ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปผู้แปล : Hyaku man
เมื่อพวกเขาถูกอัญเชิญมายังต่างโลกโดยเจ้าหญิงและได้รับคำไหว้วานให้ช่วยโลกนี้ด้วย บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไปทันที มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถช่วยได้ แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธ ในขณะที่พวกเขาอยู่ในภาวะตกใจมากกว่าจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด ‘ไทเทเนีย’ก็เอ่ยถามอย่างวิตก
ไททาเนีย:
” ขอโทษที่กะทันหันค่ะ ไม่ทราบว่าคนไหนคือท่านผู้กล้าคะ?”
เรอิจิ:
“อืม … “
มิซึกิ:
“คือว่า… “
คำถามนี้มัน ‘เรอิจิ’ กับ’มิซึกิ’สบตากันด้วยใบหน้าที่ไม่สบายใจ มันยากที่จะเชื่อว่าหนึ่งในพวกเขานั้น คือ ผู้กล้า เดิมที่พวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา ถ้าถามพวกเขา
” คุณเป็นผู้กล้าใช่มั้ย “
แน่นอนพวกเขาก็จะตอบว่า
” ฉันไม่ใช่ผู้กล้า”
ดังนั้น มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถามคำถามนั้นกับพวกเขา เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตรงกันข้ามกับ’ซุยเมอิ’ เขาต้องการข้อมูลจากคนที่เรียกพวกเขามาจึงเอ่ยถาม
“ฉันขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย?”
ไทเทเนีย:
“อ่ะ เชิญค่ะ”
ซุยเมอิ:
“พวกคุณเรียกเราว่าผู้กล้า- แล้วมีสัญลักษณ์อะไรมายืนยันมั้ย?”
ไทเทเนีย:
“สัญลักษณ์ของผู้กล้า เหรอคะ?”
ซุยเมอิ:
“ใช่ “
หลังจากนั้น’ไทเทเนีย’ได้หันไปมองอย่างเงียบๆ ‘เฟลเมเนีย’พยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองทั้งสามคน
เฟลเมเนีย:
” มีกล่าวเอาไว้ว่า ผู้กล้าที่ถูกเรียกมาโดยพิธีอัญเชิญจากอีกโลกหนึ่งจะได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า ธรรมชาติและพลังอันยิ่งใหญ่นั้นถูกเก็บไว้ในร่างกายของเขา มีใครที่เป็นแบบนั้นบ้าง? “
” ถ้าเป็นอย่างนั้น คิดว่าเป็นผม หลังจากที่ผมมาที่นี่ ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีพลังทะลักออกมาจากข้างใน “
‘เรอิจิ’ ตอบ ทหารที่อยู่รอบๆก็เริ่มซุบซิบกัน มีพลังปรากฏขึ้นข้างในตัวเขา อย่างไรก็ตาม ทั้ง’มิซึกิ’และ’ซุยเมอิ’ต่างก็ไม่มีพลังอะไรแสดงตัวออกมา หรือว่ามันจะ…..
“จากธรรมชาติสินะ”
‘ซุยเมอิ’พึมพำกับตัวเอง น่าสงสัยของแรงจูงใจที่แท้จริงของพวกเขา องค์ประกอบ ธรรมชาติในโลกนี้อาจแบ่งเป็น 4 หรือ 5 ธาตุหลัก : ดิน น้ำ ไฟ และลม นอกจากนั้น เวทมนตร์ ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นอีกเช่นกัน
เมื่อได้ยิน ‘เฟลเมเนีย’คิดว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น รากฐานของความเชื่อในวิญญาณคือหลักการของเวทมนตร์ แม้ว่าเวทมนตร์ทางจิตวิญญาณจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เธอก็ยังคิดว่ามันมีอะไรแปลกๆ อาจจะเป็นเวทมนตร์ที่เธอไม่รู้จัก
ไทเทเนีย:
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือท่านผู้กล้าสินะคะ?”
เรอิจิ:
” เอ่อ … ก็คงงั้นล่ะมั้งครับ”
ในขณะที่’ซุยเมอิ’กำลังคิด ‘ไทเทเนีย’ก็มองไปที่’เรอิจิ’ด้วยความปิติยินดีเป็นล้นพ้น เธอคิดถึงแผนการที่จะสานสัมพันกับเขา นอกจากนี้แล้วเขายังหน้าตาดีและดูเป็นสุภาพบุรุษอีกด้วย
‘เรอิจิ’มอง’ไทเทเนีย’ด้วยความรู้สึกงุนงง และแล้ว’ไทเทเนีย’ก็เข้าไปจับมือของ’เรอิจิ’ไว้ทันที
ไทเทเนีย:
“ท่านผู้กล้า ได้โปรดช่วยเราด้วยนะค่ะ”
เรอิจิ:
“เอ๋ !?”
เฟลเมเนีย:
“อะ องค์หญิง ….”
เหตุการณ์อย่างกะทันหันแม้แต่’เฟลเมเนีย’เองก็คาดไม่ถึง เธอตะโกนเรียก’ไทเทเนีย’ด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ไทเทเนีย:
“ขะ ขอโทษด้วยค่ะ ท่านผู้กล้า โปรดยกโทษให้กับความหยาบคายของฉันด้วยค่ะ หลังจากนี้ท่านพ่อของฉันจะเป็นคนอธิบายให้เองได้โปรดตามฉันไปที่ท้องพระโรง”
เรอิจิ:
“อืม เข้าใจแล้วครับ.”
ไทเทเนีย:
“เชิญทางนี้ค่ะ ฉันจะเป็นคนนำทางไปเอง”
จบคำของ’ไทเทเนีย’ เหล่าทหารก็เปิดทางให้กับ’ซุยเมอิ’แล้วเพื่อนๆของเขา
☆ เหล่าทหารค่อยๆแหวกออกเป็นช่องให้พวกเขาเดิน ในฐานคนนำทาง’ไทเทเนีย’ได้อธิบายว่าท้องพระโรงอยู่ห่างจากปราสาทไปไม่ไกลนัก เมื่อพวกเขาเดินออกมาจากห้องหินอันมืดมิดก็พบกับทางเดินหินอ่อนซึ่งสว่างไสวไปด้วยแสงเทียนจากเชิงตะเกียง บนเส้นทางที่พวกเขาได้ผ่านมานั้นห่างไกลจากคำว่าสวยงามนัก
แต่ที่นี่เห็นได้ชัดว่ามีการตกแต่งไว้อย่างดี ภาพวาดของสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและชุดเกราะแบบใหม่ๆ หรือว่าความจริงแล้วที่นี่จะเป็นโลกแห่งดาบและเวทมนตร์กันนะ ความประทับใจเกิดกับวัตถุที่ไม่เคยพบ แต่ก็มีบางคนบอกว่าสิ่งที่เห็นอยู่นี่ไม่ได้มากมายอะไรเลย
เหล่าทหารทำท่าทางราวกับปกป้องพวกเขา เห็นได้ชัดว่าได้รับการฝึกมาอย่างดี ไม่มีเสียงพูดคุยหรือบ่นอะไรมาจากพวกเขาเลย
ไม่ไกลจากเจ้าหญิงนัก ดูเหมือนจะเป็นคนที่ถูกเรียกว่าราชองครักษ์ ลักษณะที่แข็งกระด้างให้ความรู้สึกเดียวกับก้อนหินเลย และเพื่อจะสร้างความประทับใจให้กับ’เรอิจิ’ ‘ไทเทเนีย’จึงเดินอยู่ใกล้ไม่ยอมห่างและพยายามพูดคุยกับเขา เธอขอให้เขาเล่าถึงสถานที่ที่เขาจากมา อายุและความชอบส่วนตัว
‘มิซึกิ’เองก็เดินอยู่ข้างๆเขาและแสดงของถึงความกระวนกระวายใจ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นคนรักของ’เรอิจิ’ เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ใกล้จะได้รับการพิจารณาเป็นคนรักของเขา และแน่นอนตอนนี้เธอก็กำลังเล็งตำแหน่งนั้นอยู่ ถ้ามีสาวสวย ฐานะทางสังคมสูงส่งมาใกล้ชิดกับเขา คุณคิดว่าเธอจะรู้สึกยังไง?
แม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงอาการบ่งบอกการอดกลั้นออกมา แต่สีหน้าบึ้งตึงก็ยังปรากฏออกมาอยู่ดี และยังมีคนอื่นอยู่ที่นี่ จอมเวทของราชสำนัก ‘เฟลเมเนีย’
ซุยเมอิ:
“นี่ ฉันมีอะไรผิดปกติเหรอ”
เฟลเมเนีย:
” … ไม่มี”
เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอเห็นว่าเขาพูดเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าออกมาหลายครั้งและท่าทางลับๆล่อๆ สร้างความสงสัยและความรู้สึกเป็นปรปักษ์ให้กับเธอ แต่เธอก็พูดคุยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“การเฝ้าระวังด้วยเวทมนตร์เป็นสิ่งผิดพลาด สถานการณ์ในตอนนี้เป็นไปได้ที่พวกเขาจะรู้ว่าฉันสามารถใช้เวทมนตร์ได้”
‘ซุยเมอิ’ครางกับตัวเองอย่างเงียบๆ เขาทำเรื่องที่ผิดพลาดและตอนนี้เขารู้สึกอยากจะหนีเข้าไปหลบอยู่ในหลุม การมีอยู่ของผู้ใช้เวทและเวทมนตร์ควรจะเป็นความลับ ในโลกเก่าของเขาในปัจจุบันถูกครอบงำจากวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์ก็เป็นเรื่องนอกศาสนา เป็นสามัญสำนึกในโลกเก่าหลังจากปราบปรามเหล่าผู้ใช่เวทย์เป็นผลสำเร็จ
แต่ทำไมในโลกนี้ ท่าทีต่อเวทมนตร์ถึงกลายเป็นแบบนี้ ที่อยู่ของผู้ใช้เวท อยู่ร่วมกับเจ้าหญิง? อยู่ในระดับราชวงศ์ แต่ถึงยังไงฐานะของจอมเวทและเวทมนตร์ก็ยังคงไม่ชัดเจนนัก มันเป็นเรื่องง่ายหากจะเปิดเผยความสามารถของเขาในโลกเก่า แต่นั่นมันโง่มาก เรอิจิกับมิซึกิคงรับไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนกัน
ในกรณีนั้น เพื่อที่จะไม่ให้ข้อมูลถูกเปิดเผยออกไป บางทีอาจจะต้องกำจัดพวกเขา
ไททาเนีย :
“พวกเราได้มาถึงแล้วค่ะ นี่คือห้องของท่านพ่อ เชิญค่ะ”
ในระหว่างทางเดิน พวกเขาก็มาถึงห้องซึ่งมีประตูขนาดใหญ่และ’ไทเทเนีย’ได้กระตุ้นให้พวกเขาเข้าไปข้างใน ทหารคนหนึ่งได้กระโจนออกไปอย่างรวดเร็วและพึมพำบางอย่างตอบโต้กับยามหน้าประตู ไม่นานนักบางประตูอันงดงามก็เปิดออก
เรอิจิ:
“อะไรน่ะ !?”
มิซึกิ :
“เอ๋ !?”
‘เรอิจิ’ และ’มิซึกิ’รู้สึกตกใจ ที่อยู่ๆประตูก็เปิดออกกะทันหัน ทั้งที่ยามไม่ได้สัมผัสประตูแม้แต่น้อย และพวกเขาไม่เคยเห็นประตูที่เปิดโดยอัตโนมัติมาก่อน ด้วยความประหลาดใจ’เรอิจิ’รีบถาม’ไททาเนีย’
“มันเปิดได้ยังไงน่ะ?”
” … มันเป็นเพราะเวทมนตร์ น่าแปลกหรือคะ? “
“อา … ในโลกที่เราอาศัยอยู่มันไม่มีเวทมนตร์”
“จริงๆหรือค่ะ? นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเห็นมันใช่หรือเปล่า “
‘ไทเทเนีย’ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงประทับใจของ’เรอิจิ’ ขณะเดียวกันตาของ’มิซึกิ’ก็เริ่มเปล่งประกาย
” … สุดยอด เวทมนตร์มีอยู่จริงๆด้วย “
‘มิซึกิ’ดูเหมือนจะมีความสนใจในเวทมนตร์ เธอเป็นผู้หญิงที่ชอบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์. และแน่นอนว่า ‘ซุยเมอิ’สังเกตเห็นการใช้เวทมนตร์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่ยามพึมพำ องค์ประกอบสูตร คาถา การร่าย ผลลัพธ์ และชื่อเวทมนตร์ เขาเห็นทั้งหมด
“ลมงั้นเหรอ”
เขาคิดกับตัวเอง สิ่งที่ใช้เปิดประตูเป็นเวทย์ง่ายๆ คาถาแบ่งเป็นสามส่วนและเวทลมก็ถูกใช้ออกมา และผลทางกายภาพก็เกิดขึ้น แค่จะเปิดประตูทำไมถึงต้องร่ายคาถายาวนัก?
ไม่ว่าจะร่ายคาถายาวแค่ไหนผลก็เหมือนกัน แล้วทำไมถึงต้องร่ายถึงสามส่วน นี่มันมากเกินไปหรือเปล่า….
‘ซุยเมอิ’ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ตกใจกับเวทที่บกพร่องนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับการเปิดประตูนั้นเป็นแค่เวทมนตร์ง่ายๆ โดยการแปลงพลังเวทเข้าไปในระดับที่เหมาะสม ใช้การรับรู้เวทมนตร์ระดับต่ำที่สุด ผลลัพธ์เดียวกันก็ยังคงเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยามได้ใช้เวทลม
แต่ว่า’ซุยเมอิ’ยังคงไม่เข้าใจ ไม่เพียงแค่เพิ่มความยาวของคาถาเท่านั้นยังใช้พลังเวทเกินความจำเป็นอีกด้วย ในความคิดคนอื่นมันคงเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์นัก มันเป็นความรู้สึกร่วมที่ว่าหากจะใช้เวทก็จำเป็นจะต้องมีบทร่าย ถ้าหากเป็น’ซุยเมอิ’ เขาจะทำเพียงแค่ขยับนิ้วเท่านั้นแล้วประตูก็จะ”เปิดด้วยตัวเอง” อย่างที่เขาเคยทำมาก่อน
จะมีใครในโลกลงทุนพลังเวทมากมายเพื่อเปิดประตูแค่นี้? ‘ซุยเมอิ’ยังคงไม่ค่อยเข้าใจนัก
“อืม สงสัยยามคงอยากจะโชว์ล่ะมั้ง … “
‘ซุยเมอิ’คิดว่ายามแค่อยากจะโชว์การใช้เวทย์ลมสำหรับการเปิดหรือปิดประตูเท่านั้นเอง ในขณะที่’ซุยเมอิ’กำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ‘ไทเทเนีย’ก็พูดขึ้น
“ซุยเมอิซามะ ไม่แปลกใจเกี่ยวกับเวทมนตร์เหรอคะ?”
แย่ล่ะ….
“เอ๋? แน่ล่ะ ไม่เห็นเหรอ ฉันแปลกใจสุดๆเลยนะ … ฮ่า ๆ ๆ ๆ . “
“โอ้ เป็นเช่นนั้นเอง? แต่แค่ระดับนี้ยังไม่เท่าไหร่คุณจะต้องเห็นการฝึกอบรมจอมเวทของราชสำนัก พวกเขาทำได้ถึงขนาดไม่ต้องท่องบทร่ายเลยนะค่ะ “
“นั่นน่าตกใจมาก? อ่า … ฉันยอมแพ้”
“ฟุฟุฟุ … “
หัวเราะ’ไททาเนีย’ดูสนุกสนานและในลักษณะที่ผู้หญิงชอบ อย่างไรก็ตาม’ไททาเนีย’กำลังเข้าใจผิด ‘ซุยเมอิ’กำลังประหลาดในเหตุผลอื่น เมื่อประตูเปิดออก เสียง’เฟลเมเนีย’ก็ดังออกมาเรียก’ไทเทเนีย’
“องค์หญิง ถึงเวลาแล้ว”
“ค่ะ ท่านผู้กล้า มิซึกิซามะ และซุยเมอิซามะ โปรดตามฉันมาค่ะ “
‘ไททาเนีย’กล่าวว่าขณะที่เธอเดินนำไปที่ประตู จากนั้นพวกเขาก็เข้ามายังโถงกว้าง ห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีเสาหินนับไม่ถ้วนคอยค้ำจุนเพดานอยู่ นี่คือท้องพระโรง
“ว้าว… “
“สุดยอด … “
“โอ้ .. “
ทั้งสามคนไม่อาจปิดบังความประหลาดใจ กับความอลังการงานสร้างของท้องพระโรงได้เลย แม้แต่’ซุยเมอิ’ผู้หลงใหลในเวทมนตร์มากกว่าอะไรก็ยังอดหลงใหลมันไม่ได้ ใจกลางท้องพระโรง มีบัลลังก์อันงดงามและมีคนนั่งอยู่บนนั้น เขาน่าจะเป็นราชาเอลมาเดียส รูธ แอสเทล
ที่อยู่ข้างเขาน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีและผู้คนจำนวนมากในห้องนี้ก็คงจะเป็นคนสำคัญเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องหันมองรอบข้าง ไทเทเนียเดินตรงไปข้างหน้า เธอคุกเขาอยู่ด้านหน้าราชาข้างๆ’เฟลเมเนีย’ ทั้งสามคนรีบเดินตามมาอย่างรีบเร่ง หลังจากที่ราชาพยักหน้าอนุมัติเมื่อเห็นทุกคนอยู่ที่นั่น ‘ไทเทเนีย’ก็เริ่มกล่าวรายงาน
“ไทเทเนีย รูธ แอสเทล นำเหล่าผู้กล้ามาแล้วค่ะ”
“อ่า…ไทเทเนียลูกรัก แต่ … ทำไมมีสามผู้กล้าล่ะ? “
ราชาถามด้วยความสงสัย
“สองคนนี้เป็นเพื่อนของท่านผู้กล้าค่ะ พวกเขาถูกลากติดมาด้วยจากการทำการอัญเชิญ”
“หา!? ลาก !? “
“ใช่ค่ะ แต่ว่า”
เมื่อได้ยินคำตอบของเธอ ราชาซ่อนความประหลาดใจของเขาไว้ภายใต้ใบหน้าที่กล้าหาญ หลังจากนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นความขัดแย้งกับความสับสน คำถามเช่น
“สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ !?”
และ
“ฉันไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!”
ราชา:
” มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง การอัญเชิญผู้กล้าได้รับการปฏิบัติมานับครั้งไม่ถ้วนแม้แต่ในขณะนี้ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย? “
เฟลเมเนีย:
“นั่นมัน… แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรถึงไม่มีใครมีข้อมูลเรื่องนี้ แต่ความจริงที่ว่าพวกเขายืนอยู่ที่นี่ มันก็ยังคงเป็นโชคร้ายที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ “
ท่ามกลางบทสนทนาของเขากับ’เฟลเมเนีย’ ราชาได้เปลี่ยนสีหน้าของเขาไปชั่วขณะหนึ่ง เป็นไปได้ว่าอาณาจักรอื่นๆจะทำการอัญเชิญไม่สำเร็จและโยนความเชื่อแบบผิดๆมาให้กับพวกเขา จากนั้นซุยเมอิก็พึมพำกับตัวเอง
“สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับที่คาดไว้เลย นอกเหนือจากพวกเราที่อยู่ที่นี่ ยังมีที่อื่นๆอีกที่ทำการอัญเชิญผู้กล้ามา? เขาแสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นไปได้และที่เป็นแบบนี้ก็เพราะราชาปีศาจปรากฏตัวออกมา”
หากยึดตามคำพูดของ’มิซึกิ’แล้ว ‘ซุยเมอิ’ก็รู้สึกเอือมระอาขึ้นมาทันที บังคับเรียกผู้คนจากอีกโลกมาที่นี่และทำให้พวกเขากลายเป็นคนไร้บ้าน และบอกว่าโลกนี้จะดำรงต่อไปไม่ได้ถ้าหากราชาปีศาจไม่ถูกปราบโดยผู้กล้า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“นอกจากนี้ ดูเหมือนสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก”
“อ่า ฉันรู้สึกสิ้นหวังกับคนพวกนี้จริงๆ … “
ในขณะที่’ซุยเมอิ’กระซิบกับตัวเอง การสนทนาของราชาและ’เฟลเมเนีย’ก็มาถึงบทสรุป มันมีคำถามเช่น “ใครเป็นผู้กล้า” และ “แล้วคนอื่นๆล่ะได้รับพรอะไรมาจากพระเจ้า” และเวลานี้การแสดงออกของราชาได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากใบหน้าที่แสดงออกถึงความน่ากลัว กับการกลับมาของใบหน้าที่สมกับเป็นราชาและเขาก็เริ่มพูด
“ท่านผู้กล้า ขออภัยด้วยที่เรียกพวกท่านมายังสถานที่แห่งนี้ เราราชาองค์ที่สิบสามแห่งราชอาณาจักรแอสเทล เอลมาเดียส รูธ แอสเทล และนี่คือปราสาทขอเราปราสาทคัลเมเนีย”
หลังจากที่ราชาแนะนำตัวเองแล้ว’ไทเทเนีย’ได้กระซิบบางอย่างกับ’เรอิจิ’ มันอาจจะเป็นการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมสำหรับเหตุการณ์ตอนนี้ก็เป็นได้ ‘เรอิจิ’ลุกขึ้นยืนทันที
“อ๊ะ…?”
‘ซุยเมอิ’แสดงสีหน้าสับสน ในยุคนี้ราชามีความสำคัญเทียบเคียงได้กับเทพเจ้า ในสถานการณ์แบบนี้การกระทำแบบนี้ถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง
ไทเทเนีย:
“ไม่เป็นไรค่ะ เรอิจิซามะเป็นผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมาเพื่อปกป้องโลก เขาได้รับฐานะที่สูงส่งนั่นเป็นเหตุผลว่าในสถานที่นี้เวลานี้ เขาสามารถยืนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อและพูดคุยกันอย่างเท่าเทียมได้โดยไม่มีปัญหาค่ะ “
ซุยเมอิ:
“อ่า งั้นเหรอ?”
‘ไททาเนีย’ได้สังเกตเห็นและดูเหมือนจะตอบความกลัวของ’ซุยเมอิ’ โชคดีที่ไม่มีปัญหาอะไร ความไม่พอใจอาจเกิดขึ้นได้ แต่ในตอนนี้มันคือความรู้สึกโล่งอก เมื่อได้รับการตอบรับจากราชา
‘เรอิจิ’จึงเริ่มแนะนำตัว
“ผมเรอิจิ ชานะ ฝ่าบาทผมรู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการต้อนรับครับ “
“ท่านผู้กล้า?”
“ใช่แล้ว.”
หลังจาก’เรอิจิ’สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากราชาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมอีกครั้ง คำถามที่ว่า “คนนั้นเป็นผู้กล้า?” “พรจากพระเจ้าคืออะไร?” คำถามต่างๆที่เกี่ยวกับ’เรอิจิ’ยังคงหลั่งไหลเข้ามา เสียงโดยรอบเงียบลงเมื่อราชาพูดขึ้น
“แล้วเพื่อนทั้งสองที่อยู่ด้านหลังล่ะ?”
“ฉันเป็นเพื่อนของเขา อาโนว มิซึกิค่ะ “
“ฉันยาคางิ ซุยเมอิ.”
‘มิซึกิ’และ’ซุยเมอิ’ตอบขณะที่ก้มหัวของพวกเขาลงบนเข่า เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เป็นผู้กล้าจึงไม่สามารถที่จะทำแบบเดียวกับ’เรอิจิ’ได้โดยไม่เกิดปัญหา
“อ่า เราขอโทษสำหรับกรณีเจ้าทั้งสอง เป็นความผิดของเราเอง มีอะไรบ้างที่เราสามารถทำเพื่อไถ่โทษต่อพวกเจ้า ? “
“คะ?”
“หือ?”
ราชาที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้รับคำตอบสั้นๆสำหรับคำถามของเขา เมื่อราชาได้เอ่ยคำขอโทษแล้วก็ไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป ในท้องพระโรงก็บังเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นอีกครั้งกับการตำหนิ เช่น “พวกเขากำลังลบหลู่ราชา” มีความหลากหลายระหว่างที่เรอิจิกำลังพูดคุยกับราชาและตอนนี้
“อะแฮ่ม เรามีเรื่องราวอีกเป็นจำนวนมากที่จะพูดคุยกับผู้กล้า แต่ว่าตอนนี้ มันเป็นการเรียกมาอย่างกะทันหัน ผู้กล้าอาจจะกำลังสับสน “
“เอ๋ “
ผู้กล้าและเพื่อนของเขา หลังจากนี้เราจะเตรียมที่นั่งสำหรับเจ้าในงานเลี้ยงตอนเย็นในห้องโถงรับรอง ทันทีที่การเตรียมการเสร็จแล้วให้มาและเราจะหารือเกี่ยวกับปัญหาหลักในวันพรุ่งนี้.
” การเลี้ยงต้อนรับหนึ่งคืน นั่นคือการตัดสินใจของราชา ทันที่ที่ได้รับการอัญเชิญพวกเขาจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ”
ถ้อยคำนี้ช่วยลดบรรยากาศตึงเครียดในท้องพระโรงลง จนกระทั่งมีคนคนหนึ่งที่แย้ง
“ไม่นะฝ่าบาท ถ้ามันเป็นไปเราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาหลักที่นี่และตอนนี้? “
“ท่านแน่ใจหรือผู้กล้า? ท่านเพิ่งมาที่นี่และท่านอาจจะไม่เข้าใจปัญหาที่ท่านจะต้องเจอ? “
“ผมแน่ใจ หากเราจะต้องสู้กับราชาปีศาจ ก็อยากจะรู้ข้อมูลให้เร็วที่สุด “
ราชาทำท่าพิจารณาถึงคำร้องขอของผู้กล้า
” เอาล่ะ เข้าใจแล้ว หากท่านผู้กล้าต้องการเราก็จะเล่าให้ฟัง “
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความใจร้อนนั้นทั้งสามคนจึงยังไม่ได้ปรึกษาอะไรกันเลย ‘ซุยเมอิ’รู้สึกหมดความอดทนอีกต่อไป จึงกระซิบถาม’เรอิจิ’
“เรอิจิ!! นายต้องการจะทำอะไร นายจะตอบอะไรหลังจากนี้ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ”
“ซุยเมอิ พอแล้ว ปล่อยฉันจัดการเอง “
“ห่ะ? อะไรคือปล่อยให้นายจัดการเองเรอิจิ!!! “
ก่อนที่พวกเขาจะคุยกันจบ
‘เรอิจิ’ก็เดินออกมาจาก’ซุยเมอิ’ที่กำลังออกเสียงคัดค้าน ด้วยความสัตย์ ‘ซุยเมอิ’ไม่ต้องการที่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการไปปราบราชาปีศาจสักนิด เรื่องราวแฟนตาซีนี่มันอะไรกัน!? ให้คนที่มีพื้นฐานการต่อสู้เป็นศูนย์ไปต่อสู้กับคนที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการต่อสู้เนี่ยนะ
นี่มันไม่ได้แค่บ้า แต่บ้ามากๆ นอกจากนี้’ซุยเมอิ’มีสาเหตุให้ต้องรีบกลับไป เขามีสัญญากับบิดาผู้ล่วงลับที่ทิ้งมรดกเกี่ยวกับทฤษฏีทางเวทมนตร์เอาไว้ให้ มันเป็นความจริงที่ว่าผู้ใช้เวทย์ที่โชคร้ายมักจะเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตของพวกเขาอยู่เสมอ
แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่ออะไร ขณะที่คิดเรื่องนี้ เขาก็จ้องมองไปยังด้านหลังของ’เรอิจิ’อย่างใจจดใจจ่อ มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่พวกเขาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
ปล.เนื่องจากบทนี้ยาวมากจึงขออนุญาตแบ่งออกเป็นสองตอนครับ
ที่มา: