ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป‘ชูเฟิง’ อยู่ภายในสระแก่นวิญญาณ เขาใช้เทคนิคพิเศษในการดูดซับพลังวิญญาณ พลังของสระที่พุ่งพล่านนั้น ถูกดูดซับโดย ‘ชูเฟิง’ อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เขาดูดซับพลังงานอันไร้ขีดจำกัดอยู่นั้น เขาได้ก้าวเขาสู่ระดับ 8 และเขายังคงดูดซับพลังงานอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดเขาก็เข้าสู่ระดับ 9 ขั้นกำเนิดวิญญาณ
ในขณะนั้น เขามีความสุขอย่างมาก ด้วยพลังที่มหาศาลของสระแก่นวิญญาณ เขาจึงมีความหวังที่จะทะลวงขึ้นสู่ขั้นแก่นวิญญาณ
แต่ความหวังของเขาก็พังทลายลง เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับ 9 แล้วนั้น เขาพบว่าพลังงานของสระแก่นวิญญาณลดลง และค่อยๆ จางหายไป
“อืมมม…”
‘ชูเฟิง’ เปิดตาของเขาออก พร้อมทั้งกระจายพลังวิญญาณของเขาออกเพื่อตรวจสอบ และเขาก็ต้องประหลาดใจเพราะว่า พลังวิญญาณของสระแก่นวิญญาณนั้นไม่ได้ลดลง แต่ยังคงแข็งแกร่งและมีปริมาณมหาศาลเช่นเดิน แต่เขาไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณจากมันได้อีก
“เจ้าหนุ่ม !! ร่างกายของเจ้า เป็นร่างเทพเจ้าใช่มั้ย !?”
ในขณะนั้น ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า ที่ยืนอยู่เหนือสระแก่นวิญญาณ ก็มองมาที่ ‘ชูเฟิง’ พร้อมทั้งถามขึ้น
“ท่านผู้ก่อตั้ง ท่านหมายความว่าอย่างไร ??”
ในตอนนั้ย ‘ชูเฟิง’ รู้สึกประหลาดใจและสับสน เนื่องจาก ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า คาดคิดว่าเขามีร่างกายเทพเจ้า แต่ทำไมเขาจึงไม่สามารถดูดซับพลังงานจาก สระแก่นวิญญาณ ได้ ทั้งๆ ที่ภายในสระยังคงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ
“สระแก่นวิญญาณ นั้นเป็นสิ่งที่พิเศษมาก ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังงานที่มากมายมหาศาล แต่คนหนึ่งคน สามารถดูดซับพลังงานจากมันได้อย่างจำกัด”
“โดยปกติ หากผู้ที่ดูดซับพลังงานนั้น ไม่ได้มีควาสามารถสูง หรือไม่มีความเข้าใจต่อพลังวิญญาณนั้น พวกเขาสามารถดูดซับพลังงานจากระดับ 1 ขั้นกำเนิดวิญญาณ และพัฒนาจนถึงขีดสุดของขั้นแก่นวิญญาณ”
“แน่นอนว่ามันย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน บางคนอาจใช้เวลานานเป็นสิบปี หรือบางคนอาจใช้เวลาเพียงปีเดียว หรืออาจจะน้อยกว่านั้น”
“เจ้าหนุ่ม !! มันชัดเจนมากจากสิ่งที่ข้าเห็น เจ้าเป็นคนที่ดูดซับพลังงานได้รวดเร็วที่สุด เจ้าดูดซับพลังงานในปริมาณที่คนอื่นๆ ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี ในการดูดซับ”
“วิธีการดูดซับที่น่ากลัวเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากพรสวรรค์เท่านั้น แม้เจ้าจะมีเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่ดีเยี่ยมแค่ไหนก็ตาม เจ้าก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้น จึงหมายความว่า เจ้ามีร่างกายเทพเจ้า และเมื่อเจ้ากระโดดลงไปในสระ ร่างกายของเจ้าจึงทำการดูดซับ และสกัดพลังงานบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายของเจ้าโดยอัตโนมัติ ข้าคิดว่าข้าน่าจะคาดไม่ผิด”
ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า ยิ้มให้กับ ‘ชูเฟิง’ พร้อมทั้งวิเคราะห์ออกมา
“ท่านผู้ก่อตั้ง ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ร่างกายของข้านั้น เป็นร่างกายเทพเจ้า ตราบใดที่มีทรัพยากรที่เพียงพอ การบ่มเพาะพลังวิญญาณของข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และในหนึ่งปีท่านผ่านมา ข้าก็พัฒนามาได้เพราะร่างกายเทพเจ้านี่”
“อย่างไรก็ตาม ยิ่งการบ่มเพาะพลังของข้ายิ่งสูงขึ้น ทรัพยากรที่ต้องใช้ก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และก็เป็นดังที่ท่านกล่าว ข้าสามารถดูดซับพลังในปริมาณที่คนอื่นๆ ต้องใช้เวลาถึงสิบปีในการดูดซับ และพลังงานทั้งหมดนั่นเป็นพลังงานบริสุทธิ์”
“คนอื่นๆ สามารถดูดซับพลังงานจนก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของขั้นแก่นวิญญาณได้ แต่ด้วยราางกายของข้านั้นมันจึงพัฒนาจากระดับ 7 มาระดับ 9 ขั้นกำเนิดวิญญาณเท่านั้น”
ในตอนนี้ ‘ชูเฟิง’ ไม่ได้ปิดบังอะไรอีก และเขาก็ยอมรับเรื่องร่างกายเทพเจ้าของเขา
นี่เป็นครั้งแรก เมื่อเขาต้องอยู่ต่อหน้า ผู้ก่อตั่งสำนักมังกรฟ้า ผู้ซึ่งมีประสบการณ์มากมาย จึงยากที่จะปิดบังสิ่งต่างๆ ให้รอดพ้นจากสายตาของเขา
นอกจากนี้ เนื่องจากผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า ยังเต็มใจที่จะช่วยเขาในการบ่มเพาะพลังวิญญาณ เขาจึงคาดหวังกับผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าไว้สูงมาก และเมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจึงจะสามารถเข้าไปเอาทรัพยากรต่างๆ ในสุสานจักรพรรดิ์ได้
“อะไรก็ตาม เมื่อมันมีข้อดี มันย่อมจะมีข้อเสียตามมา บนเส้นทางของการบ่มเพาะพลังวิญญาณ มีข้อห้าอย่างหนึ่ง คือการเร่งการบ่มเพาะพลัง เพื่อให้พัฒนาขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้วิธีลัดต่างๆ ยาขั้นแก่นวิญญาณจำนวนมากๆ หรือทรัพยากรอื่นๆ มันย่อมทำให้การบ่มเพาะพลังวิญญาณก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว แต่มันย่อมมีผลข้างเคียงที่อันตรายที่จะต้องเผชิญในอนาคต”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าจะไม่ถูกจำกัดด้วยข้อผูกมัดเหล่านี้ เจ้าสามารถใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างอิสระ และจะไม่ได้รับข้อเสียเหล่านั้นตามมา นี่เป็นข้อดีของเจ้า ที่คนอื่นไม่มี”
“อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต้องการเพิ่มพลังการบ่มเพาะของเจ้า เจ้าจะต้องแลกกับสิ่งที่มากกว่าในส่วนของผู้อื่น ไม่ว่าวิธีการนั้นจะดี หรือไม่ดี ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง”
ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า กล่าวอธิบายพร้อมทั่งยิ้มออกมา
“ข้าเข้าใจ”
‘ชูเฟิง’ พยักหน้ารับ เขาเข้าใจในคำพูดทั้งหมด และเข้าใจถึงความหมายที่แอบแฝงมาในคำพูดนั้น
ความหมายในคำพูดเหล่านั้น คือ ‘ชูเฟิง’ ซึ่งมีร่างกายเทพเจ้านั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ดี หรือไม่ดี ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีนั้น ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับความสามารถของ ‘ชูเฟิง’ และเขายังบอกอีกว่า เขาจะไม่ให้ทรัพยากรในการบ่มเพาะแก่ ‘ชูเฟิง’ อีก ทั้งนี้ทั้งนั้รก็ขึ้นอยู่กับ ‘ชูเฟิง’ อีกเช่นกัน
“ชูเฟิง เจ้าเป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณ เจ้าไม่สงสัยบ้างรึ ว่าหลังจากที่ข้าตายไปแล้ว แต่ทำไมจิตวิญญาณของข้ายังคงอยู่”
ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้ายิ้มออกมา พร้อมทั้งกล่าวถาม
“ท่านผู้ก่อตั้ง ท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงส่ง ท่านอาจจะมีเทคนิคพิเศษ จึงทำให้ท่านมีชิตที่ยืนยาว และจิตวิญญาณของท่านจึงไม่ดับสูญ”
‘ชูเฟิง’ กล่าวตอบด้วยความเคารพ
“ฮ่าๆ…มีชีวิตที่ยืนยาว จนทำให้จิตวิญญาณไม่ดับสูญอย่างนั้นรึ เจ้าอย่าได้ประเมินข้าสูงเกินไป บนเส้นทางของการบ่มเพาะพลังนั้น เมื่อถึงขอบเขตบางอย่าง จะทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวได้มากขึ้น”
“อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นผลที่เกิดจากการทะลวงเข้าสู่ขั้นเทพสงคราม และขอบเขตของอายุที่จะเพิ่มขึ้นนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนไป”
“โดยปกติ เทพสงครามจะมีอายุยืนยาวกว่าคนทั่วไปร้อยปี หากว่าข้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเทพสงครามได้ ซึ่งจริงๆ แล้วข้าไม่สามารถทะลวงไปได้นั้น จิตวิญญาณของข้าคงดับสูญไปกว่าสองร้อยปีแล้ว”
“อย่างไรก็ตาม ชูเฟิง มันก็จริงอย่างที่เจ้ากล่าว ข้ามีวิธีการพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้จิตวิญญาณของข้าไม่ดับสูญไป มันเป็นผลมาจากสมบัติที่ข้าได้มากจากสุสานจักรพรรดิ์”
ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า กล่าวพร้อมทั้งยิ้มออกมา และเดินเข้าไปตามทางเดินลึก ภายในห้องโถงใหญ่นั่น เมื่อเห็นเช่นนั้น ‘ชูเฟิง’ จึงรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินเข้าไปได้สัก ห้าพันเมตร ก็มีโลงคริสตัลสวยงามปรากฏตรงหน้าของพวกเขา ภายในโลงคริสตัลนั้นมีร่างๆ หนึ่งนอนอยู่
ใบหน้าของร่างนั้นเหมือนกับผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า แต่ร่างนั้นเป็นร่างที่ไร้จิตวิญญาณ หลังจากผ่านมากว่าพันปี ร่างกายของผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า ยังคงสมบูรณ์และไม่เสียหายแต่อย่างใด
“ชูเฟิง ดูไข่มุกนั่น มันน่าจะทำให้ร่างกายของเขาไม่เน่าเปื่อย และจิตวิญญาณของเขาไม่ดับสูญไป”
‘ต้านต้าน’ ออกความคิด
ในทันที ‘ชูเฟิง’ ก็พบไข่มุกที่มีขนาดใหญ่เท่าไข่ไก่ในมือของ ผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้า และพลังวิญญาณที้ปกคลุมโลงคริสตัลก็ออกมาจากไข่มุกนั่น
“สมบัติที่ข้าได้มาจากสุสานจักรพรรดิ์นั้น ทำให้ร่างกายของข้าไม่เน่าป่วย และจิตวิญญาณของข้ายังไม่จางหายไป มันนับเป็นสมบัติอย่างแท้จริง”
“แต่ไม่ว่าสมบัติจะวิเศษแค่ไหน ในอีกร้อยปี จิตวิญญาณของข้าก็จะจางหายไป และร่างกายของข้าก็จะเน่าเปื่อยลง ไม่ว่าจะใช้ของวิเศษอื่นใด ข้าก็จะตายลงอย่างแท้จริงในอีกไม่ช้า”
“ดังนั้น ชูเฟิง เหตุผลที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่ เพราะข้ามีคำขอที่จะขอจากเจ้า”
ในขณะนั้น แววตาของผู้ก่อตั้งสำนักมังกรฟ้าที่ช้องมองไปยัง ‘ชูเฟิง’ ก็เต็มไปด้วยความขอร้อง
ผู้แปล โดยคุณ#
ที่มา: