ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปแปลไทย : Hyaku man
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้วที่’ซุยเมอิ’และเพื่อนๆของเขาถูกเรียกตัวมายังโลกแห่งนี้และได้รับมอบหมายให้ไปต่อสู้กับราชาปีศาจ
แม้ว่าตอนนี้’เรอิจิ’จะยังฝึกฝนการต่อสู้อยู่แต่ก็กำลังจะออกเดินทางในไม่กี่วันนี้ การฝึกก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ‘ซุยเมอิ’อยู่ในห้องอ่านหนังสือส่วนใหญ่เป็นประเภทที่แตกต่างกันและเกือบทุกเล่มวางอยู่ตรงหน้าของเขา เหตุผลหลักก็คือการรวบรวมข้อมูลต่างๆของโลกใบนี้
เขายังคงจำได้ว่าวันแรกของการมาที่นี่พวกเขาถูกบอกว่าไม่มีวิธีที่จะส่งกลับไปที่โลกเดิมได้ เขาจึงต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปโดยปริยาย แม้ว่าเขาจะถูกเกลียดหรือว่ามีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับการดูแล แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องสนใจ ที่สำคัญตอนนี้คือการรวบรวมข้อมูล ส่วนใหญ่ของหนังสือที่เขาศึกษาคือ กฎหมาย วัฒนธรรม ความรู้พื้นฐานและการดำรงอยู่ของโลกก่อนหน้านี้
หากพวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ การทำตัวผิดแปลกนั่นอาจจะนำมาซึ่งปัญหา ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับการอัญเชิญผู้กล้าหรือไม่ แต่พวกเขาสามารถเข้าใจภาษาของโลกนี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถอ่านหนังสือได้ ทำให้รวบรวมข้อมูลมาได้ไม่น้อยเลย และหนังสือที่ซุยเมอิกำลังอ่านอยู่ในตอนนี้เป็นเรื่องของผู้กล้าที่ได้รับพลังมาจากพระเจ้าและเอาชนะมังกรแห่งความมืดได้สำเร็จ
ดูเหมือนว่าเรื่องราวของผู้กล้าคนนี้จะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ระหว่างกำลังพักซุยเมอิจะอ่านหนังสือเล่มนี้ ดูเหมือนว่ามันจะดึงดูดความสนใจของเขาไม่น้อยกว่าจะรู้ตัวอีกที่เขาก็อ่านถึงตอนที่ผู้กล้าสามารถปราบมังกรสำเร็จและนำเอาความสงบสุขกลับมาสู่โลกได้ เป็นตอนจบที่มีความสุข
“ผู้กล้างั้นเหรอ … “
(ซุยเมอิ)
‘ซุยเมอิ’พึมพำขณะที่ปิดหนังสือลง ผู้กล้าคนปัจจุบันในตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างฝึกฝนฝีมือกับ’มิซึกิ’ที่ยืนกรานว่าจะไปด้วยกันกับเขา พวกเขาได้รับการฝึกฝนจากหัวหน้าราชองครักษ์ แม่ทัพใหญ่และจอมเวทประจำราชสำนัก พวกเขาได้รับดาบและฝึกการต่อสู้จากหัวหน้าอัศวิน เรียนรู้เวทมนตร์ต่างๆจากจอมเวทประจำราชสำนัก มันจะดีกว่านี้ถ้าในสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีใครมาคุยกับเขาบ้าง
“เฮ้อ … “
(ซุยเมอิ)
ในขณะที่คิดถึงพวก’เรอิจิ’ ‘ซุยเมอิ’ก็ถอนหายใจ บางครั้งเขาก็สามารถมองเห็นการฝึกซ้อมได้จากทางหน้าต่าง เขาได้รับข้อมูลจาก’เรอิจิ’และ’มิซึกิ’ที่มาเยี่ยมเขาทุกๆสองวัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะก้าวหน้าไปไม่น้อย ‘เรอิจิ’เป็นเพียงคนธรรมดาในโลกก่อน แต่เมื่อได้รับการฝึกฝนแล้วดูเหมือนสัญชาตญาณในการต่อสู้ของเขาจะตื่นขึ้น
ในวันที่สามเขาได้ต่อสู้กับหัวหน้าอัศวินได้อย่างสู้สีและสามารถเอาชนะได้หลายครั้ง ‘ซุยเมอิ’ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังของผู้กล้าหรือเปล่าที่ทำให้อัตราการพัฒนาของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเห็นดังนั้นทำให้รู้สึกเหมือนว่าความพยายามของเขาเป็นสิ่งที่สูญเปล่าและรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
“นั่นมัน ขี้โกงชะมัด”
(ซุยเมอิ)
ที่น่าทึ่งคือเรอิจิสามารถใช้เวทมนตร์ที่’ซุยเมอิ’ใช้เวลาฝึกฝน 2 ปี ได้ภายในเวลา 3 วัน แค่ 3 วันเท่านั้น ทำไมรู้สึกเหมือนว่าจะมีเหงื่อไหลออกมาจากตาเลยนะ พอกันที ‘ซุยเมอิ’ไม่อยากจะเห็นอะไรอีกต่อไปแล้ว
“ฮึก… “
(ซุยเมอิ)
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ‘ซุยเมอิ’รู้สึกถึงการใช้พลังเวท ดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ และคนที่มาก็คือ… ดูเหมือนว่าจะเป็น’เรอิจิ’กับอีกสองคน ‘มิซึกิ’และ’ไทเทเนีย’ที่คอยอยู่ใกล้ๆเขาอยู่ตลอดเวลา เมื่อสังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังมา’ซุยเมอิ’รีบวิ่งไปที่โต๊ะและซ่อนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเวทมนตร์
‘ซุยเมอิ’มักจะอยู่อย่างเงียบๆในห้องนี้ ทุกคนคิดว่าเขานอนอยู่คนเดียวที่นี่ เขาจำกัดการติดต่อกับคนอื่นให้น้อยที่สุดเพื่อปกปิดตัวตนของเขา เพราะถ้าเขาติดต่อกับคนอื่นๆมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะถูกจับได้ แน่นอนว่าเขาไม่เคยเข้าร่วมการฝึกฝนเลยสักครั้ง อาหารของเขามักจะมาส่งที่นี่
เขาออกจากห้องนี้ไปที่ห้องสมุดและแอบตรวจสอบ’เรอิจิ’ และแน่นอนเขาออกไปเข้าห้องน้ำด้วย มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เขาจะปกปิดตัวตนเพราะเขาไม่ต้องการใครมาใช้ประโยชน์จากพลังของเขา นอกจากนี้เขายังไม่ต้องการให้’เรอิจิ’รับรู้เรื่องพลังของเขา และเขาจะมีอิสระตราบเท่าที่ใช้วิธีนี้อยู่
ตอนนี้ความสนใจต่อตัวเขาจากปราสาทลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะเขาพูดชักชวน’เรอิจิ’ในท้องพระโรงเรื่องที่ไม่ต้องสนใจเรื่องเป็นผู้กล้า และเขามักจะหมกตัวอยู่ที่นี่เขามั่นใจว่าราชาและไทเทเนียจะต้องกำลังล้อเลียนเขา
‘ซุยเมอิ’ไม่ได้สนใจและปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป ขณะที่คิดแบบนั้น’ซุยเมอิ’ได้คลานขึ้นไปบนเตียงและได้ยินเสียงร้องเรียกของ’เรอิจิ’
“อรุณสวัสดิ์ซุยเมอิ ตื่นรึยัง”
(เรอิจิ)
“อืม เข้ามาสิ”
(ซุยเมอิ)
“ขอโทษนะ”
(มิซึกิ)
“ขอโทษนะ”
(เรอิจิ)
‘ซุยเมอิ’ตื่นขึ้นมาตามปกติ ขณะที่พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้
“แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น?”
(ซุยเมอิ)
“เอ๋? นั่นมันกะทันหันไปนะซุยเมอิ “
(เรอิจิ)
“วันนี้นายมีบรรยากาศแปลกไปนะ”
(ซุยเมอิ)
“ว้า..ถูกนายจับได้ซะล่ะ?”
(เรอิจิ)
“ฉันก็คิดว่างั้น”
(ซุยเมอิ)
‘เรอิจิ’หัวเราะอย่างอายๆและ’ซุยเมอิ’พยักหน้า เขาสังเกตบางสิ่งบางอย่างที่ต่างจากปกติเมื่อพวกเขาเดินเข้ามา ใบหน้าของ’เรอิจิ’มีเลือดออกเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่า’เรอิจิ’จะได้รับประสบการณ์ที่ดี จากนั้น’เรอิจิ’ถาม
“ฉันได้เรียนรู้การใช้เวทย์เสริมร่างกายมาวันนี้ นายอยากเห็นมั้ย?”
(เรอิจิ)
“เหรอ? งั้นแสดงให้ฉันดูหน่อยสิ “
(ซุยเมอิ)
ฉันเห็นเหตุผลที่ทำให้เขาดูมีความสุขเพราะว่าเขาได้รับเวทมนตร์บทใหม่ และฉันเข้าใจมันดีคนที่อยากจะอวดเวทมนตร์บทใหม่ของเขา เรอิจิยือร่างกายของเขาขึ้นและผ่อนคลาย มันเป็นพื้นฐานของการใช้เวทเสริมสร้างความแข็งแก่งให้ร่างกาย มันช่วยให้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายขึ้นในเวลาเดียวกัน การยืดกล้ามเนื้อเป็นสิ่งจำเป็น
“ดูนี่นะ”
(เรอิจิ)
จากนั้น’เรอิจิ’กระจายพลังเวทย์ให้กับร่างกายของเขาและกระชากมันขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยการร่ายคาถา
“<เพิ่มการเผาพลาญ>!”
(เรอิจิ)
เมื่อ’เรอิจิ’ร่ายเวทย์ร่างกายของเขาก็ปกคลุมด้วยเปลวไฟ ตอนนี้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่เขาถูกเรียกตัวมาซะอีก
“โอ้…”
(ซุยเมอิ)
‘ซุยเมอิ’ส่งเสียงให้กำลังใจ เขาสามารถจัดกระบวนท่าได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้มีประสิทธิภาพจริงๆ แต่สามารถทำแบบนี้ได้ภายในสองสัปดาห์ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ดูเหมือนจะเป็นการใช้เวทรวมไฟช่วยให้โจมตีรุนแรงขึ้น ลมช่วยเร่งการเคลื่อนไหว น้ำช่วยให้คล่องตัว ส่วนดินทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง
‘ซุยเมอิ’วิเคราะห์ร่างกายที่เสริมความแข็งแกร่งของ’เรอิจิ’ ไทเทเนียตกตะลึงกับพลังของเขา
“เป็นไปตามคาด เรอิจิซามะน่ากลัวมากค่ะ”
(ไทเทเนีย)
“ฮ่าๆๆๆ ขอบคุณครับเทียร์”
(เรอิจิ)
‘เรอิจิ’ยิ้มและเรียกชื่อเล่น นี่พวกเขาสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ‘มิซึกิ’โกรธเมื่อเห็นไทเทเนีย
“เทียร์นั่นมันใกล้เกินไปแล้ว?”
(มิซึกิ)
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย? มิซึกิ มิซึกิก็มันจะเข้าใกล้เขาเหมือนกันทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ”
(ไทเทเนีย)
“ไม่นะ ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย”
(มิซึกิ)
“ไม่จริง มิซึกิมันจะอยู่ใกล้กับเรอิจิซามะเสมอมันไม่เป็นธรรม”
(ไทเทเนีย)
หัวข้อเกี่ยวกับ’เรอิจิ’ก็เหมือนการเพิ่มเวทมนตร์ เกิดประกายไฟขึ้นระหว่างพวกเขา
“หืม เรอิจิ นี่มันเจ๋งแฮะ…”
(ซุยเมอิ)
“ใช่มั้ยล่ะ เวทมนตร์นี้มันสะดวกมากเลยนะ ฉันชอบมัน “
(เรอิจิ)
“มันดูเหมือนจะแข็งแกร่งนะ … “
(ซุยเมอิ)
นี้คือความคิดเห็นของ’ซุยเมอิ’ มันดูเหมือนกับเปลวเพลิงมังกร ผลกระทบที่แสดงออกในอีกฝ่ายชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ชื่นชม หรือความกลัว มันค่อนข้างเป็นประโยชน์ คิดว่าบางที่’มิซึกิ’อาจหัวไปหา’เรอิจิ’ไม่ใช่ฉัน
“ฉันเองก็ทำได้เหมือนกัน!”
(มิซึกิ)
“นั่นสินะ? มิซึกิเองก็พยายามอย่างหนักเช่นกัน “
(เรอิจิ)
“อืม … ใช่แล้ว”
(มิซึกิ)
‘ซุยเมอิ’มีสีหน้าว่างเปล่าดูเหมือนว่าไทเทเนียและ’มิซึกิ’จะมองไม่เห็นคนอื่นเลยนอกจาก’เรอิจิ’
“คุคุคุ… “
(ซุยเมอิ)
“อะ อะไรเหรอซุยเมอิคุง?”
(มิซึกิ)
“อ่อ ไม่มีอะไรหรอก โชคดีนะ”
(ซุยเมอิ)
“ได้เลย ฉันไม่ยอมแพ้หรอก!”
(มิซึกิ)
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องที่หนึ่งในพวกเขาจะกลายเป็นพวกของราชาปีศาจ มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยในสถานการณ์ตอนนี้ หลังจากนั้น ฉันก็ลองถามอีกครั้ง
“แล้วมีอะไรอีกรึเปล่า?”
(ซุยเมอิ)
“เอ๊ะ อืม หลายอย่างเลยล่ะ … “
(เรอิจิ)
‘เรอิจิ’ตอบในขณะที่พยายามหลบตา ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสาเหตุที่’ซุยเมอิ’สังเกตเห็น
“เป็นอะไรไปค่ะ เรอิจิซามะ?”
(ไทเทเนีย)
“อ่า? ไม่ ไม่มีอะไร “
(เรอิจิ)
“องค์หญิงมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
(ซุยเมอิ)
“เอ๋? ฉันไม่คิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นนะคะ แต่ดูเหมือนว่าเรอิจิซามะจะได้รับอะไรดีๆค่ะ “
(ไทเทเนีย)
ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงจะไม่ได้โกหก แล้วอะไรที่ทำให้เรอิจิเป็นแบบนี้ ทำไมเขาต้องพยายามจะหลอกฉัน? ฉันถามรายละเอียดจากไทเทเนีย
“มันคืออะไรเหรอ?”
(ซุยเมอิ)
“เอ๋? มันคือ … “
(ไทเทเนีย)
‘เรอิจิ’พยายามจะหยุดเธอ แต่ไทเทเนียก็ยังคงพูดต่อ
“ผู้เชี่ยวชาญจากสามาคมจอมเวทแห่งแอสเทลจะมาฝึกฝนให้เรอิจิซามะค่ะ”
(ไทเทเนีย)
“เอ๊ะ ~ สมาคมจอมเวทเหรอ … “
(ซุยเมอิ)
สมาคมจอมเวทถึงฉันจะไม่รู้รายละเอียด แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีอยู่
“เพราะแบบนั้นทุกคนจึงรวมตัวกันเพื่อต้อนรับพวกเขาค่ะ”
(ไทเทเนีย)
ผู้เชี่ยวชาญที่ว่านี่คงมีอำนาจมากทีเดียว
“มันเกิดขึ้นยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
(ซุนเมอิ)
“ใช่แล้วค่ะ เพราะว่าพวกเขามีหน้าที่ของตัวเอง “
(ไทเทเนีย)
นั่งคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้มารวมตัวกันยากนัก ผู้เชี่ยวชาญต่างๆงั้นเหรอ น่าสนใจดีนี่
“ต่างๆที่ว่านี่หมายถึงอะไรงั้นเหรอ?”
(ซุยเมอิ)
“ไฟ, น้ำ, ลม, ดิน, สายฟ้า, ไม้, แสง พวกเขาเป็นคนที่ดีที่สุดของพวกเขา พวกเขามีความสามารถสูงกว่านักเวทของพวกเรา และพวกเขาแต่ละคนมีชื่อเล่นจักรพรรดิของตัวเอง อย่างเช่นจักรพรรดิแห่งไฟหรือจักรพรรดิแห่งแสง”
(ไทเทเนีย)
” ….. “
(ซุยเมอิ)
นี่ดีแล้วเหรอ? จักรพรรดิเป็นฉายาที่ใช้กันมากแม้แต่ในประเทศญี่ปุ่น แม้ว่ามันจะผิดพลาดเนื่องจากมันเป็นภาษาที่ถูกแปลให้เป็นภาษาญี่ปุ่น แต่มันก็ไม่เลว
“ซุยเมอิซามะสนใจเหรอคะ?”
(ไทเทเนีย)
“แล้วใครชนะล่ะ?”
(ซุยเมอิ)
“แน่นอนว่าชัยชนะเป็นของเรอิจิซามะค่ะ!”
(ไทเทเนีย)
ไทเทเนียดูเหมือนจะมีความสุขเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“และเขายังได้รับฉายาจากผู้เชี่ยวชาญด้วยค่ะ”
(ไทเทเนีย)
“ฉายา?”
(ซุยเมอิ)
ฉายาเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำเร็จหรือความแข็งแกร่งของคนคนนั้น แน่นอน เป็นเพียงแค่ในจินตนาการ ‘เรอิจิ’รู้สึกอายและพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ห้ามบอกเขาเด็ดขาดนะ”
(เรอิจิ)
เมื่อเห็น’เรอิจิ’เป็นแบบนั้น ช่วยไม่ได้ที่’มิซึกิ’จะหัวเราะออกมา
“คิกๆๆๆ”
(มิซึกิ)
“มีอะไรงั้นเหรอมิซึกิ?”
(ซุยเมอิ)
“ก็..ไม่มีอะไร”
(มิซึกิ)
“เจ้าหญิง ฉายาที่ว่านั่นมันอะไรเหรอ?”
(ซุยเมอิ)
“ซุยเมอิได้โปรด … “
(เรอิจิ)
“เพราะเขาสามารถเอาชนะธาตุทั้งหมดได้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันเรียกเขาว่า ‘จักรพรรดิแห่งสรรพธาตุ’ ค่ะ”
(ไทเทเนีย)
เมื่อเธอเอ่ยคำนั้นออกมา ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ แต่’ซุยเมอิ’ไม่สามารถที่จะอดกลั้นไว้อีกต่อไปได้แล้ว
“…….”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
(ซุยเมอิ)
“ซะ ซุยเมอิซามะ !?”
(ไทเทเนีย)
“จักรพรรดิแห่งสรรพธาตุ อ่า ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
(ซุยเมอิ)
ไทเทเนียสับสนว่าทำไมเขาถึงหัวเราะ ‘เรอิจิ’ส่ายหัวให้กับ’มิซึกิ’ ในขณะที่’ซุยเมอิ’กำลังหัวเราะ ‘เรอิจิ’กล่าวว่า
“นั่นไงล่ะ ผมบอกแล้ว”
(เรอิจิ)
“หืม? ทำไม? ฉายาที่ได้รับจากผู้เชียวชาญนั้นยอดเยี่ยมมาก ทำไมซุยเมอิซามะและมิซึกิถึงหัวเราะกัน”
(ไทเทเนีย)
“อ่า.. ‘จักรพรรดิแห่งสรรพธาตุ’ รู้มั้ย? แค่ได้ยินมัน ฉันก็ อุ๊บ…..ฉันก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ”
(ซุยเมอิ)
“ซุยเมอิได้โปรด หยุดเถอะ … “
(เรอิจิ)
เสียงหัวเราะก้องและเรื่องนี้จบลงที่นี่…
“อาคารเหนือ … ไม่มีอะไรผิดปกติ “
(???)
ภารกิจของทหารยามตอนนี้คือการตรวจสอบห้องสุดทั้งของอาคารทางทิศเหนือ ใช่แล้ว การลาดตระเวนตอนกลางคืนนั่นคือภารกิจประจำ งานของพวกเขานั่นคือการปกป้องปราสาทตอนกลางคืนในเวลาที่ทุกคนกำลังนอนหลับ คัลเมเลีย กลางวันและกลางคืนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลางวันนั้นอาจงดงามแต่กลางคืนนั้นต่างออกไป
โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้เทียน แต่เพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตอนนี้มันจึงเป็นเวลากลางคืนในความหมายที่ตรงตัว แสงสว่างหนึ่งเดียวในตอนนี้นั้นอยู่ในมือของทหารยาม และยามมีหน้าที่ต้องลาดตระเวนไปในความมืด ไม่มีใครอยากทำงานนี้เพราะมันน่าขนลุก แต่พวกยามก็ยังถูกบังคับให้ต้องไปสำรวจทุกซอกทุกมุม
“ฉันหวังว่ามันจะเสร็จเร็วๆนะ …”
(ทหารยามคนหนึ่ง)
แล้วใครกันที่โง่พอจะบุกรุกที่ที่ผู้กล้าอยู่ในตอนนี้ แต่ราชาก็ยังเพิ่มทหารยามในการรักษาความปลอดภัย ยามเคยเห็นการต่อสู้ของผู้กล้า มันรุนแรงมาก
ผู้กล้า’เรอิจิ’ต่อสู้กับหัวหน้าอัศวินและตอนนี้เขายังสามารถเอาชนะคนจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้กล้าจะต้องกลัวขนาดต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ไม่มีทางที่ผู้กล้าจะแพ้ใครอยู่แล้ว ยามคิดแบบนั้น ตอนนั้นเอง ยามมองเห็นรูปร่างที่คล้ายมนุษย์
“หืม?”
(ยามคนเดิม)
ทหารยามได้ยินเสียงโลหะและหันเทียนไปยังที่มาของเสียง
“นั่นใครน่ะ”
(ยามคนเดิม)
ไม่มีเสียงตอบกลับ มีเพียงห้องของจอมเวทที่เหมือนถูกใช้งาน ยามมาที่นี่ก่อนหน้านี้ทุกอย่างก็ปกติ แต่ทำไมตอนนี้มีรูปปั้นโลหะตั้งอยู่
“ปีเตอร์? นั่นนายเหรอ? อย่าเล่นอย่างนี้สิฉันใจคอไม่ดี”
(ยามคนเดิม)
ยามเรียกชื่อเพื่อนของเขาผู้มักจะชอบเล่นอะไรแผลงๆ เขาพยายามมองไปข้างหน้าแต่มันก็เต็มไปด้วยความมืด ไม่มีเสียงหัวเราะปกติที่มาจากเพื่อนของเขา จากนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียง ‘แกร็ก’ อีกครั้ง
ยามตัวสั่น หรือว่ามันจะเป็น? ผู้บุกรุก? ไม่มีทางที่เพื่อนของเขาจะมาไกลถึงขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นปีศาจที่พยายามมาฆ่าผู้กล้าก็ได้ ยามชักดาบของเขาและเดินไปอย่างช้าๆและเตรียมนกหวีดเรียกกำลังเสริมในกรณีที่เลวร้ายที่สุดและตอนนั้นเอง
“เอ๊ะ? นั่นอะไรน่ะ”
(ยามคนเดิม)
มันมีเพียงรูปปั้นที่อยู่ด้านหน้าประตู ไม่มีปีศาจ มันดูเป็นปกติสุดๆ มันไม่มีทางที่จะมีอะไรอยู่ในปราสาทตอนกลางคืนอยู่แล้ว เมื่อแน่ใจเช่นนั้นยามก็เดินไปนอนที่เตียงด้วยความเหนื่อย
“โอ๊ะ…เกือบไปแล้วแฮะ … “
(ซุยเมอิ)
‘ซุยเมอิ’โบกมือด้านหน้ายามที่กำลังนอนหลับอย่างโล่งใจ เขาไม่คิดว่าจะได้เจอยามที่นี่ ยามไม่ได้เป็นผู้ใช้เวทย์เป็นเพียงมนุษย์ปกติ เขาไม่สามารถฝึกเวทมนตร์ที่นี่ได้เพราะอาจจะทำให้ทุกคนตื่น ปัญหาคือเกราะที่อยู่ข้างเขา
“ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะทิ้งหุ่นกลไว้ที่นี่ มันจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”
เพื่อความปลอดภัย’ซุยเมอิ’ลงมือตรวจสอบเกราะอย่างรวดเร็ว หุ่นกลเป็นโกเลมส์ที่มีการจำลองรูปแบบของสิ่งมีชีวิต พวกเขาสามารถตั้งโปรแกรมให้มันทำงานอัตโนมัติได้เหมือนกับหุ่นยนต์ มันคือหนึ่งในความลับของฮีบรู(ชาวอิสราเอล)และคับบาล่าห์(ลัทธิหนึ่งของศาสนายูดายเชื่อในเรื่องศาสตร์ลึกลับ)
ในโลกก่อนหน้านี้ ที่มีเทคนิคในการสร้างพวกมัน เมื่อ’ซุยเมอิ’สัมผัส มันก็แตกออกเป็นชิ้นๆ เกิดเสียงดังแต่เพราะว่าทุกคนกำลังหลับจึงไม่มีคนมา ‘ซุยเมอิ’ถอนหายใจ อย่างแรกเขาเป็นคนเข้าใกล้เกราะ อย่างที่สองคือเขาเป็นคนทำลายมัน
(ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจ แต่ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ที่นี่มาก่อน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ฝีมือของคนที่นี่)
(ซุยเมอิ)
แต่ พวกเขาเอามันมาจากไหน ตอนที่เขามาที่นี่ เขาตระหนักถึงการมีอยู่ของมัน เขาสังเกตเห็นความเสี่ยง และนี่มันค่อนข้างชัดเจน หุ่นกลดูดซับเวทมนตร์จากผู้บุกรุกที่อยู่ใกล้ๆ มันถูกตั้งค่าให้สามารถโจมตีด้วยเวทมนตร์และกายภาพ นอกจากนี้มันยังมีดาบที่ทำให้โจมตีได้มีคุณภาพมากขึ้นอีก ยอดเยี่ยมและเลวร้าย …
” จริงๆเลยผู้หญิงคนนั้น นี่เธอคิดอะไรของเธออยู่ ? เพียงเพราะนี้คือภายในปราสาท เธอทำแบบนี้ เธอนี่มันไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย”
( ซุยเมอิ)
เขาบ่นถึง’เฟลเมเนีย’ซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ เธอถึงเตรียมกับดับแบบนี้ไว้ทดสอบสินะ? นี่อย่าหาว่าฉันไม่ปราณีก็แล้วกัน
“อ่า…ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ใช้เวท…”
(ซุยเมอิ)
ใช่แล้ว จอมเวทย์เป็นผู้ใช้เวทย์ เป้าหมายคือการทดสอบพวกเขาและในทางกลับกัน ก็จะพยายามฆ่าพวกเขาด้วย มันเป็นเรื่องปกติของที่นี่ เขามองซากชุดเกราะอีกครั้ง…ไม่เป็นไรหากเฟลเมเนียจะเห็นมัน แต่มันคงไม่ดีนักหากคงอื่นมาเห็นแล้วทำอะไรที่มันยุ่งยาก
“เข้าใจแล้ว แก้ไข … “
(ซุยเมอิ)
เวทมนตร์เพิ่มขึ้นจากเท้าของเขา วงเวทย์สีแดงถูกสร้างขึ้น มันเริ่มหมุนและขยายใหญ่ขึ้นและเสถียร และตอนนั้นเอง
“<เรโนวาติโอ เรอิวิวัส>”
(ซุยเมอิ)
แทนที่จะซ่อมมันกลับสู่สภาพเดิม วงกลมแบ่งออกเป็นสองจากด้านล่างของเกราะ มันหมุนและลอยขึ้น ชิ้นส่วนกลับไปยังที่เดิมของพวกมัน เมื่อวงเวทย์ถึงจุดสูงสุด เกราะก็กลับมาอีกครั้ง
“ดี. เหมือนเดิมแล้ว ไม่เลว ไม่เลว “
(ซุยเมอิ)
ขอโม้สักหน่อยกับเวทมนตร์ของเขา เขาเคาะหุ่นกล มันไม่มารถขยับได้อีกต่อไปแล้ว เวทมนตร์ภายในถูกทำลายไปจนหมด นี่ก็แค่ซากที่มีรูปร่างเหมือนหุ่นกล ซุยเมอิเข้ามาในห้องที่หุ่นยนต์เฝ้า มันเป็นห้องอย่างอื่นไม่ใช่ห้องเก็บของ ใช่แล้ว มันคือห้องพักนั่นเอง จุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์วงเวทย์และหาทางกลับมัน
เพราะเขาไม่สามารถทำมันขึ้นมาด้วยตัวเอง และตอนนี้เขาจะต้องค้นหามันผ่านทางหนังสือเวทย์อัญเชิญ ฉันต้องกลับไป ฉันสัญญากับพ่อไว้แล้วและเพื่อให้สำเร็จ ฉันจำเป็นจะต้องกลับไปที่นั่นกับผลวิจัยเวทมนตร์และวัสดุวิจัย เขารู้ว่าเขาสามารถทำมันที่นี่ได้ แต่เขาไม่ต้องการเสียอะไร
เขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทำมันในเวลาที่มีได้มั้ย เวลาที่เหลือไม่มาก นั่นเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดในการกลับบ้าน ใช่ และอีกเหตุผลนั่นคือ…
“พวกเขาเองก็คงอยากจะกลับเหมือนกัน…”
(ซุยเมอิ)
‘ซุยเมอิ’กล่าวกับลมในขณะที่มองเพดาน ‘ซุยเมอิ’รู้ว่าบางครั้ง’เรอิจิ’ก็มองขึ้นไปยังท้องฟ้า ‘ซุยเมอิ’รู้ว่าเขาก็ห่วงหาถึงคนที่เขาทิ้งไว้ที่นั่น นอกจากนี้’มิซึกิ’ก็มักจะร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องพัก แม้เธอจะต้องการอยู่ข้างๆคนที่เธอรัก แต่เธอก็ยังหวาดกลัวกับความเหงาที่เกิดขึ้น
ในตอนนี้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจของเรอิจอ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ มันร้อนรุ่ม….
เช้าวันนั้นเขาควรจะไปพบกับครอบครัวของเขา คนที่เขาไม่สามารถจะพบกันได้อีกครั้ง โอบกอดความเศร้าและเสียใจ เชารู้ว่าเขาจะต้องบอกลาสักวัน แต่ตราบใดที่ยังมีความหวัง เขาจะไม่ยอมแพ้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเรียนรู้เวทมนตร์จากพ่อของเขา ไม่ว่าปัญหาอะไรก็ตาม เขาจะก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้
“ฉันคิดว่า ฉันคงต้องทำงานให้หนักขึ้นอีก”
(ซุยเมอิ)
เขารู้ว่า เขาไม่สามารถย้อนกลับได้เมื่อเขาพูดมันออกมา นั่นคือเหตุผลที่เขาพูด ในเมื่อเขาไม่อยากจะไปด้วย เขาจะค้นหาเส้นทางของตัวเอง ในขณะที่เขากำลังแสดงออกถึงความมุ่งมั่น ก็รับรู้ได้ถึงการใช้เวทมนตร์ ดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามจะปกปิดมัน มนุษย์งั้นเหรอ ไม่ ไม่ใช่คนธรรมดา
นั่นคือ’เฟลเมเนีย สติงเรย์’ เธอยืนอยู่ด้านหน้าหุ่นกล ดูเหมือนเธอจะสังเกตเห็นประตูที่เปิดอยู่ เขารู้ว่าเธอสะกดรอยตามเขา และตั้งใจที่จะออกนอกเส้นทาง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะดื้อกว่าที่คิด . . . . .
บางทีเธออาจจะ สังเกตเห็นฉัน . . . . . . .
เธอแอบดูสักพัก แล้วก็จากไป . . . . . . .
แล้ว . . . . . . .
” เหยื่อติดกับแล้ว ต่อไปก็เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น”
( ซุยเมอิ )
ใช่แล้ว นี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดสำหรับที่ที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น พวกเขายังคงตั้งใจที่จะลงโทษฉัน กลับกัน พวกเขาคงประหลาดใจน่าดู นั่นมันตลกจริงๆ เชื่อมต่อ….
ปล.ซุยเมอิโชว์เทพแล้ว!!!
ที่มา: