ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
“ท่านดุ๊คจะสุภาพเกินไปแล้ว ท่านอยากทราบอะไรเชิญถามมาได้เลยค่ะ”
แฟนนี่ยิ้มและเลื่อนเก้าอี้เพื่อเชิญให้ดุ๊คนั่ง
ดุ๊คเหลือบไปกวาดตามองหานซั่วทั่วทั้งตัวแบบพินิจพิจารณา แล้วก็หันกลับไปหาแฟนนี่ ราวกับไม่สนใจหานซั่วเลยแม้แต่น้อย ดุ๊คไม่ได้ตอบรับคำเชิญให้นั่งเก้าอี้ของแฟนนี่ เพียงแต่ตอบเธอไปอย่างสุภาพ
“ข้าคงไม่นั่งหรอก ข้าแค่มาถามเจ้านิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง เดี๋ยวข้าก็ไปแล้วล่ะ อาจารย์แฟนนี่ จากที่ท่านศึกษาเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายมาหลายปี ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับ “เนตรอสูร” บ้างรึเปล่า?”
หานซั่วเฝ้าสังเกตการณ์ดุ๊คอยู่เงียบ ๆ ริมห้อง หลังจากที่เขาพูดจบ สายตาของดุ๊คจับจ้องไปที่แฟนนี่อย่างไม่วางตา ราวกับพยายามจะหาเบาะแสบางอย่างจากสีหน้าของเธอ
แฟนนี่ส่ายศีรษะด้วยท่าทีสับสน
“เนตรอสูร … คืออะไรกันนะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับศาสตร์แห่งความตายด้วยเหรอคะ?”
“ฮะ ๆ ๆ มันก็แค่อุปกรณ์เล็ก ๆ ชิ้นนึงเท่านั้นเอง ข้าเองก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับคุณสมบัติของมันนักหรอก ข้าถึงได้มาถามเจ้า แต่ถ้าเจ้าเองก็ไม่รู้ งั้นก็ลืมมันซะเถอะ ข้าข้อโทษที่มารบกวน”
ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง ดุ๊คก็ยิ้มอย่างสุภาพให้เธอตลอดการสนทนา เขาน้อมศีรษะเป็นเชิงอำลา แต่จู่ ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ตอนที่เดินไปถึงประตู เขาหันมาถามแฟนนี่อีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ
“โอ จริงสิ… อาจารย์แฟนนี่ ข้าได้ยินว่าห้องสมุดของสาขาศาสตร์แห่งความตายแบ่งส่วนอยู่ในห้องสมุดของสาขาเวทมนตร์ธาตุมืดสินะ ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ศาสตร์แห่งความตายเคยยิ่งใหญ่กว่าเวทมนตร์ธาตุมืดเสียอีก เจ้าไม่มีห้องสมุดที่แยกตัวออกมาเป็นของสาขาเจ้าเองเลยเลยงั้นรึ?”
“ฮะ ๆ ๆ ท่านดุ๊คก็พูดไป เรื่องนั้นมันก็ผ่านมาเป็นเวลานานมากแล้วล่ะค่ะ ที่ศาสตร์แห่งความตายเคยรุ่งโรจน์จนถึงขีดสุด แต่เพราะตอนนี้เวทมนตร์เหล่านั้นกลับสูญหายไป และสิ่งที่เหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายสามารถเรียนรู้ได้ตอนนี้ก็มีจำกัดเหลือเกิน และพวกเราก็เหลือตำราอยู่ไม่มากหรอกค่ะ”
แฟนนี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“อ๊ะ จริงสิ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีห้องสมุดลับอยู่ในวิทยาลัยของเราเหมือนกันค่ะ ว่ากันว่ามีตำราต้องห้ามของสาขาวิชาต่าง ๆ มากมายถูกเก็บรักษาไว้ในห้องสมุดนั้นอย่างลับ ๆ ตามคำสั่งของจักรวรรดิ แต่ข้าเองก็ได้ยินมาจากอาจารย์ท่านอื่นอีกที ก็เลยไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าห้องสมุดลับที่ว่านั่นซ่อนอยู่ตรงไหน”
“เข้าใจล่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ในวันข้างหน้าข้าคงได้มาพักอยู่ในวิทยาลัยของเจ้าอย่างเป็นทางการสักระยะหนึ่ง จะเป็นการรบกวนเจ้ามากเกินไปรึเปล่า ถ้าข้าจะมาพบเจ้าเพื่อปรึกษาหรือถามคำถามที่ข้าไม่เข้าใจอีกน่ะ?”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับใช้ค่ะ”
ดูเหมือนว่าดุ๊คจะจำหานซั่วไม่ได้จริง ๆ เพราะตั้งแต่ที่ดุ๊คหันมามองหานซั่วตอนที่เดินเข้าห้องมาครั้งแรก เขาก็ไม่ได้สนใจหานซั่วอีกเลย หานซั่วจึงโล่งใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ดุ๊คจากไปแล้ว
“เอาล่ะ เจ้ามีอะไรจะถามข้าก็ว่ามา”
แฟนนี่หันมามองหานซั่วด้วยความหงุดหงิด
แหวนมิติของหานซั่วสว่างวาบขึ้น และเขาก็หยิบรายการคำถามที่เขาจดเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา หานซั่วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ดุ๊คไม่ยอมนั่งลงในตอนแรก และเริ่มถามคำถามเธอ
ในฐานะที่เป็นนักเวทย์ระดับสูง แฟนนี่จึงเข้าใจในทฤษฎีต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ คำถามยาก ๆ มากมายที่เคยเป็นปัญหาสำหรับหานซั่วมาโดยตลอด กลับสามารถคลายความสงสัยในทุกประเด็นอย่างง่ายดายด้วยการอธิบายของแฟนนี่
“…การอัญเชิญผีดิบจะค่อนข้างยุ่งยากกว่าการอัญเชิญโครงกระดูกนิดหน่อย เพราะมวลร่างกายและน้ำหนักที่มากกว่า ทำให้ต้องใช้ปริมาณพลังจิตที่มากกว่าในการอัญเชิญพวกมัน แต่นอกจากนี้แล้ว การควบคุมผีดิบก็ยากและซับซ้อนกว่าโครงกระดูกมาก เพราะร่างกายที่ทนทานแข็งแรงกว่านั่นแหละ ถ้าเจ้าอยากควบคุมมันได้อย่างคล่องแคล่ว ก็ต้องฝึกฝนบ่อย ๆ …”
เสียงของแฟนนี่ฟังดูอ่อนโยนขณะที่เธออธิบายประเด็นสำคัญ ๆ ในการอัญเชิญผีดิบ
และเมื่อแฟนนี่อธิบายจบ คิ้วของหานซั่วก็กลายเป็นปมที่ขมวดแน่นขณะจมดิ่งลงสู่การคิดใคร่ครวญอย่างจริงจัง ซึ่งแฟนนี่เองก็ไม่ส่งเสียงใด ๆ ที่อาจจะเป็นการรบกวนหานซั่ว เมื่อเห็นว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนักแบบนั้น
ไม่นานนัก หานซั่วก็ถอนหายใจเบา ๆ และยิ้ม
“แสดงว่า เป็นเพราะความไม่สอดคล้องกันระหว่างปริมาณพลังจิตที่ต้องใช้ กับปริมาณพลังจิตที่มีอยู่นี่เอง ข้าคุ้นเคยกับการอัญเชิญโครงกระดูก และยังใช้ปริมาณพลังจิตที่เท่ากันในการสื่อสารผ่านมิติอื่นอีก ดูเหมือนตรงนี้เองที่เป็นประเด็นสำคัญของปัญหาทั้งหมด ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้วล่ะ”
เมื่อพูดจบ หานซั่วก็เริ่มร่ายเวทย์อัญเชิญผีดิบต่อหน้าแฟนนี่ เมื่อร่ายเสร็จในครั้งแรก ผีดิบตนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่จะหายวับไปแทบจะทันที ซึ่งหานซั่วก็ไม่ได้รีบร้อน เขาพยายามควบคุมปริมาณพลังจิตเรื่อย ๆ แม้จะยังคงไม่ประสบความสำเร็จหลังจากร่ายเวทย์ต่อไปอีก 4 – 5 ครั้ง
แฟนนิ่ยิ้มอย่างพอใจขณะที่เฝ้ามองหานซั่วฝึกเวทมนตร์ เพราะเธอรู้ว่าหานซั่วเข้าใจในสิ่งที่เธอสอน และพยายามทดลองฝึกหาปริมาณพลังจิตที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขาค้นพบจุดนั้น หานซั่วก็จะสามารถอัญเชิญผีดิบออกมาได้อย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้ายังไม่ต้องรีบฝึกตอนนี้ก็ได้ วิธีการตามความเข้าใจของเจ้าถูกต้องแล้วล่ะ แค่ต้องหมั่นฝึกซ้อมให้บ่อยจนกว่าจะจับทางได้เท่านั้นเอง ถ้าเจ้าควบคุมพลังจิตได้อย่างแม่นยำแล้วล่ะก็ ไม่นานเจ้าจะต้องเข้าใจการอัญเชิญผีดิบได้อย่างดีเลยล่ะ ไบรอัน นี่เพิ่งผ่านมาได้ 2 หรือ 3 เดือนเท่านั้นเอง เจ้าก็บรรลุสู่การเป็นนักเวทย์ระดับเริ่มต้นแล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ข้าสอนในสาขาศาสตร์แห่งความตาย ข้าไม่เคยเห็นใครทำได้เร็วขนาดนี้มาก่อนเลยนะ”
“แล้วถ้าเทียบข้ากับฟิทช์ล่ะ”
หานซั่วหยุดฝึกซ้อมชั่วคราวหลังจากที่ได้ยินแฟนนี่พูดให้กำลังใจ ก่อนจะหันไปหัวเราะกับเธออย่างจริงใจ
“รู้สึกแปลกชอบกล เวลาเห็นเจ้ายิ้มอย่างจริงใจแบบนี้ ห้ามมาเสแสร้งทำอะไรต่อหน้าข้าอีกแล้วนะ โอ ข้าลืมเรื่องฟิทช์ไปแล้วจริง ๆ ถ้าเจ้าไม่พูดถึงเขาขึ้นมา ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะโมโหจนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วล่ะ ข้ากลัวว่าเขาจะอาฆาตแค้นและตั้งใจสร้างปัญหาให้เจ้าแน่ ๆ เจ้าเองก็ระวังตัวด้วยนะ”
แฟนนี่ว่ากล่าวหานซั่ว แต่สุดท้ายก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
”อย่าห่วงไปเลยครับ ถ้าฟิทช์เชื่อคนง่ายขนาดนั้นจริง ข้าว่าคนที่จะลงเอยด้วยชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าก็น่าจะเป็นเขานั่นแหละ”
หานซั่วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจความคิดแค้นของฟิทช์เลยแม้แต่น้อย หรือเอาเข้าจริง หานซั่วก็แทบจะไม่เอาเรื่องนักเวทย์ระดับกลางอย่างฟิทช์มาคิดให้เปลืองสมองเสียด้วยซ้ำ
“ไบรอัน นึกแล้วเชียวว่าอยู่ที่นี่ มากับข้าหน่อยสิ ขออนุญาตนะคะอาจารย์แฟนนี่ พอดีข้ามีเรื่องจะคุยกับเขานิดหน่อย แหะ ๆ”
เสียงของลิซ่าดังขึ้นจากข้างนอก ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาหาหานซั่วทันทีตั้งแต่แรกก้าวเข้ามาในห้อง ลิซ่าจับข้อมือของเขาไว้ และลากเขาออกไป
ขณะที่แฟนนี่จ้องมองหานซั่วถูกลิซ่าลากออกไป อารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อยก็ผุดขึ้นในหัวใจของเธอ เป็นความรู้สึกราวกับถูกใครสักคนชิงเอาของมีค่าบางอย่างไปจากเธอ และเธอก็รู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก
“เจ้ารู้จักญาติของข้าได้ยังไง?”
ลิซ่าถามหานซั่วทันทีทั้ง ๆ ที่ยังเดินลากเขาไปยังสวนหย่อมเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังห้องสมุดของวิทยาลัย
ลิซ่าปล่อยมือจากหานซั่วแล้ว เขาจึงหันไปหาเธอพร้อมสีหน้างุนงง
“ญาติของเจ้า? หมายถึงใครเหรอ?”
“ก็ลอว์เรนซ์น่ะสิ! เขาเรียนอยู่สาขาศาสตร์การต่อสู้ของวิทยาลัยเรา ก่อนหน้านี้เขาก็มาหาเจ้าแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่เจอ ใครจะไปคิดว่าเขาจะมาตามหาเจ้าอีกทันทีที่รู้ว่าเจ้ากลับมาที่วิทยาลัยแล้วแบบนี้ล่ะ ว่าแต่เจ้าไปรู้จักเขาได้ยังไงกันเหรอ?”
เป็นเขาเองสินะ… ที่มาที่ไปของลอว์เรนซ์นี่แปลกเกินคาดเดาจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นศิษย์ของอาจารย์คนเดียวกันกับฟีบี้ แต่เขาก็ยังมาเข้าเรียนในวิทยาลัย และมีพลังแค่นักดาบระดับกลาง หานซั่วชั่งน้ำหนักข้อมูลทุกอย่างเงียบ ๆ ภายในใจ
และขณะที่เขากำลังก้มหัวอย่างใช้ความคิดอยู่นั้นเอง หานซั่วก็ไปสะดุดตาเข้าที่หน้าอกของลิซ่า เพราะเมื่อก่อน หน้าอกของเธอเคยแบนราบจนแทบไม่ต่างอะไรกับแผ่นหลัง แต่ตอนนี้กลับอวบอิ่มและได้รูปทรงดูน่ารัก ความกลมกลึงของหน้าอกคู่นั้นทำให้ลิซ่ากลายเป็นเด็กสาวที่มีทรวดทรงองค์เอวมีเสน่ห์ขึ้นมากมายเลยทีเดียว
“เอ๋… ลิซ่า วันนี้เจ้าใส่เสื้อผ้าหนากว่าปกติรึเปล่า? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าดูอึ๋มขึ้นเยอะเลยล่ะ?”
หานซั่วยังคงเพ่งมองที่หน้าอกของลิซ่า ก่อนจะพูดความรู้สึกออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“จ…เจ้าพูดแบบนั้นหมายความว่ายังไงกันน่ะ?”
ตอนที่ลิซ่ากำลังเดินอยู่ ทันทีที่ได้ยินที่หานซั่วพูด เธอก็สะดุ้งจนแทบสะดุดล้ม ใบหน้าเล็กน่ารักของเธอแดงระเรื่อขึ้นอย่างเขินอาย ขณะมองไปที่หานซั่วพร้อมกับถามคำถาม
“ก็ก่อนหน้านี้หน้าอกเจ้าแบนออกจะตายไป ยังกับไม่มีอะไรอยู่เลยอย่างนั้นแหละ แต่ดูตอนนี้สิ อึ๋มซะขนาดนี้ เจ้าเอาอะไรยัดเข้าไปให้ดูใหญ่ขึ้นเหรอ?”
หานซั่วพรั่งพรูสิ่งที่คิดภายในใจออกมาเป็นคำพูดจนหมด
ลิซ่าฉุนกึกขึ้นมาทันที และจ้องมองหานซั่วด้วยแววตามุ่งร้าย ก่อนจะยื่นมือเล็ก ๆ ของเธอไปหยิกหานซั่วอย่างเต็มแรง พร้อมส่งเสียงพูดผ่านฟันที่ขบแน่นเพราะความโกรธ
“เป็นคนสอนข้าเองแล้วยังจะมาสงสัยว่าข้าเอาอะไรมายัดไว้ที่หน้าอกอีกหรอ พูดแบบนี้อยากตายนักใช่มั้ย?”
หานซั่วรู้สึกตกใจขึ้นมาทันทีเมื่อจู่ ๆ เขาก็รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ทีแรกเขาตั้งใจจะแอบคิดอยู่เงียบ ๆ คนเดียว เพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเองด้วยการพูดทุกอย่างที่คิดจนทำให้อีกฝ่ายโกรธเคืองเขา
แต่ใครจะไปรู้ว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจะแปลกประหลาดเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดของตัวเขาเองเท่านั้น และไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความคิดใดที่ตั้งใจจะพูดทุกอย่างออกมา ทำให้หานซั่วสับสนไม่น้อย
ในตอนนั้นเอง สัมผัสเย็นยะเยือกบางอย่างก็แผ่ซ่านในจิตใจจนหานซั่วถึงกับตัวสั่นเบา ๆ แล้วเขาก็เข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใดทำให้คำพูดทุกอย่างหลุดออกมาจากปากของเขาอย่างควบคุมไม่ได้ ต้องเป็นเพราะแก่นมนตราที่เริ่มสร้างปรากฏการณ์ประหลาดบางอย่างตั้งแต่เริ่มเข้าสู่อาณาจักรพลังหลอมวิญญาณแน่ ๆ
หานซั่วยิ้มเจื่อน ๆ ให้ลิซ่าที่กำลังกัดฟันกรอด ในขณะที่ตัวของเขาเองก็พยายามสงบจิตใจลง พลางนึกย้ำเตือนตัวเองว่าให้ระวังคำพูดมากกว่านี้ และหันไปหัวเราะแห้ง ๆ กับเธอ
“ขอโทษนะ ลิซ่า ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นน่ะ แต่ข้าก็ไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าจะโตขึ้นได้ถึงขนาดนี้จริง ๆ เหมือนกัน ข้าดีใจแทนเจ้านะ”
“เจ้านี่ช่างร้ายกาจจริง ๆ กล้ามาพูดกับคนอื่นแบบนั้น!”
แต่แล้วลิซ่าก็หน้าแดงขึ้นทันที ก่อนจะอธิบายให้เขาฟังด้วยเสียงแผ่วเบา
“จริง ๆ ข้าน่าจะขอบคุณเจ้ามากกว่า เพราะข้าทำตามที่เจ้าบอก เฮ้อ… น่าอายชะมัด แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องมันก็เป็นอย่างที่เล่าไปนั่นแหละ!”
หานซั่วส่ายศีรษะพลางหัวเราะเบา ๆ เพราะเขาลืมไปเสียสนิทที่เคยบอกลิซ่าเกี่ยวกับการทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังไม่คิดฝันว่าวิธีนั้นจะเห็นผลถึงขนาดนี้ เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย
“สวัสดี ไบรอัน สบายดีรึเปล่า?”
ตอนนั้นเอง ลอว์เรนซ์ก็บังเอิญเห็นหานซั่วและลิซ่าจากอีกฝั่งหนึ่งของสนาม จึงทักทายพวกเขามาแต่ไกล
ลิซ่ารีบสูดหายใจเพื่อสงบสติและควบคุมสีหน้าแดงระเรื่อของตัวเองทันทีก่อนจะหันไปมองหานซั่ว และพูดอย่างอ่อนโยน
“พ่อของลอว์เรนซ์เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจักรวรรดิที่มีอิทธิพลมาก และเขาก็สนิทชิดเชื้อกับองค์จักรพรรดิมากเลยทีเดียว ถ้าเจ้าเข้ากันได้ดีกับเขาล่ะก็ คงเป็นประโยชน์กับตัวเจ้าไม่น้อยเลยล่ะ ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าก็แล้วกันนะ”
ดูเหมือนลิซ่าจะกลัวมากว่าลอว์เรนซ์อาจจะเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ เมื่อพูดจบ ลิซ่าก็รีบวิ่งหนีไปทางสนามฝึกซ้อมทันที
ลูกชายของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจักรวรรดิงั้นรึ!? หานซั่วตกตะลึงทันทีเมื่อคิดว่าวิทยาลัยจะเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่แอบซ่อนอิทธิพลของตัวเองไว้อีกเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าอนาคตขุนนางของจักรวรรดิจำนวนมากกำลังเรียนอยู่ในหลากหลายสาขาวิชาของวิทยาลัยแห่งนี้
“ข้าสบายดี ได้ยินว่าท่านมาตามหาข้าถึงสองครั้งแล้วเหรอ? ฮะ ๆ ๆ หรือว่าอยากหาเรื่องจ่ายเงิน 5 เหรียญทองให้ข้าไปโดนท่านซ้อมจนน่วมทั้งวันกันล่ะ?”
ในสวนหย่อมแห่งนั้นไม่ได้มีเพียงหานซั่วและลอว์เรนซ์ แต่ยังมีนักเรียนอีกจำนวนหนึ่งจากสาขาอื่นนั่งอยู่ไกล ๆ บ้างจับกลุ่มกันอ่านหนังสือ หรือไม่ก็กำลังพักผ่อนหย่อนใจให้ผิวกรำแดดท่ามกลางแสงอาทิตย์สว่างจ้า
“ถ้าเจ้าเต็มใจ ข้าก็ได้หมดล่ะ เงิน 5 เหรียญทองข้าคงไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว แต่ข้าว่าคนที่คิดมากน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า”
ลอว์เรนซ์ยืนพิงตัวเองกับหินอย่างสบายใจพลางพูดกับหานซั่ว
“ใครว่าข้าไม่เต็มใจล่ะ? เพียงแต่ว่าข้าคงไม่อยากได้เงิน 5 เหรียญทองแล้วก็เท่านั้นเอง ตราบใดที่ท่านยอมให้ข้าโจมตีตอบโต้ได้ ข้าก็ยินดีที่จะฝึกซ้อมร่วมกับท่านอีกนะ ครั้งที่แล้วข้าโดนท่านเล่นงานซะหนักเอาการ ก็เลยอยากกู้หน้าให้ตัวเองบ้างน่ะ”
หานซั่วยิ้มน้อย ๆ และพิงร่างกับรั้วหินอย่างสบายใจเช่นเดียวกัน ก่อนจะพูดคุยกับลอว์เรนซ์ด้วยท่าทีสนอกสนใจ
“โอ้ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย ข้าไปฝึกซ้อมกับเจ้าทันทีที่พวกเราคุยธุระกันเสร็จเลยก็ยังได้ ข้าจะได้รู้ด้วยว่าเจ้าแข็งแกร่งอย่างที่ฟีบี้พูดจริง ๆ รึเปล่า”
ลอว์เรนซ์ก็มีท่าทีสนใจไม่ต่างกัน ก่อนจะลุกขึ้นยืนตรงพร้อมกับยิ้ม
“ถ้างั้นก็ตกลง ว่าแต่ธุระที่ท่านอยากคุยกับข้าน่ะ เรื่องอะไรเหรอ? พวกเราเองก็ไม่เคยมีธุรกิจร่วมกันมาก่อน แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้ท่านต้องมาคุยกับข้ากันแน่น่ะ?”
ลอว์เรนซ์มองลาดเลารอบ ๆ ก่อนจะหันมาคุยกับหานซั่วด้วยเสียงแผ่วเบาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตั้งใจแอบฟังพวกเขา
“น้องสาวของข้าบอกว่าเจ้าสามารถหาเหล็กสีนิลมาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้าก็อยากจะซื้อจากเจ้าสักหน่อย ไม่ต้องมากหรอก แค่ก้อนใหญ่เท่ากำปั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว จริง ๆ ข้าบอกให้น้องสาวช่วยหาซื้อให้ก็ได้ แต่ข้ารู้สึกว่า ตั้งแต่ที่พวกเราพบกันคราวก่อน ข้าก็สงสัยอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวเจ้าจริง ๆ และข้าก็อยากเป็นเพื่อนกับเจ้า ก็เลยมาหาเจ้าด้วยตัวเองนี่แหละ”
หานซั่วมองหน้าลอว์เรนซ์ที่มีท่าทีเปิดเผยจริงใจเป็นที่สุด และเมื่อนึกว่าลอว์เรนซ์เป็นถึงลูกชายของรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลในกระทรวงการคลังของจักรวรรดิ แสดงว่าเขาคงมีเงินทองมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>> Facebook :
(0 votes) 0/10