ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
“ข้าหาเหล็กสีนิลมาให้ท่านได้จริง แต่ท่านรู้ใช่มั้ยว่ามันไม่ได้หามาง่าย ๆ แล้วท่านตั้งใจจะซื้อจากข้ากี่เหรียญทองดีล่ะ?”
หานซั่วลองคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด ก่อนจะตอบออกไปอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
แล้วลอว์เรนซ์ก็ผุดลุกขึ้นด้วยท่าทางตื่นเต้น
“เจ้าหามันมาได้จริง ๆ ด้วย ฮะ ๆ ๆ ข้าต้องการแค่ขนาดเท่ากำปั้นเพื่อเอาไปสร้างเป็นอาวุธน่ะ แม้แต่ในตอนนี้ ของในตลาดมืดก็ยังขาดตลาด เพราะฉะนั้นเจ้าก็เรียกราคาที่ต้องการมาได้เลย!”
หานซั่วเอามือถูคางไปมาอย่างใช้ความคิด พลางนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขาและฟีบี้ขึ้นมาได้ ก่อนจะตอบลอว์เรนซ์ไปด้วยท่าทีลังเล
“เอางี้… ท่านจ่ายข้ามา 5,000 เหรียญทอง แล้วข้าจะไปหามาให้เอง”
“ไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าเหล็กไหลจะหายากยิ่งกว่า แต่เหล็กสีนิลที่มีขนาดเท่ากำปั้นก็คู่ควรกับราคา 5,000 เหรียญทองแล้วจริง ๆ ถ้าเจ้าหาได้เมื่อไหร่ เจ้าก็มาหาข้าที่สมาคมอัศวินนะ พวกเราจะได้แลกเปลี่ยนซื้อขายกันทันที”
ลอว์เรนซ์ตอบอย่างอารมณ์ดี
หานซั่วพยักหน้า ขณะนึกถึงตอนที่เขาเคยถูกลอว์เรนซ์อัดซะน่วมเมื่อหลายเดือนก่อนที่สำนักอัศวิน คิ้วของเขาเลิกสูงขึ้นพลางหัวเราะ
“ข้าจะหาเหล็กสีนิลมาให้ท่านได้ภายใน 10 วัน …ว่าแต่ทำไมท่านไม่ลองฝึกซ้อมกับข้าดูซะตอนนี้เลยล่ะ ข้าเองก็ยินดีเป็นเป้ามนุษย์ให้ท่านอีกครั้งเหมือนกันนะ”
“ตกลง งั้นก็เริ่มกันได้เลย ข้าอยากรู้มานานแล้วว่าเจ้าจะมีฝีมือน่าทึ่งแค่ไหน ถึงขนาดทำให้ฟีบี้ผู้เย่อหยิ่งชมเจ้าได้อย่างไม่หยุดปากได้มากมายขนาดนั้น”
ลอว์เรนซ์เองก็ตื่นเต้นดีใจไม่แพ้กัน ก่อนจะเริ่มตั้งท่าเตรียมต่อสู้กับหานซั่วทันที
เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน นักเรียนส่วนใหญ่ที่อยู่ในสวนหย่อมเริ่มเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวไปทานอาหารเที่ยง มีเพียงสองหรือสามคนเท่านั้นที่ยังนอนอาบแดดอยู่ไกลออกไป และดูทีท่าจะไม่ขยับเพราะผล็อยหลับไปเสียแล้ว หานซั่วยิ้มและกวาดตามองไปรอบ ๆ
“ไปทางด้านซ้ายกันดีกว่า ตรงนั้นไม่ค่อยมีคน พวกเราก็จะได้ไม่ต้องไปกวนคนอื่นกันมากนัก”
หานซั่วเอียงหัวไปทางซ้ายเพื่อชี้ชวนให้ลอว์เรนซ์มองตามไปในพื้นที่ว่างด้านนั้น ส่วนลอว์เรนซ์ก็ยังคงกำหมัดแน่นและหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินตามหลังหานซั่วไป
เมื่อมาถึง หานซั่วก็โคจรแก่นมนตราไปทั่วเพื่อปรับสภาพร่างกาย ในขณะที่ลอว์เรนซ์ซึ่งอยู่ห่างจากหานซั่วไปเพียงเล็กน้อย และเพิ่งก้าวมาถึงพื้นหินในฝั่งนั้น ตอนนั้นเอง จู่ ๆ หานซั่วก็พุ่งตัวถอยหลังมาด้วยความเร็วราวสายฟ้า พร้อมกับหมัดอันหนักหน่วงที่กำลังประเคนใส่ลอว์เรนซ์โดยไม่ให้เขาได้ทันตั้งตัว
ลอว์เรนซ์เองก็ไม่คาดคิดว่าหานซั่วจะเริ่มเปิดฉากโจมตีรวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ทันตั้งตัวกับหมัดที่พุ่งตรงเข้ามาด้วยแรงส่งที่รุนแรงอย่างน่ากลัว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะชะงักฝีเท้าและรีบถอยหลังไปทันที และรีบเบี่ยงตัวไปอีกด้านเพื่อหลบหมัดของหานซั่ว
แล้วหมัดของหานซั่วก็เฉียดผ่านใบหน้าของลอว์เรนซ์ไปเพียงนิดเดียวจนเขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากหมัดนั้น ทำให้ลอว์เรนซ์รู้สึกผวาไปเล็กน้อย
ชั่วพริบตาเดียว หานซั่วก็ดึงแขนซ้ายกลับมาก่อนที่ลอว์เรนซ์จะตั้งตัวทัน เขางอแขนและใช้ข้อศอกแทงเข้าไปที่หน้าอกของลอว์เรนซ์อย่างต่อเนื่องทันที
ลอว์เรนซ์คำรามเสียงต่ำขณะที่ร่างของเขาถูกหานซั่วผลักกระเด็นไปกระแทกกับราวลูกกรง จนหน้าของเขาเริ่มแดงจัดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“หึหึหึ ลอว์เรนซ์ ประสาทสัมผัสของท่านยังตื่นตัวได้ไม่ดีพอเลยนะ!”
หลังจากโจมตีด้วยข้อศอกไปแล้ว หานซั่วก็ไม่ได้รัวการโจมตีต่อเนื่อง แต่กลับถอยหลังไปยืนยิ้มแปลก ๆ พลางล้อเลียนลอว์เรนซ์ด้วยการพูดเป็นทำนองเพลง
เพราะทั้งคู่เพียงแค่ฝึกซ้อมด้วยกันเท่านั้น ไม่ใช่การต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตาย หานซั่วจึงไม่ได้เอาจริงในการโจมตีเมื่อครู่ และเขาปลดปล่อยเศษเสี้ยวของไอเย็นยะเยือกจาก “เวทย์อัคคีเหมันต์” ออกไปเพียงเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถของอัศวินระดับกลาง ออร่าต่อสู้ของลอว์เรนซ์จึงคอยปกป้องเขาไว้ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“ก็เจ้าเป็นคนลอบโจมตีข้าก่อนนี่นา ดอกเมื่อกี้ไม่นับหรอก แล้วข้าจะให้เจ้าชดใช้ทีหลังเอง”
ลอว์เรนซ์ไม่ได้โกรธ เขาเพียงพูดความจริงด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงมาจากบันไดหินและเผชิญหน้ากับหานซั่วอีกครั้งโดยไร้ซึ่งท่าทางทีเล่นทีจริงอย่างสิ้นเชิง
แล้วออร่าต่อสู้สีเขียวอ่อนก็สว่างวาบขึ้นในมือของลอว์เรนซ์ทันทีขณะที่เท้าของเขากำลังเร่งความเร็วตรงเข้าหาหานซั่วมากขึ้นเรื่อย ๆ …ตอนนั้นเอง ที่ออร่าต่อสู้ในมือซ้ายของเขาก่อร่างกลายเป็นรูปทรงของดาบแสงที่พร้อมจะฟาดฟันหานซั่วซึ่งยืนห่างออกไปในทิศเบื้องหน้า
ลอว์เรนซ์เรียนรู้ความว่องไวและความแข็งแกร่งของหานซั่วจากการปะทะกันเมื่อครู่ จึงเข้าใจดีว่าหานซั่วในตอนนี้ไม่ใช่คนที่เขาเคยเจอเมื่อครั้งก่อนอีกต่อไปแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลอว์เรนซ์ใช้ออร่าต่อสู้ แต่ท่าทีของเขากลับดูทั้งระมัดระวังและพยายามยั้งมืออยู่ไม่น้อย
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนมุมปากของหานซั่วขณะเพ่งพิจารณาท่าทีของลอว์เรนซ์ หานซั่วประเมินความแข็งแกร่งของพลังออร่าต่อสู้ของลอว์เรนซ์และรู้ตัวว่าหลบไม่ทันแล้ว เขาจึงโคจร “เวทย์อัคคีเหมันต์” ในมือขวา จนมีแสงสีแดงเลือนรางสว่างขึ้นเป็นทางตามความเคลื่อนไหวของมือ ทันใดนั้นเอง มือขวาของหานซั่วก็ปะทะกับดาบแสงที่สร้างขึ้นจากออร่าต่อสู้ของลอว์เรนซ์เข้าอย่างจัง
เปรี้ยง !!
เสียงปะทะดังลั่นขึ้นทันที ก่อนที่ดาบแสงที่สร้างขึ้นจากออร่าต่อสู้ของลอว์เรนซ์จะระเบิดหายไปในพริบตา แม้แต่แรงพุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรงและรวดเร็วของลอว์เรนซ์ก็ต้องหยุดชะงัก ในขณะที่หานซั่วก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและอาการชาที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งมือขวาจนร่างของเขาก็เซถอยหลังไปเล็กน้อยเช่นกัน
“ลอว์เรนซ์ เมื่อกี้ท่านใช้พลังของออร่าต่อสู้สร้างดาบแสงไปเท่าไหร่เหรอ?”
หานซั่วจ้องมองลอว์เรนซ์ด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ
“แค่ 60% เท่านั้นเอง”
ลอว์เรนซ์ตอบก่อนที่จะจ้องมองหานซั่วด้วยความประหลาดใจ
“ทั้งความเร็วและรังสีจากร่างกายเจ้าแตกต่างจากไม่กี่เดือนก่อนลิบลับเลยนะ ราวกับว่าที่พวกเราฝึกด้วยกันในครั้งนั้น เจ้าแค่เล่นละครและไม่ได้เอาจริงเอาจังเหมือนเมื่อกี้นี้เลย — ว่าแต่ ทำไมเจ้าถึงยอมสมัครใจมาถูกอัดจนน่วมเพียงเพื่อเงินแค่ 5 เหรียญทองเท่านั้นเองล่ะ?”
หลายเดือนก่อนหน้านั้น หานซั่วเป็นเพียงมือใหม่หัดใช้เวทมนตร์ และไม่เคยลองฝึกการต่อสู้ของจริงมาก่อน เพราะแก่นมนตราเมื่อคราวนั้นก็เพิ่งอยู่ในอาณาจักรพลังรูปธรรมขั้นแรก ที่เขาทำเพราะต้องการเงิน 5 เหรียญทองก็จริงอยู่ แต่ที่สำคัญคือเพื่อฝึกฝนร่างกาย และไม่ได้ยั้งมืออะไรอย่างที่ลอว์เรนซ์กำลังเข้าใจผิดเลยแม้แต่น้อย
แค่ 60% จากพลังของออร่าต่อสู้ทั้งหมดงั้นรึ? หานซั่วลองคิดใคร่ครวญเพื่อประเมินแก่นมนตราที่เขาเพิ่งใช้ไปเมื่อครู่ และไม่นานนัก ก็สรุปได้ว่าเขาค่อนข้างที่จะแข็งแกร่งกว่าลอว์เรนซ์ เพราะในหมัดเมื่อครู่ หานซั่วใช้แก่นมนตราไปเพียงประมาณ 40% และเพียงเท่านั้นก็ทำให้การต่อสู้ของพวกเขาถือว่าเสมอกัน
หลังจากที่ทดลองพลังความแข็งแกร่งของตัวเองโดยการใช้หมัดรับการปะทะเข้าตรง ๆ แล้ว หานซั่วก็ไม่ดื้อดึงที่จะรับการโจมตีแบบนั้นอีก หากแต่ใช้ความว่องไวปราดเปรียวของตัวเขาเองในการต่อสู้ที่ดูจะเห็นผลมากกว่า
ทั้งสองคนต่อสู้แบบยื้อกันไปมาระยะเวลาหนึ่ง โดยที่มีช่องวางให้ได้รับบาดเจ็บกันไปบ้างเล็กน้อย นอกจากนี้ ร่างกายของหานซั่วก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งเสียงผ่านฟันที่ขบแน่นด้วยความโกรธ เมื่อหมัดที่น่าจะมีพลังความแข็งแกร่งเท่า ๆ กันต่อยเข้าใส่ร่างกายของหานซั่ว
และเพราะร่างกายของหานซั่วแข็งแกร่งจากการที่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดหนักหนาสาหัสที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้แก่นมนตราฝึกฝนเวทมนตร์ ทำให้เขาสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดได้ทุกประเภท เพราะความเคยชิน เพราะฉะนั้น ความเจ็บปวดที่หานซั่วได้รับในตอนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด
ดวงตาของลอว์เรนซ์เป็นประกาย เมื่อเขาหยุดการโจมตีโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะยิ้มและพูดขึ้นด้วยท่าทีขมขื่น
“ไม่เอาแล้ว พอก่อนดีกว่า เจ้านี่เป็นคนแปลกพิลึกดีจริง ๆ ข้าสัมผัสไม่ได้ถึงออร่าต่อสู้จากตัวเจ้าเลย แต่เพราะอะไรกัน ที่ทำให้พลังของเจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าเสียอีก?”
หานซั่วหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“หึหึ ท่านอย่าคิดมากให้เปลืองสมองไปเปล่า ๆ เลย ร่างกายของข้ามันก็พิลึกอย่างงี้ล่ะ แต่อยู่ดี ๆ มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมาเองหรอก”
“หืม? นี่จะบอกว่าเจ้ามีสายเลือดคนป่าเถื่อนหรือนักรบคลั่งไหลเวียนอยู่ในร่างตามธรรมชาติอยู่แล้วรึไงกัน? ฟีบี้พูดถูก… เจ้านี่น่าทึ่งมากเลยจริง ๆ”
ทีแรกลอว์เรนซ์ก็ถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เสียงของเขาจะค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นพึมพำกับตัวเอง
หานซั่วเข้าใจข้อบกพร่องของตัวเองทันทีจากการที่เข้าปะทะใส่กันเมื่อครู่ ทั้งร่างกายและแก่นมนตราของเขายอดเยี่ยมมากก็จริง แต่เพราะลอว์เรนซ์ศึกษาศาสตร์การต่อสู้มาเป็นอย่างดี ทำให้ทั้งกลยุทธ์ รูปแบบการต่อสู้ และจังหวะการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นไปอย่างไหลลื่นมากกว่า
ในขณะที่หานซั่วเองก็ไม่เคยร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้มาก่อนเลยในชีวิต ทำให้การโจมตีของเขาเป็นรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุด หานซั่วจึงพยายามจดจำไว้ในใจ และตั้งใจว่าจะกลับมาทบทวนภายหลังในเวลาว่าง รวมทั้งค้นหาว่ามีรูปแบบการโจมตีแบบไหนอีกที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของชูชางหลาน
“ไม่รู้สินะ แต่ก็ตกลง วันนี้พวกเราพอเท่านี้ก่อน ยังไงข้ารู้สึกหายขัดใจจากเหตุการณ์ครั้งก่อนนั่นแล้วล่ะ ถ้าข้าหาเหล็กสีนิลได้เมื่อไหร่ ข้าจะรีบเอาไปให้ท่านที่สำนักอัศวินก็แล้วกัน”
หานซั่วพูดออกมาขณะที่ในใจก็เต็มไปด้วยความคิดโลดแล่นพลุ่งพล่านเต็มไปหมด ก่อนจะใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง และบอกลาลอว์เรนซ์ เพื่อตรงกลับไปยังสาขาศาสตร์แห่งความตายพร้อมกับใบหน้าที่มีคิ้วขมวดเป็นปม
ลอว์เรนซ์เองก็ไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนได้ไม่คุ้มเสีย ทันทีที่บอกลาหานซั่วพร้อมกับยิ้ม เขาก็เดินกลับไปยังสำนักอัศวิน พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
“แปลกมากจริง ๆ ความแข็งแรงทนทานของร่างกายเขาแทบจะเทียบได้กับพวกออร์คนักรบเลยด้วยซ้ำ!”
หานซั่วนิ่งเงียบพลางครุ่นคิดไปเรื่อย ๆ ขณะเดินตรงไปยังสาขาศาสตร์แห่งความตาย ฟีบี้เองก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการเตรียมเสบียงอาหารพอสมควร เขาจึงตั้งใจว่าจะยังไม่กลับไปที่สุสานแห่งความตายในตอนนี้ ส่วนดุ๊คก็อาศัยอยู่ในโรงเรียน ซึ่งหานซั่วก็ยังเดาไม่ออกว่าดุ๊คมีแผนจะทำอะไร หานซั่วจึงคิดว่าจะอยู่ในสาขาศาสต์แห่งความตายต่อไปอีกสักหน่อย
แฟนนี่ตระเตรียมห้องนอนไว้ให้หานซั่วนานแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ และในเมื่อเขาตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว จึงทำให้ในที่สุดห้องพักในหอนอนของเขาก็มีประโยชน์เสียที
วิยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังบาบิโลน เป็นสถาบันการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ และเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายและครบครัน จึงไม่แปลกใจที่พวกนักเรียนยอมจ่ายค่าเล่าเรียนในราคาสูง
ห้องของหานซั่วเป็นห้องที่อยู่ในหัวมุมของชั้น 2 มีขนาดราว ๆ 50 – 60 ตารางเมตร มีทั้งห้องนอน ห้องน้ำ โต๊ะ เก้าอี้ และกระจกเงาตระเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ เมื่อเทียบกับโกดังเก็บของที่เคยเป็นที่ซุกหัวนอนของเขาในอดีตแล้ว ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
เป็นเวลาล่วงเลยเที่ยงวันไปแล้วตอนที่หานซั่วมาถึงห้องพักของเขา และเพราะพลาดช่วงเวลาสำหรับอาหารกลางวัน เขาจึงทำได้เพียงเอาเนื้อแดดเดียวไม่กี่ชิ้นที่เก็บไว้ในแหวนมิติมากินรองท้อง
หานซั่วไม่ได้ออกจากห้องพักในทันทีที่กินเสร็จ แต่กลับปิดประตูแน่น และมานั่งลงบนเตียง อาศัยประโยชน์จากความเงียบสงบนี้เพื่อฝึกฝนเวทมนตร์ แก่นมนตราค่อย ๆ โคจรมารวมตัวในหัวของเขาอย่างช้า ๆ ก่อนจะแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พร้อมกับความรู้สึกโปร่งสบายแผ่ซ่านขึ้นในหัว ทำให้เขารู้สึกสดชื่นราวกับเพิ่งจุ่มหัวลงไปในสระน้ำที่ทั้งเย็นและใสบริสุทธิ์
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกนี้คงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะถูกแทนที่ความเจ็บปวดที่สะท้านไปถึงจิตวิญญาณ การฝึกฝนอาณาจักรพลังหลอมวิญญาณจะทำให้สมองของหานซั่วต้องเจอกับการสลับกันไปมาระหว่างความเจ็บปวดและความโล่งโปร่งสบายเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งหานซั่วจะรู้สึกผ่อนคลายได้เพียงชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนจะถูกความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับถูกใครสักคนเอามีดคมกริบจ้วงแทงเข้าไปลึกจนถึงใจกลางสมองในวินาทีถัดไป
แต่สิ่งที่เจ็บปวดมากที่สุดสำหรับหานซั่ว คือทุกครั้งที่ถูกความเจ็บปวดรุกเข้าจู่โจมในสมอง ความโปร่งสบายที่ตามมานั้นจะทำให้เขารู้สึกโล่งมากขึ้นนับ 10 เท่า และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาที่ฝึก ราวกับเป็นการเตรียมรองรับความเจ็บปวดครั้งต่อไปที่จะทวีคุวามรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน จุดนี้เองที่ทำให้หานซั่วถึงกับต้องสาปแช่งใครก็ตามที่เป็นคนคิดค้นเคล็ดลับแก่นมนตรานี้ขึ้นมา ซึ่งต้องมีรสนิยมมาโซคิสม์อย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากเวลาผ่านไปนานพอควร หานซั่วก็ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา และชะงักการฝึกฝนแก่นมนตราเอาไว้ มวลอากาศร้อนระอุแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขาราวกับคนที่เพิ่งผ่านการอาบน้ำร้อนมาเมื่อครู่ พร้อมด้วยกรุ่นไอความเป็นชายที่อบอวลไปทั่วทั้งร่างของหานซั่ว
หานซั่วฝึกฝนแก่นมนตราตั้งแต่บ่ายเรื่อยมาจนถึงเวลากลางคืน ภาพทิวทัศน์ยามรัตติกาลซึ่งมาพร้อมกับสายลมเย็นพัดผ่านนอกหน้าต่างช่างสวยงามและน่าประทับใจ ในขณะที่ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่
หานซั่วลุกขึ้นจากที่นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิก่อนหน้านี้ เขาเดินไปเปิดน้ำอุ่น และเอนกายอย่างสบายใจในอ่างอาบน้ำ ดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันหาได้ยากยิ่ง ณ ขณะนั้นอย่างไร้ซึ่งความกังวล เขาถึงกับฮัมเพลงออกมาเบา ๆ
…ช่วงดึกสงัดของกลางคืน คือเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับผู้ที่อาศัยประโยชน์จากเงามืดเพื่อแฝงเร้นกายที่มาพร้อมกับจุดประสงค์เร้นลับบางอย่าง ขณะที่กำลังพักผ่อนอย่างเกียจคร้านอยู่ในอ่าง เสียงเล็ก ๆ 2 เสียงก็ดังขึ้นในระดับที่หานซั่วสามารถได้ยิน โดยที่เสียงหนึ่งดังมาจากภายในอาคารหอพัก ส่วนอีกเสียงดังมาจากนอกหน้าต่าง
แล้วปีศาจปฐมภูมิทั้ง 3 ตนก็ล่องลอยออกไปจากด้านหลังคอของหานซั่วในทันที … 2 ตนในนั้นลอยผ่านหน้าต่างออกไปเพื่อตรวจสอบว่ามีอะไรเกิดขึ้นข้างนอก ตนหนึ่งลอยไปหาที่มาของเสียง ในขณะที่อีกตนลอยอยู่ใกล้ ๆ หน้าต่างอย่างเงียบ ๆ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์สิ่งผิดปกติ ในขณะที่ปีศาจปฐมภูมิตนสุดท้ายลอยแทรกผ่านรอยแยกของประตูออกไปยังโถงทางเดิน เพื่อไปค้นหาที่มาของเสียง
ในที่สุด ปีศาจปฐมภูมิตนหนึ่งที่ออกไปสำรวจข้างนอก ก็พบดุ๊คที่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ครั้งนี้เขาไม่ได้สวมชุดดำอำพรางตัว แต่กลับปรากฏตัวราวกับภูตผีในความมืด เขาลอยตัวอยู่ใกล้ ๆ กับอาคารเรียนเวทมนตร์ธาตุมืดราวกับไร้ซึ่งมวลน้ำหนักใด ๆ
ในขณะที่ปีศาจปฐมภูมิอีกหนึ่งตนที่อยู่ในโถงทางเดิน ก็พบว่ามีประตูห้องนอนห้องหนึ่งค่อย ๆ เปิดแง้มออกอย่างแผ่วเบา และฟิทช์ก็ค่อย ๆ ย่องออกมาด้วยสีหน้าชั่วร้าย มุ่งหน้ามาทางห้องนอนของหานซั่ว ดูจากท่าทีของเขาแล้ว ต้องไม่ได้มาด้วยจุดประสงค์ที่ดีอย่างแน่นอน
หานซั่วรีบพุ่งตัวลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำทันที รีบเช็ดตัวให้แห้ง ก่อนจะใสกางเกงตามเดิมและขึ้นไปนอนบนเตียงโดยหันหลังให้ประตู ปล่อยให้ห้องนอนที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงลมหายใจของเขาเท่านั้น
ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>> Facebook :
(0 votes) 0/10