I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Great Demon King ตอนที่ 93 การก่อร่างของผีดิบกายสิทธิ์และธาตุทั้งห้า

| Great Demon King | 846 | 2360 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

ฟิทช์สิ้นหวังอย่างที่สุด  ในขณะที่ทุกคนต่างรุมสาปแช่งอย่างไร้ความเมตตาและจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทั้งเหยียดหยามและรังเกียจ  ฟิทช์จึงได้แต่ร้องตะโกนอและพูดซ้ำไปซ้ำมา

“มีคนวางแผนชั่วนี้ขึ้นมา!  ข้าถูกใส่ร้าย!”

วีด้าพูดกับแฟนนี่ก่อนจะจากไป

“เจ้าเศษสวะโสโครกนี่จะไม่มีทางได้กลับมาเหยียบวิทยาลัยของเราอีกแน่!”

ทุกคนต่างถกเถียงกันถึงพฤติกรรมเลวทรามของฟิทช์ต่อไปอีกสักพักหลังจากที่เขาถูกลากตัวออกไป  นักเรียนหญิงอีกจำนวนหนึ่งยังไม่คลายความโมโหขณะที่วุ่นอยู่กับการจับกลุ่มคุยกันและก่นด่าสาปแช่งฟิทช์อย่างไม่รู้สึกเห็นใจใยดีเขาแต่อย่างใด

ส่วนแฟนนี่ก็ตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมาก  เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าฟิทช์จะเป็นคนแบบนั้น  แม้จะแอบสงสัยอยู่บ้าง  แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอและเธอก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก  จึงได้แต่ส่ายศีรษะและถอนหายใจ

ในเมื่อจับหัวขโมยได้แล้ว  หานซั่วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าแหวนมิติจะถูกค้นอีกต่อไป  เขาแอบหัวเราะอย่างเย็นชาภายในใจขณะเฝ้ามองฟิทช์ตกลงไปในกับดักที่ตัวเองสร้างขึ้น  เพราะฟิทช์หาเรื่องก่อนเอง  และไม่ใช่ความผิดของหานซั่วที่เอาคืนแบบนี้  ซึ่งหากหานซั่วไม่เป็นฝ่ายรู้ตัวก่อน  คนที่ถูกฝูงชนรุมประณามหยามเหยียดตอนนี้อาจเป็นเขาก็ได้

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พวกนักเรียนต่างพูดคุยถกเถียงกันด้วยความตื่นเต้นต่อไปอีกทั้งวัน  โดยที่ไม่มีหานซั่วอยู่ในหัวข้อสนทนาด้วย  ซึ่งหานซั่วไม่ได้เข้าเรียนในช่วงเช้า  แต่มุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อมด้วยตัวคนเดียว  เพื่อฝึกอัญเชิญนักรบผีดิบอย่างต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในเมื่อวิธีการของเขาถูกต้อง  ขาดแต่เพียงเวลาและการฝึกฝนเท่านั้น  และเมื่อเวลาช่วงเช้าหมดไปกับการฝึกอย่างต่อเนื่อง  ในที่สุด  หานซั่วก็สามารถอัญเชิญนักรบผีดิบได้สำเร็จ  ซึ่งแปลว่าหานซั่วได้เพิ่มเวทมนตร์คาถาอันทรงพลังในคลังแสงสรรพาวุธมนตราของตนเองได้อีกหนึ่งอย่าง  เพราะการอัญเชิญผีดิบนั้นยุ่งยากวุ่นวายกว่าการอัญเชิญนักรบโครงกระดูก  เพื่อที่จะควบคุมความสามารถในการป้องกันที่ดีเป็นพิเศษของผีดิบที่มีร่างกายถึกหนาและงุ่มง่ามเงอะงะ  แต่เคล็ดลับและความคุ้นชินในการบังคับสั่งการมันกลับยากยิ่งกว่า

หานซั่วขลุกอยู่แต่ในสนามฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องต่อไปอีก  3  วัน  เพื่อฝึกสั่งการผีดิบให้คุ้นเคยมากยิ่งขึ้น  ขณะที่เขายืนอยู่ท่ามกลางสิ่งกีดขวางมากมายภายในสนามฝึกซ้อม  หานซั่วก็อัญเชิญนักรบผีดิบพร้อมกระบองเหล็กในมือออกมาตนหนึ่ง  ด้วยการสั่งการผ่านพลังจิตของหานซั่ว  ผีดิบก็บิดร่างกายหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่าง  ๆ  ในขณะที่กระบองเหล็กในมือก็ทุบลงไปที่เป้าหมายอย่างหนักหน่วงรุนแรงตามคำสั่งของเขา

ในช่วง  2  วันที่ผ่านมา  หานซั่วยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวของแม่มดชราคามิลล่าของสาขาเวทมนตร์ธาตุมืดอย่างต่อเนื่อง  เธอเข้าไปในห้องของอาจารย์ใหญ่ครั้งหนึ่ง  แต่ในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่เต็มไปด้วยคลื่นพลังมนตราที่แข็งแกร่ง  ซึ่งหานซั่วแน่ใจว่าอาจารย์ใหญ่จะต้องกางเขตแดนบางอย่างไว้ภายในห้องเป็นแน่

ในฐานะจ้าวแห่งเวทมนตร์ห้วงมิติ  อาจารย์ใหญ่ย่อมต้องมีพลังแข็งแกร่งมากเป็นธรรมดา  และหานซั่วก็ไม่กล้าที่จะใช้ปีศาจปฐมภูมิลอบเข้าไปแอบฟัง  เขาจึงไม่มีวันรู้ได้เลยว่าคามิลล่าคุยอะไรกับอาจารย์ใหญ่บ้าง  และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ใหญ่และคามิลล่าได้เข้าไปในห้องสมุดลับนั่นหรือยัง

อย่างไรก็ตาม  เมื่อดูจากเวลาที่คามิลล่าใช้ในการคุยขณะอยู่ในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่  หานซั่วคิดว่าคามิลล่ายังไม่ได้เข้าไปในห้องสมุดลับ  เพราะเธอเดินออกมาจากห้องทำงานหลังจากที่เพิ่งเข้าไปได้เพียงไม่กี่นาที

“เจ้ามาอยู่ที่สนามฝึกซ้อมนี่จริง  ๆ  ด้วย  นึกแล้วเชียวว่าต้องเจอเจ้าที่นี่”

เช้าวันนี้  หานซั่วก็ยังคงอยู่แต่ในสนามฝึกซ้อมเช่นเดิม  ในขณะที่นักเรียนคนอื่น  ๆ  ต่างเข้าไปนั่งฟังการบรรยายในชั้นเรียน  และตอนนั้นเองที่อยู่  ๆ  แฟนนี่ก็เดินเข้ามาพูดกับเขา

“ท่านมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?  ไม่มีสอนตอนบ่ายเหรอ?”

แม้แฟนนี่เดินมาหา  หานซั่วก็ยังไม่หยุดฝึกและตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ  ขณะที่กำลังพยายามควบคุมนักรบผีดิบให้อ้อมสิ่งกีดขวางในสนามอย่างคล่องแคล่ว

“ข้าก็มาหาเจ้าน่ะสิ  เอ๋?  เจ้าทำได้ไวมากเลยนี่นา  ฮะ  ๆ  ๆ  ถ้าเจ้าพัฒนาได้ไวขนาดนี้  เจ้าคงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อีกไม่นานหรอก”

แฟนนี่ยิ้มน้อย  ๆ  พลางพูดกับหานซั่วอย่างชื่นชมเมื่อเห็นว่าเขาสามารถควบคุมผีดิบได้อย่างเชี่ยวชาญ

แต่แล้วแฟนนี่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะขมวดคิ้วและถามออกไปด้วยความสับสน

“ไบรอัน  ถึงศักยภาพของเจ้าจะสูงมาก  แต่ความเร็วในการควบคุมพลังจิตไม่ควรจะรวดเร็วถึงขนาดนี้  และการฝึกฝนเพื่อเพิ่มปริมาณพลังจิตเองก็ไม่ได้สอดคล้องกับศักยภาพของผู้ฝึก  โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นอย่างเจ้า  เพราะพลังจิตจะค่อย  ๆ  เพิ่มขึ้นและค่อย  ๆ  สั่งสมไปอย่างช้า  ๆ  โดยใช้เวลาเป็นปี  ๆ  แต่เจ้ากลับมีพลังจิตในขั้นของนักเวทย์ระดับเริ่มต้นหลังจากเพิ่งผ่านไปได้แค่ไม่กี่เดือน  นับว่าแปลกมาก  ๆ  เลยล่ะ  เจ้าทำได้ยังไงกันนะ?”

เป็นเรื่องปกติที่แฟนนี่จะสงสัย  เพราะพลังจิตของหานซั่วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมหาศาลจากผลของการใช้  “เนตรอสูร”  โดยปราศจากเหตุผลที่ผู้อื่นจะเข้าใจ  และตอนนี้  แก่นมนตราของเขาก็เข้าสู่  “อาณาจักรพลังหลอมวิญญาณ”  แล้ว  ซึ่งเป็นขั้นที่ทำให้ศักยภาพของสมองที่เกินขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์ทั่วไป  ทำให้เขาสามารถเพิ่มปริมาณพลังจิตยามเข้าฌานได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม  และเมื่อนำผลลัพธ์มาซ้อนทับกับการฝึกฝนเวทมนตร์ของเขาตามปกติ  จึงไม่ใช่เรื่องยากที่พลังจิตของเขาจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วเช่นนี้

หานซั่วยักไหล่  พลางตอบกลับไป

“ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ?  ก็ร่างกายของข้าก็แปลกแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว  ไม่ใช่แค่เรื่องที่แข็งแรงกว่านักเวทย์ธรรมดาทั่วไป    แต่การฝึกสมาธิเข้าฌานเพื่อเพิ่มพลังจิตก็ยังไวมากอีกเหมือนกัน”

“เป็นไปได้มั้ยนะ  ว่าเจ้าเป็นผู้ครอบครองร่างกายสิทธิ์ในตำนาน?”

ตอนแรกแฟนนี่นิ่งอึ้งคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ  แต่จู่  ๆ  ความปิติยินดีเป็นที่สุดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอก่อนจะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

หานซั่วตกตะลึงในคำพูดของเธอทันที  ก่อนจะถามกลับไปอย่างงุนงง

“ร่าง…กายสิทธิ์ในตำนาน…  คืออะไรเหรอครับ?”

“จะคนที่มีจำนวนน้อยมากเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แตกต่างจากคนอื่นน่ะ  และจะหายากอย่างยิ่งยวดมากขึ้นไปอีก  หากนับจากกลุ่มคนพวกนั้นอาจมีเพียงแค่  1  ใน  10,000  คนด้วยซ้ำ  ร่างกายของคนพวกนี้จะแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป  บางคนอาจมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติในการฝึกฝนออร่าต่อสู้  ในขณะที่บางคนก็เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านพลังจิตเพื่อเป็นนักเวทย์เช่นกัน”

“ถ้าคนพวกนี้ค้นพบความสามารถที่แท้จริงของตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเมื่อไหร่  ความสำเร็จในด้านนั้น  ๆ  ก็จะยอดเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะ  และเพราะร่างกายของคนพวกนี้แตกต่างจากคนธรรมดา  ตามตำนานจึงเล่าว่าพวกเขาเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของเหล่าทวยเทพ  ผู้ทรงอำนาจบางคนในอาณาจักรของเราก็ครอบครองร่างกายสิทธิ์นี้  เป็นไปได้มั้ยนะ  ว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน?”

ประกายตาแห่งความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้วาบขึ้นในตาของแฟนนี่ขณะจ้องมองหานซั่วและเล่าเรื่องราวให้เขาฟังด้วยความประหลาดใจ

“คงงั้นมั้งครับ”

แต่หานซั่วรู้ดีว่าความประหลาดผิดธรรมดาของร่างกายของเขาเป็นผลมาจากการการฝึกฝนแก่นมนตรา  และไม่เกี่ยวอะไรกับร่างกายสิทธิ์ที่แฟนนี่ว่านั่นเลย  อย่างไรก็ตาม  หานซั่วก็ไม่สามารถหาเหตุผลใด  ๆ  มาอธิบายเพิ่มเติมได้  ถ้าเขาถูกตราหน้าว่ามีร่างกายสิทธิ์  ก็คงพอจะใช้เป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลได้พอควร

เมื่อแฟนนี่สงบสติอารมณ์หลังจากตื่นเต้นตกใจเสร็จแล้ว  สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังทันที

“ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง  งั้นเจ้าก็ห้ามบอกใครจนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากพอ  เพราะการครอบครองร่างกายสิทธิ์สามารถนำความร่ำรวยและลาภยศสรรเสริญมาให้เจ้าได้มากมาย  แต่มันอาจทำให้เจ้าถูกฆ่าโดยผู้หวังดีบางคนก่อนที่เจ้าจะได้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเสียอีก”

หานซั่วเข้าใจสิ่งที่แฟนนี่พูดเป็นอย่างดี  เพราะตามคำบอกเล่าของเธอ  คนประเภทนั้นนับได้ว่าเป็นทรัพย์สมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ของทุกอาณาจักรเลยทีเดียว  อีกทั้งยังตกเป็นเป้าหมายการแย่งชิงตัวระหว่างอาณาจักร  บ้างก็พยายามทำลายล้างคนกลุ่มนี้ให้สูญสิ้น  เพราะคนที่มีอำนาจพิเศษนี้มักกลายเป็นบุคคลอันตรายเสมอ

หานซั่วพยักหน้าเพื่อยืนยันความเข้าใจ  ก่อนจะเบนประเด็นและถามแฟนนี่ด้วยคำถามหนึ่งแทน

“ว่าแต่  ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านออกมาตามหาข้านี่นา  มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“ข้าเคยบอกเจ้าใช่มั้ยว่าเราจะมีการทดสอบ  มันเป็นการสอบวัดระดับความสามารถที่แท้จริงของพวกนักเรียน  เพื่อบันทึกสมรรถภาพปัจจุบันของนักเวทย์ฝึกหัดไปจนถึงนักเวทย์ระดับสูงน่ะ  …วิทยาลัยของเรามีหน้าที่ในการยืนยันระดับพวกนั้น  ซึ่งจะส่งไปบันทึกในแฟ้มประวัติของสมาคมนักเวทย์ที่จะติดตัวเจ้าไปตลอดชีวิตเลยล่ะ  และมันเองก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความแข็งแกร่งและตัวตนของเจ้าอีกด้วยนะ”

“เจ้าเองก็จะจบการศึกษาจากวิทยาลัยทันทีที่เจ้าบรรลุเกณฑ์พลังของนักเวทย์ระดับสูง  ถ้าเจ้าต้องการให้ความสามารถของเจ้าได้รับการรับรองเพื่อที่จะเติบโตในหน้าที่การงานต่อไปในอนาคต  เจ้าก็ต้องเข้ารับการทดสอบของสมาคมนักเวทย์ที่ว่านี้  สำหรับนักเวทย์คนหนึ่งแล้ว  การสอบก็เหมือนใบประกาศนียบัตรที่เจ้านำไปใช้เพื่อการก้าวหน้านั่นแหละ  ถือว่ามีประโยชน์มากเลยนะ”

แฟนนี่อธิบายด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าหานซั่วมีทีท่าสงสัย

“อย่างงี้นี่เอง  แล้วการทดสอบจะเริ่มเมื่อไหร่เหรอครับ?”

“พรุ่งนี้เช้าน่ะ  ถ้านักเรียนคนไหนรู้สึกว่าพลังจิตของตนเองพัฒนาขึ้นแล้ว  ก็จะสมัครใจเข้ารับการทดสอบกัน  เจ้าเองก็ยังไม่เคยเข้าร่วมเลยสักครั้งนี่นา  และข้าเองก็คิดว่าคงไม่ยากเกินไปสำหรับเจ้าที่จะสอบให้บรรลุเกณฑ์ของนักเวทย์ระดับเริ่มต้น  ข้าก็เลยลงสมัครไปให้เจ้าแล้วล่ะ  การทดสอบจะจัดขึ้นที่สนามฝึกซ้อมของสาขาเวทมนตร์ธาตุมืดในวันพรุ่งนี้เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่  ข้าเองก็จะไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน  เจ้าเองก็อย่าลืมล่ะ”

แฟนนี่เตือนหานซั่ว

“ไม่มีปัญหาครับ”

“อ๊ะ  จริงสิ  ไบรอัน  “เวทย์ชุบศพ”  กับ  “เวทย์เสริมแกร่งความตาย”  ที่เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังคราวก่อนน่ะ  ห้าม-บอก-ใคร-เด็ดขาดเลยนะ  ทั้งเรื่องที่เจ้าได้มา  และห้ามใช้มันต่อหน้าใครด้วย  เพราะเวทมนตร์พวกนี้อาจก่อปัญหาใหญ่ให้เจ้าก่อนที่เจ้าจะแข็งแกร่งพอก็ได้  เจ้าเข้าใจใช่มั้ย?”

แฟนนี่หันมาย้ำเตือนหานซั่วอีกครั้งด้วยท่าทีจริงจังก่อนที่เธอจะออกไป

แม้แฟนนี่ไม่ได้เตือน  หานซั่วก็เข้าใจเป็นอย่างดี  เขาจึงพยักหน้าและตอบเธอ

“อาจารย์แฟนนี่  วางใจเถอะครับ  ข้าไม่คิดบอกใครนอกจากท่านอยู่แล้ว  ข้ารู้ว่าท่านดีกับข้า  ข้าถึงเลือกที่จะบอกท่านโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว  แต่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าหวังได้ความเชื่อใจจากหรอกครับ”

“ใครดีกับเจ้ากัน  เจ้านี่ชอบพูดแต่เรื่องไร้สาระอยู่เรื่อยเลย!”

แฟนนี่หน้าแดงทันทีแต่ก็ดูจะแอบดีใจเล็กน้อย  เธอกลอกตาใส่หานซั่วก่อนจะเดินอมยิ้มออกไปจากสนามฝึกซ้อม

“ก็ต้องเป็นอาจารย์แฟนนี่ที่ทั้งสวยและใจดีแถมหุ่นน่าฟัดน่ากอดคนนี้ไงครับ  ฮี่  ๆ”

หานซั่วไม่ลืมที่จะพูดจาแทะโลมเธอ  ขณะที่มองร่างของแฟนนี่กำลังห่างออกไปเรื่อย  ๆ  พลางหัวเราะเบา  ๆ  ขณะพูด

อย่างไรก็ตาม  แฟนนี่ไม่สนใจหานซั่วอีก  พลางบ่นอุบอิบเบา  ๆ  ก่อนที่จะออกจากประตูสนาม

“เด็กบ้า!  ชักจะเอาใหญ่ขึ้นทุกวันเลย!”

เมื่อแฟนนี่ออกไปแล้ว  หานซั่วก็ไม่ได้ฝึกควบคุมนักรบผีดิบอีก  เขาคิดอะไรเพลิน  ๆ  อยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนจะตามออกไปจากสนามฝึกซ้อมบ้าง  พร้อมสั่งให้ปีศาจปฐมภูมิออกไปสำรวจทั่วทุกทิศทาง  ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สุสานในภูเขาด้านหลังของวิทยาลัย  เพื่อกลับไปยังสุสานแห่งความตาย

ในเมื่อเขาสัญญากับลอว์เรนซ์ว่าจะไปหาเหล็กสีนิลมาให้  หานซั่วก็จะไม่คืนคำ  แม้จะทำเพื่อเงิน  5,000  เหรียญทองก็ตาม  เขาพาเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเข้าไปในเหมืองแร่  และวุ่นอยู่ในเหมืองที่ดังก้องไปด้วยเสียงคำรามของหินที่ร่วงหล่นและกระเทาะแตกตลอดบ่าย  ก่อนจะขุดได้เหล็กสีนิลออกมาก้อนหนึ่ง  ซึ่งน่าจะตอบสนองความพอใจของลอว์เรนซ์ได้มากพอควรทีเดียว

แต่ทรัพยากรเหล็กสีนิลในเหมืองแร่แห่งนั้นไม่ได้แปลว่าไม่มีวันหมด  ในขณะที่เขาดำเนินการขุดต่อไป  หานซั่วก็พบว่าเขาต้องเข้าไปในส่วนลึกของเหมืองมากขึ้นเรื่อย  ๆ  และต้องหลบหลีกการพังทลายของเพดานเหมือนอยู่หลายครั้ง  ก่อนจะได้เหล็กสีนิลมาสักก้อนหนึ่ง  พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทีเดียวถึงความขึ้นชื่อเรื่องการเป็นแร่ที่หาได้ยากยิ่งของเหล็กสีนิล  เพียงเริ่มขุดไปได้ไม่เท่าไหร่  ก็ขุดหาต่อแทบไม่ไหวแล้ว

หานซั่วฝึกฝนแก่นมนตราใต้น้ำตกที่กราดเกรี้ยวต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง  และจู่  ๆ  ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ระหว่างทางกลับไปยังสุสานแห่งความตาย  เป็นอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับผีดิบในความทรงจำของชูชางหลาน  และตัวตนของผีดิบในโลกเดิมของเขาอีกด้วย

ในขณะที่เขากำลังค้นความทรงจำของชูชางหลานอยู่นั้นเอง  หานซั่วก็รู้สึกถึงความปั่นป่วนบางอย่าง  เพราะตามความทรงจำของชูชางหลานแล้ว  ผีดิบเป็นเพียงตัวตนชั้นต่ำที่ถูกสร้างขึ้นจากศพมนุษย์ที่ตายไปด้วยการก่อร่างรวมตัวกันอย่างหนาแน่นของปราณหยิน  ก่อนจะดูดซับพลังจากปราณหยินแห่งสวรรค์และปฐพี

 

 

ผีดิบชั้นต่ำเป็นอสูรที่มีความพิเศษ  เพราะเมื่อใดก็ตามที่ศพคนตายถูกฝังรวมกันในที่  ๆ  มีความหนาแน่นของปราณหยินรวมอยู่เป็นจำนวนมาก  สถานที่แห่งนั้นก็จะกลายเป็นสุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุทั้งห้า  ซึ่งจะมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะทำให้พวกมันกลายเป็นผีดิบที่แข็งแกร่ง  หลังจากดูดซับพลังปราณหยินและพลังจากสุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุทั้งห้าที่สั่งสมมาเป็นเวลานานหลายปี

กล่าวคือ  หากว่ากันตามหลักแห่งธาตุทั้งห้าซึ่งประกอบด้วยโลหะ  ไม้  น้ำ  ไฟ  และดินแล้ว  สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุทั้งห้าสามารถแบ่งออกเป็น  สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุโลหะ    สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุไม้  สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุน้ำ  สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุไฟ  และสุดท้ายคือสุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุดิน  เมื่อใดก็ตามที่มีปริมาณปราณหยินและพลังจากธาตุทั้ง  5  เพียงพอ  ก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะทำให้เกิด  ผีดิบธาตุเหล็กชั้นยอด  ผีดิบธาตุไม้ชั้นยอด  ผีดิบธาตุน้ำชั้นยอด  ผีดิบธาตุไฟชั้นยอด  และผีดิบธาตุดินชั้นยอด  ตามลำดับ

เมื่อผีดิบทั้ง  5  ธาตุก่อร่างขึ้นมาแล้ว  ร่างกายของพวกมันจะแข็งแกร่งกว่าผีดิบธรรมดาทั่วไป  และสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดของผีดิบเหล่านี้  คือพวกมันสามารถใช้พลังของธาตุทั้งห้าที่ดูดซับมาได้  และเมื่อผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุมารวมตัวกัน  ก็จะทำให้เกิด  “การก่อร่างของผีดิบกายสิทธิ์และธาตุทั้งห้า”  ที่จะมีพลังและความแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม  นอกจากโอกาสการเกิดผีดิบเหล่านี้จะหาได้ยากมาก  ๆ  แล้ว  ตามตำนานว่ากันว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถควบคุมพวกมันได้  เพราะพวกมันเกิดมาพร้อมมองทุกสิ่งอย่างเป็นศัตรูแม้แต่พวกเดียวกันเอง  และมักถูกผู้ใช้เวทย์ฆ่าทิ้งไปเสมอ  และจะยิ่งมีโอกาสน้อยอย่างที่สุด  ที่จะได้เห็นผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุเกิดขึ้นพร้อม  ๆ  กันในคราเดียว

คำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุในความทรงจำของชูชางหลาน  รวมถึงเคล็ดลับในการก่อให้เกิดผีดิบเหล่านี้ด้วยเช่นกัน  หานซั่วจึงคิดค้นคว้าหัวข้อนี้ต่อไป  เมื่อได้ศึกษาข้อมูลจนครบถ้วน  เขาจึงรู้สึกราวกับได้รับสมบัติล้ำค่าบางอย่าง  และนึกอยากสร้างผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุนี้ด้วยตนเองให้ได้

ด้วยข้อจำกัดของเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย  ผีดิบเหล่านี้เมื่อถูกสร้างขึ้นมาแล้วพวกมันจะเชื่อฟังหานซั่วทันที  และหานซั่วเองก็ค้นพบว่าตำแหน่งที่ตั้งของสุสานแห่งความตายเป็น  “สุดยอดจุดกำเนิดแห่งธาตุดิน”  ส่วนสถานที่ของอีก  4  ธาตุที่เหลือเขาจะค่อย  ๆ  ตามหาไปเรื่อย  ๆ  เพราะตามเคล็ดลับในการสร้างผีดิบเหล่านี้ในเวลาอันรวดเร็วตามความทรงจำของชูชางหลานแล้ว  หานซั่วยังขาดวัตถุดิบอีกเล็กน้อยเท่านั้น  ก่อนที่จะสร้าง  “ผีดิบธาตุดินชั้นยอด”  ขึ้นมาได้

เมื่อคิดได้แล้ว  หานซั่วก็ตัดสินใจทันที  ว่าจะพยายามสร้างผีดิบชั้นยอดทั้งห้าธาตุ  เพื่อสร้าง  “การก่อร่างของผีดิบกายสิทธิ์และธาตุทั้งห้า”  ให้จงได้

 


ติดตามอัพเดทและอ่านตอนต่อไปทันที ที่นี่ >>> Facebook :

(0 votes) 0/10
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments