I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

GSDZ (盖世帝尊) ตอนที่ 32 สำนักซิงเฉิน

| GSDZ (盖世帝尊) | 947 | 2367 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

แปลไทย : XiaoeyuGao

พื้นที่ของสำนักซิงเฉินกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ภายในสำนักเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากเดินขวักไขว่ และที่นี่ก็ยังมีเขตการค้า เขตแลกเปลี่ยนสินค้า เขตการศึกษา เป็นต้น หากจะมองว่ามันเป็นเมืองโบราณเล็กๆแห่งหนึ่งก็ไม่ผิด

“ ดีจริงๆที่ได้มาที่สำนักซิงเฉิน ถ้าเป็นสำนักชิงซานก็คงไม่มีอะไรแบบนี้แน่ ”

สายตาของ’เต้าหลิง’ก็มองไปรอบๆเขตการค้าขายที่ดูคึกคักเป็นอย่างมาก ก่อนคิดขึ้นในใจ มันอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือเขาเทพที่’เยว่อวิ้น’พูดถึง สถานที่เหล่านั้นเป็นแบบไหนกัน?

‘เต้าหลิง’ฉีกยิ้มขึ้นก่อนจะพูดว่า

“ เส้นทางของผู้แข็งแกร่งมันพึ่งจะเริ่มขึ้น ”

ผ่านเขตการค้าที่ดูคึกคักไป ก็จะมาถึงเขตฝึกฝน เขาวิญญาณแต่ละลูกโอบล้อมไปด้วยพลังที่เปี่ยมล้น เปล่งแสงสว่างออกมา เขาวิญญาณทุกๆลูกล้วนไม่ธรรมดา บางลูกก็อัดแน่นไปด้วยพลังที่เปี่ยมล้นอย่างยิ่ง และก็มีบางลูกที่มีขนาดใหญ่กว่าเขาวิญญาณลูกอื่นๆอยู่มาก

สถานที่ที่’เต้าหลิง’อยู่นั้น สามารถพูดได้ว่าเป็นถ้ำแห่งสวรรค์ เพราะว่ามันตั้งอยู่ด้านในสุด ทั้งยังติดกับแม่น้ำดาราที่เป็นหนึ่งในสถานที่ระดับสูงของสำนักซิงเฉิน ด้านบนนี้ก็มีคนอาศัยอยู่ ทว่าด้านบนสุดกลับไม่มีคนอยู่เลย เดาว่าคงจะไม่เปิดให้ใช้ ‘เต้าหลิง’ก็เดินมาจนถึงที่ป่าไม้สีม่วง

สายตาก็มองไปยังหอโบราณแห่งหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า

“ ไม่ว่าง ? ”

เพียงเห็นป้ายที่แขวนไว้หน้าห้อง ‘เต้าหลิง’ก็ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนมองไปรอบๆตัว ก็มั่นใจได้ว่าไม่ได้เดินมาผิดแน่ๆ จึงเคาะประตูดังปึงปึง   ‘เต้าหลิง’ยืนรออยู่ที่เดิมราวสิบช่วงหายใจ ประตูใหญ่สีทองแดงอมดำก็เปิดออก ปรากฏชายหนุ่มหนวด เครารุงรังเดินออกมา สายตามองไปยังผู้มาเคาะประตูด้วยแววตาเหี้ยมโหด ก่อนตะโกนออกไปว่า

“ บอกเหตุผลที่ดีที่สุดของเจ้ามา ! ”

หลังจากที่’หลินมู่’พูดจบ เส้นผมของมันก็ปลิวไสวอย่างรุนแรง ทั่วร่างระเบิดคลื่นลมพายุออกมา ป่าไม้ม่วง สั่นไหว มวลอากาศถูกบีบอัดจนระเบิดออก   ร่างกาย’เต้าหลิง’พลันหนักอึ้ง รู้สึกหายใจติดขัด ราวกับมีภูเขาขนาดใหญ่กดทับร่างมันอยู่

มันตะลึงพักหนึ่ง คนคนนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง เดาว่าคงจะมีพลังในขั้นซึมซับวิญญาณอยู่ในระดับสูงแน่ แม้แต่อัจฉริยะที่โดดเด่นอย่าง’หวังจวิ้นเฟย’ก็เทียบมันไม่ติดเลยซักนิด ‘หลินมู่’ตัดขาดจากโลกภายนอกมาได้เกือบสามเดือนแล้ว เพื่อเตรียมตัวสำหรับการทะลวงขั้นพลังย่อย

แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าจะถูกรบกวนเช่นนี้ ไม่โกรธก็คงแปลก

“ มีคนบอกให้ข้ามาที่นี่ ”

‘เต้าหลิง’หยิบเหรียญเงินออกมา พร้อมกับนำใบรับรองที่ได้มายื่นให้มันไป ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของ’หลินมู่’พลันบิดเบี้ยวทันที อยากจะจับมันฉีกร่างให้แหลกเป็นชิ้น แต่ทว่ามันก็มีใบรับรองมา หากลงมือไปคงไม่ดีแน่ สำนักซิงเฉินเองก็มีกฎเกณฑ์ ห้ามลงไม้ลงมือกับศิษย์ใหม่เป็นอันขาด

นัยน์ตาของมันกวาดมองไปที่’เต้าหลิง’ ก่อนจะส่งเสียงหึแล้วพูดขึ้นว่า

“ มาใหม่รึ ? ”

“ ใช่แล้ว ”

‘เต้าหลิง’ยักไหล่ขึ้น พร้อมกับพูดยิ้มๆ ‘หลินมู่’กำหมัด ก่อนพูดขึ้นว่า

“ รอก่อนเถอะ หลังจากนี้อีกสามเดือนข้าจะทำให้เจ้าออกไปจากที่นี่ เขา วิญญาณระดับสูงไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถใช้ได้ หึ ! ”

‘เต้าหลิง’ยิ้มแห้งๆ สายตามองดู’หลินมู่’ที่เดินจากไปอย่างสง่าผาเผย ในใจก็เข้าใจทุกสิ่งอย่างชัดเจน ห้องฝึก ระดับสูงแห่งนี้ตัวมันใช้ได้เพียงสามเดือนเท่านั้น และหลังจากนี้อีกสามเดือนก็จะมีคนมาท้าประลองสู้ ! นี่ก็คือกฎของสำนักซิงเฉินนั่นเอง หากไม่ขยันหมั่นเพียร ก็จะไม่ได้ฝึกฝนในเขาวิญญาณระดับสูง

และในทุกๆช่วงเวลาสามเดือนก็จะมีการประลองกันครั้งหนึ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องยอมรับให้ได้ และสามเดือนหลังจากนี้ก็จะมีคนจำนวนมากมาที่เขาวิญญาณระดับสูงทั้งสิบลูกนี้เพื่อท้าชิงเขา  โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนต้องเปลี่ยนมือ…

เขาวิญญาณระดับสูงนั้นเป็นสถานที่พิเศษ ความเร็วในการฝึกฝนจะเร็วกว่าเขาวิญญาณแบบทั่วไปสองสามนาที ดังนั้นมันจึงง่ายต่อการทะลวงขั้นพลังนั่นเอง ‘เต้าหลิง’ก็เดินเข้ามาด้านในห้องฝึก สายตาของมันก็กวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะนำกระเป๋าหนังสัตว์อสูรที่ ซ่อนอยู่ในช่องหน้าอกออกมา

ซึ่งกระเป๋าใบนี้เป็นกระเป๋าที่ขโมยมาจากวิหกขนเพลิง สามารถปกปิดพลัง ได้ ในตอนที่กระเป๋าหนังสัตว์อสูรถูกเปิดออกอย่างเบามือนั้น พลันปรากฏคลื่นพลังระเบิดออกมา ทั่วร่าง วิญญาณเตียวเปล่งแสงจ้า โดยรอบอัดแน่นไปด้วยพลังที่เปี่ยมล้น มันยังคงนอนหลับสนิท มวลอากาศ โดยรอบล้วนบิดเบี้ยว

‘เต้าหลิง’กล่าวอย่างตะลึงว่า

“ เจ้าตัวน้อยดูดซับพลังได้มากถึงขนาดนี้เชียวหรือ ในตอนที่มันตื่นขึ้นมาจะต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นซึมซับวิญญาณได้แน่ ภายภาคหน้ามันจะต้องแข็งแกร่งสุดๆ ! ”

วิญญาณเตียวสามารถหลอมรวมกับโลหิตเทพสัตว์อสูรได้’เต้าหลิง’คิดว่าภูมิหลังของวิญญาณเตียวต้องไม่ ธรรมดา รอมันตื่นขึ้นมาเสียก่อน ถึงตอนนั้นมันจะต้องสู้กับสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ได้แน่   หลังจากที่พาร่างของวิญญาณเตียวไปนอนในที่สบายๆแล้ว ‘เต้าหลิง’ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

ก่อนนำไผ่สีดำที่ เก็บมาได้เมื่อตอนกลางวันออกมา มันคิดว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา ไผ่สีดำปรากฏกลางนัยน์ตา บริเวณส่วนรากของมันปลดปล่อยพลังดูดกลืนออกมา หากมองดีๆจะเห็นได้ว่ามันกำลังดูดกลืนพลังฟ้าดินอยู่ !

“ ว่าแล้วเชียว ไผ่ดำนี้วิเศษ ! ”

‘เต้าหลิง’เม้มริมฝีปาก ก่อนพูดอย่างดีใจว่า

“ มูลค่าของมันน่าจะสูงกว่าผลทงหลิงเสียอีก ”

พืชธรรมดานั้นหลังจากที่ถูกดึงออกมาจากพื้นดินแล้วก็จะไม่สามารถดูดซับพลังได้ ทว่าไผ่ดำนี้กลับสามรถดูดซับพลังได้ นี่ก็อธิบายได้ว่ามันมีสติปัญญาแห่งวิญญาณ อีกทั้งขอแค่ไม่ตัดรากของมัน มันก็จะสามารถดูดซับพลังได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าของมันสูงยิ่งขึ้นไปอีก !

‘เต้าหลิง’เกาหัวสองสามครั้ง ก่อนใช้ฝ่ามือจับไปที่ไผ่ดำ กลางฝ่ามือปรากฏพลังเอ่อพรั่งพรูออกมา แล่นไหลเข้าสู่ลำต้นไผ่ดำ ปรากฏเสียงวิ้งดังขึ้น ไผ่ดำขึ้นเป็นเงาดำวาว พลันเปล่งแสงสีเขียวละลานตา พลังวิญญาณอันน่ากลัวตื่น ขึ้นจากส่วนในลำต้น ก่อนพุ่งทะลักออกมา ราวกับพายุขนาดมหึมาอย่างไรอย่างนั้น

เพียงอึดใจเดียว ‘เต้าหลิง’ก็รู้สึกว่าพลังในร่างถูกสูบไปกว่าครึ่งใหญ่ๆ ก่อนจะรีบปล่อยมันอย่างเบามือ นัยน์ตาแสนปีติมองไปยังวัตถุหนึ่งที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“ ล้ำค่ามาก ดูน่ากลัวกว่าหอคอยม่วงเสียอีก !   ”

ทุกส่วนของไผ่ดำแวววาว เปล่งแสงสีเขียวมรกตออกมา พลังของมันอ่อนนุ่ม ทว่ามันก็อันตรายมากเมื่อใช้ในการต่อสู้ ‘เต้าหลิง’คิดว่าหากถูกมันโจมตีใส่ซักเล็กน้อย ร่างของมันคงได้ขาดออกจากกันแน่   นอกจากนี้มันยังคิดว่าหากอยากจะใช้งานไผ่ดำให้ได้ประสิทธิภาพดี ก็คงต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นซึมซับวิญญาณเสียก่อน ตอนนี้มันยังมิอาจเร่งรัดใช้ไผ่ดำออกมาได้

“ และก็..มันยังดูดซับพลังต่อได้อีก ถึงตอนนั้นมันก็จะปรากฏเป็นรูปทรงวิญญาณขึ้น !  ”

‘เต้าหลิง’ขบริมฝีปากแน่น การสอบครั้งนี้มันได้ของมามากมาย แม้แต่ของล้ำค่าก็ได้มา ไผ่ดำนี้จะต้องเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งอย่างแน่นอน หลังจากเก็บไผ่ดำไปแล้ว ‘เต้าหลิง’ก็ปิดประตูห้องแล้วเดินออกมา แล้วแขวนป้ายคำว่า ‘ไม่ว่าง’ เอาไว้

ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปที่หอคอยทงหลิง

“ นั่นไง ศิษย์ใหม่ที่ติดลำดับหนึ่งในสิบ ”

มีคนชี้ไปที่’เต้าหลิง’แล้วพูดขึ้น ตามจริงพวกมันก็ไม่ได้สนใจอะไร’เต้าหลิง’อยู่แล้ว แม้ว่าพรสวรรค์ของ’เต้าหลิง’จะสูงส่ง แต่อัจฉริยะที่พวกมันเคยเจอส่วนใหญ่ก็ตายกันเรียบทั้งนั้น

“ เขาวิญญาณที่มันอยู่เป็นเขาระดับสูง ข้าว่าถึงตอนนั้นจะต้องมีคนจำนวนมากไปท้าชิงแน่ หลังจากนี้อีกสามเดือนคงครึกครื้นน่าดู ตอนนั้นข้าก็ว่าจะไปท้าชิงเสียหน่อย ”

“ เจ้าจะไหวรึ ข้าได้ยินมาว่า เจ้าเด็กนั่นพึ่งจะไปล่วงเกินศิษย์พี่หลินมู่มา พวกเจ้าอย่าหวังเลยดีกว่า ”

ได้ยินดังนั้นผู้คนโดยรอบต่างถอนหายใจออกมา ‘หลินมู่’เป็นยอดฝีมือ เขาวิญญาณที่มันเล็งเอาไว้ย่อมไม่มีใครแย่งไปได้ เพราะว่าคนที่แข็งแกร่งกว่ามันล้วนไปชิงเขาวิญญาณดึกดำบรรพ์กันหมดแล้ว !

เขาวิญญาณดึกดำบรรพ์เหล่านั้นล้วนเป็นสถานที่พิเศษอย่างมาก อัจฉริยะจากตระกูลขุนนางสมัยดึกดำบรรพ์ต่างๆล้วนมองกันตาเป็นมัน มีเพียงศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักซิงเฉินเท่านั้นถึงจะไปฝึกฝนที่นั่นได้ ได้ยินดังนั้น ‘เต้าหลิง’ก็เดินจากไปด้วยใบหน้ามืด มุ่งหน้าไปที่หอคอยทงหลิงอย่างเร่งรีบ

…. ภายในหอแห่งหนึ่งในสำนักซิงเฉิน สีหน้าของ’หวังจวิ้นอี้’ดูเคร่งเครียดจนน่าตกใจ ลิ่วล้อโดยรอบต่างมิกล้าส่งเสียงแม้แต่ลมหายใจออกมา เพราะว่าตอนนี้น้องชายของมันได้ตายไปแล้ว ตระกูลหวังเป็นตระกูลขุนนางระดับสูงของราชวงศ์กัน ทั่วทั้งทวีปชิงมีน้อยคนนักที่จะกล้าล่วงเกินพวกมัน

ครั้งนี้มีคนตายเกิดขึ้น เรื่องคงไม่จบง่ายๆแน่ หมัดของมันกำแน่นจนปรากฏเสียงกรอบแกรบดังขึ้น สายตาจ้องเขม็งไปที่’หวังย่า’แล้วพูดขึ้น

“ เจ้ามั่นใจนะว่าพี่ชายของเจ้ามีความแค้นกับคนในเขตสิบ? ”

‘หวังจวิ้นอี้’โกรธจนตัวสั่น ‘หวังจวิ้นเฟย’จะตายไปก็ช่างมัน แต่กำไลมิติที่ล้ำค่าอย่างยิ่งกลับหายไปด้วย ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอามันกลับคืนมาให้ได้ สีหน้า’หวังย่า’ดูย่ำแย่อย่างมาก หาก’หวังหลิ่ง’ถูก’เต้าหลิง’ฆ่าตายจริงๆ เดาว่ามันคงไม่ปล่อยนางไปแน่

ตอนนี้ก็คงต้องพึ่งพา’หวังจวิ้นอี้’หรือไม่ก็คนใหญ่คนโตเห็นจะเป็นการดีที่สุด เพราะว่านางเป็นคนสำคัญในตระกูลหวัง มีอำนาจกว้างใหญ่ การจะจัดการกับ’เต้าหลิง’เพียงคนเดียวเป็นเรื่องที่สบายมาก

“ ถูกต้อง เต้าหลิงคนนี้มันเป็นคนที่ชั่วร้ายมาก เมื่อหลายวันก่อนพี่ชายของข้าได้ผลึกหินฟ้ามาก้อนหนึ่ง มันก็เข้ามายุ่งด้วยตลอด ข้าเดาว่ามันจะต้องเป็นคนที่ขโมยผลึกหินฟ้าไปแน่ !  ”

‘หวังย่า’รีบพยักหน้า

“ ผลึกหินฟ้า ! ”

จิตใจ’หวังจวิ้นอี้’ลุกโชตช่วง มันเป็นของล้ำค่าที่จะต้องขุดขึ้นมาจากส่วนลึกของเหมืองโบราณเท่านั้น  จึงทำให้มูลค่าของผลึกหินฟ้าล้ำค่าสุดๆ มันไม่คิดเลยว่าไอ้เด็กนั่นจะมีผลึกหินฟ้าด้วย เพียงเห็น’หวังจวิ้นอี้’มีท่าทีที่ดูสนใจ ในใจ’หวังย่า’ก็ปลื้มปีติ ก่อนจะกล่าวสุมไฟเข้าไปอีกว่า

“ ที่สำคัญมันมีน้ำหนักถึงห้าจิน เดิมทีพี่ชายข้าก็คิดจะมอบมันให้ตระกูลหลังจากที่เข้าสำนักซิงเฉินได้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะถูกไอ้ขยะเต้าหลิงขโมยไปเสียก่อน ! ”

‘หวังจวิ้นอี้’แทบจะล้มลงกับพื้น หูอื้อไปหมด คำพูดด้านหลังของนางมันไม่ได้ยินแม้แต่น้อย นางพูดว่าอะไรนะ ? ผลึกหินฟ้าห้าจิน ! นี่เป็นของที่ล้ำค่าสุดๆ ผลึกหินฟ้าหนักห้าจินสามารถนำมาหลอมขึ้นเป็นเสื้อเกราะในได้ตัวหนึ่ง มูลค่าของมันไม่สามารถประเมินค่าได้

และยิ่งเป็นผลึกหินฟ้าทั้งก้อนยิ่งไม่ต้องพูดถึงมูลค่ามันเลย ! ของล้ำค่าชนิดนี้หากมีน้ำหนักถึงห้าจิน ก็จะนับได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่ยอดเยี่ยม สามารถทำไปหลอมเป็นอาวุธหรือชุดเกราะชั้นเยี่ยมได้ ผู้ที่แข็งแกร่งในยุคสมัยก่อนล้วนตาร้อนผ่าวเพราะมันมาแล้ว

“ ดีมาก จะได้สะสางเรื่องพร้อมกันเลย ! ”

‘หวังจวิ้นอี้’หัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น หากมันได้ผลึกหินฟ้ามา แล้วเอาไปมอบให้แก่ตระกูลคงจะได้หน้าไปไม่น้อย และก็จะเป็นผลดีต่อตัวมันด้วย ‘หวังย่า’เห็นดังนั้น หัวใจที่บีบรัดแน่นก็คลายออก หาก’หวังจวิ้นอี้’ลงมือล่ะก็ คงไม่ต้องหาซากของ’เต้าหลิง’แล้ว

“ พวกเจ้าไปจับตัวเต้าหลิงมาให้ได้ ข้าจะมีรางวัลให้อย่างงาม !  ”

‘หวังจวิ้นอี้’สะบัดมือออกไป ลิ่วล้อที่อยู่โดยรอบก็รีบถอยออกไปทันที พวกมันรู้ดีว่าของสิ่งนี้ล้ำค่ามากเพียงไหน

ขอเปลี่ยนจากคำว่า วิญญาณ เป็นภูตินะครับ เช่น สัตว์ภูติ ภูติเตียว เผ่าภูติ

_____________

อธิบายนิยายโลกนี้นะครับทุกอย่างจะอยู่ร่วมกันไม่ได้แบ่งแยก ครับ เช่น วิหกขนเพลิง มันล่าเหรียญเพราะมันเป็นผู้เข้าสอบครับ โดบส่วนตัวคิดว่ามันแปลงเป็นมนุษย์ได้

เพราะดูจาก หานเจียวที่กันเหยาฆ่า นั่นก็เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์แต่ยังเด็กอยู่ ผู้แต่งอธิบายว่ามันเป็นเด็กหนุ่มตัวฟ้ามีเขา มันอาจจะแปลงเป็นมังกรได้ก็ได้ เผ่า (รวมอยู่ด้วยกันได้ ไม่ได้แบ่งแยก)

ที่ปรากฏในตอนนี้ (ตอน31)สัตว์ดึกดำบรรพ์ ส่วนใหญ่พูดได้สัตว์เทพ (วิหกขนแดง)สัตว์ภูติ (ภูติเตียว)เผ่ายักษ์ (เต็มวัย สูง30เมตร)เผ่าภูติ

ที่มา:

(0 votes) 0/5
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments