ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปแปลไทย : Hyaku man
ราชาเอ่ยถาม’เรอิจิ’ที่ได้ก้าวไปข้างหน้าก่อนหน้านี้
“ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วบ้าง?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าหญิงได้บอกกับผมว่าฝ่าบาทต้องการให้ผมเอาชนะราชาปีศาจ นอกจากนั้นแล้วผมยังไม่รู้อะไร “
“งั้นเหรอ? ดีแล้ว เกลสส์”
ราชาชำเลืองมองชายสูงอายุคนหนึ่งที่อยู่ใกล้แล้วพยักหน้า คนที่ชื่อ’เกลสส์’ก็ก้าวออกมา
“ผมคือเกลสส์ ดูเลสส์ นายกรัฐมนตรีแห่งแอสเทล จากนี้ผมจะเริ่มอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเรา “
“รบกวนด้วยครับ”
“ที่ห่างไปทางทิศเหนือของราชอาณาจักรแอสเทล มีอีกสามอาณาจักร อาณาจักรที่หนาวเย็นเรียกว่า นอเซียส ภาคเหนือของนอเซียส เป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่างปีศาจและมนุษย์ ผู้ที่มีหน้าที่ในการปกป้องเขตแดนถูกเรียกตัวไปประจำการเมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว แต่ปีศาจได้บุกเข้าโจมตีเมืองหลวงอย่างรวดเร็วเป็นผลให้อาณาจักรนอเซียสถึงการล่มสลาย”
ความรู้สึกเคร่งเครียดอบอวนทั่วชั้นบรรยากาศ ‘นายกเกลสส์’ยังคงกล่าวต่อไป
“ทั้งๆที่ชาวนอเซียสนั้นเข้มแข็งมาก ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ด้อยไปกล่าวจักรวรรดิใหญ่ๆเลย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพปีศาจกว่าล้านคนพวกเขาก็ยังไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงหนึ่งเดือน”
‘มิซึกิ’ดูเหมือนจะอยากสอบถามรายละเอียด
“อืม … เกี่ยวกับการล่มสลายของนอเซียส มีคน…”
“ปีศาจไม่จำเป็นต้องใช้เชลยศึก. ในช่วงเวลาของการบุกรุกส่วนใหญ่ของประชาชนถูกฆ่าโดยปีศาจและบรรดาผู้ที่รอดชีวิตจากการโจมตีครั้งแรกถูกตามล่า มีไม่กี่คนที่รอดชีวิตจากความโชคดีของพวกเขา ไม่มีชาวนอเซียสที่เป็นคนอีกต่อไปแล้ว “
“นอเซียสที่ไม่ใช่คน นั่นคือ …”
“พวกนั้นเป็นปีศาจ พวกเขาดูถูกความเป็นมนุษย์ มองมนุษย์เหมือนกับหนอน และพวกเขาแข็งแกร่งมากเราพยายามเจรจาต่อรองตอนที่พวกเขายังอยู่ไกล แต่พวกเขากลับโจมตีเรา”
หลังจากที่’มิซึกิ’ได้ยินที่เกลสส์พูด หน้าของเธอก็ซีดเผือด บางที่เธออาจจะไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องราวที่โหดร้ายขนาดนี้ ถ้าหากปีศาจจับตัวหญิงสาวได้ล่ะก็จะเกิดอะไรขึ้น ใครจะไปช่วยเธอให้รอดได้ ในตอนนี้ที่เรื่องราวทุกอย่างได้ดำเนินไป หากว่าเธอเก่งขึ้น บางทีเธออาจจะรอดก็ได้
แต่ปีศาจในโลกนี้แตกต่างจากในนิยาย แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายล้างและสังหารหมู่นอเซียสได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่พวกสัตว์อสูรดูจะแตกต่างจากในนิยาย
“แล้วหลังจากนั้นโบสถ์แห่งความรอดได้ทำนายว่า เหล่าปีศาจถูกปกครองโดยนัคชาตรา เขาเชื่อว่าปีศาจจะสามารถมีชีวิตอย่างอิสรเสรีได้ มนุษยชาติจะต้องถูกทำลายซะก่อน”
“เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มจะเลวร้าย แต่ละประเทศก็เริ่มพัฒนาวิธีรับมือของตน แต่นอเซียสได้ล่มสลายไปแล้ว และพวกเขาก็ไม่รู้จำนวนที่แน่นอนของกองทัพปีศาจ ความคิดของพวกเขาหยุดชะงัก นั่นเป็นเพราะมนุษย์เราขาดพลังที่จะต่อสู้”
หยุดตรงนี้ ‘เกลสส์’มองไปที่ (ผู้ยิ่งใหญ่) ‘เรอิจิ’
“หลังจากนั้นแต่ละประเทศก็ได้ทำการอัญเชิญผู้กล้าจากโลกที่แตกต่าง แต่เดิมมีเพียงสมาคมจอมเวทย์และโบสถ์แห่งความรอดเท่านั้นที่สามารถอัญเชิญผู้กล้าได้ ภายไต้ข้อตกลง พิธีนี้จะถูกจัดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสภาวะวิกฤติเท่านั้น เพราะหากทำในสถานการณ์ปกติแล้วโลกนี้ก็จะเกิดความวุ่นวาย”
“โลกนี้ดูเหมือนจะมีปัญหามากกว่าที่คิด … “
‘เรอิจิ’ขมวดคิ้วของเขา เขาก็จะเริ่มร้องไห้เหมือนกัน ถ้าหากราชาปีศาจแข็งแกร่งขึ้น
“ครับ ตามข่างที่รายงานมา สัตว์อสูร(ยักษ์)ที่กินสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวขึ้นแล้วสองครั้ง กองทัพปีศาจได้พยายามจะยึดครองโลกสามครั้ง รวมแล้วราชาปีศาจได้ทำการโจมตีมาแล้วทั้งหมดหกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤติการณ์นี้ แอสเทลเป็นหนึ่งในราชอาณาจักรทั้งสี่ที่ได้ทำการอัญเชิญผู้กล้า”
“สี่อาณาจักร”
เมื่อได้ยินข้อมูลที่ไม่คาดคิดนี้’ซุยเมอิ’เริ่มพึมพำกับตัวเอง พวกเขากดดันคนอื่นๆด้วยคำขอร้องอันไร้สาระอย่างการไปปราบราชาปีศาจ และเมื่อพวกเขาปฏิเสธมันก็จะมาพร้อมกับมาตรการความปลอดภัยอื่นๆ แล้วซุยเมอิและคนอื่นๆก็จะไม่สามารถที่จะปฏิเสธงานนี้ไปได้เลย
“และพวกเราก็ถูกอัญเชิญมา?”
เมื่อ’เรอิจิ’ถามเรื่องนี้ ‘เกลสส์’ก็หลับตาและพยักหน้า
“มันเป็นดังเช่นที่ท่านกล่าว”
และ’เกลสส์’ก็ทำในหน้าน่ากลัวอีกครั้ง
“ปัจจุบันการบุกรุกของกองทัพปีศาจได้ชะลอตัวลง แต่ในอนาคตอันใกล้นี้อาณาจักรของมนุษย์ในโลกและอาณาจักรของเราจะถูกเหยียบย่ำโดยกองทัพของปีศาจ เช่นเดียวกับนอเซียสที่ถูกทำลาย”
ใบหน้าของ’เกลสส์’ซีดเผือดและเสียงของเขาก็แหบแห้งลง มันเป็นการกระทำเพื่อขอความเห็นอกเห็นใจ มันเป็นความเจ้าเล่ห์และน่าขยะแขยง มันเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ หากล้มเหลวไม่เพียงแค่จะส่งผลเสียต่อการทูตแล้วอาจจะสูญเสียความเชื่อของประชาชนด้วย ในฐานะนายกรัฐมนตรีแล้วมันไม่มีทางเลือก
เขาไม่มีแผนและไม่อาจขจัดความกังวลไปได้ หลังจากที่เกลสส์ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดจบลง ก็เป็นเวลาสมควรที่ราชาจะกล่าวบ้าง
“ท่านผู้กล้า ท่านอาจจะมาจากอีกโลกหนึ่งแต่ว่า…เพื่อผู้คนในโลกนี้แล้ว ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย”
” …. “
“ได้โปรด … ช่วยพวกเราด้วยเถอะ?”
ราชาอ้อนวอนเป็นครั้งที่สอง ‘เรอิจิ’ก้มหัวลงครุ่นคิด
“อย่าหลงไปกับคารมนั่นนะ เรอิจิ”
‘ซุยเมอิ’คิด ด้วยความสัตย์’ซุยเมอิ’ไม่ต้องการมีส่วนร่วมอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาแอบภาวนาให้’เรอิจิ’ตอบปฏิเสธ ตั้งแต่ที่เขาเป็นผู้ใช้เวทเพื่อประโยชน์ในการปกป้องตัวเองและงานวิจัยของเขา แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้แต่ก็ไม่ได้อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องไร้สาระ และแน่นอน เขาไม่ได้อยากตาย
‘ซุยเมอิ’รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงจังว่า’เรอิจิ’จะปฏิเสธ ไม่มีใครกล้าที่จะส่งเสียง หลังช่วงเวลาแห่งความเงียบ ‘เรอิจิ’ได้เผยใบหน้าอันเด็ดเดี่ยวของเขาขึ้น และ…..
“ผมตกลง”
” .. แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำมัน เขาจะไม่? – เอ๊ะ…อะไรนะ”
‘ซุยเมอิ’คิด เขายอมรับ เขายอบรับมัน สิ่งที่’ซุยเมอิ’เคยคิดว่าเขาได้ยินเป็นแค่สิ่งที่เกิดจากจินตนาการของเขาเอง
“ถ้าอย่างนั้น….”
“เดี๋ยวสิ…เดี๋ยวก่อนนนนนน”
‘ซุยเมอิ’ไม่สามารถยอมรับมันได้ เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของราชาถูกกลบไปด้วยเสียงร้องตะโกนของเขา ‘ซุยเมอิ’เปิดเผยความคิดภายในใจไปกับเสียงร้องของเขาและทำให้ทุกคนในท้องพระโรงตกตะลึง ขัดขวางการพูดของราชาเป็นสิ่งหยาบคาย แต่เพราะเสียงร้องและความตกตะลึงทำให้ไม่มีใครว่าอะไร’ซุยเมอิ’ คนที่ใจอ่อนตอบรับคำร้องขอแสดงสีหน้าสับสน
“เกิดอะไรขึ้นซุยเมอิ? ตะโกนทำไม?”
“ไอ้เบื้อกเอ้ย สมองนายมันเน่าไปแล้วรึยังไง นายบอกว่าจะไปสู้กับผู้ชายที่คิดจะทำลายล้างโลก!ทำไมเราต้องไปต่อสู้กับคนที่มีกองทัพขนาดใหญ่ขนาดนั้น ปีศาจหลายล้านตัวเลยนะเว้ย!! มันแปลกตรงไหนที่ฉันจะตะโกนเสียงดังในเมื่อนายไปได้ปรึกษาอะไรกับพวกเราเลย”
‘ซุยเมอิ’ร้องตะโกนไม่หยุดหย่อนโดยไม่ได้หายใจ ‘เรอิจิ’มอง’ซุยเมอิ’ที่กำลังหอบหายใจด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
“เพราะราชาปีศาจทำให้คนจำนวนมากต้องประสบเคราะห์ร้าย จนพวกเข้าต้องทำการอัญเชิญผู้กล้านั่นก็คือฉัน เพราะแบบนั้นฉันจึงอยากจะทำทุกอย่างที่ฉันทำได้เพื่อช่วยพวกเขา”
“ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้น!? เราไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำมันนะ!”
“ถูกแล้ว เราอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกนี้ อย่างที่นายว่า เราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปช่วย แต่ว่ามันคือความหวัง ถ้าไม่ตอบรับความหวังของพวกเขาแล้วนายยังจะสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์อยู่ได้อีกเหรอ ซุยเมอิ นายเข้าใจมั้ย?”
‘เรอิจิ’ตอบเป็นปรัชญากลับมาอย่างเย็นชา
“อุ๊….มันก็จริง แต่…แต่ว่าปรัชญานั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ อย่างแรกเลยนายคิดว่านายจะสามารถทำมันได้จริงๆงั้นเหรอ”
ตอนนี้’ซุยเมอิ’ได้โจมตี’เรอิจิ’กลับด้วยคำพูดของเขาเอง ‘เรอิจิ’เป็นเพียงนักเรียนธรรมดาแตกต่างจาก’ซุยเมอิ’ เขาไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการต่อสู้ของเขาอีก มันไม่มีทางที่จะชนะได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น’เรอิจิ’ก็ยังส่ายหน้า
“นายไม่เข้าใจ ตอนนี้ฉันมีพลัง ฉันสามารถเอาชนะราชาปีศาจด้วยพลังนี่ได้”
นั่นแหละที่เป็นปัญหาล่ะ
“โอ้ พลังนั่นสินะ น่าทึ่งมาก งั้นถามหน่อยนายจะไปถึงตัวเขาได้ยังไง นายอาจพูดได้ว่า ฉันสามารถต่อสู้กับพวกปีศาจเป็นจำนวนมากได้ แต่ว่านะเพื่อน ถึงนายจะมีพลังมากแค่ไหนนายก็ไม่สามารถสู้กับกองทัพจำนวนหลายล้านได้หรอกนะ”
“ฉันไม่สามารถบอกได้หรอกหากยังไม่ได้ลองทำดู และมันมีบันทึกไว้อยู่ว่าคนที่ถูกอัญเชิญมาที่โลกนี้สามารถที่จะทำมันได้”
แน่นอนมันอาจจะเป็นไปได้ แต่ถึงยังไงมันก็เป็นแค่คำบอกเล่าที่สืบต่อกันมาเท่านั้น เพราะแบบนั้น
“แล้วมันยังไงล่ะ”
“ฉันจะไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ ฉันไม่สามารถทอดทิ้งคนที่มีปัญหาได้ มันอาจจะไม่ฉลาดนัก แต่ฉันอยากจะร่วมมือกับคนในโลกนี้”
“เรอิจิ นายนี่มัน … “
‘ซุยเมอิ’ลดเสียงลงเมื่อได้ยินคำพูดจากใจของ’เรอิจิ’ เขาก็เป็นแบบนี้เสมอ จะบอกว่านี่เป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดของ’เรอิจิ’ก็ได้ เขาไม่สามารถทอดทิ้งคนที่มีปัญหาได้ เหมือนกับเมื่อก่อน เหมือนกับวันที่’ซุยเมอิ’ได้พบกับ’เรอิจิ’ แม้ว่าเขาจะหนี เขาก็จะพยายามช่วยคนอื่นให้ไปกับเขาด้วย
เขาจะพยายามช่วยทุกคนให้ได้มากที่สุด เขาเป็นคนที่ไม่อาจละทิ้งความอ่อนแอนี้ไปได้ ผู้ชายที่ชื่อ’ชานะ เรอิจิ’ ก็เป็นคนแบบนั้นแหละ นับตั้งแต่ที่เป็นเพื่อนกันมา’ซุยเมอิ’รู้จักนิสัยของ’เรอิจิดี’
“ซุยเมอิ ถ้านายคิดว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของนาย นายก็ไม่จำเป็นต้องมาด้วยก็ได้ ฉันเข้าใจ คนที่ได้พลังมาก็คือฉัน มันไม่จำเป็นที่นายจะต้องมาเสี่ยงไปด้วย”
“นาย…แน่นอนว่าฉันไม่อยากทำ แต่ว่า…”
“ฉันรู้ นายเป็นห่วงฉันใช่มั้ยล่ะ? นายเป็นคนที่จะคอยมาช่วยฉันเสมอ หากฉันทำอะไรผิดพลาดไป”
จะว่าไปแล้วก็เหมือนเรื่องโกหก แต่ว่าถ้าหาก’เรอิจิ’ไม่ใช่คนแบบนี้แล้วล่ะก็ ‘ซุยเมอิ’เองก็คงไม่สนใจและยอมเป็นเพื่อนกับเขาแน่ แต่ว่าตอนนี้
“อ่า ฉันไม่ทำแน่นอน ฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ เพราะฉันยังไม่อยากตาย”
เป็นไปตามคาด เขายังคงปฏิเสธ ไม่มีทางเลือกอื่น มันยังเสี่ยงเกินไป
“เข้าใจแล้ว ขอโทษด้วยซุยเมอิ”
“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษ หากนายเลือกที่จะไม่ทำมัน…..”
‘ซุยเมอิ’กล่าวอย่างเลื่อนลอย หลังจากนั้น’เรอิจิ’ก็หันไปหา’มิซึกิ’
“ฉันจะต้องไปต่อสู้กับราชาปีศาจ เพราะอย่างนั้น มิซึกิ ฉันอยากให้เธออยู่กับซุยเมอิ”
ใบหน้าของ’เรอิจิ’แสดงออกถึงความมุ่งมั่น ‘มิซึกิ’ก้มหน้าลงและตัวสั่น เธอกำลังคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่มีคำตอบรับ ไม่นานนัก’มิซึกิ’ก็หยุดสั่นและจ้องมองไปยัง’เรอิจิ’ด้วยใบหน้าเด็ดเดี่ยว
” … ไม่ ฉันจะไปกับนายด้วย”
“มิซึกิ…”
“เธอก็ด้วยเหรอมิซึกิ”
‘ซุยเมอิ’พูดด้วยน้ำเสียงงุนงง เขาไม่คิดว่าเพื่อนอีกคนของเขาจะพูดแบบนี้ออกมา มันไม่น่าเป็นไปได้ ‘เรอิจิ’ได้กล่าวว่า
“เธอไปไม่ได้มิซึกิ สิ่งที่ฉันจะทำมันมีอันตรายถึงชีวิต นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันให้เธอไปด้วยไม่ได้ ฉันไม่ต้องการให้เธอตกอยู่ในอันตราย”
ตอนที่’เรอิจิ’ปฏิเสธคำของของ’มิซึกิ’ เธอส่ายหน้า
“ไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยหรอก ตราบใดที่ราชาปีศาจยังไม่ถูกกำจัด ที่ไหนๆก็มีอันตรายทั้งนั้น แม้จะเล็กน้อยแต่ฉันก็อยากจะช่วยนายนะ ฉันไม่รู้หรอกว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือแม้แต่จะเข้าใจว่าทำไมนายถึงทำเพื่อคนในโลกนี้ แต่ฉันก็ยังอยากจะไปด้วยกันกับนาย”
“มันอันตรายมากนะ ฉันไม่แน่ใจว่าจะสามารถปกป้องเธอได้”
“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกถ้าหากนายไม่สามารถปกป้องฉันได้ เพราะงั้น ได้โปรดเถอะนะ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่คือความต้องการของ’มิซึกิ’ หลังจากที่’เรอิจิ’พิจารณาดูแล้วก็พูดขึ้น
“เข้าใจแล้ว ถ้าเธออยากจะไปด้วยกัน แต่ว่า ฉันจะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอเด็ดขาด”
“ขอบใจนะ “
‘มิซึกิ’พูดอย่างมีความสุข
“ฝ่าบาท เรื่องของราชาปีศาจอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่เราสองคนจะเป็นคนไปสู้กับเขาเอง”
“มิซึกิ เจ้าแน่ใจแล้วใจมั้ย?”
“ค่ะ!”
ราชากล่าวอย่างมีความสุขกับ’มิซึกิ’ที่ได้ตอบรับคำขอของเขา จากนั้นก็หันไปทาง’ซุยเมอิ’
“ซุยเมอิ เจ้ายังคง…. “
“ผมไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูขนาดนั้นได้ ดังนั้นผมจะไม่ไปกับพวกเขา”
“งั้น….”
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเสียใจ อย่างที่คิดไว้ แม้จะมีปฏิกิริยาของราชา คนรอบข้างยังคงพากันวิพากษ์วิจารณ์’ซุยเมอิ’ว่า
“เขามีความกล้าน้อยกว่าเด็กผู้หญิงอีกนะผู้ชายคนนั้น”
และ
“เขาไม่มีศักดิ์ศรีเอาซะเลย”
แว่วมาให้ได้ยิน
“พวกที่ไม่ยอมขยับออกจากจุดที่ปลอดภัยพูดในสิ่งที่พวกเขาต้องการ และฉันเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้หลังจากที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำ นากจากนี้ยังมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำอีก”
‘ซุยเมอิ’คิด ‘ซุยเมอิ’หยุดถอนหายใจ ก่อนจะถามราชาเกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากรู้
“ฝ่าบาท ฉันมีอะไรอยากจะถาม?”
รอบข้างกลับเป็นเสียงอื้ออึงอีกครั้งและอุทานว่า
“สามหาวเกินไปแล้ว”
และ
“เจ้าไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องอะไรจากฝ่าบาทได้นะ”
ราชาดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ เขาไม่ได้ขึ้นเสียง และตอบสนอง
“ว่ามาเถอะ “
“เพราะว่าฉันไม่ได้ไปปราบราชาปีศาจ เพราะอย่างนั้นมีทางที่จะกลับโลกเดิมได้ไหม”
เพราะว่าเขาไม่ได้ไปต่อสู้ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะอยู่ที่โลกนี้ต่อ เขาต้องการใช้พิธีอัญเชิญอีกครับเพื่อจะกลับสู่โลกของตนเอง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ราชาไม่ตอบ
” ………… “
ความเงียบครอบคลุมทั่วทั้งห้อง หากมีคนสังเกตเห็นจะพบว่า’เรอิจิ’ทำสีหน้างงงวย ‘มิซึกิ’ทำสีหน้าเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ส่วน’ไทเทเนีย’และ’เฟลเมเนีย’ทำหน้ากระอักกระอ่วน
เพียงเพราะ’ซุยเมอิ’พูดถึงวิธีการกลับโลกเดิมสีหน้าพวกเขาจึงกลายเป็นเช่นนี้ จากนั้นสมมติฐานก็ได้ผุดขึ้นมาในใจของ’ซุยเมอิ’
“หรือว่ามันจะ… “
‘ซุยเมอิ’คาดเดาได้ไม่ไกลจากเป้าหมายเท่าไหร่ ไม่นานนักราชาก็เปิดปากของเขาขึ้น
“ขอโทษด้วยที่เจ้าไม่สามารถกลับไปที่โลกเดิมได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากช่วยเจ้านะ แต่มันไม่มีวิธีจะส่งกลับ”
“ห่ะ….อะไรน่ะ”
และแล้วเสียงกรีดร้องของ’ซุยเมอิ’ก็ดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง
ที่มา: