I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

GSDZ (盖世帝尊) ตอนที่ 10 ศิลามหาเทพยุทธ

| GSDZ (盖世帝尊) | 2538 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

แปลไทย : XiaoeyuGao

ภายในห้องฝึกเงียบสงัดลงทันที ผู้คนโดยรอบต่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น เมื่อซักครู่’เฉียนหลิน’พึ่งจะดื่มยากระตุ้นพลังเข้าไป ทำให้พลังที่อยู่ในร่างของมันสามารถเพิ่มพูนขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น พวกมันล้วนคิดว่าเต้าหลิงคงต้องเสร็จแน่ ทว่าท้ายที่สุดพวกมันก็ต้องพูดไม่ออก

‘เต้าหลิง’เหมือนดั่งพระเจ้า มันแค่ยืนเฉยๆโดยที่ไม่ได้เขยื้อนแม้แต่น้อย แต่กลับให้’เฉียนหลิน’กระเด็นลอยออกไปได้ !

‘ เฮือก !  ’

ปรากฏเสียงกลืนน้ำลายของใครก็ไม่รู้ดังออกมา ขนตาที่ยาวสวยของ’เยว่อวิ้น’พลันกระตุกสองสามที นางและรองเจ้าสำนักหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพบว่าต่างฝ่ายต่างมีใบหน้าที่ตกตะลึง เมื่อซักครู่พวกมันต่างสัมผัสได้ถึงพลังที่โหมซัดสาดประดุจสายน้ำเชี่ยวกราด !

ในโลกใบนี้จะมีคนจำพวกหนึ่งที่น่ายำเกรงสุดๆ สามารถดึงพลังที่มหาศาลออกมาเป็นรูปร่างจับต้องได้ แค่พวกมันปลดปล่อยพลังออกมาก็สามารถถล่มเทือกเขาได้ทั้งแนวแล้ว ! และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนประเภทนี้ก็คือมันผ่านประสบการณ์ในการรบมานับหลายแสนครั้ง

อีกทั้งในตอนที่พวกมันยังเยาว์วัย แค่ขั้นพลังกายของพวกมันก็มีความแข็งแกร่งยิ่ง ทั้งยังมีพลังที่ก่อเป็นรูปร่างได้อีก ทำให้คู่ต่อสู้ของพวกมันแต่ละคนล้วนบาดเจ็บเจียนตาย และนี่ก็เป็นเครื่องชี้วัดที่ว่าพลังแฝงเหล่านี้มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง สามารถทำให้ผู้ครอบครองพลังแฝงนี้กลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งได้ไม่ยากเลย

“ อัจฉริยะ ”

รองเจ้าสำนักสูดลมหายใจลึก สายตาจ้องมองอย่างลุกโชนไปที่’เต้าหลิง’ที่ตอนนี้มันกำลังทำหน้าแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก่อนจะอดคิดขึ้นในใจไม่ได้ว่า

“ หากให้เวลามันซักสองสามปี ภายภาคหน้าไอ้เด็กคนนี้จะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน… ”

นัยน์ตารองเจ้าสำนักฉายแววเป็นประกายออกมา มันคิดว่าพลังแฝงในตัว’เต้าหลิง’จะต้องแข็งแกร่งมากแน่ คาดว่าแม้แต่’หวังหลิ่ง’ก็เทียบกับมันไม่ได้ หากไม่ตายไปเสียก่อน ภายภาคหน้ามันต้องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปชิงแน่

“ อ๊ากกก ! ”

‘เฉียนหลิน’ร้องออกมาอย่างน่าเวทนา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา มันรู้สึกราวกับว่าร่างกายมันแหลกเป็นผุยผงเหมือนกับโคลนเละๆ จะยืนก็ยืนไม่ขึ้น

“ เต้าหลิง ! ”

‘เต้าหลิง’ขบกรามกล่าวออกมาอย่างเคียดแค้น สายตาจ้องมองไปที่เงาหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า ใบหน้ามันบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ด้วยความเจ็บปวด ทว่ามันก็ยังปล่อยไอสังหารออกไปใส่เงานั้น เต้าหลิงยังคงมองไปเบื้องหน้า ทว่านัยน์ตาที่เรียบเฉยของมันกลับทำให้’เฉียนหลิน’สั่นสะท้าน มันรู้สึกราวกับว่ามันกำลังเผชิญหน้ากับอสูรดึกดำบรรพ์ก็มิปาน มันสะดุ้งตกใจเสียจนขวัญใจกระเจิง

‘เต้าหลิง’ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย การประลองเมื่อซักครู่คงทำให้มันฉลาดขึ้นมาบ้าง ปฏิกิริยาโต้ตอบของตัวมันเมื่อซักครู่นี้ราวกับว่าพลังในร่างของมันโหมซัดสาดออกมาประดุจน้ำที่ไหลเชี่ยวกราด ทั้งยังเหมือนกับม้าป่าที่กำลังคลุ้มคลั่ง จึงทำให้มันใช้พลังออกมาไม่ได้ดั่งใจนึก

“  นี่คงเป็นผลที่ตามมา ต้องหาวิธีฝึกฝนร่างกายแล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ ”

‘เต้าหลิง’ขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ พลังในร่างมันตามจริงแล้วแข็งแกร่ง แต่ทว่าเวลาในการทะลวงพลังของมันนั้นรวดเร็วเกินไป จึงทำให้ยังควบคุมพลังที่อยู่ในร่างได้ไม่ดีเท่าที่ควร ขั้นพลังกายของคนปกตินั้น ส่วนใหญ่จะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนร่างกายเป็นเวลาประมาณสองปี ถึงจะทำให้ร่างกายเติบโตไปพร้อมกับพลังได้อย่างมั่นคง

ทว่ามันกลับใช้เวลาสั้นๆไม่ถึงครึ่งเดือนในการทะลวงไปอยู่จุดเดียวกับคนอื่นที่ฝึกฝนมาร่วมสองปี  แน่นอนรากฐานมันย่อมไม่มั่นคง

“ วิชากลืนฟ้านี่น่ากลัวจริงๆ หากไม่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานล่ะก็ มีหวังได้ถูกวิชากลืนฟ้ากลืนกินเสียเองแน่ ”

‘เต้าหลิง’ขบริมฝีปาก มันจะต้องคิดหาวิธีแก้ไขอาการเหล่านี้ให้ได้  นัยน์ตาของผู้คนโดยรอบเต็มไปด้วยความหวาดผวา  ในใจมันก็อดคิดขึ้นอย่างหวาดกลัวไม่ได้ว่า นี่มันคือไอ้เทพนิทราจริงๆหรอ ? เหตุใดมันถึงได้น่ากลังถึงเพียงนี้ พวกมันบ้างก็รู้สึกเสียใจ เมื่อก่อนกลั่นแกล้ง’เต้าหลิง’เอาไว้มาก

ตอนนี้พวกมันเริ่มกังวลแล้วว่า’เต้าหลิง’จะมาเอาคืนพวกมันหรือไม่

“ อาจารย์เยว่อวิ้น ดวงเจ้าดีจริงๆนะ ได้เจอกับอัจฉริยะที่โดดเด่นเช่นนี้  ”

รองเจ้าสำนักอมยิ้มขึ้น สายตาจ้องมองไปที่’เยว่อวิ้น’  ในใจคิดว่า’เยว่อวิ้น’นั้นช่างโชคดีจริงๆ

“ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ”

มุมปากของ’เยว่อวิ้น’ยกขึ้นโค้งสวย ช่างงดงามชวนหลงใหลยิ่งนัก ฟันนางเรียงกันได้รูปราวกับผลึกหินล้ำค่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้นางตกตะลึงยิ่ง เพราะว่ามันช่างเกินความคาดหมายของนางจริงๆ

“ บางทีมันอาจจะได้จารึกชื่อของมันลงบนศิลามหาเทพยุทธ์ก็ได้…. ”

ฝ่ามือขาวเนียนของนางกำเบาๆ นัยน์ตาเปล่งกายออกมาชวนน่าหลงใหลยิ่ง   เพียงได้ยินเสียงกระซิบของ’เยว่อวิ้น’ รองเจ้าสำนักพลันใช้สายตามองอย่างหยามๆ ก่อนจะกล่าว

“ อาจารย์เยว่อวิ้น อายุเจ้าก็ยังไม่มาก แม้ว่าวรยุทธ์เจ้าจะสูงกว่าข้า แต่เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับศิลามหาเทพยุทธ์บ้างล่ะ ?  ”

ซึ่งในความหมายของรองเจ้าสำนักก็คือ ตัวนางนั้นคิดเพ้อฝันเกินไป เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าศิลามหาเทพยุทธ์นั้นเป็นศิลาที่ไว้ใช้ทดสอบขั้นพลังกาย มีเพียงอัจฉริยะที่แข็งแกร่งสุดๆเท่านั้นถึงจะได้จารึกชื่อลงบนนั้น และให้คนรุ่นหลังๆได้กราบไหว้บูชา    ขนตา’เยว่อวิ้น’กระตุกทีหนึ่ง

ก่อนที่นางจะตกใจจนตื่นจากความคิดของตัวเอง คนที่ถูกจารึกชื่อของตัวเองลงบนศิลามหาเทพยุทธ์นั้น จะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หาก’เต้าหลิง’สามารถทำได้จริงๆ ก็จะถูกดึงตัวไปเข้าร่วมกับขุมพลังอำนาจต่างๆที่มีอิทธิพลกว้างขวาง ถึงตอนนั้นมันจะยังอยู่ที่เมืองเล็กๆนี่ไหมนะ ?

แม้แต่อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งทวีปชิง ก็ยังไม่ติดอันดับรายชื่อหนึ่งในร้อยศิลามหาเทพยุทธ์เลย นี่สามารถบ่งบอกได้ถึงระดับความยากของมัน ซึ่งก็ยากพอๆกับการขึ้นไปบนสวรรค์เลย ‘เยว่อวิ้น’นั้นรู้จักมันเป็นอย่างดี ศิลามหาเทพยุทธ์นั้นตั้งตระหง่านอยู่ที่ทวีปชิงมาเนิ่นนานมาก

ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงยุคปัจจุบันก็มีเหล่าอัจฉริยะมากมายที่ได้จารึกชื่อของตนลงบนนั้น !

แค่คิดก็รู้แล้วว่าการจะจารึกชื่อหนึ่งลงไปบนศิลามหาเทพยุทธ์นั้น เป็นเรื่องที่สุดแสนจะยากเพียงไหน

“ ทว่าหากมันได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีเล่า ภายภาคหน้ามันต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน ”

นัยน์ตาใสของ’เยว่อวิ้น’มองไปที่เต้าหลิง และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมันออกมา

“ ไม่ผิด ศิษย์แห่งสำนักเล็กๆอย่างนี้กับอัจฉริยะจากตระกูลใหญ่ๆย่อมเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว พวกมันมีทั้งทรัพยากรล้ำค่าที่ใช้เสริมร่างกายหลากหลายชนิดมากมาย หรือมีแม้การะทั่งโลหิตแท้จริงสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ หรือไม่ก็โอสถเหลวล้ำค่าที่ช่วยทั้งเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายและพลัง   ”

รองเจ้าสำนักขบริมฝีปากก่อนจะกล่าวต่อว่า

“ อัจฉริยะเหล่านี้มันช่างน่ายำเกรงยิ่งนัก พวกมันสามรถออกเดินทางไปหลายทวีปใหญ่ๆทั่วทั้งโลกได้ อีกทั้งพวกมันยังมีวรยุทธ์ที่สูงส่งอีกด้วย ! ”

รองเจ้าสำนักถอนหายใจออกมา อัจฉริยะที่น่ายำเกรงเหล่านั้นล้วนแต่มีผู้คุ้มกันที่เก่งกาจจากตระกูลคอยติดตามไปคุ้มกันด้วยเสมอ พวกมันมักจะเข้าไปที่สถานโบราณเก่าแก่เพื่อหาทรัพยากรทางธรรมชาติต่างๆ ซึ่งหากเอามาเทียบกับเต้าหลิงแล้ว มันแตกต่างราวกับฟ้าดินเลยทีเดียว

หลังจากที่รองเจ้าสำนักออกไปแล้ว นัยน์ตาคู่สวยของเยว่อวิ้นก็หันไปมองที่เต้าหลิง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างขบขันว่า

“ มากับข้า ”

ทันทีที่พูดจบ พลันปรากฏแววตาริษยาขึ้นจากศิษย์กลุ่มหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกมันเห็นเยว่อวิ้นคุยกับคนอื่นด้วยรอยยิ้มหัวเราะ ทั้งยังเดินออกไปด้วยกันอีกด้วย ใบหน้าเฉียนหลินดำเป็นเตาถ่าน นัยน์ตามันฉายประกายความหวาดกลัวออกมา เมื่อมันพบว่าตัวมันนั้นเหมือนกับคนพิการไปเสียแล้ว…

“ พลังของข้า ”

มันลองรีดเร้นพลังออกมาจากร่างกายของมัน ทว่าก็ต้องพบกับความเจ็บปวดทรมานแทน เพราะตอนนี้กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างของมันนั้นถูกฉีกขาดจนเละ มันแทบจะตกใจจนสิ้นสติ เมื่อพบว่ามันไม่สามารถรีดเร้นพลังออกมาได้

“ เต้าหลิง ข้าจะฆ่าเจ้า ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ! ”

‘เฉียนหลิน’ขบกรามอย่างเคียดแค้น นัยน์ตากลายเป็นสีแดงโลหิตประดุจดวงตาของสัตว์อสูร ก่อนมันจะเดินกระเผลกกลับบ้านไป ขณะนี้’เต้าหลิง’ก็เดินมากับ’เยว่อวิ้น’ ทั้งสองเดินไปตามทางถนนสายเล็กในเมืองชิงสือ ‘เต้าหลิง’มองไปที่ใบหน้าด้านข้างที่ขาวเนียนของนาง ก่อนจะถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“ อาจารย์ ท่านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ? ”

ได้ยินดังนั้น ‘เยว่อวิ้น’ก็หันมองมาที่’เต้าหลิง’ด้วยสีหน้ายิ้มๆแกมขุ่นเคือง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“ เต้าหลิง เจ้าซ่อนพลังได้ดีมากจริงๆ แม้แต่ข้าก็ยังถูกหลอก เจ้าคิดว่านี่มันสนุกมากไหม ? ”

คำพูดสุดท้ายที่กล่าวออกมานั้นทำเอามันขนลุกซู่ไปทั้งตัว จากนั้นมันจึงรีบกล่าวขึ้นว่า

“ ข้าเปล่านะ ข้าไม่กล้าหลอกท่านหรอก ตามจริงข้าพึ่งจะทะลวงพลังไปได้เมื่อไม่กี่วันนี้เอง ”

‘เยว่อวิ้น’มองด้วยสีหน้าไม่เชื่อ พึ่งทะลวงไปไม่กี่วันอย่างนั้นเหรอ ? ใครจะไปเชื่อกัน ? นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ เจ้าจะปกปิดพลังมันก็เรื่องของเจ้า ข้าจะไม่ถามอีกแล้ว แต่ในอีกห้าวันนี้ก็จะเป็นวันสอบเข้าสำนักซิงเฉินแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะสอบผ่านไหม ? ”

“ ถึงตอนนั้นค่อยดูกันอีกทีแล้วกัน ”

มันกล่าวขึ้นพลางเกาหัวไปด้วย

“  เจ้านี่นะ ”

‘เยว่อวิ้น’ส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า

“ สำนักซิงเฉินนั้นเป็นดั่งขุมพลังขนาดใหญ่แห่งทวีปชิง แม้ว่าเจ้าจะเข้าสำนักซิงเฉินไม่ได้ เจ้าก็ยังสามารถไปหาที่อื่นได้นะ แต่ว่าหากเทียบกับสำนักซิงเฉินแล้ว ระดับความต่างยังคงห่างไกลกันมาก ”

“ ในโลกใบนี้ ทรัพยากรชั้นสูงต่างๆจำนวนมากล้วนแต่ตกอยู่ในมือของผู้มีอำนาจทั้งนั้น ในเมื่อเจ้าไม่มีอำนาจหรือไม่มีตระกูลคอยหนุน ก็มีแต่จะต้องเข้าร่วมกับกลุ่มของผู้มีอำนาจเท่านั้น เจ้าถึงจะประสบความสำเร็จก้าวหน้าไปได้ไกล ”

‘เยว่อวิ้น’เข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่าในโลกใบนี้นั้น หากอยากจะปีนขึ้นให้สูง ก็จำเป็นต้องมีอำนาจ มิเช่นนั้นคงได้อยู่เป็นสามัญชนไปชั่วชีวิตแน่ โดยเฉพาะคนอย่าง’เต้าหลิง’ที่หาได้ยากยิ่งนัก อัจฉริยะส่วนใหญ่มักจะตายกันเร็ว โดยเฉพาะเมื่อต้องไปอยู่ในโลกที่แท้จริง ที่มีจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมาย

หาก’เต้าหลิง’ไปสู้กับพวกมัน แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในนั้นมันก็ยังไม่อาจเอาชนะได้

“ ในเมื่อข้าทดสอบผ่านแล้ว การเข้าสำนักซิงเฉินก็คงจะไม่ยากมากใช่ไหม ?  ”

‘เต้าหลิง’ถามขึ้น มันหวังไว้ว่าจะต้องเข้าสำนักซิงเฉินให้ได้ ได้ยินมาว่าที่นั่นมีคนเก่งๆมากมาย ทั้งยังมีวิชาต่างๆหลากหลายชนิดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการแจกทรัพยากรที่ใช้สำหรับการฝึกอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีแต่คนอยากจะเข้าสำนักซิงเฉินให้ได้

“ ข้าก็บอกไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าในช่วงวันรับสมัครศิษย์ใหม่ทุกปี ก็จะมีคนประมานหนึ่งแสนกว่าคนมาเข้าร่วมสอบ อีกทั้งทางสำนักซิงเฉินก็รับแค่หนึ่งพันคนเท่านั้น  ”

ได้ยินดังนั้น ใบหน้า’เต้าหลิง’พลันหนักอึ้งทันที ก่อนมันจะถอนหายใจออกมาและกล่าวขึ้นเอื่อยๆว่า

“ เข้าร่วมสอบหนึ่งแสนคน? นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? ”

“ เจ้านี่ยังอ่อนต่อโลกนี้จริงๆนะ เจ้าคิดว่าสำนักเล็กๆอย่างสำนักชิงซานมีคนกี่คนกัน ? เรื่องพวกนี้พอเจ้าโตขึ้นก็จะเข้าใจเองแหละ  ”

‘เยว่อวิ้น’อมยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวต่อ

“ โลกใบนี้มันกว้างใหญ่มากนะ แค่ทวีปชิงอย่างเดียวก็ใหญ่มากแล้ว อัจฉริยะก็ยังมีอีกตั้งมากมาย อย่าคิดล่ะว่าขั้นพลังกายสามสี่หมื่นจินก็สุดยอดแล้ว ขั้นพลังกายเป็นเพียงขั้นพลังแรกเท่านั้น ส่วนขั้นซึมซับวิญญาณก็แค่เข้าประตูมาได้หน่อยเดียวเท่านั้น  ”

ได้ยินดังนั้น’เต้าหลิง’ก็สูดลมหายใจเข้าไป เรื่องนี้เป็นครั้งแรกเลยที่มันได้ยิน มันไม่คิดเลยว่าการสอบเข้าครั้งนี้จะมีผู้เข้าร่วมสอบนับแสนคน ระดับความยากนี่ก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะว่าจะมีแค่หนึ่งพันคนเท่านั้นที่สอบผ่าน

ขณะนี้ทั้งสองก็เดินมาถึงลานบ้านที่สวยงามห้องหนึ่ง ‘เต้าหลิง’ใช้สายตาสำรวจไปรอบๆ ดูแล้วนี่น่าจะเป็นที่พักอาศัยของ’เยว่อวิ้น’ จนทั้งสองเดินเข้าไปภายในห้อง ‘เยว่อวิ้น’ก็พูดแกมหัวเราะว่า

“ เมื่อซักครู่ข้าได้เห็นพลังในร่างของเจ้าไปแล้ว ดูท่าเจ้ายังมีพลังที่ซุกซ่อนอยู่อีกนะ ข้าว่าเจ้าน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการฝึกใช่ไหม ?  ”

“ อาจารย์ท่านช่างหลักแหลมยิ่งนัก ”

‘เต้าหลิง’หัวเราะแหะๆออกมา ในใจรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางจะพาข้ามาที่นี่ทำไม ?

“ เจ้าอยากควบคุมพลังของเจ้าให้ได้ดั่งใจนึกหรือเปล่าล่ะ ? ”

‘เยว่อวิ้น’เหล่ตามองพลางยิ้มออกมา

‘เต้าหลิง’รีบพยักหน้าทันที ทว่าพอเห็นรอยยิ้มของนางที่หัวเราะออกมา ในใจมันก็พลันบังเกิดความคิดอกุศลขึ้นทันที ‘เยว่อวิ้น’ยกมุมปากขึ้น ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ว่า

“ มาให้ข้าช่วยเจ้าหน่อย… ”

_________________________

ตอนจบนี่ชวนคิดจริงๆ :p

ที่มา:

(0 votes) 0/5
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments