมา  เปลวไฟที่ลุกท่วมดาบเริ่มแผ่รังสีความร้อนมากระทบผิวหนังของเขา

หานซั่วพ่นลมดูถูกอย่างเยือกเย็น  ขณะที่คมมีดพิชิตมารปรากฏขึ้นในมือซ้ายของเขาทันที  เขาโคจรแก่นมนตราตามหลักของ  “เวทย์อัคคีเหมันต์”  ทำให้คมมีดพิชิตมารซึ่งมีสีแดงเข้ม  กลับเปล่งประกายเป็นแสงสีม่วงจาง  ๆ  ที่ปกคลุมไปด้วยไอเย็นยะเยือก   แล้วอุณหภูมิภายในห้องนั้นก็เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทันที  ซีกห้องฝั่งที่แคนดิซอยู่นั้นร้อนระอุราวกับอยู่ในกองเพลิง  ในขณะที่ฝั่งของหานซั่วกลับเย็นเยียบราวน้ำแข็ง
แต่ทว่า  เมื่อทั้งดาบและมีดสั้นยังไม่ทันจะได้ฟาดฟันใส่กัน  มวลความร้อนและความเย็นก็ปะทะกันจนเกิดเป็นไอพลุ่งพล่านออกมาเกิดเป็นหมอกหนา  แต่สิ่งที่ฟีบี้ประหลาดใจที่สุด  ก็คือมวลอากาศหนาวเหน็บสีม่วงของหานซั่วที่แตกต่างจากเวทมนตร์น้ำแข็งทุกอย่างที่เธอเคยพบเห็นมา  มวลแสงและความเย็นนั้นดูพริ้วไหวไปมาราวกับมีชีวิต 
และเมื่ออาวุธของหานซั่วและแคนดิซปะทะกัน  ทั้งเรี่ยวแรงอันหนักหน่วงที่ผสานเข้ากับพลังของออร่าต่อสู้  ดาบใหญ่ของแคนดิซฟาดใส่หานซั่วราวกับค้อนเหล็ก  แม้หานซั่วเซจะเซถอยหลังไป  2-3  ก้าว  แต่ออร่าต่อสู้ก็ไม่สามารถแผ่ซ่านเข้าสู่คมมีดพิชิตมารได้ง่ายดายนัก  และไม่สามารถทำอันตรายหานซั่วได้เลยแม้แต่น้อย
กลับกลายเป็นแคนดิซที่ต้องร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ  เมื่อหมอกควันสีขาวค่อย  ๆ  จางลง  เผยให้เห็นหานซั่วที่กำลังจับจ้องเธอตาเขม็ง  ดาบใหญ่ในมือของเธอมีรอยร้าวขนาดใหญ่  เพราะปะทะเข้ากับคมมีดพิชิตมาร
ดูเหมือนว่าแคนดิซจะแข็งแกร่งเทียบเท่านักดาบระดับสูง     ซึ่งพลังของเธอก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นอีกเพราะสามารถใช้เวทย์ธาตุไฟได้ด้วย  ดาบใหญ่นั้นก็น่าจะเป็นดาบเวทมนตร์ที่มีคุณภาพสูงไม่ใช่น้อย  เพราะสามารถรองรับต่อการผสานเวทย์ธาตุไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แต่ใครจะไปคาดคิดว่าดาบคุณภาพสูงจะถูกอาวุธของหานซั่วทำให้บิ่นได้ถึงเพียงนั้น
เมื่อแคนดิซเหลือบมองไปที่ดาบใหญ่ของตัวเองด้วยความตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว  จึงคิดจะสู้ต่อเพื่อให้สาสมกับความเดือดดาลของเธอ  ทันใดนั้นเอง 
ฟีบี้ซึ่งยืนมองอยู่จากทางด้านข้างก็พูดโพล่งขึ้นมา
“พอได้แล้ว  แคนดิซ 
จุดแข็งของไบรอันไม่ใช่เรื่องพละกำลังหรอก 
ข้าก็บอกไปตั้งนานแล้วนี่ว่าความน่าทึ่งของเขาอยู่ที่ประสาทสัมผัสที่ดีผิดมนุษย์ของเขาต่างหาก”
“แต่เขา  –  เขาทำดาบเวทมนตร์ของข้าบิ่น !
แคนดิซหันขวับไปมองหานซั่วด้วยความไม่พอใจ  ก่อนจะรีบฟ้องฟีบี้
“ไร้สาระ  เจ้านั่นแหละไปหาเรื่องเขาก่อนเอง  และถ้าเจ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์หุนหันพลันแล่นให้ได้ล่ะก็    เจ้าจะต้องเดือดร้อนเพราะข้อเสียของตัวเองในข้อนี้เข้าสักวัน”
ฟีบี้ชำเลืองมองแคนดิซด้วยท่าทีเอือมระอา  แต่ก็พยายามเตือนเธอด้วยความหวังดี  แล้วดวงตาคู่งามของฟีบี้ก็หันมามองหานซั่วอย่างสนอกสนใจ  ก่อนจะอุทานด้วยความประหลาดใจ
“นี่คืออาวุธที่เจ้าตั้งใจจะหลอมเมื่อครั้งนั้นเหรอ?  ขอข้าดูหน่อยได้มั้ย?”
“ไม่มีอะไรให้ดูหรอก  มันก็แค่คมกว่าอาวุธธรรมดาทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
หานซั่วเก็บคมมีดปีศาจกลับไปโดยไม่เปลี่ยนท่าที  เพียงแต่ยิ้มให้ฟีบี้เท่านั้น
“เชอะ !
ฟีบี้ทำหน้างอนก่อนจะผายมือไปยังแคนดิซ  แนะนำเธอให้หานซั่วรู้จัก
“นี่คือแคนดิซ  ผู้กองของหน่วยทหารรับจ้างเพลิงสงคราม    เป็นเพื่อนของข้าที่รู้จักกันมาได้สักพักนึงแล้ว  ถึงจะอารมณ์ร้ายไปหน่อย  แต่เธอก็เป็นคนดี  อย่าถือสาเธอเลยนะ”
หานซั่วพยักหน้ารับ  พลางหันไปมองแคนดิซและยิ้มให้
“ข้าไม่ถือหรอก  แต่หวังว่าเจ้าจะไม่คิดแค้นข้านะ  ฮ่า  ๆ  ๆ”
“มันเป็นดาบเวทมนตร์  ไม่ได้เสียหายอะไรมากนักหรอก  และข้าเองก็ไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น  ฟีบี้  เชิญพวกเจ้าคุยธุระส่วนตัวกันตามสบายเถอะ  ข้าจะไปเฝ้ายามที่ประตูข้างนอกล่ะ  หวังว่าถ้าไอ้ชั่วโกรเวอร์นั่นโผล่มาเมื่อไหร่  เจ้าคงจะสัมผัสได้จริง  ๆ  นะ”
แคนดิซหันมามองหานซั่วด้วยสายตาดูถูกดูแคลน  ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูทางเข้าพลางมองดาบใหญ่ในมือด้วยท่าทีปวดใจ
เมื่อเห็นแคนดิซเดินออกจากห้องไป  หานซั่วก็สัมผัสได้ว่า  ถึงแม้แคนดิซจะเป็นคนอารมณ์ร้อน  แต่เธอก็ไม่ใช่พวกคิดเยอะ  หรือเจ้าคิดเจ้าแค้น  ไม่อย่างนั้น 
เธอคงไม่ปล่อยเขาไปง่าย  ๆ  ขนาดนี้
“รอบนี้  ข้ามาซื้อเสบียงอาหารจากท่านน่ะ  แล้วก็อยากจะมาขอให้ช่วยหาที่พักเงียบ  ๆ  เปลี่ยว  ๆ  ให้ข้าสักแห่ง  ไม่ต้องใหญ่โตอะไร  ตราบใดที่มันดีพอจะทำให้ใครก็ตามหาตัวข้าพบได้ไม่ง่ายนัก”
หานซั่วไม่คิดปิดบังอะไรกับฟีบี้อยู่แล้ว  จึงมองหน้าเธอพร้อมพูดอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ
“ไม่มีปัญหานี่  ต้องการอาหารมากเท่าไหร่ล่ะ?”
ฟีบี้พูดอย่างเด็ดขาดและไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย  เธอตอบตกลงก่อนจะถามปริมาณอาหารที่เขาต้องการเสียอีก
“กะว่าให้พอสำหรับคนประมาณ  100  คนที่จะได้เอามาตุนไว้ช่วงฤดูหนาวน่ะ”
หานซั่วตอบ
ฟีบี้มองหานซั่วด้วยสีหน้าแปลก  ๆ  ทันทีที่เขาพูดจบ  เธอจ้องอยู่อย่างนั้นจนหานซั่วเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน  เธอจึงถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสับสน
“เจ้าจะเอาเสบียงอาหารสำหรับคน  100  คน  ในช่วงฤดูหนาวไปเพื่ออะไรกัน?  เจ้าตั้งใจจะย้ายออกจากจักรวรรดิเหรอ?”
หานซั่วส่ายหน้าอย่างขมขื่น  เพราะรู้อยู่แล้วว่าฟีบี้จะต้องสงสัยแน่  จึงตอบกลับไป
“อย่าคิดมากเลย  ข้าแค่พยายามช่วยเพื่อนที่กำลังลำบากเพราะเรื่องนี้เฉย  ๆ  น่ะ  ไม่ต้องห่วง 
ถ้ายังกำจัดโกรเวอร์ไม่ได้  ข้าไม่มีวันออกไปจากจักรวรรดิหรอก”
“งั้นเรื่องเสบียงอาหารก็ไม่มีปัญหาหรอก  แต่เจ้าคงต้องให้เวลาข้าจัดเตรียมสัก  2-3  วัน  ส่วนเรื่องที่พักสำหรับกบดาน  ข้าไม่แนะนำให้เจ้าแยกตัวออกไปอาศัยอยู่เพียงลำพังในเวลาที่โกรเวอร์กับนักฆ่า  “ปีศาจเงา” 
เห็นเจ้าเป็นหนามยอกอกแบบนี้  และถ้าข้าหาที่พักให้เจ้าด้วยวิธีของข้า  บางทีอาจทำให้โกรเวอร์รู้เบาะแสง่าย  ๆ  ก็ได้”
“อืม…  ถ้าเจ้าไม่รังเกียจล่ะก็  เจ้าอยู่ที่บ้านข้าไปก่อนก็ได้นะ  แบบนั้นแล้ว 
มีอะไรพวกเราก็จะได้ช่วยเหลือกัน
    และถ้าพวกเราจัดการถอดเขี้ยวถอดเล็บโกรเวอร์ได้เมื่อไหร่  ข้าก็ค่อยกลับไปอยู่ที่สมาคมตามเดิม  และยกบ้านหลังนี้ให้กับเจ้า  คิดว่าไงล่ะ?”
ฟีบี้คิดอยู่ครู่หนึ่งและมองหน้าหานซั่ว
หานซั่วลองใคร่ครวญถึงข้อเสนอของฟีบี้  และรู้สึกว่าที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลทีเดียว  อย่างไรก็ตาม 
เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะยอมรับบ้านหลังนี้เท่าใดนัก  แม้ปัญหาของโกรเวอร์จะหมดไป  แต่ก็ยังมีองค์กรลอบสังหารยักใหญ่อย่าง  “ปีศาจเงา” 
ที่รู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร  แต่อย่าเป็นห่วงเลย  แม้ว่าโกรเวอร์จะถูกกำจัด  แต่ข้าก็สังหรณ์ใจว่า  “ปีศาจเงา” 
จะตามมารังควานและสร้างปัญหาให้พวกเราอีกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  ช่วงหลัง 
ๆ  มานี่ข้าสามารถควบคุมสมาคมได้อย่างเป็นทางการแล้ว  และกำลังรวบรวมหลักฐานเรื่องคดีของท่านพ่อของข้าอยู่  ท่านปู่แอนดรูว์เองก็สนับสนุนข้าอย่างเต็มกำลังเหมือนกัน  และท่านปู่แอนดรูว์ยังตามสืบจนเจอชู้รักของโกรเวอร์แล้วด้วยนะ  ท่านก็เลยส่งคนไปเอาของพวกนั้นคืนมา  ข้าว่าตอนนี้โกรเวอร์เองก็น่าจะเป็นฝ่ายเกรงกลัวพวกเรามากกว่า”
ฟีบี้พูดอธิบายให้หานซั่วคลายกังวล  เมื่อเห็นว่าเขานิ่วหน้าเพราะกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
แล้วหานซั่วก็พยักหน้าตอบรับ
“งั้นก็ตกลง  ระหว่างนี้ 
ข้าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน  แล้วข้าค่อยออกไปหลังจากที่โกรเวอร์ถูกจัดการจนเรียบร้อยแล้ว”
“เยี่ยมไปเลย  ถ้ามีเจ้าอยู่ที่นี่  พวกนักฆ่าชั่วช้านั้นก็คงจะไม่ลอบโจมตีพวกเราอีก”
ฟีบี้ดีใจอย่างเหลือล้นทันทีที่หานซั่วตอบตกลง
ฟีบี้รีบสั่งให้เฟเบียนจัดแจงห้องพักให้เขา  ห้องของหานซั่วกว้างขวางมากพอสมควร  พร้อมด้วยของใช้ประจำวันอำนวยความสะดวกที่จัดเตรียมไว้ให้อย่างพร้อมสรรพ  และมีเพียงผนังห้องที่กั้นกลางระหว่างห้องของเขาและห้องนอนของฟีบี้
กลางดึกคืนนั้น  หานซั่วนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่บนเตียง  และโคจรแก่นมนตราเพื่อฝึกฝนเวทมนตร์ตามปกติ
อาณาจักรพลังเวทมนตร์ปีศาจของหานซั่วในตอนนี้  บรรลุถึงระดับพลังหลอมวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ในขั้นนี้นั้น 
เป็นกระบวนการในการทำลายขีดจำกัดประสิทธิภาพของสมอง  และเมื่อใดก็ตามที่บรรลุระดับอาณาจักรพลังนี้  ทั้งความทรงจำ 
ความสามารถในการเข้าใจ  และทักษะในการสังเกตของหานซั่วจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลยิ่งกว่าทวีคูณ  เรียกว่าสมองของเขาจะฉลาดกว่าคนธรรมดาเลยก็ว่าได้
เว้นเสียแต่ว่า  เพราะอาณาจักรพลังนี้เป็นการปลุกความสามารถของจิต  จึงมีความเสี่ยงหากทำผิดพลาด   จนส่งผลให้จมดิ่งสู่ห้วงจิตแห่งความสับสน  และร่างของผู้ฝึกจะเคลื่อนไหวและตอบสนองทุกอย่างโดยสัญชาติญาณ  หากเป็นในกรณีรุนแรง  ผู้ฝึกฝนอาจถึงขั้นสูญเสียความทรงจำ  หรือกลายเป็นคนมีหลายบุคลิกแม้จะฟื้นตัวจากห้วงจิตนั้นได้แล้วก็ตาม
ขณะนั่งอยู่ที่ขอบเตียง  รอบศีรษะของหานซั่วปกคลุมไปด้วยมวลแสงสีดำจาง  ๆ  ราวกับก้อนเมฆดำทะมึนที่คอยส่งประกายแสงวาบของฟ้าแล่บอันน่าอัศจรรย์ออกมาอยู่เรื่อย  ๆ
เขาอยู่ในภาวะนี้นานเท่าใดไม่มีใครล่วงรู้  แต่แล้วหานซั่วก็ค่อย  ๆ  ผ่อนลมหายใจลงและตื่นขึ้นทันทีด้วยใจที่หวาดกลัว  หลังจากที่รู้ถึงความน่าสยดสยองของผลจากการฝึก  “อาณาจักรพลังหลอมวิญญาณ”  แล้ว  หานซั่วก็ฝึกฝนทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น  และเขาจะเลือกช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุดในการฝึกเสมอ  เพราะไม่กล้าให้ใครบังเอิญเข้ามารบกวนเขาในระหว่างการฝึก
เมื่อฝึกฝนเสร็จสิ้นแล้ว  เขาก็รู้ตัวว่าตนเองยังอยู่ในสภาพจิตใจที่ดี  จึงเริ่มเข้าฌานด้วยความระมัดระวังอีกครั้ง  ด้วยหวังว่าจะเพิ่มพูนปริมาณพลังจิตผ่านการทำเช่นนั้น  แต่ทันใดนั้นเอง  หัวของหานซั่วก็สั่นเทิ้มราวกับถูกกระแทก  แล้วพลังจิตของหานซั่วก็เริ่มโลดแล่นอย่างปั่นป่วนด้วยความเร็วที่เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัวจากความเร็วในระดับปกติตามสิ่งที่หานซั่วคิด
พลังงานแห่งความตาย     อบอวลอยู่ในทุกพื้นที่ระหว่างสวรรค์และโลก  ซึ่งหานซั่วสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการใช้ประโยชน์จากพลังจิตในครั้งนี้    ทำให้เขาสามารถซึมซับพลังงานแห่งความตายเข้าไปอย่างช้า  ๆ  แม้กระทั่งสัมผัสได้ว่ากระบวนการในการซึมซับพลังงานแห่งความตายไม่สามารถกระทำได้ด้วยการร่ายเวทมนตร์ด้วยวิธีปกติทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
การเข้าฌานในครั้งนี้ราวกับทำให้หานซั่วเข้าสู่โลกใหม่ที่น่าตกตะลึง  หานซั่วรู้สึกอย่างชัดเจนว่าพลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าแต่ก่อน  แม้ว่าปริมาณที่เพิ่มขึ้นจะเทียบไม่ได้กับตอนที่ใช้  “เนตรอสูร” 
แต่พลังจิตที่ได้มาจากการเข้าฌานก็ทั้งบริสุทธิ์  สะอาด  และปราศจากความเจ็บปวดใด  ๆ
เมื่อหานซั่วตื่นขึ้นจากฌาน  เขาก็นึกย้อนไปถึงอาณาจักรพลังเวทมนตร์ปีศาจ  2  อาณาจักรแรก  ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเส้นชีพจร  และกระดูกส่วนต่าง  ๆ  ของร่างกาย  ในขณะที่อาณาจักรพลัง  “หลอมวิญญาณ” 
นี้  จะมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง  ตามปกติแล้ว 
การเข้าฌานของนักเวทย์ทั่วไป  จะเป็นการรวบรวมพลังจิตที่อยู่ภายในหัวเท่านั้น  แต่ไม่เคยฝึกกับส่วนอื่น  ๆ  ของร่างกาย
เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงนี้  หากสมองของหานซั่วพัฒนาขึ้นจนถึงระดับสูง  แปลว่าการรวบรวมพลังจิตในสมองของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเช่นกัน  อันจะนำไปสู่ผลพลอยได้จากการฝึกฝนเวทมนตร์ที่ไร้ซึ่งปริมาณจำกัดได้ในอนาคต
“จริงด้วย  ดูเหมือนว่าการฝึกฝนเวทมนตร์ปีศาจที่เหมือนกัน  แต่มาจาก 
2  โลกที่แตกต่างกัน  กลับเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี  ต่อให้ข้าไม่มี  “เนตรอสูร” 
ปริมาณพลังจิตที่ข้าจะได้จากการเข้าฌานก็มากกว่านักเวทย์ทั่วไปตั้งมากมายแล้วนะนี่”
หานซั่วดีอกดีใจขณะพึมพำกับตัวเอง
“ฟีบี้  เจ้าชอบไอ้หนุ่มนั่นจริง  ๆ  เหรอ?”
ในตอนนั้นเอง  เสียงพูดคุยเบา  ๆ  ก็ดังขึ้นจากห้องข้าง  ๆ 
แม้ว่าบ้านหลังนี้จะค่อนข้างกันเสียงได้ดีในระดับหนึ่ง  หากเป็นคนอื่นทั่วไปล่ะก็  คงยากเกินกว่าจะฟังบทสนทนาจากห้องข้าง  ๆ  ได้ชัดเจน  แต่เพราะหานซั่วไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป  ประสาทหูที่พิเศษผิดมนุษย์ของเขาทำให้สามารถได้ยินเสียงพึมพำของหญิงสาวสองคนกลางดึกที่เงียบสงัดเช่นนี้ได้อย่างชัดเจน
“แคนดิซ  พูดเรื่องไร้สาระอะไรของเจ้าน่ะ?  ไบรอันก็แค่เคยช่วยข้าไว้  พวกเราเป็นแค่เพื่อนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันได้ก็เท่านั้นเอง”
ฟีบี้พยายามเบาเสียงอย่างที่สุดขณะเถียงกลับไป
“แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ  ถ้าเป็นแค่เพื่อนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเฉย  ๆ  ล่ะก็  ทำไมเจ้าถึงได้คอยปกป้องหรือออกตัวแทนเขาอยู่เรื่อย  แถมยังชื่นชมเขามากซะขนาดนั้นล่ะ  มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าทั้งคู่รึไง?  จากสัญชาติญาณของทหารรับจ้างประสบการณ์สูงอย่างข้า  เจ้าน่ะ 
ปฏิบัติกับเขาต่างจากคนอื่นจริง  ๆ  นะ
!
“จริง  ๆ  นะ  มันไม่มีอะไรเลยจริง  ๆ  พวกเราเองก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีแล้ว  ข้าจะโกหกเจ้าทำไม  ออ…จริงสิ 
ว่าแต่เจ้าคิดยังไงเกี่ยวกับไบรอันล่ะ?”
“เจ้าหมายความว่าไง?”
“คำเดียวเลย  –  พิลึก !  ทั้งทักษะประหลาด  ๆ  ทั้งดาบพิลึกพิลั่นในมือ  และยังภูมิหลังของเขาอีก  ทุกอย่างดูแปลกไปหมด  ข้าว่าคน 
ๆ  นี้ต้องมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่  ข้าว่าควรระวังตัวไว้ดีกว่านะ”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้าเรื่องนั้นซะหน่อย  เรื่องนั้นน่ะข้ารู้มาตั้งนานแล้ว…  ไม่ต้องให้เจ้ามาย้ำเตือนข้าหรอก  แต่ที่ถามน่ะ 
คือเจ้าคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหนต่างหาก”
น้ำเสียงของฟีบี้แปลกไปเล็กน้อย  และถามแคนดิซอีกครั้ง
“หืมมม…  แล้วไหนบอกว่าพวกเจ้าเป็นแค่เพื่อนกันเฉย  ๆ  ข้าไม่เห็นว่าเจ้าเคยใส่ใจเพื่อนคนอื่นของเจ้าขนาดนี้มาก่อนเลยนี่นะ  รวม  ๆ  แล้วก็ถือว่าดูดีแหละ  แต่ก็ไม่ได้หล่อหรือมีเสน่ห์มากมายอะไรขนาดนั้น  ส่วนข้ออื่นยังสัมผัสอะไรไม่ได้เท่าไหร่  แต่จากที่เจ้าเคยเล่าให้ฟัง  ไม่เห็นเป็นแบบที่เจ้าพูดเลย  ที่ว่า   เลวทราม  เห็นแก่ตัว 
หรือแม้แต่บ้ากามขั้นเทพอะไรนั่นน่ะ”
หานซั่วได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ  และกำลังสาปส่งแคนดิซอยู่ในใจอยู่แล้ว  เมื่อปีศาจปฐมภูมิที่กำลังสอดแนมอยู่สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของนักฆ่าที่อยู่ไกลออกไป
ครั้งนี้  มีนักฆ่ามาด้วยกันทั้งหมด  10  คน  ทุกคนล้วนแต่งกายในชุดดำ  ในขณะที่ร่างเหล่านั้นกำลังลอยอยู่ในอากาศ  ซึ่งเป็นความสามารถระดับจอมขมังเวทย์ขึ้นไป  และด้วยการมองเห็นผ่านปีศาจปฐมภูมิ  หานซั่วเห็นว่าแม้แต่โกรเวอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้  ๆ  ด้วยสีหน้าระแวดระวังสุดขีด  พร้อมด้วยสมุนรอบกาย  ทั้งเอลลิสและคนอื่น  ๆ  ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ  ราวกับว่าโกรเวอร์ต้องการทุ่มทุกอย่างที่มีอย่างสุดตัวด้วยการเสี่ยงทอยลูกเต๋าเพียงครั้งเดียว  เพื่อให้ฟีบี้ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้อีก
ปีศาจปฐมภูมิทั้ง  3  ตนเปลี่ยนทิศทางในทันทีตามคำสั่งของหานซั่ว  เพื่อหลบเลี่ยงการรับรู้ในระยะพลังจิตของจอมขมังเวทย์ผู้นั้น  พร้อมทั้งรับรู้และประเมินความแข็งแกร่งและจำนวนของผู้บุกรุกที่กำลังใกล้เข้ามา  เวลานั้นใกล้รุ่งเช้าเต็มที    เหล่าทหารยามกำลังรวมตัวกันอย่างแน่นหนาในพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองซึ่งกินเวลาหลายนาที    ทำให้เป็นเวลาที่ระดับการรักษาความปลอดภัยในบริเวณบ้านที่ฟีบี้พักอยู่หละหลวมมากที่สุด  ราวกับว่าคนพวกนี้คิดวางแผนการและสำรวจพื้นที่มาเป็นอย่างดีทีเดียว
หานซั่วประเมินความแข็งแกร่งของกลุ่มคนในฝั่งเขาบ้าง  และความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างก็รบกวนจิตใจ  เพราะเขาไม่สามารถรับรู้ถึงบทสนทนาภายในห้องของฟีบี้และแคนดิซอีกแล้ว  เขารีบออกจากห้องด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้  และใช้เท้าถีบประตูห้องให้เปิดออก  ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปข้างในทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

……………………………………….
(0 votes) 0/10
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments