I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Great Demon King ตอนที่ 88 แต่ข้ารู้สึกผิดนี่ครับ!

| Great Demon King | 808 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

ทีแรกนั้น  หานซั่วกังวลมากว่าดุ๊คจะรู้ถึงสิ่งที่เขาทำอยู่  แต่ไม่นานนัก  เขาก็โยนความกังวลทั้งหมดทิ้งไปทันทีเมื่อมาถึงสาขาศาสตร์แห่งความตาย

เหตุผลก็คือตอนที่หานซั่วมาถึง  เขาทักบอร์กและแครี่ตอนที่เห็นพวกนั้นทำกำลังความสะอาดรูปปั้นหินที่เรียงรายอยู่ตามทางเดิน  ทั้งคู่จำหานซั่วไม่ได้  อีกทั้งยังทำตัวไม่ถูก  จึงได้แต่แสดงความเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตน

เมื่อหานซั่วบอกพวกนั้นให้รู้ว่าเขาเป็นใคร  ทั้งบอร์กและแครี่ก็จำได้ทันที  และพูดคุยกับเขาด้วยท่าทีหวั่นเกรงยิ่งกว่าเดิม

เพราะหานซั่วไม่ใช่ทาสหรือคนรับใช้ของสาขาศาสตร์แห่งความตายอีกต่อไปแล้ว  แต่เขาคือนักเรียน  ที่มีสถานภาพสูงกว่าเด็กรับใช้ทั้ง  2  คน  และเพราะเหล่านักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตายได้เล่าเรื่องราววีรกรรมมากมายในป่าทมิฬของหานซั่วไว้อย่างเกินจริง  จึงยิ่งทำให้ทั้งคู่ซึ่งเคยเป็นโจทก์เก่าต้องรู้สึกสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม  ด้วยเกรงว่าหานซั่วจะกลับมาตามล้างแค้น

แต่หานซั่วก็ไม่ได้สนใจทั้งคู่  เขากลับมองเข้าไปที่กระจกทองแดงและชื่นชมภาพสะท้อนของตนเองในนั้นอย่างอารมณ์ดี  และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งสังเกตว่ารูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา  ร่างกายเดิม  ๆ  ซึ่งเคยผอมแห้งเป็นหนังหุ้มกระดูก  กลับแข็งแรงล่ำสันและสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน  รูปหน้าที่ทั้งอ่อนแอและซีดเซียว  กลับดูเด็ดเดี่ยวหลังจากที่ผ่านประสบการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายมานักต่อนัก  เรียกได้ว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับคนละคน  จากเด็กชายผอมแห้งเมื่อครึ่งปีก่อน  บัดนี้  กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่ดูดีมีเสน่ห์ทั้งรูปร่างและหน้าตา

หากแม้แต่อดีตสหายร่วมรับใช้อย่างบอร์กและแครี่ก็ยังจำเขาไม่ได้ง่าย  ๆ  หานซั่วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับดุ๊คและเอริค  และโดยเฉพาะเมื่อคานไดด์สัญญาว่าจะคอยจัดการควบคุมองค์กรลอบสังหารอย่าง  “ปีศาจเงา”  ไม่ให้มาวุ่นวายกับเขาอีก  หานซั่วจึงรู้สึกผ่อนคลายจิตใจได้อย่างสมบูรณ์  และไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนของตัวเองอีกต่อไป  ก่อนจะเดินกลับเข้าสู่รั้ววิทยาลัยอย่างเปิดเผย

“เอ๋  ไบรอันนี่นา  เจ้าไม่ได้กลับมาที่วิทยาลัยตั้งนาน  ข้านึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าซะแล้ว!”

เอมี่  นักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตายกำลังเดินไปเข้าเรียน  แต่ก็หยุดอย่างกะทันหันและอุทานอย่างแปลกใจเมื่อเห็นหานซั่ว

“หวัดดี  เอมี่”

หานซั่วยิ้มทักทายเธอ  และเดินตรงไปยังอาคารเรียนเวทมนตร์ธาตุมืดพร้อมกับเธอ

เมื่อหานซั่วมาถึงยังห้องเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตาย  เขาก็เหม่อนึกถึงอดีตไปชั่วขณะ  ก่อนหน้านี้เพียงประมาณ  2  เดือน  ที่เขาทำได้เพียงถือไม้กวาด และแสร้งทำเป็นกวาดพื้นไปมา

เพียงเพื่อจะได้มีโอกาสยืนฟังคำบรรยายของอาจารย์จีนอยู่นอกห้อง  ใครจะคาดคิดว่าภายในระยะเวลาสั้น  ๆ  เขาจะได้กลายมาเป็นนักเรียนเวทมนตร์สาขาศาสตร์แห่งความตาย  และมีสิทธิ์เข้ามานั่งเรียนร่วมกับนักเรียนคนอื่น  ๆ  แบบนี้

“อย่ามัวแต่ยืนเหม่ออยู่สิ  คาบที่สองกำลังจะเริ่มแล้ว  รีบเข้ามาเถอะ!”

เอมี่พูดและเร่งเร้าเขาทันทีที่เธอเดินผ่านเข้าประตูมาแล้ว  แต่หานซั่วกลับยืนนิ่งอึ้งอยู่ข้างนอก

เมื่อได้สติ  หานซั่วก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เอมี่  ก่อนจะรีบพยักหน้าและเดินตามเธอเข้าไปในห้องเรียน  เมื่อเข้าไปในห้อง  สายตาของนักเรียนหลายคนก็หันมาจับจ้องมาที่หานซั่วทันที  โดยเฉพาะลิซ่าที่นั่งอยู่แถวหลัง  ซึ่งก่อนหน้านี้เธอหลับตาอย่างเกียจคร้าน  แต่กลับเบิกกว้างและเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อเห็นหานซั่ว  เธอรีบลุกขึ้นยืนและโบกไม้โบกมือให้เขา

“ตรงนี้  มานั่งตรงนี้สิ!”

ทั้งบาคและเบลล่าจ้องมองมาที่หานซั่วเช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่น  ๆ  แต่สายตาของทั้งคู่กลับดูแปลก  ๆ  ก่อนที่จะหันไปกระซิบกระซาบพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา

“ไบรอันกลับมาแล้ว  ฮะ  ๆ  ๆ  นี่  เอมี่  เจ้าเชื่อข่าวลือนั่นรึเปล่า?”

เมื่อทักทายกันเสร็จแล้ว  อาธีน่าก็หันมาถามเอมี่ด้วยเสียงแผ่วเบาทันที

“ข้าไม่เชื่อหรอก  ดูเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างอาจารย์แฟนนี่และไบรอันเลยนี่นา  …คามิลล่า  ยัยแม่มดแร้งทึ้งนั่นชอบสร้างข่าวลือไปทั่วแหละ  เจ้าเชื่ออะไรที่คนอย่างหล่อนพูดด้วยเหรอ?”

เอมี่เม้มปากพลางส่ายหน้า

ไม่เพียงแต่เอมี่และอาธีน่าเท่านั้น  ระหว่างที่เขาเดินไปหาลิซ่า  เขาได้ยินที่นักเรียนทุกคนคุยกันเกี่ยวกับตัวเขาและแฟนนี่  เรื่องที่คามิลล่าไปเจอหานซั่วอยู่บนเตียงของแฟนนี่  ราวกับเป็นคู่ที่คบหาและอาศัยอยู่ด้วยกันแล้ว  และเรื่องราวการถูกจับได้คาหนังคาเขาระหว่างหานซั่วและแฟนนี่ก็กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างพูดถึง

หานซั่วพูดอะไรไม่ออก  เพราะไม่นึกว่ายัยคามิลล่านั่นจะชอบสอดรู้สอดเห็นและทำให้เรื่องราวใหญ่โตจนนักเรียนทุกคนในสาขาศาสตร์แห่งความตายรับรู้แบบนี้  แสดงว่าแม้กระทั่งอาจารย์คนอื่น  ๆ  รวมทั้งแฟนนี่เองก็อาจได้ยินข่าวลือก่อนใครเสียด้วยซ้ำ

แล้วท่าทีตื่นเต้นดีใจในตอนแรกของลิซ่าก็พลันเปลี่ยนเข้าสู่การซักไซ้ไต่ถามทันทีหลังจากที่หานซั่วนั่งลงพร้อมรอยยิ้มเจื่อน  ๆ  สายตาแรกที่จับจ้องมองเขาเป็นการพินิจพิจารณาหานซั่วไปทั้งตัว  ราวกับจะสำรวจเก็บรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงของเขาทั่วทุกมุม  ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ว่าไงฮึ?  เรื่องที่พวกเขาพูดกันน่ะ  เป็นความจริงรึเปล่า?  มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับอาจารย์แฟนนี่จริง  ๆ  เหรอ?”

 

 

“ลิซ่า  ใคร  ๆ  อาจไม่เชื่อข้า  แต่แม้กระทั่งเจ้าก็ไม่เชื่อข้าเหมือนกันเหรอ?  ถึงข้าจะไม่ใช่คนดีอะไร  แต่ยังไงซะ  อาจารย์แฟนนี่ก็ไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นแน่นอนอยู่แล้วล่ะ!  ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย  ว่ามีคนหลงเชื่อเรื่องไร้สาระอะไรแบบนั้นด้วย  แบบนี้มันเกินไปจริง  ๆ”

หานซั่วอธิบายให้ลิซ่าฟังอย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าขมขื่น

ลิซ่าถอนหายใจเบา  ๆ  ด้วยความโล่งใจเมื่อได้ยินหานซั่วอธิบาย  ท่าทีของเธอจึงผ่อนคลายลงเช่นกัน  แต่เธอก็ยังถามต่อด้วยความสงสัย

“แต่ข่าวลือมันเกิดขึ้นเองไม่ได้หรอกถ้าไม่มีมูล  แสดงว่าเรื่องที่เจ้าไปที่ห้องของอาจารย์แฟนนี่กลางดึกเป็นความจริงเหรอ?  ถึงยัยแม่มดแร้งทึ้งคามิลล่านั่นจะปากไม่มีหูรูดก็เถอะ  แต่หล่อนคงไม่อยู่ดี  ๆ  ก็มากล่าวหาเจ้าโดยไม่มีสาเหตุหรอก  จริงมั้ย?

หานซั่วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

“ข้าก็แค่ไปหาอาจารย์แฟนนี่เพื่อถามคำถามสองสามข้อเท่านั้น  แต่ยัยแก่นั่นทำให้เรื่องขี้ปะติ๋วให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารเอง  ข้าห้ามปากหล่อนไม่ได้หรอก  อยากจะพูดอะไรก็ปล่อยหล่อนพูดไปเถอะ  ข้าไม่ได้รับผลกระทบอะไรอยู่แล้ว”

“แต่มันกระทบกับชื่อเสียงของอาจารย์แฟนนี่มากเลยนะ  ทุกคนคงคิดว่าอาจารย์แฟนนี่มีประวัติที่ไม่ขาวสะอาดอีกต่อไปแล้ว  ยิ่งเจ้าเองก็เป็นนักเรียนของเธอด้วย  บางที  ฝ่ายบริหารโรงเรียนอาจจับตามอง  และคอยสังเกตพฤติกรรมของอาจารย์แฟนนี่อย่างใกล้ชิดหรืออะไรเทือกนั้นแหละ”

หานซั่วเข้าใจอย่างแจ่มชัดทันทีเพราะคำพูดของลิซ่า  และเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน  ที่นึกถึงแต่ตัวเองโดยไม่เคยคำนึงถึงสถานะของแฟนนี่เลยแม้แต่น้อย

ขณะที่หานซั่วกำลังก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ  จีนก็เดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับตำราเวทมนตร์ตั้งใหญ่ในมือ  เขากวาดตามองไปทั่วห้อง  ก่อนจะไปสะดุดตาที่หานซั่วซึ่งนั่งอยู่แถวหลัง  สีหน้าของเขากลับเย็นชาขึ้นมาทันที

แล้วชั้นเรียนก็เริ่มขึ้น  เมื่อจีนหยุดยืนมองหายซั่วพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย

“ไบรอัน  เจ้าไม่เข้าเรียนเลยนะ  ตั้งแต่ได้เป็นนักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตาย  ความรู้ที่ข้าสอนมันลึกล้ำเกินไปงั้นรึ?  เจ้าเข้าใจใช่มั้ยว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร?”

จากเหตุการณ์ในป่าทมิฬ  หานซั่วรู้ดีว่าจีนก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร  เพียงแต่เขาชอบทำให้อะไร  ๆ  มันยากขึ้นเล็กน้อยสำหรับหานซั่วเพราะประเด็นเรื่องของแฟนนี่  ซึ่งนอกจากนั้นแล้ว  จีนก็ถือว่าเป็นคนดีมีอารยธรรมคนหนึ่งทีเดียว  และไม่ได้ทำให้ชีวิตของหานซั่วยุ่งยากวุ่นวายมากเท่าไหร่  และหานซั่วก็ไม่รู้สึกคิดแค้นอะไรในตัวเขา

แต่ทว่าตอนนี้  ด้วยข่าวลืออื้อฉาวเกี่ยวกับเขาและแฟนนี่  จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้จีนถูกความอิจฉาริษยาครอบงำ  และหวังว่าจะเอาคืนด้วยการทำให้เขาอับอาย

“อาจารย์จีน  ข้าเรียนรู้สิ่งที่ท่านสอนผ่านการอ่านตำรามาบ้าง  และข้าก็เข้าใจเรื่องพื้นฐานเกือบทั้งหมดแล้ว  เพราะฉะนั้น  ข้าก็เลยคิดว่าข้าคงจะเข้าใจสิ่งที่ท่านสอนได้ไม่ยาก  ไม่ต้องห่วงข้าหรอกครับ”

หานซั่วนั่งหลังพิงกับเก้าอี้และยิ้มด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“โอ้  งั้นถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ด้วยตัวเองผ่านการอ่านเพียงแค่ตำรางั้นสิ?  แล้ววิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนของเราจะมีไปเพื่ออะไรกันล่ะ?  หึหึหึ  ถ้าอย่างนั้น  ข้าขอถามคำถามเจ้าหน่อย…  เราสามารถใช้เวทมนตร์ได้กี่วิธี?

“แบ่งเป็น  4  วิธีครับ…  คือ  การร่ายเวทย์  การใช้วัตถุเวทมนตร์  หัตถ์มนตรา  และมิติเวทมนตร์…  การร่ายเวทย์  เป็นการใช้คาถาสื่อสารกับเวทมนตร์ธาตุต่าง  ๆ  เพื่อปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมา…  ส่วนการใช้วัตถุเวทมนตร์  ก็รวมถึงพวกม้วนคาถาและอื่น  ๆ  …”

หานซั่วยังคงนั่งในท่าทีเกียจคร้านขณะร่ายยาวคำจำกัดความต่าง  ๆ  รวมถึงความรู้จากประสบการณ์บางอย่างของตัวเขาเอง  จีนที่ได้ยินก็ประหลาดใจในคำตอบของเขาอยู่ไม่น้อย  แต่แล้วเขาก็พยักหน้า

“ดีมาก  ดูเหมือนเจ้าจะเรียนรู้พื้นฐานที่อยู่ในตำรามาหมดแล้วจริง  ๆ  ถ้างั้นข้าขอถามเพิ่มอีกหน่อยก็แล้วกัน…”

จีนนิ่วหน้าอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะเริ่มรัวคำถามใส่หานซั่ว  ตั้งแต่เวทมนตร์ขั้นพื้นฐานที่สุด  จนเริ่มถามความรู้เฉพาะทางของนักเวทย์ระดับเริ่มต้น  แต่หานซั่วก็ยังสามารถอธิบายคำตอบทุกอย่างได้อย่างลื่นไหล

ระหว่างนั้นเอง  ทั้งจีนและนักเรียนคนอื่น  ๆ  ในห้องเรียนต่างมองหานซั่วด้วยความตกตะลึง  เพราะไม่คิดว่าหานซั่วจะสามารถเข้าใจความรู้มากมายได้อย่างลึกซึ้งในระยะเวลาสั้น  ๆ  เพียงเท่านี้  เหงื่อเริ่มไหลลงมาเป็นทางจากหน้าผากของจีนที่เริ่มกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด  กระนั้น  เขาก็ยังพ่นลมอย่างดูถูกก่อนจะถามคำถามต่อไป

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกครับ”

หานซั่วตอบจากใจจริง  เพราะสิ่งที่จีนถามเป็นความรู้เฉพาะของนักเวทย์ระดับกลางที่เขายังไม่ได้ศึกษาจนเข้าใจ

ในที่สุด  จีนก็ยิ้มออก  และกำลังจะพูดอะไรออกมาเพื่อกู้หน้าตัวเองเมื่ออยู่ดี  ๆ  ลิซ่าก็พูดโพล่งออกมาอย่างหมดความอดทน

“อาจารย์จีน  ถ้าเขารู้คำตอบของทุกอย่างแล้วล่ะก็  เขาจะมาเข้าเรียนวิชาของท่านไปเพื่ออะไรล่ะคะ?”

คำพูดของลิซ่าทำให้จีนสะอึกทันที  เขาทำท่ากระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะตบโต๊ะพร้อมกับหัวเราะแห้ง  ๆ

“ตกลง  งั้นข้าคงไม่ถามต่อแล้วล่ะ  เรามาเริ่มเรียนกันต่อเถอะ”

“นี่  ทำไมอยู่ดี  ๆ  เจ้าได้ถึงรู้เยอะขนาดนี้ล่ะ?”

ลิซ่าเอียงหัวเข้ามาหาเขา  และกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“ข้าก็เคยบอกไปแล้วไง  ข้าไปถามทุกอย่างมาจากอาจารย์แฟนนี่  ไม่งั้นยัยแก่คามิลล่านั่นจะมาเห็นแล้วเอาข่าวลือแย่  ๆ  ไปพูดต่อจนสนุกปากขนาดนั้นเหรอ?”

หานซั่วตอบและเริ่มสนใจเรียนอย่างจริงจัง  เนื้อหาบางอย่างที่จีนสอนครอบคลุมถึงความรู้ของนักเวทย์ระดับกลาง  ซึ่งเป็นสิ่งที่หานซั่วต้องจดจำให้ได้  และเป็นเหตุผลที่หานซั่วไม่ถือสาหรือเอือมระอาต่อท่าทีอิจฉาริษยาของจีนเลยแม้แต่น้อย

ลิซ่าทำท่าเหมือนจะอยากคุยกับหานซั่วต่อ  แต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะหานซั่วรีบตรงไปยังห้องทดลองของแฟนนี่ทันทีที่เลิกเรียน

“ฟิทช์  ข้าอธิบายเวทมนตร์นี้ให้เจ้าฟังไปตั้งหลายครั้งแล้ว  ความสามารถระดับเจ้าน่าจะเข้าใจได้ตั้งนานแล้วนะ  ทำไมเจ้าถึงยังร่ายไม่สำเร็จอีกล่ะ?”

ด้วยความสามารถพิเศษของหานซั่วทำให้เขาได้ยินบทสนทนาภายในห้องทดลองอย่างชัดเจน  แม้ว่าจะยังยืนรอยู่ข้างนอก

“อาจารย์แฟนนี่  ท่านเองก็เข้าใจความรู้สึกของข้าดี  ทำไมท่านถึงไม่ให้โอกาสข้า  แต่กลับเป็นเจ้าทาสชั้นต่ำนั่นมากกว่าล่ะ?  ทำไมกันครับ?”

ฟิทช์พรั่งพรูความอัดอั้นภายในใจออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง  และตอนนั้นเองที่หานซั่วดึงประตูเปิดออกเบา  ๆ  จนเห็นสีหน้าขุ่นเคืองใจของฟิทช์ได้อย่างชัดเจน

แฟนนี่สวมแว่นตากรอบสีดำและชุดคลุมเวทมนตร์ที่ให้ความรู้สึกทั้งดูเคร่งขรึมและเจ้าระเบียบ  ความเอือมระอาปรากฏบนใบหน้าของเธอย่างชัดเจน  จนเธอถอนหายใจ

“ฟิทช์  ข้าเริ่มผิดหวังในตัวเจ้ามากขึ้นเรื่อย  ๆ  แล้วนะ  อย่างแรกเลย  ไบรอันเองก็เหมือนกันกับเจ้า  คือเป็นนักเรียนของข้า  เจ้าเลิกปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นคนรับใช้ได้แล้ว  อีกอย่าง  ข้าสังเกตนะ  ว่าเจ้าไม่เคยตั้งใจฟังสิ่งที่ข้าสอนเวลาเจ้าเข้ามาถามคำถามกับข้าเลย  เจ้าไม่เคยมีสมาธิ  ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่  ถ้าเทียบกันเรื่องนี้แล้ว  ไบรอันยังดีกว่าเจ้าซะอีก”

“คำก็ไบรอัน  สองคำก็ไบรอัน  เจ้าทาสชั้นต่ำนั่นจะมีดีกว่าข้าไปได้ยังไง?  ทำไมท่านถึงให้โอกาสเจ้านั่น  แต่ไม่เคยให้โอกาสอะไรข้าเลย?  แสดงว่าสิ่งที่อาจารย์คามิลล่าพูดเป็นเรื่องจริงงั้นสิ  ท่านหลับนอนกับเจ้านั่น  ไม่รู้สึกละอายบ้างเลยรึไง?”

ฟิทช์กราดเกรี้ยวแต่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์และน้ำเสียงไว้อย่างที่สุด  จนแทบจะคำรามออกมาขณะพูด

เพียะ  !!

แฟนนี่ตบหน้าฟิทช์  เธอกำลังโกรธจัดและมองหน้าฟิทช์ด้วยสายตาเย็นชา

“ข้าว่าเราคงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกต่อไปแล้ว  ก่อนหน้านี้  ที่ข้าเคยบอกเจ้าว่าเราค่อยมาคุยเรื่องความรู้สึกกันก็ต่อเมื่อเจ้าสอบผ่านจนเลื่อนขั้นเป็นนักเวทย์ระดับสูงได้แล้ว  นั่นก็เพื่อให้กำลังใจ  และสร้างแรงกระตุ้นให้กับเจ้า  แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจชัดเจนแล้วว่าเจ้าไม่ได้พอใจกับอะไรสักอย่าง  ข้าขอตอบอย่างชัดเจนเลยก็แล้วกัน  ว่าไม่มีทางที่เรื่องระหว่างเราจะพัฒนามากไปไกลกว่านี้อีกหรอก  ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยวางและล้มเลิกความคิดเพ้อฝันพวกนั้นซะ  แต่ถ้าเจ้ายังมีคำถามเกี่ยวกับเวทมนตร์อีกในอนาคต  เจ้าก็ช่วยมาหาข้าที่ห้องเรียน  หรือไม่ก็สนามฝึกซ้อมเท่านั้น  ห้องทดลองของข้าคงไม่ต้อนรับเจ้าอีก  ออกไปได้แล้ว!”

“แสดงว่าท่านโกหกข้ามาโดยตลอดสินะ  ฮ่าฮ่า  ดีมาก…  ดีจริง  ๆ  …  ท่านอยากให้ข้าเป็นนักเวทย์ระดับสูงให้ได้ก่อนเพื่อเอาชนะใจท่าน  แต่เจ้าทาสชั้นต่ำนั่นกลับเป็นข้อยกเว้น?  ยัยผู้หญิงจอมเจ้าเล่ห์  ไร้ยางอายสิ้นดี  ข้าไม่มีวันเชื่อท่านอีกต่อไปแล้ว!”

ฟิทช์พยายามคุมสีหน้าเอาไว้  ขณะหัวเราะอย่างชั่วร้ายและเดินออกไปจากห้องทดลอง

หานซั่วถอยหลังไปหลบในมุมห้องและรอจนกว่าฟิทช์จะออกไป  เขาจ้องมองร่างที่กำลังเดินผ่านไปด้วยสายตาเย็นชา  ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง  และเดินเข้าไปในห้องทดลองของแฟนนี่ด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ

หานซั่วเห็นแฟนนี่กำลังเหม่อลอยราวกับจมอยู่กับวังวนความคิดของตัวเองขณะที่เขาเดินเข้าไปหาเธอ  ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวโดยใช้สองมือยันตัวไว้กับโต๊ะกลมข้าง  ๆ  อย่างอ่อนแรง  พลางก้มหน้าถอนหายใจ  เธอพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่เหนื่อยอ่อนเป็นที่สุด

“บางที  ฟิทช์อาจจะพูดถูกก็ได้    ข้าคงเป็นผู้หญิงจอมเจ้าเล่ห์และไร้ยางอายจริง  ๆ  เพราะข้ากลายเป็นฝ่ายฝ่าฝืนกฎระเบียบเสียเอง…”

หานซั่วได้ยินเสียงพึมพำของแฟนนี่ชัดเจนทุกถ้อยคำ  แต่เขากลับไม่เข้าใจในประโยคที่เธอพูด  และไม่รู้ว่าเธอหมายถึงใคร  หลังจากคิดไปครู่หนึ่ง  หานซั่วก็ใช้นิ้วเคาะที่โต๊ะกลมตัวนั้นเพื่อบอกให้เธอรู้ถึงการมาของเขา

“ก็บอกให้ออกไปไงล่ะ!”

แฟนนี่เงยหน้าขึ้นมามองทันที  แต่เมื่อเธอรู้ว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอคือหานซั่ว  ท่าทีของเธอก็แปลกไปอย่างมาก  ทีแรก  เธอเหมือนจะคิดอะไรไม่ออกและรู้สึกตื่นตกใจ  ดวงตาของเธอราวกับพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง  แต่แล้วท่าทีของเธอก็กลายเป็นปกติ  ก่อนที่จะกลอกตาอย่างอารมณ์เสียและมองหน้าเขา

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ  ข้าแค่มาถามบางอย่างกับท่านเท่านั้นเอง”

หานซั่วเองก็ตอบเธอไปด้วยท่าทีแปลก  ๆ  เช่นกัน

“เจ้าได้ยินอะไรไปบ้าง?  เมื่อกี้เจ้าเห็นทุกอย่างทั้งหมดแล้วใช่มั้ย?”

เรือนร่างมีเสน่ห์งดงามของแฟนนี่เปลี่ยนไปทันทีขณะที่เธอจ้องมองหานซั่ว

“หูที่ดีผิดมนุษย์ของเจ้าต้องได้ยินทุกอย่างหมดแล้วแน่  ไม่รู้เหรอ  ว่าการแอบฟังคนอื่นคุยกันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก  ๆ  เลยน่ะ?”

“เอ๋…  ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังซะหน่อย  ทุกอย่างมันลอยมาเข้าหูข้าเองต่างหาก  ข้ามีทางเลือกซะที่ไหนกันล่ะครับ?”

หานซั่วผายมือทั้ง  2  ข้างออกราวกับไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรในเรื่องนี้  แต่แล้วท่าทีของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันที

“ยัยแร้งทึ้งคามิลล่านั่นร้ายกาจจริง  ๆ  สำหรับข้าเองก็ไม่สนใจอะไรหรอก  แต่หล่อนใส่ร้ายป้ายสีท่าน  และตั้งใจทำให้ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของท่านต้องมัวหมองขนาดนี้  ท่านจะปล่อยหล่อนไปง่าย  ๆ  เหรอครับ?”

“ลืมมันซะเถอะ  ยัยแม่มดเฒ่านั้นก็เป็นซะแบบนี้ล่ะ  ยังไงซะ  ความจริงก็คือไม่มีเรื่องอะไรระหว่างพวกเราสองคนอยู่ดี  สิ่งที่คนอื่นพูดไม่ได้กระทบอะไรกับเราสักหน่อย  ยิ่งเราอธิบายไป  พวกนั้นก็ยิ่งคิดว่าพวกเรายอมรับความผิดในเรื่องที่เกิดขึ้น  เพราะฉะนั้นก็ปล่อยวางไปดีกว่า  คนที่มีศีลธรรมอันดีย่อมไม่สะทกสะท้านต่อคำสบประมาทหรอกนะ”

แฟนนี่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา  แม้จะดูค่อนข้างกังวล  แต่เธอก็พยายามพูดให้กำลังใจและมองโลกในแง่ดี

“แต่ข้ารู้สึกผิดนี่ครับ!”

หานซั่วพูดด้วยสีหน้าขมขื่น

“บ้าจริง  เจ้าจะรู้สึกผิดเรื่องอะไรงั้นหรอ?”

ใบหน้ามีเสน่ห์ของแฟนนี่แดงระเรื่อและร้อนผ่าวขึ้นมาทันที  เมื่อเธอก้มหน้าและมองหานซั่วด้วยท่าทีขุ่นเคือง  ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาพ่นใส่หานซั่ว

“เป็นความผิดของข้าเอง  ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจท่านผิดไป  ข้าถึงได้รู้สึกว่าทำให้ท่านผิดหวังและเสียใจ  ข้าก็ต้องรู้สึกผิดสิครับ”

หานซั่วอธิบายด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูก

แฟนนี่สะดุ้งเบา  ๆ  ก่อนจะถามอย่างโกรธเคืองต่อไป

“ที่ว่ารู้สึกผิดก็เรื่องนี้เองสินะ  ข้านึกว่าเจ้าหมายถึงเรื่องอื่นซะอีก”

“เรื่องอื่น?  หมายถึงเรื่องไหนเหรอครับ?”

หานซั่วถาม

“เปล่า  ไม่มีอะไร”

แฟนนี่รีบตอบเพื่อหวังกลบเกลื่อนทันที  อยู่ดี  ๆ  เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา  และถามเขาต่อไป

“แล้วคราวนี้เจ้ามีคำถามอะไรมาถามข้าล่ะ?”

หานซั่วกำลังจะอ้าปากพูดอยู่แล้วในขณะที่สัมผัสได้ถึงใครบางคนที่กำลังใกล้เข้ามา  เขาจึงไม่ได้ตอบเธอ  และจับจ้องไปที่ประตูแทน  ไม่นานนัก  หานซั่วก็เห็นจอมขมังเวทย์ดุ๊คเดินเข้ามาในห้องของแฟนนี่พร้อมรอยยิ้มใจดี

“อาจารย์แฟนนี่  วันนี้ท่านพอมีเวลาว่างรึเปล่า?  ข้ามีคำถามอยากจะถามท่านนิดหน่อย”

ดุ๊คยิ้มทักทายแฟนนี่ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้อง

ตอนนั้นเอง  ดุ๊คก็นิ่วหน้าทันทีเมื่อหันไปเห็นหานซั่ว  ซึ่งหานซั่วก็ตกใจแต่พยายามรักษาอาการและสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด  เขามองดุ๊คที่เพิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ทั้งประหลาดใจและสับสน  ราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้เจอดุ๊ค  และอยากรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเขาทันที


ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>> Facebook :

(0 votes) 0/10
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments