I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Reverend Insanity / Gu Daoist Master ตอนที่ 8: สิ่งต่างๆไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีเพียงมนุษย์ที่เปลี่ยนไป

| Reverend Insanity / Gu Daoist Master | 1000 | 2367 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

 

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 8 สิ่งต่างๆไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีเพียงมนุษย์ที่เปลี่ยนไป

Tr. Coffee Prince

 

ใกล้ๆกับห้องเรียนเป็นสถานที่ที่ถูกเรียกว่าห้องโถงวิญญาณ มันเป็นห้องที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนักและมีพื้นที่เพียง 60 ตารางเมตรเท่านั้น

บนเส้นทางการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณ แน่นอนว่าวิญญาณก็คือหัวใจของความแข็งแกร่ง

ดังนั้นหลังจากเลิกเรียน เด็กหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นจึงเร่งร้อนไปยังห้องโถงวิญญาณแห่งนี้

“จัดแถวเรียงหนึ่งเข้ามา” เป็นปกติที่จะมียามรักษาการณ์เฝ้าระวังอยู่หน้าห้อง ดังนั้นเหล่าเด็กน้อยจึงสามารถเข้าไปได้เพียงทีละคนเท่านั้น และสุดท้ายแล้วมันก็มาถึงเวลาของฟางหยวนในที่สุด

ห้องนี้มีความแปลกประหลาดตรงที่บนกำแพงห้องถูกเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดแตกต่างกันอยู่เป็นจำนวนมาก บางช่องมีขนาดใหญ่เท่ากับหม้อทำอาหาร และบางช่องก็มีขนาดเพียงกำปั้นเท่านั้น

ภายในแต่ละช่อง วางไว้ด้วยภาชนะหลากหลายประเภท มีทั้งอ่างหินสีเทา จานหยกขาว กรงสีเขียว หม้อดิน หรือกล่องไม้ และพวกมันก็ถูกบรรจุไว้ด้วยจิตวิญญาณที่แตกต่างกันออกไปมากมายหลายหลากชนิด

วิญญาณบางดวงก็สงบนิ่ง บางดวงสั่นไหว บางดวงก็ส่งเสียงกรีดร้องอันแหลมสูงออกมา และบางดวงกระทั่งร้องเจี๊ยบๆราวกับลูกไก่ เสียงที่สอดประสานร้อยเรียงกันราวกับบทเพลงแห่งชีวิตดังสะท้อนอยู่ภายในห้องโถงวิญญาณแห่งนี้

“วิญญาณถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับเช่นเดียวกับหลักการขอบเขตของผู้ใช้วิญญาณ สำหรับวิญญาณทุกดวงในห้องนี้ พวกมันเป็นเพียงวิญญาณระดับ 1 เท่านั้น” ฟางหยวนจ้องมองไปรอบๆและตระหนักรู้ได้ในทันที

โดยทั่วไปแล้วผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งก็จะใช้ได้เพียงวิญญาณระดับหนึ่ง หากพวกเขาใช้วิญญาณระดับสูงกว่านี้ พวกเขาจำเป็นต้องจ่ายด้วยค่าตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากวิญญาณจำเป็นต้องได้รับอาหาร ดังนั้นวิญญาณระดับสูงจึงไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้ใช้วิญญาณระดับต่ำจะสามารถดูแลมันได้

วิญญาณดวงแรกของผู้ใช้วิญญาณเป็นสิ่งสำคัญ มันจะเชื่อมต่อเข้ากับชีวิตและจิตวิญญาณของคนผู้นั้น สุดท้ายแล้วหากมันแตกดับไป ร่างต้นของมันจะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก

“เฮ้อ…ความตั้งใจของข้าคือครอบครองวิญญาณสุราร่ำร้องและปรับแต่งให้มันเป็นวิญญาณดวงแรกของข้า แต่ตอนนี้ข้ายังไม่พบสุสานของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ ข้าไม่รู้เลยว่าข้าจะได้เจอมันหรือเป็นผู้อื่นที่จะพบมันก่อนหน้า ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ข้าควรเลือกวิญญาณแสงจันทร์เอาไว้ก่อน” ฟางหยวนถอนหายใจขณะที่เดินตรงไปยังกำแพงด้านซ้ายมือ

หนึ่งในชั้นบนสุดของผนัง ช่องสี่เหลี่ยมวางไว้ด้วยถาดสีเงินที่งดงามใบหนึ่ง แน่นอนว่าภายในถาดใบนี้ถูกบรรจุไว้ด้วยจิตวิญญาณดวงหนึ่ง

จิตวิญญาณดวงนี้มีลักษณะเป็นผลึกรูปจันทร์เสี้ยวที่ส่องประกายแสงสีฟ้าอ่อนออกมา มันดูเงียบสงบ เยือกเย็น และให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

มันถูกรู้จักกันในนามของวิญญาณแสงจันทร์และเป็นวิญญาณประจำตระกูลที่เหล่าผู้อาวุโสส่วนใหญ่มักจะเลือกมันเป็นวิญญาณหลักของตน อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่วิญญาณที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่เป็นวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีลับบางอย่างของตระกูลแสงจันทร์ มันจึงกล่าวได้ว่าวิญญาณแสงจันทร์ไม่สามารถหาได้จากที่ใด และมันก็เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลแสงจันทร์อย่างแท้จริง

เมื่อมันเป็นวิญญาณแสงจันทร์ระดับหนึ่งทั้งหมด ความแตกต่างของมันจึงมีอยู่น้อยมาก ดังนั้นฟางหยวนจึงเพียงสุ่มเลือกมันมาดวงหนึ่งอย่างมิได้ใส่ใจมากนัก มันมีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือและดูราวกับจี้อัญมณีที่บอบบางชิ้นหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่มันอยู่บนฝ่ามือของฟางหยวน เขาจ้องมองและตรวจสอบมันอย่างละเอียด

สุดท้ายเมื่อเขาไม่พบสิ่งผิดปกติใด เขาจึงได้โยนมันเข้าไปในกระเป๋าของเขาก่อนจะเดินออกจากห้องโถงวิญญาณแห่งนี้ไปอย่างรวดเร็ว

นอกห้องยังมีเด็กหนุ่มสาวยืนรออยู่อีกเป็นจำนวนมาก เมื่อเด็กคนถัดไปเห็นฟางหยวนเดินออกมา เขาจึงรีบเข้าไปในห้องโถงวิญญาณด้วยความตื่นเต้นและเร่งร้อน

หากเป็นผู้อื่นเมื่อพวกเขาได้รับวิญญาณดวงแรกมา พวกเขาก็จะรีบกลับบ้านเพื่อไปปรับแต่งมันอย่างรวดเร็วที่สุด แต่สำหรับฟางหยวน เขาไม่รีบร้อนทำเช่นนั้น เพราะความคิดเดียวที่อยู่ภายในหัวของเขาก็คือ วิญญาณสุราร่ำร้อง

วิญญาณสุราร่ำร้องมีค่ามากเมื่อเทียบกับวิญญาณแสงจันทร์ แม้ว่าวิญญาณแสงจันทร์จะเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อผู้ใช้วิญญาณมากเท่ากับวิญญาณสุราร่ำร้อง

หลังจากที่เขาออกจากห้องโถงวิญญาณ เขาก็ตรงไปยังโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งในทันที

“เถ้าแก่ เอาเหล้ามาสองไห” ฟางหยวนคว้าหินวิญญาณในกระเป๋าออกมาและวางลงบนโต๊ะ

หลายวันนี้เขามาซื้อสุราที่นี่จากนั้นจึงเดินออกไปนอกหมู่บ้านเพื่อดึงดูดให้วิญญาณสุราร่ำร้องปรากฏตัวขึ้น เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยใบหน้ามันเยิ้ม และหลังจากที่ฟางหยวนมาซื้อสุราที่นี่อยู่หลายวัน เถ้าแก่ผู้นี้จึงสามารถจดจำเขาได้ในที่สุด

“นายน้อย ท่านมาแล้ว” ในขณะที่เขาทักทายฟางหยวน เขาก็ยื่นมือออกมาหยิบหินวิญญาณที่วางอยู่บนโต๊ะไปอย่างคล่องแคล่ว ด้วยการขยับมือเล็กน้อย เขาก็ตระหนักได้ว่ามันมีน้ำหนักที่ถูกต้อง ดังนั้นรอยยิ้มกว้างจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเถ้าแก่ผู้นี้อย่างช่วยไม่ได้

หินวิญญาณเป็นสกุลเงินที่ใช้กันใบโลกใบนี้ มันสามารถใช้แลกซื้อสิ่งของได้ทุกชนิด ในเวลาเดียวกันมันก็บรรจุไว้ซึ่งพลังงานแห่งสวรรค์พิภพที่สามารถช่วยเหลือการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณให้สูงขึ้นได้อีกด้วย

เนื่องจากมันมีมูลค่าทางการเงินและมีประโยชน์กับผู้บ่มเพาะ ดังนั้นมันจึงมีค่าราวกับทองคำที่เป็นมาตรฐานของโลกมนุษย์ในชีวิตก่อนหน้าของฟางหยวน แต่หากเปรียบเทียบกับทองคำ หินวิญญาณยังเป็นบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่ามากนัก อย่างไรก็ตามด้วยการใช้จ่ายหินวิญญาณเช่นนี้อย่างต่อเนื่องมาหลายวัน ไม่ว่าฟางหยวนจะมีหินวิญญาณมากมายสักเพียงใดมันก็ไม่มีวันเพียงพอสำหรับเขา

“สองไหทุกวันตลอด 7 วันที่ผ่านมา มันทำเอาเงินออมทั้งหมดของข้าแทบจะหมดลงแล้ว” ฟางหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่เดินออกมาโรงเตี้ยมพร้อมกับสุราในมือ

เมื่อคนผู้หนึ่งกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณ พวกเขาจะใช้หินวิญญาณเพื่อทะนุบำรุงทะเลวิญญาณของพวกเขา ดังนั้นสำหรับผู้ใช้วิญญาณ หินวิญญาณถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ใช่เพียงแค่เงินเท่านั้น แต่เป็นบางสิ่งที่ช่วยยกระดับการบ่มเพาะของพวกเขาได้ มันกระทั่งสามารถแก้ปัญญาขีดจำกัดของผู้ที่มีพรสวรรค์ต่ำชั้นได้อีกด้วย มันจึงถือเป็นสมบัติที่มีคุณค่าสำหรับพวกเขาอย่างแท้จริง

“ข้าไม่มีหินวิญญาณเหลือพอที่จะซื้อสุราในวันพรุ่งนี้อีกแล้ว หากวิญญาณสุราร่ำร้องยังไม่ปรากฏตัวออกมา ข้าคงต้องใช้วิญญาณแสงจันทร์เป็นวิญญาณหลักดวงแรกของข้าจริงๆ” ฟางหยวนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

ขณะที่เขาเดินไปพร้อมกับไหสุราในมือ เขาเริ่มตระหนักถึงบางสิ่ง “อาจารย์ผู้นั้นกล่าวว่า บุคคลแรกที่สามารถปรับแต่งวิญญาณหลักดวงแรกของตนเองสำเร็จจะได้รับรางวัลเป็นหินวิญญาณ 20 ก้อน ตอนนี้ข้าคิดว่าหลายคนคงกำลังพยายามปรับแต่งมันอยู่ที่บ้านเพื่อแข่งขันกันเป็นอันดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่การปรับแต่งจำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์ของตนเอง ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงกว่าก็จะได้เปรียบมากกว่า ดังนั้นด้วยพรสวรรค์นภาที่ 3 ของข้า มันจึงไม่มีความหวังที่จะชนะแม้แต่น้อย”

เป็นเวลานี้เองที่ฟางเจิ้งตะโกนเรียกเขามาจากด้านหลัง “พี่ใหญ่! ท่านไปโรงเตี้ยมและซื้อเหล้ามาจริงๆ ตามข้ามา! ท่านลุงกับท่านป้าต้องการพบท่าน”

ฟางหยวนหันหน้ากลับไปมองเพื่อพบว่าขณะนี้น้องชายของเขาไม่ได้ก้มหน้าอีกต่อไปแล้วในเวลาที่เขาพูด และพวกเขาก็กำลังยืนจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ในขณะนี้

สายลมพัดผ่านและพัดพาให้เส้นผมของฟางผู้พี่พลิ้วไหวขึ้นสู่อากาศ ในขณะเดียวกันชุดคลุมของฟางผู้น้องก็โบกสะบัดไปรอบๆ

เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ มนุษย์กลับสามารถเปลี่ยนไป

หนึ่งสัปดาห์หลังพิธีเผยลิขิตสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับคู่พี่น้อง ฟางผู้พี่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์ ชื่ออัจฉริยะถูกลบออกไปอย่างไร้ความปรานี ขณะที่ฟางผู้น้องเริ่มเบ่งบานและกลายเป็นดาวดวงใหม่อย่างช้าๆ

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับฟางเจิ้ง มันเขย่าโลกทั้งใบของเขา เพราะในที่สุดเขาก็ได้รับประสบการณ์เดียวกันกับผู้เป็นพี่ชาย ความรู้สึกที่ทุกคนคาดหวังในตัวเขา ความรู้สึกอิจฉาที่ผู้คนจ้องมองเขา มันทำให้เขารู้สึกราวกับถูกฉุดดึงขึ้นมาจากความมืดมิดและถูกยกขึ้นวางไว้บนก้อนเมฆที่สว่างไสวไปด้วยแสงอาทิตย์ ทุกวันที่เขาตื่นขึ้นมา เขาจะรู้สึกว่าตนเองราวกับยังอยู่ในห้วงความฝัน ความแตกต่างของชีวิตก่อนหน้าและในขณะนี้มันเป็นเหมือนกลางวันกับกลางคืนที่ทำให้เขาแทบไม่กล้าเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่คุ้นเคยกับมันมากนัก

มันยังค่อนข้างยากที่จะปรับตัว

เพียงระยะเวลาสั้นๆ ผู้คนกลับจ้องมองมาที่เขาตลอดเวลา บางครั้งเมื่อฟางเจิ้งเดินอยู่ตามเส้นทางในหมู่บ้าน เขาก็จะได้ยินผู้คนพูดถึงเขาด้วยความยกย่องสรรเสริญ เวลานั้นใบหน้าของเขามักจะร้อนขึ้นและสูญเสียการควบคุมร่างกายไปอย่างสิ้นเชิง

หลายวันผ่านไปในที่สุดพลังงานของเขาก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น พลังงานบางอย่างที่เรียกว่า ความมั่นใจ ปรากฏขึ้นภายในหัวใจของเขา

“นี่คือสิ่งที่พี่ใหญ่เคยสัมผัสมาก่อน ทั้งงดงามและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน”

เขาไม่สามารถหยุดคิดได้ว่าพี่ชายของเขารับมือกับการจ้องมองของผู้คนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร?

จากนั้นเขาก็เริ่มเลียนแบบพี่ชายของเขาโดยไม่แยแสต่อผู้ใดทั้งสิ้น แต่สุดท้ายเขากลับพบว่ามันไม่เหมาะกับคนเช่นเขา บางครั้งเสียงตะโกนของหญิงสาวในห้องเรียนก็ทำให้เขาหน้าแดงอย่างง่ายดาย หรือแม้แต่บนท้องถนนเมื่อหญิงรุ่นใหญ่เรียกชื่อเขา เขากระทั่งต้องวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

เขาราวกับเป็นเด็กวัยหัดเดินที่สะดุดหกล้มอยู่ตลอดเวลา แต่ระหว่างที่เขาเริ่มต้นทำความคุ้นชินกับชีวิตใหม่ เขาก็ยังคงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชายของเขาอยู่เสมอ เช่น ตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้า กลายเป็นคนขี้เมา ไม่กลับบ้านตอนกลางคืน หรือหลับในชั้นเรียน

เขารู้สึกตกใจมากที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ ปกติแล้วพี่ชายของเขาเป็นคนเข้มแข็งและถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ แล้วเขากลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

แต่เพียงไม่นานเขาก็เริ่มเข้าใจ พี่ชายของเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง การเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้เป็นบางสิ่งที่ทำให้ผู้คนสะเทือนใจ ด้วยความคิดนี้ ฟางเจิ้งจึงลอบรู้สึกมีความสุขอยู่ภายในหัวใจ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่กล้ายอมรับ แต่มันก็ยังคงมีอยู่จริง

พี่ชายของเขาเป็นอัจฉริยะที่สร้างเงามืดปกคลุมตัวเขาและมันก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่และท้อแท้มาตลอด

อย่างไรก็ตามขณะนี้ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาเป็นผู้ที่โดดเด่นและนี่คือความจริงแท้ที่สุด

ดังนั้นเมื่อเขาเห็นฟางหยวนถือไหสุราไว้ในมือ ผมเผ้ารุงรังและสวมเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อย ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกโล่งอกและหายใจสะดวกขึ้นมาในทันที “พี่ใหญ่ ท่านต้องหยุดดื่มเหล้า ท่านอย่าได้ทำตัวเยี่ยงนี้ ท่านไม่คิดบ้างเลยหรือว่าผู้อื่นจะกังวลห่วงใยต่อตัวท่านอย่างไรบ้าง? ท่านพี่! ตื่นได้แล้ว!”

ฟางหยวนไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาจ้องมองน้องชายของเขาอย่างไร้อารมณ์ใดๆทั้งสิ้น

ในขณะที่ดวงตาของฟางเจิ้งส่องประกายอันแหลมคมออกมาเชือดเฉือนผู้ที่เขาจ้องมอง ตรงกันข้ามกับดวงตาคู่สีดำของฟางหยวนที่ไร้อารมณ์และลึกลับราวกับบ่อน้ำที่ลึกลงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ด้วยดวงตาเช่นนี้ช่วยไม่ได้ที่ฟางเจิ้นจะรู้สึกถึงความกดดัน เขาเริ่มรู้สึกประหม่าและเบือนสายตาหลบไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

แต่เมื่อเขารู้ตัวเขากลับรู้สึกโกรธ เขาโกรธตัวเขาเอง

‘เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า? เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าพี่ชายของเจ้าโดยตรงเช่นนั้นหรือ?’

‘ไม่! ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว’

ด้วยความคิดนี้ ดวงตาของเขาจึงกลับมาแหลมคมและจ้องมองไปยังพี่ชายของเขาอีกครั้ง แต่ฟางผู้พี่กลับไม่ได้มองเขาอีกต่อไป ฟางหยวนเพียงถือไหสุราในมือและเดินผ่านฟางผู้น้องไปพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “เจ้ายังงุ่มง่ามอันใดอยู่อีก ไปเถอะ”

ลมหายใจของฟางเจิ้งกลายเป็นปั่นป่วน หัวใจของเขาไม่สามารถผ่อนคลายได้ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

แต่เมื่อเห็นพี่ชายของเขาเดินห่างออกไป เขาจึงทำได้เพียงเร่งฝีเท้าตามไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามศีรษะของเขาไม่ได้ก้มลงอีกต่อไปแล้ว ตรงข้ามเขาเงยหน้าขึ้นรับแสงสว่างที่สาดส่องมาที่เขาในขณะที่เดินตามฟางหยวนไปดังเช่นในอดีต…..สิ่งต่างๆไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เปลี่ยนไป

 


ติดตามความเคลื่อนไหวที่เร็วกว่าได้ที่เฟสบุ๊ค นิยายฆ่าเวลา >>


 

 

(0 votes) 0/5
ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments