ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
ฟิทช์สิ้นหวังอย่างที่สุด ในขณะที่ทุกคนต่างรุมสาปแช่งอย่างไร้ความเมตตาและจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทั้งเหยียดหยามและรังเกียจ ฟิทช์จึงได้แต่ร้องตะโกนอและพูดซ้ำไปซ้ำมา
“มีคนวางแผนชั่วนี้ขึ้นมา! ข้าถูกใส่ร้าย!”
วีด้าพูดกับแฟนนี่ก่อนจะจากไป
“เจ้าเศษสวะโสโครกนี่จะไม่มีทางได้กลับมาเหยียบวิทยาลัยของเราอีกแน่!”
ทุกคนต่างถกเถียงกันถึงพฤติกรรมเลวทรามของฟิทช์ต่อไปอีกสักพักหลังจากที่เขาถูกลากตัวออกไป นักเรียนหญิงอีกจำนวนหนึ่งยังไม่คลายความโมโหขณะที่วุ่นอยู่กับการจับกลุ่มคุยกันและก่นด่าสาปแช่งฟิทช์อย่างไม่รู้สึกเห็นใจใยดีเขาแต่อย่างใด
ส่วนแฟนนี่ก็ตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าฟิทช์จะเป็นคนแบบนั้น แม้จะแอบสงสัยอยู่บ้าง แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอและเธอก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก จึงได้แต่ส่ายศีรษะและถอนหายใจ
ในเมื่อจับหัวขโมยได้แล้ว หานซั่วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าแหวนมิติจะถูกค้นอีกต่อไป เขาแอบหัวเราะอย่างเย็นชาภายในใจขณะเฝ้ามองฟิทช์ตกลงไปในกับดักที่ตัวเองสร้างขึ้น เพราะฟิทช์หาเรื่องก่อนเอง และไม่ใช่ความผิดของหานซั่วที่เอาคืนแบบนี้ ซึ่งหากหานซั่วไม่เป็นฝ่ายรู้ตัวก่อน คนที่ถูกฝูงชนรุมประณามหยามเหยียดตอนนี้อาจเป็นเขาก็ได้
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พวกนักเรียนต่างพูดคุยถกเถียงกันด้วยความตื่นเต้นต่อไปอีกทั้งวัน โดยที่ไม่มีหานซั่วอยู่ในหัวข้อสนทนาด้วย ซึ่งหานซั่วไม่ได้เข้าเรียนในช่วงเช้า แต่มุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อมด้วยตัวคนเดียว เพื่อฝึกอัญเชิญนักรบผีดิบอย่างต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในเมื่อวิธีการของเขาถูกต้อง ขาดแต่เพียงเวลาและการฝึกฝนเท่านั้น และเมื่อเวลาช่วงเช้าหมดไปกับการฝึกอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด หานซั่วก็สามารถอัญเชิญนักรบผีดิบได้สำเร็จ ซึ่งแปลว่าหานซั่วได้เพิ่มเวทมนตร์คาถาอันทรงพลังในคลังแสงสรรพาวุธมนตราของตนเองได้อีกหนึ่งอย่าง เพราะการอัญเชิญผีดิบนั้นยุ่งยากวุ่นวายกว่าการอัญเชิญนักรบโครงกระดูก เพื่อที่จะควบคุมความสามารถในการป้องกันที่ดีเป็นพิเศษของผีดิบที่มีร่างกายถึกหนาและงุ่มง่ามเงอะงะ แต่เคล็ดลับและความคุ้นชินในการบังคับสั่งการมันกลับยากยิ่งกว่า
หานซั่วขลุกอยู่แต่ในสนามฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องต่อไปอีก 3 วัน เพื่อฝึกสั่งการผีดิบให้คุ้นเคยมากยิ่งขึ้น ขณะที่เขายืนอยู่ท่ามกลางสิ่งกีดขวางมากมายภายในสนามฝึกซ้อม หานซั่วก็อัญเชิญนักรบผีดิบพร้อมกระบองเหล็กในมือออกมาตนหนึ่ง ด้วยการสั่งการผ่านพลังจิตของหานซั่ว ผีดิบก็บิดร่างกายหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ในขณะที่กระบองเหล็กในมือก็ทุบลงไปที่เป้าหมายอย่างหนักหน่วงรุนแรงตามคำสั่งของเขา
ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา หานซั่วยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวของแม่มดชราคามิลล่าของสาขาเวทมนตร์ธาตุมืดอย่างต่อเนื่อง เธอเข้าไปในห้องของอาจารย์ใหญ่ครั้งหนึ่ง แต่ในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่เต็มไปด้วยคลื่นพลังมนตราที่แข็งแกร่ง ซึ่งหานซั่วแน่ใจว่าอาจารย์ใหญ่จะต้องกางเขตแดนบางอย่างไว้ภายในห้องเป็นแน่
ในฐานะจ้าวแห่งเวทมนตร์ห้วงมิติ อาจารย์ใหญ่ย่อมต้องมีพลังแข็งแกร่งมากเป็นธรรมดา และหานซั่วก็ไม่กล้าที่จะใช้ปีศาจปฐมภูมิลอบเข้าไปแอบฟัง เขาจึงไม่มีวันรู้ได้เลยว่าคามิลล่าคุยอะไรกับอาจารย์ใหญ่บ้าง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ใหญ่และคามิลล่าได้เข้าไปในห้องสมุดลับนั่นหรือยัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากเวลาที่คามิลล่าใช้ในการคุยขณะอยู่ในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ หานซั่วคิดว่าคามิลล่ายังไม่ได้เข้าไปในห้องสมุดลับ เพราะเธอเดินออกมาจากห้องทำงานหลังจากที่เพิ่งเข้าไปได้เพียงไม่กี่นาที
“เจ้ามาอยู่ที่สนามฝึกซ้อมนี่จริง ๆ ด้วย นึกแล้วเชียวว่าต้องเจอเจ้าที่นี่”
เช้าวันนี้ หานซั่วก็ยังคงอยู่แต่ในสนามฝึกซ้อมเช่นเดิม ในขณะที่นักเรียนคนอื่น ๆ ต่างเข้าไปนั่งฟังการบรรยายในชั้นเรียน และตอนนั้นเองที่อยู่ ๆ แฟนนี่ก็เดินเข้ามาพูดกับเขา
“ท่านมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ? ไม่มีสอนตอนบ่ายเหรอ?”
แม้แฟนนี่เดินมาหา หานซั่วก็ยังไม่หยุดฝึกและตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่กำลังพยายามควบคุมนักรบผีดิบให้อ้อมสิ่งกีดขวางในสนามอย่างคล่องแคล่ว
“ข้าก็มาหาเจ้าน่ะสิ เอ๋? เจ้าทำได้ไวมากเลยนี่นา ฮะ ๆ ๆ ถ้าเจ้าพัฒนาได้ไวขนาดนี้ เจ้าคงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อีกไม่นานหรอก”
แฟนนี่ยิ้มน้อย ๆ พลางพูดกับหานซั่วอย่างชื่นชมเมื่อเห็นว่าเขาสามารถควบคุมผีดิบได้อย่างเชี่ยวชาญ
แต่แล้วแฟนนี่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วและถามออกไปด้วยความสับสน
“ไบรอัน ถึงศักยภาพของเจ้าจะสูงมาก แต่ความเร็วในการควบคุมพลังจิตไม่ควรจะรวดเร็วถึงขนาดนี้ และการฝึกฝนเพื่อเพิ่มปริมาณพลังจิตเองก็ไม่ได้สอดคล้องกับศักยภาพของผู้ฝึก โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นอย่างเจ้า เพราะพลังจิตจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและค่อย ๆ สั่งสมไปอย่างช้า ๆ โดยใช้เวลาเป็นปี ๆ แต่เจ้ากลับมีพลังจิตในขั้นของนักเวทย์ระดับเริ่มต้นหลังจากเพิ่งผ่านไปได้แค่ไม่กี่เดือน นับว่าแปลกมาก ๆ เลยล่ะ เจ้าทำได้ยังไงกันนะ?”
เป็นเรื่องปกติที่แฟนนี่จะสงสัย เพราะพลังจิตของหานซั่วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมหาศาลจากผลของการใช้ “เนตรอสูร” โดยปราศจากเหตุผลที่ผู้อื่นจะเข้าใจ และตอนนี้ แก่นมนตราของเขาก็เข้าสู่ “อาณาจักรพลังหลอมวิญญาณ” แล้ว ซึ่งเป็นขั้นที่ทำให้ศักยภาพของสมองที่เกินขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์ทั่วไป ทำให้เขาสามารถเพิ่มปริมาณพลังจิตยามเข้าฌานได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม และเมื่อนำผลลัพธ์มาซ้อนทับกับการฝึกฝนเวทมนตร์ของเขาตามปกติ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่พลังจิตของเขาจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วเช่นนี้
หานซั่วยักไหล่ พลางตอบกลับไป
“ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ? ก็ร่างกายของข้าก็แปลกแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องที่แข็งแรงกว่านักเวทย์ธรรมดาทั่วไป แต่การฝึกสมาธิเข้าฌานเพื่อเพิ่มพลังจิตก็ยังไวมากอีกเหมือนกัน”
“เป็นไปได้มั้ยนะ ว่าเจ้าเป็นผู้ครอบครองร่างกายสิทธิ์ในตำนาน?”
ตอนแรกแฟนนี่นิ่งอึ้งคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ แต่จู่ ๆ ความปิติยินดีเป็นที่สุดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอก่อนจะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
หานซั่วตกตะลึงในคำพูดของเธอทันที ก่อนจะถามกลับไปอย่างงุนงง
“ร่าง…กายสิทธิ์ในตำนาน… คืออะไรเหรอครับ?”
“จะคนที่มีจำนวนน้อยมากเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แตกต่างจากคนอื่นน่ะ และจะหายากอย่างยิ่งยวดมากขึ้นไปอีก หากนับจากกลุ่มคนพวกนั้นอาจมีเพียงแค่ 1 ใน 10,000 คนด้วยซ้ำ ร่างกายของคนพวกนี้จะแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป บางคนอาจมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติในการฝึกฝนออร่าต่อสู้ ในขณะที่บางคนก็เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านพลังจิตเพื่อเป็นนักเวทย์เช่นกัน”
“ถ้าคนพวกนี้ค้นพบความสามารถที่แท้จริงของตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเมื่อไหร่ ความสำเร็จในด้านนั้น ๆ ก็จะยอดเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะ และเพราะร่างกายของคนพวกนี้แตกต่างจากคนธรรมดา ตามตำนานจึงเล่าว่าพวกเขาเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของเหล่าทวยเทพ ผู้ทรงอำนาจบางคนในอาณาจักรของเราก็ครอบครองร่างกายสิทธิ์นี้ เป็นไปได้มั้ยนะ ว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน?”
ประกายตาแห่งความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้วาบขึ้นในตาของแฟนนี่ขณะจ้องมองหานซั่วและเล่าเรื่องราวให้เขาฟังด้วยความประหลาดใจ
“คงงั้นมั้งครับ”
แต่หานซั่วรู้ดีว่าความประหลาดผิดธรรมดาของร่างกายของเขาเป็นผลมาจากการการฝึกฝนแก่นมนตรา และไม่เกี่ยวอะไรกับร่างกายสิทธิ์ที่แฟนนี่ว่านั่นเลย อย่างไรก็ตาม หานซั่วก็ไม่สามารถหาเหตุผลใด ๆ มาอธิบายเพิ่มเติมได้ ถ้าเขาถูกตราหน้าว่ามีร่างกายสิทธิ์ ก็คงพอจะใช้เป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลได้พอควร
เมื่อแฟนนี่สงบสติอารมณ์หลังจากตื่นเต้นตกใจเสร็จแล้ว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังทันที
“ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง งั้นเจ้าก็ห้ามบอกใครจนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากพอ เพราะการครอบครองร่างกายสิทธิ์สามารถนำความร่ำรวยและลาภยศสรรเสริญมาให้เจ้าได้มากมาย แต่มันอาจทำให้เจ้าถูกฆ่าโดยผู้หวังดีบางคนก่อนที่เจ้าจะได้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเสียอีก”
หานซั่วเข้าใจสิ่งที่แฟนนี่พูดเป็นอย่างดี เพราะตามคำบอกเล่าของเธอ คนประเภทนั้นนับได้ว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ของทุกอาณาจักรเลยทีเดียว อีกทั้งยังตกเป็นเป้าหมายการแย่งชิงตัวระหว่างอาณาจักร บ้างก็พยายามทำลายล้างคนกลุ่มนี้ให้สูญสิ้น เพราะคนที่มีอำนาจพิเศษนี้มักกลายเป็นบุคคลอันตรายเสมอ
หานซั่วพยักหน้าเพื่อยืนยันความเข้าใจ ก่อนจะเบนประเด็นและถามแฟนนี่ด้วยคำถามหนึ่งแทน
“ว่าแต่ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านออกมาตามหาข้านี่นา มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“ข้าเคยบอกเจ้าใช่มั้ยว่าเราจะมีการทดสอบ มันเป็นการสอบวัดระดับความสามารถที่แท้จริงของพวกนักเรียน เพื่อบันทึกสมรรถภาพปัจจุบันของนักเวทย์ฝึกหัดไปจนถึงนักเวทย์ระดับสูงน่ะ …วิทยาลัยของเรามีหน้าที่ในการยืนยันระดับพวกนั้น ซึ่งจะส่งไปบันทึกในแฟ้มประวัติของสมาคมนักเวทย์ที่จะติดตัวเจ้าไปตลอดชีวิตเลยล่ะ และมันเองก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความแข็งแกร่งและตัวตนของเจ้าอีกด้วยนะ”
“เจ้าเองก็จะจบการศึกษาจากวิทยาลัยทันทีที่เจ้าบรรลุเกณฑ์พลังของนักเวทย์ระดับสูง ถ้าเจ้าต้องการให้ความสามารถของเจ้าได้รับการรับรองเพื่อที่จะเติบโตในหน้าที่การงานต่อไปในอนาคต เจ้าก็ต้องเข้ารับการทดสอบของสมาคมนักเวทย์ที่ว่านี้ สำหรับนักเวทย์คนหนึ่งแล้ว การสอบก็เหมือนใบประกาศนียบัตรที่เจ้านำไปใช้เพื่อการก้าวหน้านั่นแหละ ถือว่ามีประโยชน์มากเลยนะ”
แฟนนี่อธิบายด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าหานซั่วมีทีท่าสงสัย
“อย่างงี้นี่เอง แล้วการทดสอบจะเริ่มเมื่อไหร่เหรอครับ?”
“พรุ่งนี้เช้าน่ะ ถ้านักเรียนคนไหนรู้สึกว่าพลังจิตของตนเองพัฒนาขึ้นแล้ว ก็จะสมัครใจเข้ารับการทดสอบกัน เจ้าเองก็ยังไม่เคยเข้าร่วมเลยสักครั้งนี่นา และข้าเองก็คิดว่าคงไม่ยากเกินไปสำหรับเจ้าที่จะสอบให้บรรลุเกณฑ์ของนักเวทย์ระดับเริ่มต้น ข้าก็เลยลงสมัครไปให้เจ้าแล้วล่ะ การทดสอบจะจัดขึ้นที่สนามฝึกซ้อมของสาขาเวทมนตร์ธาตุมืดในวันพรุ่งนี้เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ข้าเองก็จะไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน เจ้าเองก็อย่าลืมล่ะ”
แฟนนี่เตือนหานซั่ว
“ไม่มีปัญหาครับ”
“อ๊ะ จริงสิ ไบรอัน “เวทย์ชุบศพ” กับ “เวทย์เสริมแกร่งความตาย” ที่เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังคราวก่อนน่ะ ห้าม-บอก-ใคร-เด็ดขาดเลยนะ ทั้งเรื่องที่เจ้าได้มา และห้ามใช้มันต่อหน้าใครด้วย เพราะเวทมนตร์พวกนี้อาจก่อปัญหาใหญ่ให้เจ้าก่อนที่เจ้าจะแข็งแกร่งพอก็ได้ เจ้าเข้าใจใช่มั้ย?”
แฟนนี่หันมาย้ำเตือนหานซั่วอีกครั้งด้วยท่าทีจริงจังก่อนที่เธอจะออกไป
แม้แฟนนี่ไม่ได้เตือน หานซั่วก็เข้าใจเป็นอย่างดี เขาจึงพยักหน้าและตอบเธอ
“อาจารย์แฟนนี่ วางใจเถอะครับ ข้าไม่คิดบอกใครนอกจากท่านอยู่แล้ว ข้ารู้ว่าท่านดีกับข้า ข้าถึงเลือกที่จะบอกท่านโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าหวังได้ความเชื่อใจจากหรอกครับ”
“ใครดีกับเจ้ากัน เจ้านี่ชอบพูดแต่เรื่องไร้สาระอยู่เรื่อยเลย!”
แฟนนี่หน้าแดงทันทีแต่ก็ดูจะแอบดีใจเล็กน้อย เธอกลอกตาใส่หานซั่วก่อนจะเดินอมยิ้มออกไปจากสนามฝึกซ้อม
“ก็ต้องเป็นอาจารย์แฟนนี่ที่ทั้งสวยและใจดีแถมหุ่นน่าฟัดน่ากอดคนนี้ไงครับ ฮี่ ๆ”
หานซั่วไม่ลืมที่จะพูดจาแทะโลมเธอ ขณะที่มองร่างของแฟนนี่กำลังห่างออกไปเรื่อย ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ ขณะพูด
อย่างไรก็ตาม แฟนนี่ไม่สนใจหานซั่วอีก พลางบ่นอุบอิบเบา ๆ ก่อนที่จะออกจากประตูสนาม
“เด็กบ้า! ชักจะเอาใหญ่ขึ้นทุกวันเลย!”
เมื่อแฟนนี่ออกไปแล้ว หานซั่วก็ไม่ได้ฝึกควบคุมนักรบผีดิบอีก เขาคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามออกไปจากสนามฝึกซ้อมบ้าง พร้อมสั่งให้ปีศาจปฐมภูมิออกไปสำรวจทั่วทุกทิศทาง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สุสานในภูเขาด้านหลังของวิทยาลัย เพื่อกลับไปยังสุสานแห่งความตาย
ในเมื่อเขาสัญญากับลอว์เรนซ์ว่าจะไปหาเหล็กสีนิลมาให้ หานซั่วก็จะไม่คืนคำ แม้จะทำเพื่อเงิน 5,000 เหรียญทองก็ตาม เขาพาเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเข้าไปในเหมืองแร่ และวุ่นอยู่ในเหมืองที่ดังก้องไปด้วยเสียงคำรามของหินที่ร่วงหล่นและกระเทาะแตกตลอดบ่าย ก่อนจะขุดได้เหล็กสีนิลออกมาก้อนหนึ่ง ซึ่งน่าจะตอบสนองความพอใจของลอว์เรนซ์ได้มากพอควรทีเดียว
แต่ทรัพยากรเหล็กสีนิลในเหมืองแร่แห่งนั้นไม่ได้แปลว่าไม่มีวันหมด ในขณะที่เขาดำเนินการขุดต่อไป หานซั่วก็พบว่าเขาต้องเข้าไปในส่วนลึกของเหมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ และต้องหลบหลีกการพังทลายของเพดานเหมือนอยู่หลายครั้ง ก่อนจะได้เหล็กสีนิลมาสักก้อนหนึ่ง พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทีเดียวถึงความขึ้นชื่อเรื่องการเป็นแร่ที่หาได้ยากยิ่งของเหล็กสีนิล เพียงเริ่มขุดไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ขุดหาต่อแทบไม่ไหวแล้ว
หานซั่วฝึกฝนแก่นมนตราใต้น้ำตกที่กราดเกรี้ยวต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง และจู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ระหว่างทางกลับไปยังสุสานแห่งความตาย เป็นอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับผีดิบในความทรงจำของชูชางหลาน และตัวตนของผีดิบในโลกเดิมของเขาอีกด้วย
ในขณะที่เขากำลังค้นความทรงจำของชูชางหลานอยู่นั้นเอง หานซั่วก็รู้สึกถึงความปั่นป่วนบางอย่าง เพราะตามความทรงจำของชูชางหลานแล้ว ผีดิบเป็นเพียงตัวตนชั้นต่ำที่ถูกสร้างขึ้นจากศพมนุษย์ที่ตายไปด้วยการก่อร่างรวมตัวกันอย่างหนาแน่นของปราณหยิน ก่อนจะดูดซับพลังจากปราณหยินแห่งสวรรค์และปฐพี
ผีดิบชั้นต่ำเป็นอสูรที่มีความพิเศษ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ศพคนตายถูกฝังรวมกันในที่ ๆ มีความหนาแน่นของปราณหยินรวมอยู่เป็นจำนวนมาก สถานที่แห่งนั้นก็จะกลายเป็นสุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุทั้งห้า ซึ่งจะมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะทำให้พวกมันกลายเป็นผีดิบที่แข็งแกร่ง หลังจากดูดซับพลังปราณหยินและพลังจากสุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุทั้งห้าที่สั่งสมมาเป็นเวลานานหลายปี
กล่าวคือ หากว่ากันตามหลักแห่งธาตุทั้งห้าซึ่งประกอบด้วยโลหะ ไม้ น้ำ ไฟ และดินแล้ว สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุทั้งห้าสามารถแบ่งออกเป็น สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุโลหะ สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุไม้ สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุน้ำ สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุไฟ และสุดท้ายคือสุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุดิน เมื่อใดก็ตามที่มีปริมาณปราณหยินและพลังจากธาตุทั้ง 5 เพียงพอ ก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะทำให้เกิด ผีดิบธาตุเหล็กชั้นยอด ผีดิบธาตุไม้ชั้นยอด ผีดิบธาตุน้ำชั้นยอด ผีดิบธาตุไฟชั้นยอด และผีดิบธาตุดินชั้นยอด ตามลำดับ
เมื่อผีดิบทั้ง 5 ธาตุก่อร่างขึ้นมาแล้ว ร่างกายของพวกมันจะแข็งแกร่งกว่าผีดิบธรรมดาทั่วไป และสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดของผีดิบเหล่านี้ คือพวกมันสามารถใช้พลังของธาตุทั้งห้าที่ดูดซับมาได้ และเมื่อผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุมารวมตัวกัน ก็จะทำให้เกิด “การก่อร่างของผีดิบกายสิทธิ์และธาตุทั้งห้า” ที่จะมีพลังและความแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม นอกจากโอกาสการเกิดผีดิบเหล่านี้จะหาได้ยากมาก ๆ แล้ว ตามตำนานว่ากันว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถควบคุมพวกมันได้ เพราะพวกมันเกิดมาพร้อมมองทุกสิ่งอย่างเป็นศัตรูแม้แต่พวกเดียวกันเอง และมักถูกผู้ใช้เวทย์ฆ่าทิ้งไปเสมอ และจะยิ่งมีโอกาสน้อยอย่างที่สุด ที่จะได้เห็นผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในคราเดียว
คำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุในความทรงจำของชูชางหลาน รวมถึงเคล็ดลับในการก่อให้เกิดผีดิบเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หานซั่วจึงคิดค้นคว้าหัวข้อนี้ต่อไป เมื่อได้ศึกษาข้อมูลจนครบถ้วน เขาจึงรู้สึกราวกับได้รับสมบัติล้ำค่าบางอย่าง และนึกอยากสร้างผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุนี้ด้วยตนเองให้ได้
ด้วยข้อจำกัดของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย ผีดิบเหล่านี้เมื่อถูกสร้างขึ้นมาแล้วพวกมันจะเชื่อฟังหานซั่วทันที และหานซั่วเองก็ค้นพบว่าตำแหน่งที่ตั้งของสุสานแห่งความตายเป็น “สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุดิน” ส่วนสถานที่ของอีก 4 ธาตุที่เหลือเขาจะค่อย ๆ ตามหาไปเรื่อย ๆ เพราะตามเคล็ดลับในการสร้างผีดิบเหล่านี้ในเวลาอันรวดเร็วตามความทรงจำของชูชางหลานแล้ว หานซั่วยังขาดวัตถุดิบอีกเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะสร้าง “ผีดิบธาตุดินชั้นยอด” ขึ้นมาได้
เมื่อคิดได้แล้ว หานซั่วก็ตัดสินใจทันที ว่าจะพยายามสร้างผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุ เพื่อสร้าง “การก่อร่างของผีดิบกายสิทธิ์และธาตุทั้งห้า” ให้จงได้
ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>> Facebook :
(0 votes) 0/10