ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
ทีแรกนั้น หานซั่วกังวลมากว่าดุ๊คจะรู้ถึงสิ่งที่เขาทำอยู่ แต่ไม่นานนัก เขาก็โยนความกังวลทั้งหมดทิ้งไปทันทีเมื่อมาถึงสาขาศาสตร์แห่งความตาย
เหตุผลก็คือตอนที่หานซั่วมาถึง เขาทักบอร์กและแครี่ตอนที่เห็นพวกนั้นทำกำลังความสะอาดรูปปั้นหินที่เรียงรายอยู่ตามทางเดิน ทั้งคู่จำหานซั่วไม่ได้ อีกทั้งยังทำตัวไม่ถูก จึงได้แต่แสดงความเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตน
เมื่อหานซั่วบอกพวกนั้นให้รู้ว่าเขาเป็นใคร ทั้งบอร์กและแครี่ก็จำได้ทันที และพูดคุยกับเขาด้วยท่าทีหวั่นเกรงยิ่งกว่าเดิม
เพราะหานซั่วไม่ใช่ทาสหรือคนรับใช้ของสาขาศาสตร์แห่งความตายอีกต่อไปแล้ว แต่เขาคือนักเรียน ที่มีสถานภาพสูงกว่าเด็กรับใช้ทั้ง 2 คน และเพราะเหล่านักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตายได้เล่าเรื่องราววีรกรรมมากมายในป่าทมิฬของหานซั่วไว้อย่างเกินจริง จึงยิ่งทำให้ทั้งคู่ซึ่งเคยเป็นโจทก์เก่าต้องรู้สึกสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม ด้วยเกรงว่าหานซั่วจะกลับมาตามล้างแค้น
แต่หานซั่วก็ไม่ได้สนใจทั้งคู่ เขากลับมองเข้าไปที่กระจกทองแดงและชื่นชมภาพสะท้อนของตนเองในนั้นอย่างอารมณ์ดี และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งสังเกตว่ารูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ร่างกายเดิม ๆ ซึ่งเคยผอมแห้งเป็นหนังหุ้มกระดูก กลับแข็งแรงล่ำสันและสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน รูปหน้าที่ทั้งอ่อนแอและซีดเซียว กลับดูเด็ดเดี่ยวหลังจากที่ผ่านประสบการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายมานักต่อนัก เรียกได้ว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับคนละคน จากเด็กชายผอมแห้งเมื่อครึ่งปีก่อน บัดนี้ กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่ดูดีมีเสน่ห์ทั้งรูปร่างและหน้าตา
หากแม้แต่อดีตสหายร่วมรับใช้อย่างบอร์กและแครี่ก็ยังจำเขาไม่ได้ง่าย ๆ หานซั่วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับดุ๊คและเอริค และโดยเฉพาะเมื่อคานไดด์สัญญาว่าจะคอยจัดการควบคุมองค์กรลอบสังหารอย่าง “ปีศาจเงา” ไม่ให้มาวุ่นวายกับเขาอีก หานซั่วจึงรู้สึกผ่อนคลายจิตใจได้อย่างสมบูรณ์ และไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนของตัวเองอีกต่อไป ก่อนจะเดินกลับเข้าสู่รั้ววิทยาลัยอย่างเปิดเผย
“เอ๋ ไบรอันนี่นา เจ้าไม่ได้กลับมาที่วิทยาลัยตั้งนาน ข้านึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าซะแล้ว!”
เอมี่ นักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตายกำลังเดินไปเข้าเรียน แต่ก็หยุดอย่างกะทันหันและอุทานอย่างแปลกใจเมื่อเห็นหานซั่ว
“หวัดดี เอมี่”
หานซั่วยิ้มทักทายเธอ และเดินตรงไปยังอาคารเรียนเวทมนตร์ธาตุมืดพร้อมกับเธอ
เมื่อหานซั่วมาถึงยังห้องเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตาย เขาก็เหม่อนึกถึงอดีตไปชั่วขณะ ก่อนหน้านี้เพียงประมาณ 2 เดือน ที่เขาทำได้เพียงถือไม้กวาด และแสร้งทำเป็นกวาดพื้นไปมา
เพียงเพื่อจะได้มีโอกาสยืนฟังคำบรรยายของอาจารย์จีนอยู่นอกห้อง ใครจะคาดคิดว่าภายในระยะเวลาสั้น ๆ เขาจะได้กลายมาเป็นนักเรียนเวทมนตร์สาขาศาสตร์แห่งความตาย และมีสิทธิ์เข้ามานั่งเรียนร่วมกับนักเรียนคนอื่น ๆ แบบนี้
“อย่ามัวแต่ยืนเหม่ออยู่สิ คาบที่สองกำลังจะเริ่มแล้ว รีบเข้ามาเถอะ!”
เอมี่พูดและเร่งเร้าเขาทันทีที่เธอเดินผ่านเข้าประตูมาแล้ว แต่หานซั่วกลับยืนนิ่งอึ้งอยู่ข้างนอก
เมื่อได้สติ หานซั่วก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เอมี่ ก่อนจะรีบพยักหน้าและเดินตามเธอเข้าไปในห้องเรียน เมื่อเข้าไปในห้อง สายตาของนักเรียนหลายคนก็หันมาจับจ้องมาที่หานซั่วทันที โดยเฉพาะลิซ่าที่นั่งอยู่แถวหลัง ซึ่งก่อนหน้านี้เธอหลับตาอย่างเกียจคร้าน แต่กลับเบิกกว้างและเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อเห็นหานซั่ว เธอรีบลุกขึ้นยืนและโบกไม้โบกมือให้เขา
“ตรงนี้ มานั่งตรงนี้สิ!”
ทั้งบาคและเบลล่าจ้องมองมาที่หานซั่วเช่นเดียวกับนักเรียนคนอื่น ๆ แต่สายตาของทั้งคู่กลับดูแปลก ๆ ก่อนที่จะหันไปกระซิบกระซาบพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไบรอันกลับมาแล้ว ฮะ ๆ ๆ นี่ เอมี่ เจ้าเชื่อข่าวลือนั่นรึเปล่า?”
เมื่อทักทายกันเสร็จแล้ว อาธีน่าก็หันมาถามเอมี่ด้วยเสียงแผ่วเบาทันที
“ข้าไม่เชื่อหรอก ดูเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างอาจารย์แฟนนี่และไบรอันเลยนี่นา …คามิลล่า ยัยแม่มดแร้งทึ้งนั่นชอบสร้างข่าวลือไปทั่วแหละ เจ้าเชื่ออะไรที่คนอย่างหล่อนพูดด้วยเหรอ?”
เอมี่เม้มปากพลางส่ายหน้า
ไม่เพียงแต่เอมี่และอาธีน่าเท่านั้น ระหว่างที่เขาเดินไปหาลิซ่า เขาได้ยินที่นักเรียนทุกคนคุยกันเกี่ยวกับตัวเขาและแฟนนี่ เรื่องที่คามิลล่าไปเจอหานซั่วอยู่บนเตียงของแฟนนี่ ราวกับเป็นคู่ที่คบหาและอาศัยอยู่ด้วยกันแล้ว และเรื่องราวการถูกจับได้คาหนังคาเขาระหว่างหานซั่วและแฟนนี่ก็กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างพูดถึง
หานซั่วพูดอะไรไม่ออก เพราะไม่นึกว่ายัยคามิลล่านั่นจะชอบสอดรู้สอดเห็นและทำให้เรื่องราวใหญ่โตจนนักเรียนทุกคนในสาขาศาสตร์แห่งความตายรับรู้แบบนี้ แสดงว่าแม้กระทั่งอาจารย์คนอื่น ๆ รวมทั้งแฟนนี่เองก็อาจได้ยินข่าวลือก่อนใครเสียด้วยซ้ำ
แล้วท่าทีตื่นเต้นดีใจในตอนแรกของลิซ่าก็พลันเปลี่ยนเข้าสู่การซักไซ้ไต่ถามทันทีหลังจากที่หานซั่วนั่งลงพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ สายตาแรกที่จับจ้องมองเขาเป็นการพินิจพิจารณาหานซั่วไปทั้งตัว ราวกับจะสำรวจเก็บรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงของเขาทั่วทุกมุม ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ว่าไงฮึ? เรื่องที่พวกเขาพูดกันน่ะ เป็นความจริงรึเปล่า? มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับอาจารย์แฟนนี่จริง ๆ เหรอ?”
“ลิซ่า ใคร ๆ อาจไม่เชื่อข้า แต่แม้กระทั่งเจ้าก็ไม่เชื่อข้าเหมือนกันเหรอ? ถึงข้าจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ยังไงซะ อาจารย์แฟนนี่ก็ไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นแน่นอนอยู่แล้วล่ะ! ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย ว่ามีคนหลงเชื่อเรื่องไร้สาระอะไรแบบนั้นด้วย แบบนี้มันเกินไปจริง ๆ”
หานซั่วอธิบายให้ลิซ่าฟังอย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าขมขื่น
ลิซ่าถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งใจเมื่อได้ยินหานซั่วอธิบาย ท่าทีของเธอจึงผ่อนคลายลงเช่นกัน แต่เธอก็ยังถามต่อด้วยความสงสัย
“แต่ข่าวลือมันเกิดขึ้นเองไม่ได้หรอกถ้าไม่มีมูล แสดงว่าเรื่องที่เจ้าไปที่ห้องของอาจารย์แฟนนี่กลางดึกเป็นความจริงเหรอ? ถึงยัยแม่มดแร้งทึ้งคามิลล่านั่นจะปากไม่มีหูรูดก็เถอะ แต่หล่อนคงไม่อยู่ดี ๆ ก็มากล่าวหาเจ้าโดยไม่มีสาเหตุหรอก จริงมั้ย?
หานซั่วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าก็แค่ไปหาอาจารย์แฟนนี่เพื่อถามคำถามสองสามข้อเท่านั้น แต่ยัยแก่นั่นทำให้เรื่องขี้ปะติ๋วให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารเอง ข้าห้ามปากหล่อนไม่ได้หรอก อยากจะพูดอะไรก็ปล่อยหล่อนพูดไปเถอะ ข้าไม่ได้รับผลกระทบอะไรอยู่แล้ว”
“แต่มันกระทบกับชื่อเสียงของอาจารย์แฟนนี่มากเลยนะ ทุกคนคงคิดว่าอาจารย์แฟนนี่มีประวัติที่ไม่ขาวสะอาดอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเจ้าเองก็เป็นนักเรียนของเธอด้วย บางที ฝ่ายบริหารโรงเรียนอาจจับตามอง และคอยสังเกตพฤติกรรมของอาจารย์แฟนนี่อย่างใกล้ชิดหรืออะไรเทือกนั้นแหละ”
หานซั่วเข้าใจอย่างแจ่มชัดทันทีเพราะคำพูดของลิซ่า และเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน ที่นึกถึงแต่ตัวเองโดยไม่เคยคำนึงถึงสถานะของแฟนนี่เลยแม้แต่น้อย
ขณะที่หานซั่วกำลังก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ จีนก็เดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับตำราเวทมนตร์ตั้งใหญ่ในมือ เขากวาดตามองไปทั่วห้อง ก่อนจะไปสะดุดตาที่หานซั่วซึ่งนั่งอยู่แถวหลัง สีหน้าของเขากลับเย็นชาขึ้นมาทันที
แล้วชั้นเรียนก็เริ่มขึ้น เมื่อจีนหยุดยืนมองหายซั่วพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย
“ไบรอัน เจ้าไม่เข้าเรียนเลยนะ ตั้งแต่ได้เป็นนักเรียนสาขาศาสตร์แห่งความตาย ความรู้ที่ข้าสอนมันลึกล้ำเกินไปงั้นรึ? เจ้าเข้าใจใช่มั้ยว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร?”
จากเหตุการณ์ในป่าทมิฬ หานซั่วรู้ดีว่าจีนก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่เขาชอบทำให้อะไร ๆ มันยากขึ้นเล็กน้อยสำหรับหานซั่วเพราะประเด็นเรื่องของแฟนนี่ ซึ่งนอกจากนั้นแล้ว จีนก็ถือว่าเป็นคนดีมีอารยธรรมคนหนึ่งทีเดียว และไม่ได้ทำให้ชีวิตของหานซั่วยุ่งยากวุ่นวายมากเท่าไหร่ และหานซั่วก็ไม่รู้สึกคิดแค้นอะไรในตัวเขา
แต่ทว่าตอนนี้ ด้วยข่าวลืออื้อฉาวเกี่ยวกับเขาและแฟนนี่ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้จีนถูกความอิจฉาริษยาครอบงำ และหวังว่าจะเอาคืนด้วยการทำให้เขาอับอาย
“อาจารย์จีน ข้าเรียนรู้สิ่งที่ท่านสอนผ่านการอ่านตำรามาบ้าง และข้าก็เข้าใจเรื่องพื้นฐานเกือบทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าก็เลยคิดว่าข้าคงจะเข้าใจสิ่งที่ท่านสอนได้ไม่ยาก ไม่ต้องห่วงข้าหรอกครับ”
หานซั่วนั่งหลังพิงกับเก้าอี้และยิ้มด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“โอ้ งั้นถ้าเจ้าสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ด้วยตัวเองผ่านการอ่านเพียงแค่ตำรางั้นสิ? แล้ววิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลนของเราจะมีไปเพื่ออะไรกันล่ะ? หึหึหึ ถ้าอย่างนั้น ข้าขอถามคำถามเจ้าหน่อย… เราสามารถใช้เวทมนตร์ได้กี่วิธี?
“แบ่งเป็น 4 วิธีครับ… คือ การร่ายเวทย์ การใช้วัตถุเวทมนตร์ หัตถ์มนตรา และมิติเวทมนตร์… การร่ายเวทย์ เป็นการใช้คาถาสื่อสารกับเวทมนตร์ธาตุต่าง ๆ เพื่อปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมา… ส่วนการใช้วัตถุเวทมนตร์ ก็รวมถึงพวกม้วนคาถาและอื่น ๆ …”
หานซั่วยังคงนั่งในท่าทีเกียจคร้านขณะร่ายยาวคำจำกัดความต่าง ๆ รวมถึงความรู้จากประสบการณ์บางอย่างของตัวเขาเอง จีนที่ได้ยินก็ประหลาดใจในคำตอบของเขาอยู่ไม่น้อย แต่แล้วเขาก็พยักหน้า
“ดีมาก ดูเหมือนเจ้าจะเรียนรู้พื้นฐานที่อยู่ในตำรามาหมดแล้วจริง ๆ ถ้างั้นข้าขอถามเพิ่มอีกหน่อยก็แล้วกัน…”
จีนนิ่วหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มรัวคำถามใส่หานซั่ว ตั้งแต่เวทมนตร์ขั้นพื้นฐานที่สุด จนเริ่มถามความรู้เฉพาะทางของนักเวทย์ระดับเริ่มต้น แต่หานซั่วก็ยังสามารถอธิบายคำตอบทุกอย่างได้อย่างลื่นไหล
ระหว่างนั้นเอง ทั้งจีนและนักเรียนคนอื่น ๆ ในห้องเรียนต่างมองหานซั่วด้วยความตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าหานซั่วจะสามารถเข้าใจความรู้มากมายได้อย่างลึกซึ้งในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงเท่านี้ เหงื่อเริ่มไหลลงมาเป็นทางจากหน้าผากของจีนที่เริ่มกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด กระนั้น เขาก็ยังพ่นลมอย่างดูถูกก่อนจะถามคำถามต่อไป
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอกครับ”
หานซั่วตอบจากใจจริง เพราะสิ่งที่จีนถามเป็นความรู้เฉพาะของนักเวทย์ระดับกลางที่เขายังไม่ได้ศึกษาจนเข้าใจ
ในที่สุด จีนก็ยิ้มออก และกำลังจะพูดอะไรออกมาเพื่อกู้หน้าตัวเองเมื่ออยู่ดี ๆ ลิซ่าก็พูดโพล่งออกมาอย่างหมดความอดทน
“อาจารย์จีน ถ้าเขารู้คำตอบของทุกอย่างแล้วล่ะก็ เขาจะมาเข้าเรียนวิชาของท่านไปเพื่ออะไรล่ะคะ?”
คำพูดของลิซ่าทำให้จีนสะอึกทันที เขาทำท่ากระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตบโต๊ะพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ
“ตกลง งั้นข้าคงไม่ถามต่อแล้วล่ะ เรามาเริ่มเรียนกันต่อเถอะ”
“นี่ ทำไมอยู่ดี ๆ เจ้าได้ถึงรู้เยอะขนาดนี้ล่ะ?”
ลิซ่าเอียงหัวเข้ามาหาเขา และกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าก็เคยบอกไปแล้วไง ข้าไปถามทุกอย่างมาจากอาจารย์แฟนนี่ ไม่งั้นยัยแก่คามิลล่านั่นจะมาเห็นแล้วเอาข่าวลือแย่ ๆ ไปพูดต่อจนสนุกปากขนาดนั้นเหรอ?”
หานซั่วตอบและเริ่มสนใจเรียนอย่างจริงจัง เนื้อหาบางอย่างที่จีนสอนครอบคลุมถึงความรู้ของนักเวทย์ระดับกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่หานซั่วต้องจดจำให้ได้ และเป็นเหตุผลที่หานซั่วไม่ถือสาหรือเอือมระอาต่อท่าทีอิจฉาริษยาของจีนเลยแม้แต่น้อย
ลิซ่าทำท่าเหมือนจะอยากคุยกับหานซั่วต่อ แต่ก็ไม่มีโอกาสเพราะหานซั่วรีบตรงไปยังห้องทดลองของแฟนนี่ทันทีที่เลิกเรียน
“ฟิทช์ ข้าอธิบายเวทมนตร์นี้ให้เจ้าฟังไปตั้งหลายครั้งแล้ว ความสามารถระดับเจ้าน่าจะเข้าใจได้ตั้งนานแล้วนะ ทำไมเจ้าถึงยังร่ายไม่สำเร็จอีกล่ะ?”
ด้วยความสามารถพิเศษของหานซั่วทำให้เขาได้ยินบทสนทนาภายในห้องทดลองอย่างชัดเจน แม้ว่าจะยังยืนรอยู่ข้างนอก
“อาจารย์แฟนนี่ ท่านเองก็เข้าใจความรู้สึกของข้าดี ทำไมท่านถึงไม่ให้โอกาสข้า แต่กลับเป็นเจ้าทาสชั้นต่ำนั่นมากกว่าล่ะ? ทำไมกันครับ?”
ฟิทช์พรั่งพรูความอัดอั้นภายในใจออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง และตอนนั้นเองที่หานซั่วดึงประตูเปิดออกเบา ๆ จนเห็นสีหน้าขุ่นเคืองใจของฟิทช์ได้อย่างชัดเจน
แฟนนี่สวมแว่นตากรอบสีดำและชุดคลุมเวทมนตร์ที่ให้ความรู้สึกทั้งดูเคร่งขรึมและเจ้าระเบียบ ความเอือมระอาปรากฏบนใบหน้าของเธอย่างชัดเจน จนเธอถอนหายใจ
“ฟิทช์ ข้าเริ่มผิดหวังในตัวเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ อย่างแรกเลย ไบรอันเองก็เหมือนกันกับเจ้า คือเป็นนักเรียนของข้า เจ้าเลิกปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นคนรับใช้ได้แล้ว อีกอย่าง ข้าสังเกตนะ ว่าเจ้าไม่เคยตั้งใจฟังสิ่งที่ข้าสอนเวลาเจ้าเข้ามาถามคำถามกับข้าเลย เจ้าไม่เคยมีสมาธิ ซึ่งข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ถ้าเทียบกันเรื่องนี้แล้ว ไบรอันยังดีกว่าเจ้าซะอีก”
“คำก็ไบรอัน สองคำก็ไบรอัน เจ้าทาสชั้นต่ำนั่นจะมีดีกว่าข้าไปได้ยังไง? ทำไมท่านถึงให้โอกาสเจ้านั่น แต่ไม่เคยให้โอกาสอะไรข้าเลย? แสดงว่าสิ่งที่อาจารย์คามิลล่าพูดเป็นเรื่องจริงงั้นสิ ท่านหลับนอนกับเจ้านั่น ไม่รู้สึกละอายบ้างเลยรึไง?”
ฟิทช์กราดเกรี้ยวแต่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์และน้ำเสียงไว้อย่างที่สุด จนแทบจะคำรามออกมาขณะพูด
เพียะ !!
แฟนนี่ตบหน้าฟิทช์ เธอกำลังโกรธจัดและมองหน้าฟิทช์ด้วยสายตาเย็นชา
“ข้าว่าเราคงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกต่อไปแล้ว ก่อนหน้านี้ ที่ข้าเคยบอกเจ้าว่าเราค่อยมาคุยเรื่องความรู้สึกกันก็ต่อเมื่อเจ้าสอบผ่านจนเลื่อนขั้นเป็นนักเวทย์ระดับสูงได้แล้ว นั่นก็เพื่อให้กำลังใจ และสร้างแรงกระตุ้นให้กับเจ้า แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจชัดเจนแล้วว่าเจ้าไม่ได้พอใจกับอะไรสักอย่าง ข้าขอตอบอย่างชัดเจนเลยก็แล้วกัน ว่าไม่มีทางที่เรื่องระหว่างเราจะพัฒนามากไปไกลกว่านี้อีกหรอก ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยวางและล้มเลิกความคิดเพ้อฝันพวกนั้นซะ แต่ถ้าเจ้ายังมีคำถามเกี่ยวกับเวทมนตร์อีกในอนาคต เจ้าก็ช่วยมาหาข้าที่ห้องเรียน หรือไม่ก็สนามฝึกซ้อมเท่านั้น ห้องทดลองของข้าคงไม่ต้อนรับเจ้าอีก ออกไปได้แล้ว!”
“แสดงว่าท่านโกหกข้ามาโดยตลอดสินะ ฮ่าฮ่า ดีมาก… ดีจริง ๆ … ท่านอยากให้ข้าเป็นนักเวทย์ระดับสูงให้ได้ก่อนเพื่อเอาชนะใจท่าน แต่เจ้าทาสชั้นต่ำนั่นกลับเป็นข้อยกเว้น? ยัยผู้หญิงจอมเจ้าเล่ห์ ไร้ยางอายสิ้นดี ข้าไม่มีวันเชื่อท่านอีกต่อไปแล้ว!”
ฟิทช์พยายามคุมสีหน้าเอาไว้ ขณะหัวเราะอย่างชั่วร้ายและเดินออกไปจากห้องทดลอง
หานซั่วถอยหลังไปหลบในมุมห้องและรอจนกว่าฟิทช์จะออกไป เขาจ้องมองร่างที่กำลังเดินผ่านไปด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และเดินเข้าไปในห้องทดลองของแฟนนี่ด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ
หานซั่วเห็นแฟนนี่กำลังเหม่อลอยราวกับจมอยู่กับวังวนความคิดของตัวเองขณะที่เขาเดินเข้าไปหาเธอ ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวโดยใช้สองมือยันตัวไว้กับโต๊ะกลมข้าง ๆ อย่างอ่อนแรง พลางก้มหน้าถอนหายใจ เธอพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่เหนื่อยอ่อนเป็นที่สุด
“บางที ฟิทช์อาจจะพูดถูกก็ได้ ข้าคงเป็นผู้หญิงจอมเจ้าเล่ห์และไร้ยางอายจริง ๆ เพราะข้ากลายเป็นฝ่ายฝ่าฝืนกฎระเบียบเสียเอง…”
หานซั่วได้ยินเสียงพึมพำของแฟนนี่ชัดเจนทุกถ้อยคำ แต่เขากลับไม่เข้าใจในประโยคที่เธอพูด และไม่รู้ว่าเธอหมายถึงใคร หลังจากคิดไปครู่หนึ่ง หานซั่วก็ใช้นิ้วเคาะที่โต๊ะกลมตัวนั้นเพื่อบอกให้เธอรู้ถึงการมาของเขา
“ก็บอกให้ออกไปไงล่ะ!”
แฟนนี่เงยหน้าขึ้นมามองทันที แต่เมื่อเธอรู้ว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอคือหานซั่ว ท่าทีของเธอก็แปลกไปอย่างมาก ทีแรก เธอเหมือนจะคิดอะไรไม่ออกและรู้สึกตื่นตกใจ ดวงตาของเธอราวกับพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง แต่แล้วท่าทีของเธอก็กลายเป็นปกติ ก่อนที่จะกลอกตาอย่างอารมณ์เสียและมองหน้าเขา
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ข้าแค่มาถามบางอย่างกับท่านเท่านั้นเอง”
หานซั่วเองก็ตอบเธอไปด้วยท่าทีแปลก ๆ เช่นกัน
“เจ้าได้ยินอะไรไปบ้าง? เมื่อกี้เจ้าเห็นทุกอย่างทั้งหมดแล้วใช่มั้ย?”
เรือนร่างมีเสน่ห์งดงามของแฟนนี่เปลี่ยนไปทันทีขณะที่เธอจ้องมองหานซั่ว
“หูที่ดีผิดมนุษย์ของเจ้าต้องได้ยินทุกอย่างหมดแล้วแน่ ไม่รู้เหรอ ว่าการแอบฟังคนอื่นคุยกันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก ๆ เลยน่ะ?”
“เอ๋… ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังซะหน่อย ทุกอย่างมันลอยมาเข้าหูข้าเองต่างหาก ข้ามีทางเลือกซะที่ไหนกันล่ะครับ?”
หานซั่วผายมือทั้ง 2 ข้างออกราวกับไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรในเรื่องนี้ แต่แล้วท่าทีของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันที
“ยัยแร้งทึ้งคามิลล่านั่นร้ายกาจจริง ๆ สำหรับข้าเองก็ไม่สนใจอะไรหรอก แต่หล่อนใส่ร้ายป้ายสีท่าน และตั้งใจทำให้ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของท่านต้องมัวหมองขนาดนี้ ท่านจะปล่อยหล่อนไปง่าย ๆ เหรอครับ?”
“ลืมมันซะเถอะ ยัยแม่มดเฒ่านั้นก็เป็นซะแบบนี้ล่ะ ยังไงซะ ความจริงก็คือไม่มีเรื่องอะไรระหว่างพวกเราสองคนอยู่ดี สิ่งที่คนอื่นพูดไม่ได้กระทบอะไรกับเราสักหน่อย ยิ่งเราอธิบายไป พวกนั้นก็ยิ่งคิดว่าพวกเรายอมรับความผิดในเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นก็ปล่อยวางไปดีกว่า คนที่มีศีลธรรมอันดีย่อมไม่สะทกสะท้านต่อคำสบประมาทหรอกนะ”
แฟนนี่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แม้จะดูค่อนข้างกังวล แต่เธอก็พยายามพูดให้กำลังใจและมองโลกในแง่ดี
“แต่ข้ารู้สึกผิดนี่ครับ!”
หานซั่วพูดด้วยสีหน้าขมขื่น
“บ้าจริง เจ้าจะรู้สึกผิดเรื่องอะไรงั้นหรอ?”
ใบหน้ามีเสน่ห์ของแฟนนี่แดงระเรื่อและร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เมื่อเธอก้มหน้าและมองหานซั่วด้วยท่าทีขุ่นเคือง ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาพ่นใส่หานซั่ว
“เป็นความผิดของข้าเอง ที่ทำให้ทุกคนเข้าใจท่านผิดไป ข้าถึงได้รู้สึกว่าทำให้ท่านผิดหวังและเสียใจ ข้าก็ต้องรู้สึกผิดสิครับ”
หานซั่วอธิบายด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูก
แฟนนี่สะดุ้งเบา ๆ ก่อนจะถามอย่างโกรธเคืองต่อไป
“ที่ว่ารู้สึกผิดก็เรื่องนี้เองสินะ ข้านึกว่าเจ้าหมายถึงเรื่องอื่นซะอีก”
“เรื่องอื่น? หมายถึงเรื่องไหนเหรอครับ?”
หานซั่วถาม
“เปล่า ไม่มีอะไร”
แฟนนี่รีบตอบเพื่อหวังกลบเกลื่อนทันที อยู่ดี ๆ เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และถามเขาต่อไป
“แล้วคราวนี้เจ้ามีคำถามอะไรมาถามข้าล่ะ?”
หานซั่วกำลังจะอ้าปากพูดอยู่แล้วในขณะที่สัมผัสได้ถึงใครบางคนที่กำลังใกล้เข้ามา เขาจึงไม่ได้ตอบเธอ และจับจ้องไปที่ประตูแทน ไม่นานนัก หานซั่วก็เห็นจอมขมังเวทย์ดุ๊คเดินเข้ามาในห้องของแฟนนี่พร้อมรอยยิ้มใจดี
“อาจารย์แฟนนี่ วันนี้ท่านพอมีเวลาว่างรึเปล่า? ข้ามีคำถามอยากจะถามท่านนิดหน่อย”
ดุ๊คยิ้มทักทายแฟนนี่ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้อง
ตอนนั้นเอง ดุ๊คก็นิ่วหน้าทันทีเมื่อหันไปเห็นหานซั่ว ซึ่งหานซั่วก็ตกใจแต่พยายามรักษาอาการและสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด เขามองดุ๊คที่เพิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ทั้งประหลาดใจและสับสน ราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้เจอดุ๊ค และอยากรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเขาทันที
ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>> Facebook :
(0 votes) 0/10