หานซั่ว ฟีบี้ และแคนดิซ เดินเข้าไปในบ้านที่ทั้งสกปรกและมีสภาพทรุดโทรมหลังหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาก็พบว่าภายในกลับสะอาดเรียบร้อย ของประดับตกแต่งบางชิ้นนับว่าหรูหรา ไม่น่าเชื่อว่าบ้านที่มีสภาพภายนอกแบบนั้น ภายในจะเกินจินตนาการได้ถึงเพียงนี้
หลังจากที่เข้าไปภายในตัวบ้านแล้ว แคนดิซก็รีบปิดประตูให้แน่นทันที แต่ประตูกลับส่งเสียงเอี๊ยดดังลั่นที่แม้แต่เธอก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนเสียงนั่นได้ แคนดิซจึงรีบชักดาบใหญ่ออกมาในท่าเตรียมพร้อมทันที
“แคนดิซ ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้ ท่านอาที่รักของข้าไม่รู้จักทั้งศาสตร์การต่อสู้หรือเวทมนตร์อะไร ครั้งนี้เขาหนีพวกเราไม่รอดหรอก”
ฟีบี้ดึงผ้าคาดหน้าออกจนเผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามจนน่าตกตะลึงของเธอ เธอนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ ขณะมองไปยังห้องที่ประตูเปิดอ้าอยู่ด้วยสายตาเย็นชา
หานซั่วสำรวจบริเวณรอบ ๆ โดยใช้พลังของปีศาจปฐมภูมิ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีบุคคลน่าสงสัยอื่น ๆ อยู่อีก เขาจึงรินน้ำอุ่นให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง ก่อนจะดื่มอย่างกระหาย
แล้วโกรเวอร์ก็เดินออกมาจากห้องที่ประตูเปิดอ้าอยู่ด้วยสีหน้าสลดหดหู่ เขาหัวเราะอย่างสิ้นหวังขณะมองหน้าฟีบี้
“หลานรัก คิดไม่ถึงเลยนะ ว่าเจ้าจะมีพลังแข็งแกร่งมากมายถึงขนาดนี้ แล้วนี่คาร่าถูกเจ้ากำจัดไปแล้วงั้นรึ?”
ฟีบี้สะดุ้งและมองโกรเวอร์ด้วยความประหลาดใจทันที
“เปล่าค่ะ ข้าเพิ่งค้นพบที่นี่”
“ไว้ชีวิตคาร่าเถอะ
แล้วอาจะให้ทุกอย่างที่หลานต้องการ รวมถึงชีวิตของอาด้วย”
เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดนี้ โกรเวอร์รู้ดีว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหนีให้พ้นจากความตาย เขาจึงปล่อยวางซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
“ข้าขอโทษค่ะ แต่คาร่าไม่ได้อยู่กับข้า และถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านปู่แอนดรูว์น่าจะส่งคนมาที่นี่เพื่อพาตัวเธอไปแล้ว ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินความเป็นความตายของเธอหรอกค่ะ”
ฟีบี้สั่นศีรษะขณะจ้องมองโกรเวอร์ด้วยสายตาเย็นชา และถามเขาอีกครั้ง
“ท่านเป็นคนฆ่าท่านพ่อของข้าใช่มั้ยคะ?”
“ใช่ อาเป็นคนวางยาพิษเขาเอง ในเมื่อหลานรู้หมดแล้วทุกอย่าง อาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก เจ้าอยากรู้อะไรอีกรึเปล่าล่ะ?”
สีหน้าของโกรเวอร์ไร้ซึ่งความรู้สึก เขาพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ
หานซั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ จนสัมผัสได้ถึงรังสีความกราดเกรี้ยวแผ่ซ่านออกมาจากตัวของฟีบี้ เธอค่อย
ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และมองมาที่หานซั่วและแคนดิซ
“ข้าอยากคุยกับท่านอาของข้าตามลำพัง ไบรอัน
พวกเจ้าช่วยออกไปรอข้าข้างนอกก่อนได้มั้ย?”
หานซั่วพยักหน้า ก่อนจะวางถ้วยชาในมือลง และออกจากห้องไปพร้อมกับแคนดิซ โดยเดินไปตามโถงทางเดินสู่ประตูทางเข้าที่อยู่ห่างออกไป
“นี่ ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ?”
แคนดิซคาดเดาทีท่าของหานซั่วหลังจากที่เดินออกจากตัวบ้านแล้ว และถามเขาอย่างอดไม่ได้ทันที
ตอนนั้นเอง หานซั่วกำลังก้มหน้าก้มตาคิดใคร่ครวญถึงที่มาที่ไปของดุ๊คอยู่ เมื่อได้ยินคำถามของแคนดิซ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความสับสน
แคนดิซค่อนข้างสูงกว่าเด็กสาวทั่วไป ผิวพรรณไม่ได้ขาวซีด
หากแต่เป็นสีน้ำตาลแดงแบบผู้ที่กรำแดดมาเป็นเวลานานหลายปี ร่างกายของเธอกระชับแน่น ในขณะที่หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่โตจนราวกับจะระเบิดออกมานอกเสื้อเกราะเสียให้ได้ ต้นขาดูทรงพลังและแข็งแกร่ง โดยรวมแล้ว
เป็นผู้หญิงที่ยากจะรับมือราวกับม้าป่าจอมพยศที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด
“เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ?”
หานซั่วไม่ได้มีทีท่าเป็นมิตรกับแคนดิซนัก แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดชังอะไรเธอมากมาย
“เจ้ารู้ตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของพวกนักฆ่าอย่างชัดเจนขนาดนั้นได้ยังไง ราวกับว่าเจ้ามองเห็นทุกอย่างได้ด้วยตาของตัวเองเลย?”
ความสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งยวดปรากฏบนใบหน้าของแคนดิซขณะถามและจ้องมองหานซั่วเพื่อเฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ
“มีเวทมนตร์บทหนึ่งที่เรียกว่า “เวทย์ดวงเนตรแห่งนภา” เจ้าน่าจะเคยได้ยินใช่มั้ย?
วิธีของข้าก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ เพียงแต่จะต่างออกไปนิดหน่อย ซึ่งข้าคงบอกรายละเอียดเจ้าไม่ได้หรอกนะ”
หานซั่วหันขวับไปมองเธอและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ถ้าระดับจอมขมังเวทย์ถึง 2 คนยังตรวจจับเวทมนตร์ของเจ้าไม่ได้ มันก็น่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ เจ้าสอนวิธีนั้นให้พวกข้าได้มั้ย? ถ้าหน่วยทหารรับจ้างของเราใช้วิธีนี้ได้บ้างล่ะก็ คงเพิ่มอัตราความสำเร็จในภารกิจของพวกเราได้อย่างมหาศาล แล้วพวกเราก็จะได้ผลตอบแทนเพิ่มอีกมากโขเลยด้วยล่ะ
!”
“ข้ารู้มาว่าเจ้าเองก็เป็นพ่อค้านี่นา เสนอราคามาได้เลย ไม่ว่าจะสูงแค่ไหนพวกเราก็จะลองต่อรองดู แต่รูปแบบการจ่ายเงินของเราจะเป็นการทำงานให้นะ ตราบใดที่เป็นเรื่องที่หน่วยทหารรับจ้างของพวกเราทำได้ล่ะก็”
แคนดิซมองหานซั่วด้วยดวงตาเป็นประกาย และพูดกับเขาด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง
แต่ทว่า หานซั่วส่ายศีรษะ และปฏิเสธแคนดิซไปอย่างอย่างเด็ดขาด
“เสียใจด้วย แต่ของบางอย่างข้าก็ขายให้ไม่ได้จริง ๆ ข้าขอโทษนะ แคนดิซ”
“งั้นเจ้าจะมาเข้าร่วมหน่วยทหารรับจ้างเพลิงสงครามกับเรามั้ยล่ะ? ในฐานะรองหัวหน้าหน่วย ข้าสามารถอนุมัติการสมัครของเจ้าได้ในทันทีเลย ด้วยระดับความแข็งแกร่งอย่างเจ้าแล้ว รับรองว่าคงทำให้หน่วยของเราประสบความสำเร็จจนบรรยายไม่ถูกเลยเชียวล่ะ
!”
แคนดิซดูเหมือนจะรู้ดีอยู่แล้วว่ายังไง ๆ หานซั่วก็ต้องปฏิเสธเธอ จึงไม่มีท่าทีผิดหวังเลยแม้แต่น้อย จึงลองชวนเขาให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในหน่วยของเธอแทน
“ข้าเสียใจ แต่ตอนนี้ข้าคงต้องขอผ่านก่อนน่ะ”
หานซั่วปฏิเสธอย่างสุภาพอีกครั้ง
“ตกลง งั้นถ้าเจ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ก็อย่าลืม
“หน่วยทหารรับจ้างเพลิงสงคราม” ของพวกเราล่ะ ถึงตอนนั้น
ข้าจะอ้าแขนต้อนรับด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งเลย”
แคนดิซให้คำมั่นอย่างจริงจัง
ในตอนนั้นเอง ฟีบี้ก็เดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทีเย็นชา แต่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าอ่อนโยนขึ้นทันทีเมื่อเห็นแคนดิซและหานซั่ว ก่อนจะร้องถามทั้งคู่
“พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก อ้อ จริงสิ ฟีบี้ แล้วโกรเวอร์ล่ะ?”
แคนดิซทำสีหน้าแปลก ๆ ขณะถามฟีบี้
“เขา…ฆ่าตัวตายไปแล้ว ส่วนข้าก็ได้สิ่งที่ข้าต้องการแล้ว พวกเราไปกันได้แล้วล่ะ”
ท่าทีของฟีบี้ก็แปลกไม่ต่างกัน ขณะตอบพร้อมมองหน้าแคนดิซ
“ถ้าอย่างนั้น
หลังจากนี้ข้าคงไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรแล้ว ข้าไปได้เลยรึเปล่า?”
หานซั่วรีบโพล่งขึ้นทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองพูดคุยกัน
อีกครั้งที่ดวงตาคู่งามของฟีบี้จับจ้องไปที่หานซั่วด้วยท่าทีมึนงง ก่อนจะหันไปพูดกับแคนดิซ
“แคนดิซ มีคน 2
คนในหน่วยทหารรับจ้างของเจ้าที่หนีไปได้ เจ้ารีบไปตามพวกเขาให้เจอ แล้วก็รีบไปดูที่ซากลานปรักหักพังนั่นด้วยว่ายังมีใครที่รอดชีวิตอีกรึเปล่า”
แคนดิซมองทั้งฟีบี้และหานซั่วด้วยท่าทีกำกวมขณะยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะเข้าใจในสถานการณ์ตรงหน้า
เธอจึงพยักหน้าให้ฟีบี้และรีบวิ่งออกไปทันที
“ไบรอัน ช่วยเดินไปกับข้าหน่อยได้มั้ย?”
ฟีบี้หน้าแดงขณะที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายของแคนดิซ แต่ก็ค่อย
ๆ กลับเป็นปกติเมื่อเธอวิ่งไกลออกไป และหันมามองหานซั่วด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวัง
“ได้สิ เจ้าอยากไปที่ไหนล่ะ?”
หานซั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามเธอ
“งั้นก็…เดินไปทางเขตพื้นที่ตอนใต้ก็ได้ ข้าคิดว่าสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ในตอนนี้คงไม่เป็นอันตรายสำหรับข้าอีกต่อไปแล้วล่ะ”
หานซั่วไม่ได้พูดอะไรมาก ขณะเดินเคียงข้างฟีบี้ผู้งดงามไปอย่างช้า ๆ ตามถนนหนทางที่สกปรกของเขตเสื่อมโทรม …เหล่าผู้คนตกทุกข์ได้ยากที่อาศัยบริเวณนั้นล้วนหันมามองหานซั่วและฟีบี้ที่แต่งกายในชุดหรูหราด้วยสายตาปลาบปลื้มชื่นชม
“ในโลกนี้น่ะ สมาคมของเราไม่ได้มีฐานะพิเศษอะไรนักหรอก ไม่ว่าพ่อค้าจะขายของและได้เงินมามากมายเพียงไหน แต่สถานะของพวกเราก็เป็นได้เพียงสามัญชนเหมือนคนธรรมดา
ๆ ทั่วไปเท่านั้น”
เสียงของฟีบี้ฟังดูราวกับอยู่ห่างไกลออกไป ขณะพูดกับหานซั่วที่อยู่เคียงข้างด้วยท่าทีเหม่อลอย
“ท่านฟีบี้ เพราะท่านไม่เคยมองเห็นสายตาเวลาที่คนอื่น ๆ มองท่านน่ะสิ พวกนั้นน่ะทั้งเต็มไปด้วยความชื่นชมและความอิจฉาริษยา สำหรับพวกเขาแล้ว ชีวิตในตอนนี้ของท่านเป็นชีวิตที่พวกเขาต่างเฝ้าฝันถึง แล้วท่านยังจะไม่พอใจอะไรได้อีกล่ะ?”
“ฮะ ๆ ๆ ก็เมื่อวานพวกเราเกือบตายกันเลยนี่นา พวกเขาคิดไม่ถึงหรอกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่รู้จักมันหน้าตาเป็นยังไง บางที ในขณะที่พวกเขาเพียงแต่เป็นกังวลว่าจะใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวัน ๆ ได้ยังไง พวกเราสิ
ต้องมากังวลว่าจะรอดชีวิตต่อไปจนถึงพรุ่งนี้ได้รึเปล่า สงสัยจริง
ว่าใครจะอิจฉาใครกันแน่”
ฟีบี้พ่นลมหายใจด้วยความประชดประชันในชะตาชีวิตของตัวเธอเอง
ทันใดนั้นเอง ฟีบี้ก็หยุดเดิน และหันไปมองหานซั่ว
“ไบรอัน ด้วยความสามารถระดับเจ้า ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะปีนขึ้นถึงตำแหน่งที่สูงพอตัวเลยทีเดียว ตราบใดที่เจ้าตั้งใจและพยายามอย่างหนัก ข้าเคยคิดจะขอร้องเจ้าให้อยู่ช่วยบริหารสมาคมด้วยกันกับข้า แต่พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว สมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์เล็ก ๆ อย่างพวกเราคงเป็นภาระที่ดึงรั้งเจ้าไม่ให้ประสบความสำเร็จแน่ ๆ ซึ่งที่ที่เหมาะกับเจ้าก็คือท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่ทำให้คนที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าได้โบยบินอย่างเต็มที่ต่างหาก ไบรอัน…เจ้าเคยคิดไว้บ้างรึเปล่า ว่าอนาคตเจ้าอยากใช้ชีวิตยังไง?”
หานซั่วหวนนึกถึงสถานะของตัวเองขึ้นมาทันที แม้ว่าเขาจะละทิ้งความเป็นทาสไปแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นเพียงนักเรียนของวิทยาลัย และด้วยสถานะแบบนี้ แม้ว่าเขาจะจบการศึกษาจากวิทยาลัยได้รวดเร็วแค่ไหน ก็ไม่ได้ทำให้นามของเขาเป็นที่เลื่องลือแต่อย่างใด ซึ่งแน่นอนว่าชีวิตแบบนั้นไม่ใช่ในแบบที่เขาต้องการ แต่หานซั่วก็ยังไม่ได้คิดวางแผนอะไรไปไกลถึงขนาดนั้น
“พลังอำนาจและตำแหน่งที่สูงส่งคือสิ่งที่เจ้าต้องไขว่คว้าให้ได้มา อย่างที่ข้าบอก ไม่ว่าพ่อค้าจะหาเงินได้มากมายเพียงไหน พ่อค้าก็เป็นได้แค่คนตัวเล็ก ๆ ที่ต้องอาศัยความเมตตาจากผู้อื่นเท่านั้น ในขณะที่ผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยลาภยศ ชื่อเสียง
และตำแหน่งเกียรติยศในสังคมต่างหาก
ที่จะถือสิทธิ์ในการควบคุมและตัดสินชีวิตของผู้อื่น และเจ้าควรเป็นแบบนั้นมากกว่า
!”
ความปลาบปลื้มหลงใหลฉายวาบขึ้นบนดวงตาคู่งามของฟีบี้ทันที ขณะจ้องมองตรงไปยังใบหน้าของหานซั่ว พร้อมด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวใจขณะพูด
ในหัวของหานซั่วไม่เคยปั่นป่วนถึงเพียงนี้มาก่อน แม้ว่าเขาจะเคยคิดเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่กลับไม่เคยชัดเจนแจ่มแจ้งเท่าตอนนี้ ตั้งแต่ที่เขาโชคดีได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ซึ่งเขาก็ควรจะดีใจในทุกสิ่งที่ชีวิตใหม่มอบให้อย่างไร้ข้อกังขา แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมใช้ความแข็งแกร่งที่มีให้เป็นประโยชน์กันนะ? เมื่อโดนฟีบี้โน้มน้าวใจ กรอบความคิดของหานซั่วที่ไม่ต้องการเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ก็ค่อย
ๆ เร่าร้อนจนลุกเป็นไฟ พร้อมปณิธานที่ตั้งมั่นแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว
ไม่นานนัก หานซั่วก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และตอบฟีบี้ไป
“ข้าเข้าใจความหมายของท่านดี แต่ดูเหมือนโอกาสของข้าจะยังมาไม่ถึงน่ะ”
แล้วรอยยิ้มที่เป็นประกายงดงามก็ปรากฏบนใบหน้าของฟีบี้ทันที ราวกับว่าเฝ้ารอคำพูดนั้นมานานแล้ว ทันทีที่เธอได้ยินหานซั่วพูดจบ เธอจึงรีบมองหน้าหานซั่วและพูดออกไปทันที
“ผิดแล้วล่ะ โอกาสน่ะอยู่ตรงหน้าเจ้ามานานแล้ว วิธีที่รวดเร็วที่สุดในการได้มาซึ่งอำนวจและสถานะชั้นสูงทางสังคมคือผลงานความดีความชอบที่เจ้าได้รับจากการร่วมสงคราม จักรวรรดิของเราไม่เคยสงบสุข และสงครามระหว่างจักรวรรดิกับอาณาจักรเพื่อนบ้านก็ยังไม่เคยสิ้นสุดลงเสียที ข้าคิดว่าในอนาคตอันใกล้คงเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นแน่ ๆ และเจ้าน่าจะเข้าร่วมด้วยนะ ในฐานะเพื่อนที่ดีของเจ้า ข้ายินดีช่วยและทำทุกอย่างที่ข้าสามารถทำได้เพื่อเจ้าเลย”
“ข้าซาบซึ้งในความปรารถนาดีของท่านจริง ๆ แต่ข้าอยากได้มาซึ่งสิ่งที่ข้าต้องการด้วยมือของข้าเองมากกว่า”
หานซั่วพูดอย่างเด็ดขาดกับฟีบี้ ก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่ง และพูดขึ้นอีกครั้ง
“ท่านฟีบี้ ช่วยเตรียมเสบียงอาหารที่ข้าขอไว้ให้ทีนะ แล้วข้าจะแวะไปรับที่สมาคมในอีก 2-3 วัน ส่วนในอนาคต
ข้าคิดว่าพวกเราคงยังมีโอกาสอีกมากที่จะได้ร่วมมือกันอีก”
“ตามนั้นล่ะ ข้าเองก็ได้พูดทุกอย่างที่อยากพูดไปแล้ว เจ้าไม่ต้องเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าแล้วล่ะ ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้านะ ไม่นาน
เจ้าจะต้องมีชื่อเสียงเพราะความสามารถโดดเด่นในจักรวรรดิของเราแน่ แล้วถึงตอนนั้น ก็อย่าลืมเพื่อนอย่างข้าล่ะ”
ฟีบี้กะพริบตาให้หานซั่วและพูดอย่างน่ารัก
“ฮะ ๆ ๆ คำพูดของท่านจุดแรงบันดาลใจให้ข้าได้เยอะมากๆเลย ข้าจะจำเอาไว้
ลาก่อน ท่านฟีบี้ แล้วอย่าลืมเสบียงอาหารของข้าล่ะ”
หานซั่วยิ้มและเปลี่ยนทิศทางทันที
ก่อนจะพุ่งตรงไปยังเขตทางตอนเหนือของเมือง
เมื่อหานซั่วจากไปได้ไม่นานนัก ฟีบี้ก็เม้มปากโกรธ ก่อนจะบ่นพึมพำอย่างอน ๆ ด้วยเสียงแผ่วเบาที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยิน
“ฮึ
!!!…สนแต่เรื่องเสบียงอาหารนั่นอยู่ได้ อีตาบ้า!”
…………………………………….