I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Great Demon King ตอนที่ 86 การไล่ตามครั้งใหม่

| Great Demon King | 804 | 2366 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
หานซั่ว  ฟีบี้  และแคนดิซ  เดินเข้าไปในบ้านที่ทั้งสกปรกและมีสภาพทรุดโทรมหลังหนึ่ง  แต่เมื่อเข้ามาก็พบว่าภายในกลับสะอาดเรียบร้อย  ของประดับตกแต่งบางชิ้นนับว่าหรูหรา  ไม่น่าเชื่อว่าบ้านที่มีสภาพภายนอกแบบนั้น  ภายในจะเกินจินตนาการได้ถึงเพียงนี้



หลังจากที่เข้าไปภายในตัวบ้านแล้ว  แคนดิซก็รีบปิดประตูให้แน่นทันที  แต่ประตูกลับส่งเสียงเอี๊ยดดังลั่นที่แม้แต่เธอก็ไม่สามารถกลบเกลื่อนเสียงนั่นได้  แคนดิซจึงรีบชักดาบใหญ่ออกมาในท่าเตรียมพร้อมทันที
“แคนดิซ  ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้  ท่านอาที่รักของข้าไม่รู้จักทั้งศาสตร์การต่อสู้หรือเวทมนตร์อะไร  ครั้งนี้เขาหนีพวกเราไม่รอดหรอก”
ฟีบี้ดึงผ้าคาดหน้าออกจนเผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามจนน่าตกตะลึงของเธอ  เธอนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ  ขณะมองไปยังห้องที่ประตูเปิดอ้าอยู่ด้วยสายตาเย็นชา
หานซั่วสำรวจบริเวณรอบ  ๆ  โดยใช้พลังของปีศาจปฐมภูมิ  เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีบุคคลน่าสงสัยอื่น  ๆ  อยู่อีก  เขาจึงรินน้ำอุ่นให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง  ก่อนจะดื่มอย่างกระหาย
แล้วโกรเวอร์ก็เดินออกมาจากห้องที่ประตูเปิดอ้าอยู่ด้วยสีหน้าสลดหดหู่  เขาหัวเราะอย่างสิ้นหวังขณะมองหน้าฟีบี้
“หลานรัก  คิดไม่ถึงเลยนะ  ว่าเจ้าจะมีพลังแข็งแกร่งมากมายถึงขนาดนี้  แล้วนี่คาร่าถูกเจ้ากำจัดไปแล้วงั้นรึ?”
ฟีบี้สะดุ้งและมองโกรเวอร์ด้วยความประหลาดใจทันที
“เปล่าค่ะ  ข้าเพิ่งค้นพบที่นี่”
“ไว้ชีวิตคาร่าเถอะ   แล้วอาจะให้ทุกอย่างที่หลานต้องการ  รวมถึงชีวิตของอาด้วย”
เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดนี้  โกรเวอร์รู้ดีว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหนีให้พ้นจากความตาย  เขาจึงปล่อยวางซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
“ข้าขอโทษค่ะ  แต่คาร่าไม่ได้อยู่กับข้า  และถ้าข้าเดาไม่ผิด  ท่านปู่แอนดรูว์น่าจะส่งคนมาที่นี่เพื่อพาตัวเธอไปแล้ว  ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินความเป็นความตายของเธอหรอกค่ะ”
ฟีบี้สั่นศีรษะขณะจ้องมองโกรเวอร์ด้วยสายตาเย็นชา  และถามเขาอีกครั้ง
“ท่านเป็นคนฆ่าท่านพ่อของข้าใช่มั้ยคะ?”
“ใช่  อาเป็นคนวางยาพิษเขาเอง  ในเมื่อหลานรู้หมดแล้วทุกอย่าง  อาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก  เจ้าอยากรู้อะไรอีกรึเปล่าล่ะ?”
สีหน้าของโกรเวอร์ไร้ซึ่งความรู้สึก  เขาพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ
หานซั่วสูดหายใจเข้าลึก  ๆ  จนสัมผัสได้ถึงรังสีความกราดเกรี้ยวแผ่ซ่านออกมาจากตัวของฟีบี้  เธอค่อย 
ๆ  ลุกขึ้นยืนอย่างช้า  ๆ  และมองมาที่หานซั่วและแคนดิซ
“ข้าอยากคุยกับท่านอาของข้าตามลำพัง  ไบรอัน 
พวกเจ้าช่วยออกไปรอข้าข้างนอกก่อนได้มั้ย?”
หานซั่วพยักหน้า  ก่อนจะวางถ้วยชาในมือลง  และออกจากห้องไปพร้อมกับแคนดิซ  โดยเดินไปตามโถงทางเดินสู่ประตูทางเข้าที่อยู่ห่างออกไป
“นี่  ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ?”
แคนดิซคาดเดาทีท่าของหานซั่วหลังจากที่เดินออกจากตัวบ้านแล้ว  และถามเขาอย่างอดไม่ได้ทันที
ตอนนั้นเอง  หานซั่วกำลังก้มหน้าก้มตาคิดใคร่ครวญถึงที่มาที่ไปของดุ๊คอยู่  เมื่อได้ยินคำถามของแคนดิซ  เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความสับสน
แคนดิซค่อนข้างสูงกว่าเด็กสาวทั่วไป  ผิวพรรณไม่ได้ขาวซีด   หากแต่เป็นสีน้ำตาลแดงแบบผู้ที่กรำแดดมาเป็นเวลานานหลายปี  ร่างกายของเธอกระชับแน่น  ในขณะที่หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่โตจนราวกับจะระเบิดออกมานอกเสื้อเกราะเสียให้ได้  ต้นขาดูทรงพลังและแข็งแกร่ง  โดยรวมแล้ว 
เป็นผู้หญิงที่ยากจะรับมือราวกับม้าป่าจอมพยศที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด
“เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ?”
หานซั่วไม่ได้มีทีท่าเป็นมิตรกับแคนดิซนัก  แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดชังอะไรเธอมากมาย
“เจ้ารู้ตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของพวกนักฆ่าอย่างชัดเจนขนาดนั้นได้ยังไง  ราวกับว่าเจ้ามองเห็นทุกอย่างได้ด้วยตาของตัวเองเลย?”
ความสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งยวดปรากฏบนใบหน้าของแคนดิซขณะถามและจ้องมองหานซั่วเพื่อเฝ้ารอคำตอบด้วยใจจดจ่อ
“มีเวทมนตร์บทหนึ่งที่เรียกว่า  “เวทย์ดวงเนตรแห่งนภา”  เจ้าน่าจะเคยได้ยินใช่มั้ย?   วิธีของข้าก็คล้าย  ๆ  กันนั่นแหละ  เพียงแต่จะต่างออกไปนิดหน่อย  ซึ่งข้าคงบอกรายละเอียดเจ้าไม่ได้หรอกนะ”
หานซั่วหันขวับไปมองเธอและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ถ้าระดับจอมขมังเวทย์ถึง  2  คนยังตรวจจับเวทมนตร์ของเจ้าไม่ได้  มันก็น่าเหลือเชื่อมากจริง  ๆ  เจ้าสอนวิธีนั้นให้พวกข้าได้มั้ย?  ถ้าหน่วยทหารรับจ้างของเราใช้วิธีนี้ได้บ้างล่ะก็  คงเพิ่มอัตราความสำเร็จในภารกิจของพวกเราได้อย่างมหาศาล  แล้วพวกเราก็จะได้ผลตอบแทนเพิ่มอีกมากโขเลยด้วยล่ะ !
“ข้ารู้มาว่าเจ้าเองก็เป็นพ่อค้านี่นา  เสนอราคามาได้เลย  ไม่ว่าจะสูงแค่ไหนพวกเราก็จะลองต่อรองดู  แต่รูปแบบการจ่ายเงินของเราจะเป็นการทำงานให้นะ  ตราบใดที่เป็นเรื่องที่หน่วยทหารรับจ้างของพวกเราทำได้ล่ะก็”
แคนดิซมองหานซั่วด้วยดวงตาเป็นประกาย  และพูดกับเขาด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง
แต่ทว่า  หานซั่วส่ายศีรษะ  และปฏิเสธแคนดิซไปอย่างอย่างเด็ดขาด
“เสียใจด้วย  แต่ของบางอย่างข้าก็ขายให้ไม่ได้จริง  ๆ  ข้าขอโทษนะ  แคนดิซ”
“งั้นเจ้าจะมาเข้าร่วมหน่วยทหารรับจ้างเพลิงสงครามกับเรามั้ยล่ะ?  ในฐานะรองหัวหน้าหน่วย  ข้าสามารถอนุมัติการสมัครของเจ้าได้ในทันทีเลย  ด้วยระดับความแข็งแกร่งอย่างเจ้าแล้ว  รับรองว่าคงทำให้หน่วยของเราประสบความสำเร็จจนบรรยายไม่ถูกเลยเชียวล่ะ !
แคนดิซดูเหมือนจะรู้ดีอยู่แล้วว่ายังไง  ๆ  หานซั่วก็ต้องปฏิเสธเธอ  จึงไม่มีท่าทีผิดหวังเลยแม้แต่น้อย  จึงลองชวนเขาให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในหน่วยของเธอแทน
“ข้าเสียใจ  แต่ตอนนี้ข้าคงต้องขอผ่านก่อนน่ะ”
หานซั่วปฏิเสธอย่างสุภาพอีกครั้ง
“ตกลง  งั้นถ้าเจ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่  ก็อย่าลืม 
“หน่วยทหารรับจ้างเพลิงสงคราม”  ของพวกเราล่ะ  ถึงตอนนั้น 
ข้าจะอ้าแขนต้อนรับด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งเลย”
แคนดิซให้คำมั่นอย่างจริงจัง
ในตอนนั้นเอง  ฟีบี้ก็เดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทีเย็นชา  แต่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าอ่อนโยนขึ้นทันทีเมื่อเห็นแคนดิซและหานซั่ว  ก่อนจะร้องถามทั้งคู่
“พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก  อ้อ  จริงสิ  ฟีบี้  แล้วโกรเวอร์ล่ะ?”
แคนดิซทำสีหน้าแปลก  ๆ  ขณะถามฟีบี้
“เขา…ฆ่าตัวตายไปแล้ว  ส่วนข้าก็ได้สิ่งที่ข้าต้องการแล้ว  พวกเราไปกันได้แล้วล่ะ”
ท่าทีของฟีบี้ก็แปลกไม่ต่างกัน  ขณะตอบพร้อมมองหน้าแคนดิซ
  “ถ้าอย่างนั้น 
หลังจากนี้ข้าคงไม่มีความจำเป็นต้องทำอะไรแล้ว  ข้าไปได้เลยรึเปล่า?”
หานซั่วรีบโพล่งขึ้นทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองพูดคุยกัน
อีกครั้งที่ดวงตาคู่งามของฟีบี้จับจ้องไปที่หานซั่วด้วยท่าทีมึนงง  ก่อนจะหันไปพูดกับแคนดิซ
“แคนดิซ  มีคน  2
 คนในหน่วยทหารรับจ้างของเจ้าที่หนีไปได้  เจ้ารีบไปตามพวกเขาให้เจอ  แล้วก็รีบไปดูที่ซากลานปรักหักพังนั่นด้วยว่ายังมีใครที่รอดชีวิตอีกรึเปล่า” 
แคนดิซมองทั้งฟีบี้และหานซั่วด้วยท่าทีกำกวมขณะยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะเข้าใจในสถานการณ์ตรงหน้า   เธอจึงพยักหน้าให้ฟีบี้และรีบวิ่งออกไปทันที
“ไบรอัน  ช่วยเดินไปกับข้าหน่อยได้มั้ย?”
ฟีบี้หน้าแดงขณะที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายของแคนดิซ  แต่ก็ค่อย 
ๆ  กลับเป็นปกติเมื่อเธอวิ่งไกลออกไป  และหันมามองหานซั่วด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวัง
“ได้สิ  เจ้าอยากไปที่ไหนล่ะ?”
หานซั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามเธอ
“งั้นก็…เดินไปทางเขตพื้นที่ตอนใต้ก็ได้  ข้าคิดว่าสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ในตอนนี้คงไม่เป็นอันตรายสำหรับข้าอีกต่อไปแล้วล่ะ”
หานซั่วไม่ได้พูดอะไรมาก  ขณะเดินเคียงข้างฟีบี้ผู้งดงามไปอย่างช้า  ๆ  ตามถนนหนทางที่สกปรกของเขตเสื่อมโทรม  …เหล่าผู้คนตกทุกข์ได้ยากที่อาศัยบริเวณนั้นล้วนหันมามองหานซั่วและฟีบี้ที่แต่งกายในชุดหรูหราด้วยสายตาปลาบปลื้มชื่นชม
“ในโลกนี้น่ะ  สมาคมของเราไม่ได้มีฐานะพิเศษอะไรนักหรอก  ไม่ว่าพ่อค้าจะขายของและได้เงินมามากมายเพียงไหน  แต่สถานะของพวกเราก็เป็นได้เพียงสามัญชนเหมือนคนธรรมดา   ๆ  ทั่วไปเท่านั้น”
เสียงของฟีบี้ฟังดูราวกับอยู่ห่างไกลออกไป  ขณะพูดกับหานซั่วที่อยู่เคียงข้างด้วยท่าทีเหม่อลอย
“ท่านฟีบี้  เพราะท่านไม่เคยมองเห็นสายตาเวลาที่คนอื่น  ๆ  มองท่านน่ะสิ  พวกนั้นน่ะทั้งเต็มไปด้วยความชื่นชมและความอิจฉาริษยา    สำหรับพวกเขาแล้ว  ชีวิตในตอนนี้ของท่านเป็นชีวิตที่พวกเขาต่างเฝ้าฝันถึง  แล้วท่านยังจะไม่พอใจอะไรได้อีกล่ะ?”
“ฮะ  ๆ  ๆ  ก็เมื่อวานพวกเราเกือบตายกันเลยนี่นา  พวกเขาคิดไม่ถึงหรอกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่รู้จักมันหน้าตาเป็นยังไง  บางที  ในขณะที่พวกเขาเพียงแต่เป็นกังวลว่าจะใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวัน  ๆ  ได้ยังไง  พวกเราสิ 
ต้องมากังวลว่าจะรอดชีวิตต่อไปจนถึงพรุ่งนี้ได้รึเปล่า  สงสัยจริง 
ว่าใครจะอิจฉาใครกันแน่”
ฟีบี้พ่นลมหายใจด้วยความประชดประชันในชะตาชีวิตของตัวเธอเอง
ทันใดนั้นเอง  ฟีบี้ก็หยุดเดิน  และหันไปมองหานซั่ว
“ไบรอัน  ด้วยความสามารถระดับเจ้า  ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะปีนขึ้นถึงตำแหน่งที่สูงพอตัวเลยทีเดียว  ตราบใดที่เจ้าตั้งใจและพยายามอย่างหนัก  ข้าเคยคิดจะขอร้องเจ้าให้อยู่ช่วยบริหารสมาคมด้วยกันกับข้า  แต่พอมาคิดดูดี  ๆ  แล้ว  สมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์เล็ก  ๆ  อย่างพวกเราคงเป็นภาระที่ดึงรั้งเจ้าไม่ให้ประสบความสำเร็จแน่  ๆ  ซึ่งที่ที่เหมาะกับเจ้าก็คือท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่ทำให้คนที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าได้โบยบินอย่างเต็มที่ต่างหาก  ไบรอัน…เจ้าเคยคิดไว้บ้างรึเปล่า  ว่าอนาคตเจ้าอยากใช้ชีวิตยังไง?”
หานซั่วหวนนึกถึงสถานะของตัวเองขึ้นมาทันที  แม้ว่าเขาจะละทิ้งความเป็นทาสไปแล้ว  แต่เขาก็ยังเป็นเพียงนักเรียนของวิทยาลัย  และด้วยสถานะแบบนี้  แม้ว่าเขาจะจบการศึกษาจากวิทยาลัยได้รวดเร็วแค่ไหน  ก็ไม่ได้ทำให้นามของเขาเป็นที่เลื่องลือแต่อย่างใด  ซึ่งแน่นอนว่าชีวิตแบบนั้นไม่ใช่ในแบบที่เขาต้องการ  แต่หานซั่วก็ยังไม่ได้คิดวางแผนอะไรไปไกลถึงขนาดนั้น
“พลังอำนาจและตำแหน่งที่สูงส่งคือสิ่งที่เจ้าต้องไขว่คว้าให้ได้มา  อย่างที่ข้าบอก  ไม่ว่าพ่อค้าจะหาเงินได้มากมายเพียงไหน  พ่อค้าก็เป็นได้แค่คนตัวเล็ก  ๆ  ที่ต้องอาศัยความเมตตาจากผู้อื่นเท่านั้น  ในขณะที่ผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยลาภยศ  ชื่อเสียง 
และตำแหน่งเกียรติยศในสังคมต่างหาก 
ที่จะถือสิทธิ์ในการควบคุมและตัดสินชีวิตของผู้อื่น  และเจ้าควรเป็นแบบนั้นมากกว่า
!
ความปลาบปลื้มหลงใหลฉายวาบขึ้นบนดวงตาคู่งามของฟีบี้ทันที  ขณะจ้องมองตรงไปยังใบหน้าของหานซั่ว  พร้อมด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวใจขณะพูด
ในหัวของหานซั่วไม่เคยปั่นป่วนถึงเพียงนี้มาก่อน  แม้ว่าเขาจะเคยคิดเรื่องนี้อยู่บ้าง  แต่กลับไม่เคยชัดเจนแจ่มแจ้งเท่าตอนนี้  ตั้งแต่ที่เขาโชคดีได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง  ซึ่งเขาก็ควรจะดีใจในทุกสิ่งที่ชีวิตใหม่มอบให้อย่างไร้ข้อกังขา  แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมใช้ความแข็งแกร่งที่มีให้เป็นประโยชน์กันนะ?  เมื่อโดนฟีบี้โน้มน้าวใจ  กรอบความคิดของหานซั่วที่ไม่ต้องการเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ  ก็ค่อย 
ๆ  เร่าร้อนจนลุกเป็นไฟ  พร้อมปณิธานที่ตั้งมั่นแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว
ไม่นานนัก  หานซั่วก็สูดลมหายใจเข้าลึก  ๆ  และตอบฟีบี้ไป
“ข้าเข้าใจความหมายของท่านดี  แต่ดูเหมือนโอกาสของข้าจะยังมาไม่ถึงน่ะ”
แล้วรอยยิ้มที่เป็นประกายงดงามก็ปรากฏบนใบหน้าของฟีบี้ทันที  ราวกับว่าเฝ้ารอคำพูดนั้นมานานแล้ว  ทันทีที่เธอได้ยินหานซั่วพูดจบ  เธอจึงรีบมองหน้าหานซั่วและพูดออกไปทันที
“ผิดแล้วล่ะ  โอกาสน่ะอยู่ตรงหน้าเจ้ามานานแล้ว  วิธีที่รวดเร็วที่สุดในการได้มาซึ่งอำนวจและสถานะชั้นสูงทางสังคมคือผลงานความดีความชอบที่เจ้าได้รับจากการร่วมสงคราม  จักรวรรดิของเราไม่เคยสงบสุข  และสงครามระหว่างจักรวรรดิกับอาณาจักรเพื่อนบ้านก็ยังไม่เคยสิ้นสุดลงเสียที  ข้าคิดว่าในอนาคตอันใกล้คงเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นแน่  ๆ  และเจ้าน่าจะเข้าร่วมด้วยนะ  ในฐานะเพื่อนที่ดีของเจ้า  ข้ายินดีช่วยและทำทุกอย่างที่ข้าสามารถทำได้เพื่อเจ้าเลย”
“ข้าซาบซึ้งในความปรารถนาดีของท่านจริง  ๆ  แต่ข้าอยากได้มาซึ่งสิ่งที่ข้าต้องการด้วยมือของข้าเองมากกว่า”
หานซั่วพูดอย่างเด็ดขาดกับฟีบี้  ก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่ง  และพูดขึ้นอีกครั้ง
“ท่านฟีบี้  ช่วยเตรียมเสบียงอาหารที่ข้าขอไว้ให้ทีนะ  แล้วข้าจะแวะไปรับที่สมาคมในอีก  2-3  วัน  ส่วนในอนาคต 
ข้าคิดว่าพวกเราคงยังมีโอกาสอีกมากที่จะได้ร่วมมือกันอีก”
“ตามนั้นล่ะ  ข้าเองก็ได้พูดทุกอย่างที่อยากพูดไปแล้ว  เจ้าไม่ต้องเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าแล้วล่ะ  ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้านะ  ไม่นาน 
เจ้าจะต้องมีชื่อเสียงเพราะความสามารถโดดเด่นในจักรวรรดิของเราแน่  แล้วถึงตอนนั้น  ก็อย่าลืมเพื่อนอย่างข้าล่ะ”
ฟีบี้กะพริบตาให้หานซั่วและพูดอย่างน่ารัก
“ฮะ  ๆ  ๆ  คำพูดของท่านจุดแรงบันดาลใจให้ข้าได้เยอะมากๆเลย  ข้าจะจำเอาไว้ 
ลาก่อน  ท่านฟีบี้  แล้วอย่าลืมเสบียงอาหารของข้าล่ะ”
หานซั่วยิ้มและเปลี่ยนทิศทางทันที
 ก่อนจะพุ่งตรงไปยังเขตทางตอนเหนือของเมือง
เมื่อหานซั่วจากไปได้ไม่นานนัก  ฟีบี้ก็เม้มปากโกรธ  ก่อนจะบ่นพึมพำอย่างอน  ๆ  ด้วยเสียงแผ่วเบาที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยิน
“ฮึ  !!!…สนแต่เรื่องเสบียงอาหารนั่นอยู่ได้  อีตาบ้า!” 

…………………………………….
(0 votes) 0/10
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments