ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปเมื่อกลับมาถึงวิทยาลัย หานซั่วพบว่าในคืนนั้น คามิลล่าได้เดินทางออกจากวิทยาลัยไปอย่างกะทันหันด้วยสีหน้าเร่งรีบ และเขาก็ไม่เห็นเธออีกเลยถึง 2 วันให้หลัง เมื่อลองถามไปทั่วก็พบว่าสาเหตุมาจากบางอย่างที่เกิดขึ้นที่บ้านของคามิลล่า และดูเหมือนว่าเธอคงไม่กลับมาที่วิทยาลัยอีกสักพักหนึ่ง
แต่สิ่งที่เขาได้ยินมาเป็นเพียงรายละเอียดผิวเผินเท่านั้น ตามสัญชาติญาณของหานซั่วแล้ว พวกเขาอาจจะไม่ได้พบเธออีกเลยมากกว่า เพราะในเมื่อเธอเป็นสายลับที่มาจากอาณาจักรของศัตรู และเรื่องนี้ “องครักษ์ชุดดำ” ก็เข้ามาจัดการเรียบร้อยแล้ว เธอคงไม่ถูกปล่อยไว้ให้ลอยนวลอยู่ในจักรวรรดิต่อไปง่าย ๆ แน่
เมื่อคามิลล่าหายตัวไป ทั้งดุ๊คและเอริคก็ไม่กล้าพบปะพูดคุยเกี่ยวกับความลับใด ๆ ภายในวิทยาลัยอีก พวกเขาจึงใช้เหตุผลที่ว่าโครงการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นแล้วเป็นข้ออ้างในการออกจากวิทยาลัย เพื่อรีบกลับไปยังจักรวรรดิคาซี ส่วนคลาร์ก ที่ตอนแรกตั้งใจจะแวะไปหาแฟนนี่ ก็รีบออกจากสำนักอัศวินไปแทบจะพร้อม ๆ กัน
ในฐานะสมาชิกขององครักษ์ชุดดำ แม้ว่าหานซั่วจะไม่ทราบแน่ชัดนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างหนึ่งที่เขาแน่ใจ คือองครักษ์ชุดดำเริ่มเคลื่อนไหวและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด มิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาทั้ง 3 คนคงไม่มีปฏิกิริยาแปลก ๆ แบบนั้น และอยู่ดี ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในเวลาไม่นาน
หลายวันต่อมา หานซั่วก็ได้ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและมีความสุข เขายังคงศึกษาเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเขาจะไปถามแฟนนี่ทันทีเมื่อเจอปัญหาที่ไม่เข้าใจ และมักจะได้คำตอบที่ถูกต้องกลับมาเสมอ …อาจเป็นเพราะการที่เขากำลังฝึกฝนแก่นมนตราในอาณาจักรพลังหลอมวิญญาณอยู่ก็ได้ จึงทำให้เขามักหลุดปากพูดความคิดเห็นแปลกประหลาดบางอย่างที่ซ่อนไว้ในจิตใจเวลาอยู่กับแฟนนี่เสมอ
และเมื่อใดก็ตามที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แฟนนี่ก็จะโกรธและว่ากล่าวเขาทันที กระทั่งเมื่อตัวเขาเองรวบรวมสติได้ เขาก็จะพยายามกู้สถานการณ์ ซึ่งหากกู้ไม่ได้ก็จะทำเป็นแกล้งโง่หรือไม่ก็ไหลไปตามน้ำแทน
เช้าวันนั้น เมื่อหานซั่วตื่นขึ้นมาก็พบว่าสภาพอากาศเริ่มเย็นลง เขานิ่งไปครู่หนึ่ง พลางคิดว่าฟีบี้น่าจะใช้เวลาเพียงพอในการเตรียมเสบียงอาหารสำหรับพวกคนแคระเพื่อให้อยู่รอดพ้นจากฤดูหนาวจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงออกจากวิทยาลัยและมุ่งหน้าไปยังสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ทันที และเพื่อซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างผีดิบธาตุดินชั้นยอดด้วย
เมื่อมาถึง ณ สมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ หานซั่วก็พบว่าทหารยามหน้าประตูถูกสับเปลี่ยนอีกแล้ว แต่ครั้งนี้เมื่อหานซั่วแจ้งชื่อของเขาไป ทหารยามก็รีบเปิดทางให้เข้าไปด้วยความนอบน้อม และไม่นาน เฟเบียนที่ดูสุขสมบูรณ์และเบิกบานใจก็รีบพุ่งตัวมาหาเขาทันที
“สวัสดี ไบรอัน! ไม่เจอกันเสียนานเลย สบายดีมั้ย?”
“โอ เฟเบียน ดีใจจริง ๆ ที่ท่านปลอดภัย ข้านึกว่าท่านจะ… เอ่อ ตั้งแต่ที่บ้านถล่มลงมาใส่ท่านคราวก่อนน่ะ”
หานซั่วค่อนข้างประหลาดใจมากทีเดียวที่เจอเฟเบียน เพราะเขานึกว่าเฟเบียนจะตายไปแล้วตั้งแต่ตอนที่บ้านถล่มเพราะเวทย์แผ่นดินไหวของจอมขมังเวทย์ “ปีศาจเงา” ที่บุกโจมตีเมื่อครั้งนั้น
“ตอนที่บ้านกำลังจะถล่ม ข้าหลบอยู่ใต้เตียงน่ะ แคนดิซมาพบเข้าทีหลัง และช่วยข้าออกมาจากซากปรักหักพังก็เลยรอดมาได้นี่แหละ”
สีหน้าของเฟเบียนเต็มไปด้วยความปลื้มปิติยินดีจากการที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของความตาย เขาอธิบายให้หานซั่วฟังอย่างหน้าชื่นตาบาน
หานซั่วพยักหน้าพลางมองเฟเบียนไปทั่วทั้งตัว
“เดี๋ยวนี้ท่านดูดีขึ้นมากเลยนี่ ดูท่าโชคจะเข้าข้างท่านแล้วสินะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แต่ตั้งแต่ที่โกรเวอร์ตายไป พวกคนของ “ปีศาจเงา” ก็ไม่โผล่มาอีกเลย และตอนนี้ท่านฟีบี้ก็ดูแลสมาคมอย่างเป็นทางการแล้วด้วย ชีวิตของข้าที่อยู่กับเธอก็เลยดีขึ้นเยอะเลยล่ะ”
แม้เฟเบียนจะปฏิเสธเรื่องโชคชะตา แต่ความสุขบนใบหน้าของเขาก็บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความภาคภูมิในจิตใจ
เหล่าของประดับตกแต่งภายในสมาคมยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทหารยามทุกคนในสมาคมถูกสับเปลี่ยนทั้งหมด เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง หานซั่วก็หยุดกะทันหัน พลางมองไปที่ภูเขาจำลองทางด้านซ้าย หานซั่วจำได้ทันทีว่าฟีบี้และเขาเคยจำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกของภูเขาอย่างไม่มีทางเลือกเพื่อซ่อนตัวจากการไล่ตามของเอลลิซ
เมื่อกวาดสายตามองไปยังที่แห่งนั้นอีกครั้ง ก็พบกว่ามันถูกตกแต่งขึ้นใหม่ กระถางต้นไม้และดอกไม้มากมายถูกจัดวางประดับไว้โดยรอบ รวมทั้งโต๊ะและเก้าอี้หินที่ตั้งไว้ข้าง ๆ รอยแยกของภูเขา ราวกับตั้งใจใช้เพื่อนั่งชื่นชมวิวทิวทัศน์บริเวณนั้นโดยเฉพาะ
“เอ๋ ทำไมตรงนี้ถึงดูเปลี่ยนไปล่ะ? ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้มันไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา?”
หานซั่วมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันไปถามเฟเบียน
“หึหึหึ ท่านนี่ช่างสังเกตจริง ๆ ที่ตรงนี้ถูกตกแต่งขึ้นใหม่ตามคำสั่งของท่านฟีบี้น่ะ และท่านฟีบี้ก็สั่งห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามาบริเวณนี้ด้วยนะ เพราะเธอจะเอาไว้ใช้เป็นสถานที่ส่วนตัวสำหรับนั่งรับแสงแดด จิบชา หรือนั่งชื่นชมดอกไม้เมื่อใดก็ตามที่เธอว่าง ถึงอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าที่นี่จะสวยสักเท่าไหร่เลย แต่ท่านฟีบี้คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ชอบที่นี่น่ะ”
เฟเบียนอธิบายด้วยสีหน้าสับสน
หานซั่วมองไปยังรอยแยกที่ทั้งคู่เคยอิงแอบแนบชิดกันเมื่อครั้งก่อน เขานึกถึงท่าทางน่าอายนั่นขึ้นมาได้ จนหัวใจโลดเต้นขึ้นมาทันที เป็นไปได้มั้ยนะ ? ว่าฟีบี้จะทำเพื่อเป็นการระลึกถึงการเผชิญหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนในครั้งนั้น?
หานซั่วคิดวนไปวนมาเกี่ยวกับความคิดประหลาดนี้ จนพยายามย้ำกับตัวเองว่า เป็นไปไม่ได้หรอกน่า! เพราะฟีบี้เป็นคนที่ทั้งภาคภูมิใจในตัวเองและหยิ่งในศักดิ์ศรี แถมท่าทีที่อ่อนช้อยงดงาม ยังไม่รวมถึงตำแหน่งหัวหน้าสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ที่เธอกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้อีก ว่ากันตามหลักแล้ว เธอคงไม่มีทางมาสนใจนักเรียนกระจอก ๆ ของวิทยาลัยเวทมนตร์และศาสตร์แห่งพลังอย่างเขาแน่
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง เฟเบียนก็พาหานซั่วมาถึงยังห้องรับรองห้องหนึ่ง เฟเบียนเรียกสาวใช้ให้มาเสิร์ฟน้ำชาและขนม ก่อนจะไปตามฟีบี้มาพบเขา
แล้วฟีบี้ก็เดินเข้ามาในชุดฝึกซ้อมสีขาวเรียบ ๆ พร้อมหยาดเหงื่อจำนวนหนึ่งเกาะอยู่บนหน้าผาก และดูเหมือนกำลังรู้สึกกระหาย เพราะเธอรีบรินน้ำในถ้วยชาให้ตัวเอง เธอจิบน้ำไปหน่อยหนึ่ง ก่อนจะเพ่งสายตามองที่หานซั่วทันที
“เจ้ามาที่นี่เพราะเรื่องเสบียงอาหาร ใช่มั้ย?”
หานซั่วพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้ม
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่ใช่เรื่องเสบียงอาหารแล้ว ข้าจะมาที่นี่ทำไมกันล่ะ?”
ฟีบี้เม้มปาก พลางกลอกตามองหานซั่ว
“แค่มาเยี่ยมข้าบ้างไม่ได้รึไง ในฐานะเพื่อนของเจ้าน่ะ?”
หานซั่วหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ตั้งใจ พลางหยอกเธอกลับไป
“เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันเอง ตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันครั้งสุดท้าย แล้วเจ้าเองก็เพิ่งขึ้นดูแลสมาคมได้ไม่นาน เจ้าคงต้องยุ่งมากแน่ ๆ ข้าเองก็อยากแวะมาหาอยู่เหมือนกัน แต่กลัวว่าเจ้าจะไม่มีเวลามาพบข้าน่ะสิ”
“ฮึ! ไม่ได้นึกถึงข้าเลยก็บอกมาเถอะ อย่ามัวแต่อ้างเลย”
คอสวยยาวระหงของฟีบี้สะบัดศีรษะไปทางอื่นอย่างงอน ๆ ก่อนจะคิดครู่หนึ่งและหันมาถามหานซั่ว
“เสบียงอาหารที่เจ้าต้องการมีปริมาณมากพอจะเก็บไว้ใน 2 ห้องเต็ม ๆ แต่แหวนมิติของเจ้าเป็นระดับต่ำที่สุด และน่าจะมีของเก็บอยู่ในนั้นบ้างแล้ว ข้าว่าเจ้าคงเอาของมากขนาดนั้นใส่ไปไม่ไหวหรอก”
“จริงด้วย แต่ข้ามาขนแบบเทียวไปเทียวมาหลายรอบได้อยู่นะ ฮะ ๆ ๆ ข้าไม่คิดเอาเปรียบอะไรเจ้าอีกหรอก”
หานซั่วคิดเตรียมการไว้นานแล้วว่าต้องขนของหลายรอบ พลางยิ้มเจื่อน ๆ ให้ฟีบี้ เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง และยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่จดรายการวัตถุดิบนานาชนิดยื่นให้ฟีบี้
“แล้วข้าก็ต้องการวัตถุดิบพวกนี้ด้วยเหมือนกัน ลองดูให้หน่อยสิ เจ้าพอจะรวบรวมมาให้ข้าได้บ้างมั้ย?”
ฟีบี้มองหานซั่วด้วยสีหน้าประหลาดใจ พลางคิดไม่เข้าใจว่าทำไมช่วงนี้หานซั่วถึงเอาแต่หาซื้อวัตถุดิบพิเศษบ่อยนัก เธอรับกระดาษของหานซั่วมาและเริ่มพึมพำอ่านรายการเหล่านั้น
“ดินน้ำแข็ง ดินเดือด ดินเปียก ดินโลหิต อะไรที่เป็นหิมะ… อะไรที่เป็นใบไม้… อะไรที่เป็นผลไม้… ทั้งหมดที่เจ้าเขียนมานี่คืออะไรกัน ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย!”
เพราะนึกอยู่แล้วว่าฟีบี้ต้องสงสัย หานซั่วจึงยิ้มเจื่อน ๆ และค่อย ๆ อธิบายให้เธอฟัง
“ดินน้ำแข็ง เป็นดินที่อยู่ในพื้นที่หนาวจัด… ดินเดือด คือดินที่พบได้ในพื้นที่ร้อนระอุ มักจะพบได้ง่ายในที่ ๆ มีลาวา… ดินเปียก พบได้ในที่ ๆ เปียกและชุ่มชื้นตลอดทั้งปีและไม่เคยได้สัมผัสแสงอาทิตย์… ดินโลหิต เป็นดินที่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงจากการหลั่งเลือดของเหล่าทหาร 2 กองทัพที่สู้รบกันจนตายในสงคราม… อีกอย่างคือบุปผาหิมะ ซึ่งจะขึ้นในดินน้ำแข็ง… ลาวาจากดินเดือด… ต้นหญ้าประหลาดสีเขียว-ดำที่ขึ้นบนดินเปียก และผลไม้ที่ดูเหมือนก้อนเนื้องอกที่ขึ้นในดินโลหิต…”
ฟีบี้เริ่มมีท่าทีสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะฟังหานซั่วอธิบายรายการวัตถุดิบบนกระดาษของเขา แม้ชื่อเหล่านี้จะแตกต่างจากชื่อของพวกมันจริง ๆ ตามความทรงจำของชูชางหลาน แต่พวกมันก็ควรจะมีรูปร่างหน้าตาหรือลักษณะรูปทรงแบบเดียวกับชื่อที่ฟีบี้รู้จัก แต่ก็ยังถือว่ามีของบางอย่างที่ฟีบี้เองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน เธอจึงบอกว่าต้องปรึกษากับคนอื่นก่อน โดยจะยึดตามรายละเอียดข้อมูลที่หานซั่วให้มา
เมื่อหานซั่วอธิบายขยายความเกี่ยวกับวัตถุดิบทั้ง 13 ชิ้นที่จำเป็นต้องใช้ในการสร้างผีดิบธาตุดินชั้นยอดเสร็จแล้ว ฟีบี้ก็รู้สึกสับสนงุนงงในของเหล่านั้นอย่างบอกไม่ถูก และถ้าคนที่ต้องการของประหลาดเหล่านี้ไม่ใช่หานซั่วแล้วล่ะก็ เธอก็คงไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้มาจนถึงตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์เล็กน้อย
“เจ้าจะหาวัตถุดิบแปลก ๆ พวกนี้ไปทำไมกัน? ถ้าเจ้าไม่ยอมบอก ข้าก็ไม่ช่วยเจ้าหรอกนะ!”
หานซั่วมองหน้าฟีบี้อย่างยอมจำนน และเห็นว่าเธอเริ่มจะหงุดหงิดและอารมณ์ไม่ดี หานซั่วก็ตัดสินใจร่ายเวทย์ขึ้นมา แล้วเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าหานซั่ว …ด้วยคำสั่งของเขา ร่างกายที่คล่องแคล่วว่องไวของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็พุ่งตัวไปรอบ ๆ ห้องโถงด้วยความเร็วสูง ก่อนจะส่งกริชกระดูกในมือของมันให้พุ่งเข้าใส่ฟีบี้
ฟีบี้ตกตะลึงสุดขีด ออร่าต่อสู้จากดาบยาวของเธอจะส่องแสงประกายวาบขึ้นและฟาดเข้าใส่กริชกระดูกเล่มนั้นจนเบี่ยงไปทางอื่น ก่อนที่ลอยกลับสู่มือของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กตามเดิม จากนั้น หานซั่วจึงเอ่ยปากถามเธอ
“เจ้าคิดว่าความแตกต่างระหว่างเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กตนนี้กับโครงกระดูกธรรมดา ๆ ตัวอื่น ๆ ที่นักเวทย์ผู้ใช้ความตายอัญเชิญมาบ้างรึเปล่า?”
“แตกต่างมากทีเดียวล่ะ และเจ้าตัวนี้ก็ยอดเยี่ยมสุด ๆ ไปเลย ข้าเคยเห็นโครงกระดูกทั่วไปที่นักเวทย์ผู้ใช้ความตายคนอื่นเคยอัญเชิญเมื่อนานมาแล้ว มีความแตกต่างระหว่างพวกมันราวฟ้ากับเหวเลยล่ะ นักรบโครงกระดูกของเจ้านอกจากจะแตกต่างเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ข้ายังสัมผัสได้ว่ามันมีปีศาจบางอย่างสิงสู่อยู่ภายในตัวมันอีกที แม้แต่ข้ายังรู้สึกกลัวมันเลย”
ท่าทีของฟีบี้จริงจังขึ้นมาทันที ขณะมองกริชกระดูกที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กถืออยู่ด้วยความหวาดกลัว
“มันก็เคยเป็นนักรบโครงกระดูกธรรมดา ๆ นี่แหละ แถมยังอ่อนแอกว่าโครงกระดูกทั่วไปด้วยซ้ำ มันเคยทำได้แต่ช่วยข้าเอาขยะไปทิ้ง แต่ตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่ามันต่างออกไป หลังจากทำตามเคล็ดลับการเสริมสร้างของข้าเอง มันก็ยังคงเป็นนักรบโครงกระดูกเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่มันจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ เจ้าเองก็ได้ทดสอบความแข็งแกร่งของมันไปแล้วเมื่อกี้ ข้าก็เลยบอกเจ้าแค่เพียงว่า วัตถุดิบที่ข้าต้องการน่ะ ข้าต้องเอาไปใช้ในการสร้างผีดิบ และเป็นผีดิบที่ดีเยี่ยมไม่เหมือนใครเลยล่ะ”
หานซั่วมองหน้าฟีบี้อย่างจริงจังขณะพูด
นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครบนโลกนี้ที่สามารถบ่มเพาะแก่นมนตราได้อีก และหานซั่วก็ไม่กลัวที่จะบอกให้ฟีบี้รู้ ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ว่าฟีบี้เคยเห็นความสามารถและความแข็งแกร่งของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กมาก่อน แต่เพราะหานซั่วเชื่อใจฟีบี้อย่างสุดหัวใจ เขาจึงอธิบายรายละเอียดผิวเผินให้เธอฟังคร่าว ๆ
“เหลือเชื่อจริง ๆ เคล็ดลับของเจ้าอาจนำไปสู่การปฏิวัติครั้งใหม่ของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายได้เลยนะ ไบรอัน เจ้าทำได้ยังไงกันเนี่ย? มหัศจรรย์จริง ๆ!”
ประกายตาที่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความปลาบปลื้มชื่นชมฉาบอยู่บนดวงตาของฟีบี้ ขณะที่เธออุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
หานซั่วยักไหล่ และพูดต่อ
“ข้าเรียนรู้เคล็ดลับพิเศษนี่ด้วยตัวของข้าเองน่ะ ฟีบี้ พวกเราเป็นเพื่อนกัน ข้าก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังได้ แต่ไม่ว่ายังไง เจ้าก็คงรู้ดีอยู่แล้ว ว่าถ้าหากมีใครบางคนรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ มันอาจกลายเป็นปัญหาสำหรับข้าก็ได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเก็บมันเป็นความลับเพื่อข้านะ”
“เจ้ายังไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร…นอกจากข้าเหรอ?”
ฟีบี้ตกใจ และมองหานซั่วด้วยสายตาแปลก ๆ
หานซั่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ไม่ได้บอกใครสักคนเลยล่ะ”
แล้วสีแดงเรื่อจาง ๆ ก็ปรากฏบนพวกแก้มสองข้างของเธอทันที ฟีบี้ให้คำมั่นกับหานซั่วอย่างร่าเริง
“ตกลง ข้าไม่มีวันพูดความลับนี้ออกไปแน่ ต่อให้ใครบางคนคุกคามข้าจนถึงชีวิตก็เถอะ เจ้ามั่นใจได้เลย!”
“ขอบคุณนะ ฟีบี้ ข้าจะจำน้ำใจของเจ้าเอาไว้ และหวังว่าเจ้าจะหาวัตถุดิบพิเศษพวกนี้ให้ข้าได้นะ ข้ารู้ว่าสมาคมใหญ่อย่างเจ้า สามารถเดินทางท่องไปยังเมืองต่าง ๆ และเฟ้นหาวัตถุดิบจากทั่วทั้งจักรวรรดิกลับได้มากมายเลยนี่นา”
หานซั่วรู้สึกซาบซึ้งในความจริงใจของฟีบี้
“ไม่มีปัญหา ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เลย แต่ของพวกนี้อาจตีราคาเป็นเหรียญทองจำนวนมากเลยทีเดียว เจ้าเองก็ไปหาเงินมาเตรียมไว้ดีกว่า ฮะ ๆ ๆ ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าฟรี ๆ หรอกนะ”
แรกเริ่มเดิมที หานซั่วเคยคิดว่าฟีบี้จะเป็นผู้หญิงจอมเย็นชา ยโสโอหัง และรับมือได้ยาก แต่ในเวลานี้ เมื่อทั้งสองคนผ่านประสบการณ์หลาย ๆ อย่างมาด้วยกัน เขาก็พบว่าความหยิ่งทระนงอย่างเย็นชานั้นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ฟีบี้แสดงออกมาเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่เธอพบมิตรแท้ เธอก็จะพูดคุยด้วยอย่างเป็นกันเอง และจะไม่แสดงความยโสใด ๆ ออกมาให้เห็น ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้หานซั่วยอมรับฟีบี้จากใจ และไม่มองเธอในฐานะคู่ค้าทางธุรกิจอีกต่อไปแล้ว
เขาใช้เวลาอีกราว ๆ ชั่วโมง ในการอธิบายรูปร่างลักษณะและตำแหน่งที่พบของวัตถุดิบหายากเหล่านั้นให้ฟีบี้ฟัง ในขณะที่ฟีบี้เองก็ใช้ปากกาจดรายละเอียดทุกอย่างไว้บนกระดาษ ไม่นานนัก หานซั่วก็จากไป พร้อมกับเสบียงอาหารที่ฟีบี้จัดเตรียมไว้ให้บรรจุไว้เต็มแหวนมิติ และมุ่งหน้าสู่สุสานแห่งความตายทันที
……………………………………….
อัพเดท 2 ต.ค. 60 กลุ่ม GDK#2 ถึงตอนที่ 165
(0 votes) 0/10