ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปช่วงเวลากลางดึก ระหว่างการสนทนากับเฟลเมเนีย ประตูห้องท้องพระโรงก็ถูกเปิดออก และคนที่เข้ามาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเพื่อนของผู้กล้า ยาคางิ ซุยเมอิ ที่เฟลเมเนียบอกไว้ว่าเป็นจอมเวทจากอีกโลกหนึ่ง
เด็กหนุ่มที่ดูธรรมดาๆจากอีกโลกหนึ่งเดินเข้ามาโค้งคำนับอย่างช้าๆ แม้ว่าความประทับใจที่ราชารู้สึกได้จากซุยเมอิ เมื่อพวกเขาพบกันครั้งแรกในห้องเดียวกันนี้ เขาได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ราชาไม่เคยเห็นมาก่อน
เสื้อผ้าสีดำสนิททั้งชุดและออกแบบอย่างหรูหรา เห็นได้ชัดว่ามีคุณภาพสูง ท่าทางเห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์อะไรแบบนี้ ซุยเมอิตัวแข็งเล็กน้อยเมื่อคุกเข่าต่อหน้าราชา
“องค์ราชาเรียกผมหรือ”
(ซุยเมอิ)
“ขอบคุณสำหรับการตอบรับคำเชิญของเรา แม้ว่ามันจะเป็นเวลาดึกมากแล้ว การกระทำของท่านเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่คืนนี้มีเพียงเราสองคน ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการขนาดนั้น ตามสบายเถอะ”
(ราชา)
” … “
(ซุยเมอิ)
“ยอมรับไม่ได้รึ?”
(ราชา)
“เข้าใจแล้ว”
(ซุยเมอิ) คำร้องขอที่น่าประหลาดใจ ซุยเมอิลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และยกศีรษะขึ้น ยังไงก็ตามการแสดงออกของเขายังคงแข็งกระด้างอยู่ ตอนนี้ราชาเลือกยิงประเด็นไปยังหัวข้อหลักทันที แต่ถามเรื่องเครื่องแต่งกายของเขาแทน
“ซุยเมอิโดโนะ นี่เป็นเครื่องแต่งกายของเจ้าหรือ ปกติไม่ได้ใส่ชุดนี้นี่”
(ราชา)
“ถูกต้อง นี่เป็นสิ่งที่ติดมาจากโลกเก่าของฉัน แต่เดิมมันถูกเก็บอยู่ในกระเป๋า เป็นหนึ่งในของจำนวนน้อยนิดที่ถูกพามาด้วย”
(ซุยเมอิ)
“มันดูค่อนข้างจะแตกต่างจากของท่านผู้กล้าอยู่นะ”
(ราชา)
“ในโลกของเรามันเป็นเครื่องแต่งกายอย่างเป็นทางการและมักจะสวมใส่ในโอกาสเช่นนี้”
(ซุยเมอิ) จากคำพูดของซุยเมอิ ราชากลับมาพิจารณาเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่อีกครั้ง ทั้งชุดถูกสร้างมาจากวัสดุสีดำราวกับนิล ลวดลายถูกปักไว้บริเวณคอเสื้อ การออกแบบยิ่งทำให้ชุดดูหรูหรายิ่งขึ้นไปอีก
“อืมมม มันดูเหมาะกับเจ้าดี “
(ราชา)
“ขอบคุณสำหรับคำชม องค์ราชา”
(ซุยเมอิ) ซุยเมอิตอบ เขาขยับคอและแขนเพื่อปรับท่าทางของเขา การกระทำอยู่คุ้นเคยนี้ลบท่าทางอันแข็งขืนของเขาออกไป ทันใดนั้นเขาก็นึกบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญได้และก้มศีรษะลง
“มันอาจจะช้าไปสักหน่อยแต่ ขออภัยในการกระทำอันรุนแรงของฉันในไม่กี่วันที่ผ่านมาด้วย”
(ซุยเมอิ) นี่เป็นการขอโทษอย่างแท้จริง ซุยเมอิขอโทษสำหรับพฤติกรรมของเขาในวันที่ถูกอัญเชิญมา และรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะกลับไปที่โลกเดิมได้ มันทำให้เขาโกรธเกรี้ยวมากทีเดียว มันเป็นการกระทำที่แสดงออกมาตามธรรมชาติ ในตอนนั้นซุยเมอิกระโจนขึ้นไปหาเขาและตะโกนว่า
“โกหกใช่มั้ย? ถ้าไม่สามารถส่งเรากลับได้แล้วเรียกพวกเรามาทำไมตั้งแต่แรก!”
จากคำพูดและท่างทางที่แสดงออกมานั้นทำร้ายจิตใจราชาเป็นอย่างมาก ท่าทีที่ซุยเมอิแสดงออกถึงความเกลียดชังทุกคนที่อยู่ในห้องตอนนั้น ราชาทรงพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ให้พวกเขาปะทะกัน แต่หลังจากนั้นซุยเมอิกลับกล่าวว่าขออภัย
“โอ้ ไม่ ไม่จำเป็น มันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น ความรู้สึกของท่านนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว เราเองก็ผิดที่ดึงพวกท่านเข้ามาสู่โลกของเราโดยที่ไม่มีวิธีที่จะส่งพวกท่านกลับ ไม่มีความจำเป็นที่ท่านจะต้องมากล่าวขอโทษเรา โปรดเงยหน้าเถอะ”
(ราชา)
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น….”
(ซุยเมอิ) เมื่อราชาตรัสดังนั้น ซุยเมอิเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง จากการแสดงออกของเขาเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นความผิดของเขา แต่เขารู้สึกว่าความยุ่งวุ่นวายเกิดจากการที่เขาทำท่าทีไม่เหมาะสม เห็นได้ชัดจากความอึดอัดใจที่แสดงออกบนใบหน้า และตอนนี้การสนทนาแรกของพวกเขาก็ได้จบลง ซุยเมอิพูดต่อไปว่า
“ฉันอยากจะถามว่าเรียกฉันมาที่นี่เพื่ออะไร?”
(ซุยเมอิ)
“ใช่ เรามีบางสิ่งที่ต้องการจากท่าน”
(ราชา)
“ฉันเข้าใจแล้ว”
(ซุยเมอิ) เมื่อรับทราบแล้วซุยเมอิแสดงความสักสน ใบหน้าขาวซีดของเขาถูกฉาบทับไปด้วยความงุนงง ท่าทีของซุยเมอิในตอนนี้แสดงออกถึงความคิดที่แท้จริงของเขา ราชาเอ่ยคำถาม
“มีบางสิ่งที่เราอยากจะถามท่านเกี่ยวกับเฟลเมเนีย”
(ราชา)
“เฟลเมเนียซัง? ถ้าฉันจำไม่ผิดเธอเป็นหนึ่งในคนที่สอนเวทมนตร์ให้กับเรอิจิและมิซึกิ? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”
(ซุยเมอิ)
“ถูกแล้ว เธอเป็นหนึ่งในนั้น เธอบอกกับเราว่าเคยเห็นท่านเดินไปรอบๆปราสาทเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา”
(ราชา) เมื่อเจอกับข้ออ้างของซุยเมอิ ราชาพูดถึงสิ่งที่เคยได้ยินจากเฟลเมเนีย คำพูดเหล่านั้นสร้างรอยยิ้มขมขื่นให้กับซุยเมอิ เมื่อบางสิ่งบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์ได้ถูกค้นพบเกี่ยวกับตัวเขา
“อ่า…ฮ่าๆๆ ใช่แล้ว ฉันเคยได้ยินว่าเราสามารถเดินเตร็ดเตร่ในปราสาทได้ ดังนั้นฉันจึงไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลาย ฉันทำผิดอะไรอย่างนั้นหรือ”
(ซุยเมอิ)
“แน่นอนไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม ที่จริงแล้วเรามีคำสั่งอนุญาตอย่างชัดเจน แต่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะพูด”
(ราชา)
“แล้วอะไรล่ะที่อยากจะถามฉัน(ซุยเมอิ)”
“นี่”
“?”
ความสับสนถูกแสดงออกทั่วหน้าของซุยเมอิ แต่ใครจะรู้ได้ว่านี้คือความรู้สึกที่แท้จริงของเขาหรือเปล่า มีการกล่าวถึงเฟลเมเนีย แต่จะต้องพูดอะไรเกี่ยวกับเธอล่ะ?
แน่นอนว่าเขาเข้าใจถึงจุดประสงค์ของคำถามนี้ แต่ก็ตั้งใจเต็มที่ว่าจะตีเนียนทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปเรื่อยๆ อันที่จริงก่อนหน้าที่จะถูกเรียกมาสอบปากคำนี้ ตอนที่ได้รับคำเชิญก็อาจก่อให้เกิดความกังวลอยู่บ้าง
หากราชาเป็นซุยเมอิ เข้าจะต้องเตรียมการบางอย่างก่อน ด้วยพลังของเขา เขามีโอกาสที่จะเตรียมทางหลบหนีไว้แล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายคือจอมเวทย์ที่เฟลเมเนียพ่ายแพ้ หากราชาทำอะไรให้ไม่พอใจ ซุยเมอิคงจะหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย
ในใจแล้วเขาไม่คิดว่าเขาจะสามารถจบเรื่องนี้ได้ ด้วยเกมของคนโง่แบบนั้นหรอก แบบนั้น ถึงรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นหุบเหว แต่ราชาก็ยังเลือกจะไปต่อ
“เราต้องการรู้ว่าท่าทำอะไรเฟลเมเนีย?”
(ราชา)
“ฉันทำอะไร? ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่องค์ราชาหมายถึง”
(ซุยเมอิ)
“ซุยเมอิโดโนะ ท่านรู้ว่าเราพูดถึงอะไร ดังนั้นแล้ว….”
(ราชา)
“ขอโทษด้วย ทำไมถึงคิดว่าฉันจะเข้าใจล่ะ? ฉันไม่คิดว่าฉันฉลาดขนาดนั้น”
(ซุยเมอิ) ก่อนที่ราชาจะพูดจบ ซุยเมอิขัดจังหวะของเขาด้วยคำพูดที่เหมือนกับใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งตรงข้ามกับท่าทางสุภาพที่เขาใช้ แม้จะเข้าใจคำเตือนจากท่าทีของซุยเมอิ แต่เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อ
“ซุยเมอิโดโนะ เราอยากรู้”
(ราชา) เมื่อเห็นว่าราชายังคงเดินหน้าต่อโดยไม่สนใจคำเตือนของเขา ซุยเมอิคลายที่ทีเคารพนบน้อมและลุกขึ้นยืน เขาโบกมือ เสื้อคลุมปรากฏขึ้นมากลางอากาศและพาดอยู่บนไหล่ของเขา
แม้ว่าจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก แต่เห็นได้ชัดว่านี่คือเวทมนตร์ของซุยเมอิ นี่คือสิ่งที่นักเวทในโลกของเขาไม่สามารถจะทำได้ มนต์สะกดของซุยเมอิ สีหน้าของเขาในตอนนี้ทำให้ท่าที่หวั่นเกรงของเขาก่อนหน้าดูเหมือนภาพลวงตาไปเลย
ท่าทีอ่อนโยนของเขาถูกแทนด้วยท่าทางที่องอาจและบรรยากาศแห่งความทะนงตัวซึ่งราชาพบเห็นได้จากจอมเวททุกคน โดยปกติแล้วท้องพระโรงแห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนที่จะตวาดซุยเมอิกับความหยิ่งทะนงของเขา แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่ เป็นครั้งแรกที่ราชาได้เห็นเขาในฐานะจอมเวท ซุยเมอิถอนหายใจ
“เป็นความจริงที่ ผู้หญิงคนนั้นแสดงให้เห็นว่าไม่มีวี่แววว่าจะได้รับความตาย ฉันประหลาดใจจริงๆเกี่ยวกับเรื่องนี้”
(ซุยเมอิ)
“ดังนั้นความจริงแล้ว …”
(ราชา)
“ใช่มันเป็นอย่างที่ท่านคิด ตัวตนของฉันที่เป็นผู้ใช้เวทย์ถูกค้นพบโดยผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนที่จะรู้ตัว ดังนั้นฉันจึงหาโอกาสที่จะปิดปากเธอ และตอนนี้เรารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่สามารถพูดได้ ดังนั้นองค์ราชารู้ได้ยังไง? “
(ซุยเมอิ)
“เราตั้งคำถามกับเธอ เมื่อใดที่เธอไม่ตอบคำถามเราก็สามารถเดาได้”
(ราชา) คำอธิบายที่รวบรัดนี้ ซุยเมอิส่งเสียง
“อ่า”
อย่างเข้าใจ
“ดูเหมือนว่าฉันจะลืมนึกไปว่า การทำสัญญาที่มีผลผูกพันของเธอ สามารถหลบเลี่ยงได้โดยการไม่ต้องพูดอะไรสักคำ”
(ซุยเมอิ) คำพูดของเขาถูกพูดออกไปเรื่อยๆราวกับลำเลียงออกมาจากในความทรงจำ และจู่ๆเขาก็จ้องมองไปที่ราชาด้วยสายตาคมกริบ
“แล้วเรียกฉันมาที่นี่ทำไม?หลังจากที่รู้ว่าชีวิตของผู้หญิงคนนั้นอยู่ในกำมือของฉัน แต่ก็ยังเรียกฉันมาที่นี่โดยไม่มีองครักษ์คุ้มกัน…..ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กลัวอันตรายอะไรเลยสินะ”
(ซุยเมอิ) แน่นอนว่าราชาก็รู้ว่าอันตรายสามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายในการพบกันครั้งนี้ แม้จะรู้ว่าอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้น เขาก็ยังคงเรียกซุยเมอิออกมาโดยที่ไม่ได้วางมาตรการอะไรไว้ สิ่งที่ซุยเมอิไม่เข้าใจแต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับราชาในการเรียกเขามาที่นี่
“ไม่ต้องกังวลไป ความจริงที่ว่าซุยเมอิโดโนะและผู้กล้าทั้งสองถูกพามาที่นี่เป็นคำสั่งของเรา นั่นคือความเป็นจริง หลังจากที่เราพลักดันปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกนี้ให้อยู่ในมือของพวกท่าน คนที่ไม่ใช่คนในโลกเราก็ยังคงเป็นความจริง…..”
(ราชา) ซุยเมอิแยกเขี้ยวของเขาขึ้น ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหมาป่าในคราบของลูกแกะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ทำตามแผน
” … “
(ซุยเมอิ)
“ซุยเมอิโดโนะ การนำท่านมายังอาณาจักรนี้และไม่สามารถที่จะส่งกลับไปได้คือความผิดของเรา ได้โปรดให้อภัยและรับฟังคำขอร้องอันหยาบคายของเราด้วย ยังไงก็ตามเรายังคงต้องการจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? ”
(ราชา)
“ความอยากรู้อยากเห็นเป็นสิ่งไม่ดีนะรู้มั้ย? มันจะดีกว่าหากไม่ต้องมารับรู้ถูกรึเปล่า?”
(ซุยเมอิ)
“บางทีท่านอาจจะพูดถูก แต่ แต่ถ้าเราหลบเลี่ยงสายตาไปและหลอกตัวเองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วล่ะก็เฟลเมเนียก็จะต้องตาย หากเป็นแบบนั้นแล้ว เราคงจะต้องมานั่งเสียใจทีหลังแน่”
(ราชา)
“เพราะผู้หญิงที่หยิ่งยโสคนนั้น?”
(ซุยเมอิ)
“เธอเป็นคนของเรา มันเป็นเรื่องที่สมควรที่เราจะต้องปกป้องเธอ….”
(ราชา) ฟังคำพูดเหล่านี้ซุยเมอิก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ตราบใดที่เธอไม่พูดมากก็ไม่มีภัยคุกคามใดๆ เอาล่ะ….มีอะไรที่เราจะต้องทำที่นี่อีกมั้ย?”
(ซุยเมอิ)
“คิดว่าไม่”
(ราชา)
“ฉันเชื่อว่ามีอย่างอื่นที่มีค่ามากกว่าการสนทนานะ?”
ซุยเมอิตอบ สีหน้าของเขาดูแปลกๆ เรื่องที่ไม่คาดคิด มีเรื่องอื่นที่จะถามงั้นหรือ?
“ซุยเมอิโดโนะ แม้เราจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคนที่พาพวกท่านมายังโลกนี้ เราต้องการจะรู้ว่าท่านเป็นคนแบบไหน?จะทำอะไรต่อจากนี้? หากความปรารถนานั้นตรงกับเรา หวังว่าเราคงจะได้ร่วมมือกัน”
(ราชา) คำพูดเหล่านี้มาจากใจเขาอย่างแท้จริง สำหรับซุยเมอิ ตราบใดที่ราชาและเฟลเมเนียยังคงเก็บเรื่องของเขาให้เงียบไว้ คนที่รู้สถานะที่แท้จริงของเขายังยังมีแค่สอง กับสิ่งที่เขาทำ
เขาได้เรียกผู้กล้ามาและส่งไปต่อสู้กับปีศาจ ไม่ใช่นิสัยของเขาที่จะทิ้งความรับผิดชอบทั้งหมดเรื่องที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่ได้นำพวกเขามายังโลกนี้ เขาไม่ใช่คนที่ไม่สนใจปัญหาใดๆและมุ่งเน้นเพียงความต้องการของตัวเองเท่านั้น เขาหวังว่าจะเข้าใจแผนการของซุยเมอิและให้การสนับสนุนเท่าที่ทำได้ แต่ว่า
“แน่นอนว่าเราไม่ได้บังคับ หากซุยเมอิโดโนะไม่ต้องการที่จะบอกความปรารถนากับเรา หากว่าไม่ไว้ใจเรา เราก็เข้าใจ”
(ซุยเมอิ) ราชาก้มศีรษะของเขาลงจากบัลลังก์ที่เขานั่งอยู่ เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองประเทศไม่ควรทำ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สายตาของซุยเมอิทำให้เขาผงะ
“ราชาที่ทำตัวแบบนั้น ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ?”
(ซุยเมอิ) การแสดงออกของเขาบ่งบอกความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ซุยเมอิถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เหมือนกับยอมแพ้บางสิ่งบางอย่าง
“ขอโทษสำหรับความหยิ่งยโสของฉันด้วยแล้วกัน หากมีอะไรที่ราชาต้องการจะรู้ คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนยืนอยู่ที่นี่แล้ว โปรดถามได้อย่างอิสระ”
(ซุยเมอิ) ซุยเมอิยังคงยืนอยู่ ท่าทางของเขาอาจจะถูกคนอื่นมองไม่สุภาพ และลักษณะที่หยิ่งผยองของเขาได้หายไปและมีการเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
ไม่ใช่ซุยเมอิที่ยืนอยู่ด้านข้างเรอิจิและมิซึกิเมื่อพวกเขาได้รับการเรียกตัวครั้งแรก หรือท่าทีที่หยิ่งยโสที่แสดงออกก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเขา ตัวตนของเขาที่แท้จริงคือยาคางิ ซุยเมอิที่เป็นผู้ใช้เวทย์ นี่เป็นการแสดงออกถึงการให้ความเคารพมาที่สุดของเขาแล้ว เมื่อซุยเมอิแสดงออกถึงความตั้งใจของเขา ราชาจึงเริ่มตั้งคำถาม
“ท่านเป็นคนแบบไหน?”
(ราชา)
“ในโลกของเราเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ใช้เวท เราเป็นนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับความลับของโลก พวกเราใช้ชีวิตในแบบเดียวกับจอมเวทย์ในโลกนี้”
(วุยเมอิ)
“ผู้ใช้เวทย์…”
(ราชา) เขาพึมพำคำที่ได้ยิน เนื่องจากอิทธิพลในการเรียกผู้กล้าว่า
“จอมเวท”
กล่าวถึงค่อนข้างมากในยุคหลัง แต่ชื่อเรียกของเขาค่อนข้างจะแตกต่างกัน ( “魔術師” เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายผู้ใช้เวทในโลกของซุยเมอิที่ “魔法使い”ถูกใช้โดยคนของโลกอื่น ๆ .
ในพื้นถิ่นที่พวกเขาหมายถึงสิ่งเดียวกัน แต่ที่นี่ผู้เขียนมีแนวโน้มที่จะเน้นความแตกต่างในตัวบุคคลที่จะชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างบทบาทของพวกเขาในโลกที่เกี่ยวข้อง” 師 “
ความหมาย “ผู้เชี่ยวชาญ” และ “使い” ความหมาย “ผู้ใช้.” นอกจากนี้ “術” ใน “魔術” ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายเทคนิคหรือทักษะ.) ราชาถามคำถามอื่นทันที
“แล้วทำไมถึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ? แม้แต่ท่านผู้กล้าหรือมิซึกิโดโนะยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้”
(ราชา)
“ท่านเคยได้ยินจากเรอิจิและมิซึกิแล้วนี่ ว่าโลกของเราแตกต่างจากโลกนี้ โลกที่อาศัยอยู่ภายใต้การเติบโตของวิทยาศาสตร์ เวทมนตร์ในโลกของเราถูกบังคับให้อยู่ในภาวะวิกฤติ ถูกหมายหัวจากพลังที่มี นั่นเป็นเหตุผลที่ตัวตนของผู้ใช้เวทไม่มีอยู่ในโลกของฉัน หากว่าเราปรากฏตัวขึ้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะถูกกำจัดทิ้งทันที เป็นการจัดการภัยคุกคามของประชาชนที่เรียกว่าผู้ใช้เวท”
(ซุยเมอิ) ในขณะที่เขาพูดจบเขาเพิ่มคำพูดสุดท้าย
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องหลบซ่อน ความระมัดระวังเป็นสิ่งจำเป็น “
“จากสิ่งที่ท่านเล่ามาดูเหมือนว่า เพื่อไม่ให้เรอิจิโดโนะและมิซึกิโดโนะรู้เรื่องนี้จึงต้องทำให้เฟลเมเนียเงียบ เพราะเธอไปค้นพบความลับเรื่องนี้เข้า”
(ราชา)
“ใช่ ตอนนั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องอะไรไปบ้าง แต่เพื่อทำให้เธอเงียบเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ดังนั้นฉันจึงต้องเปิดเผยตัวเองเพื่อทดสอบเธอ ใครจะคิดกันล่ะว่าเธอได้วางกับดักสำหรับฉัน โกเลมที่อันตราย ตั้งแต่เธอได้เผยความประสงค์ร้ายต่อฉัน การดำเนินการที่เหมาะ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันจะต้องทำ”
(ซุยเมอิ) คำพูดบางอย่างของเขาทำให้ราชาเอะใจ
“โกเลม?”
(ราชา)
“ถูกต้อง การสร้างที่ค่อนข้างน่ากลัวและการปรากฏตัวที่เหมือนกับอัศวิน มันดักซุ่มโจมตีฉัน แต่ก็ถูกทำลายไปด้วยเวทมนตร์ของฉัน”
(ซุยเมอิ)
“จอมเวทสลามัส โกเลม”
(ราชา) เมื่อเขามาถึงโกเลมได้โจมตีซุยเมอิ ราชามีหรือจะไม่รู้ต้นกำเนิดของมัน ภายในราชวังมีโกเลมอยูเพียงตัวเดียว ที่สร้างขึ้นโดยสลามัส อันที่จริงคนที่มีโกเลมเป็นของตัวเองก็มีแค่เขาเท่านั้น สลามัส โกเลม ถูกสร้างขึ้นโดยนักวิชาการผู้มีประสิทธิภาพ เฟลเมเนียได้นำเธอออกจากท้องพระคลังแล้วก็ยังพ่ายแพ้ อย่างไงก็ตาม
“มันอาจเป็นไปได้ว่าเฟลเมเนียไม่ได้ทำอะไรมากนัก มันดำเนินการด้วยตัวเองเป็นไปได้รึเปล่า”
(ราชา) ถ้าหากต่อสู้กันทันทีหลังจากนั้น ดูเหมือนจะเป็นการรีบร้อนไปห้องทุกห้องก็ยังคงเรียบร้อยดี แม้ว่า เฟลเมเนียเป็นคนหนึ่งที่เขาต้องการจะช่วย คำตอบของซุยเมอิมีบางอย่างแปลก
“ฉันจะไม่ปฏิเสธว่าความเยือกเย็นของฉันหายไป แต่ฉันเป็นคนหนึ่งที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งเวทมนตร์และเราเป็นผู้ใช้เวท ตามมารยาทแล้วผู้ใช้เวทย์เมื่อต้องเผชิญกับหมาป่า-อ๊ะขอโทษด้วย-เด็กสาวคนหนึ่ง ฉันล้มเหลวในการลงโทษอันรุนแรง จะกล่าวว่ามีบางสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ดี ฉันอาจจะต้องยอมรับว่าฉันได้ระบายความโกรธไปกับการแข็งขืนต่อโลกใบนี้แล้ว”
(ซุยเมอิ) ซุยเมอิเผยให้เห็นรอยยิ้มบอกบุญไม่รับและถอนหายใจ
” … เด็กเหลือขอซนๆคนหนึ่ง”
(ราชา)
“ผู้ใช้เวทคนนั้น คนที่พิจารณาเฉพาะสิ่งที่เขาคิดโดยไม่ได้สนใจสิ่งอื่น ไม่เคยพิจารณาว่าการกระทำของเขาอาจจะมีผลต่อคนรอบข้าง แต่ยังไงก็ตามองค์ราชา อย่าขอร้องให้เฟลเมเนีย ฉันไม่คิดว่าท่านมีสิทธิที่จะทำอย่างนั้น”
(ซุยเมอิ)
“นั่นนั่นมันก็จริง”
(ราชา) แม้ว่าเขาจะตัดใจจากเรื่องของเฟลเมเนียแล้ว แน่นอนเขาไม่ได้มีสิทธิที่จะไปต่อว่าการกระทำของซุยเมอิ การใช้เวทมนตร์คำสาปไม่ได้ถูกนำมาใช่เพื่อการชั่วร้าย แม้ว่าซุยเมอิจะครอบครองพลังมากมาย
แต่ความปรารถนาของเขาคือการหลีกเลี่ยงจากปัญหา ขังตัวเองอยู่ในห้อง แม้ว่าเขาจะตรวจสอบราชวังแต่ก็หลีกเลี่ยงสำนักงานและท้องพระคลัง-สถานที่ตั้งวัตถุล้ำค่า- เขาไปได้สร้างปัญหา
ตรงกันข้าม การกระทำอันรุนแรงของเฟลเมเนียอาจถูกมองว่าสมควรได้รับบทเรียน เขามีวิธีการที่จะอยู่อย่างสงบในโลกอื่น แต่อันตรายจากกับดักโกเลม แม้ว่าซุยเมอิจะเอาชีวิตของเธอไป พวกเขาก็ไม่มีสิทธิบ่น ขณะที่เขากำลังคิด ซุยเมอิก็หันหน้ามองเสาที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ไม่มีทางน่ะ…”
ราชาคิดว่าถ้าตัวเองเป็นซุยเมอิก็อยากจะเงียบเหมือนกัน
“ยังไงก็ตาม เราควรจะเข้าใจให้ตรงกันซะก่อน แล้วทำไมเธอถึงมั่นใจนักว่าฉันจะไม่ทำแบบนั้นกับเธออีก”
(ซุยเมอิ) คำพูดเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีไว้สำหรับราชา แต่สำหรับคนอื่น ซุยเมอิพูดคำเหล่านี้กับเฟลเมเนียที่เดินออกมาจากด้านหลังเสา
” … “
เฟลเมเนียก้าวออกมาจากด้านหลังของเสา ความประหลาดใจฉายชัดบนใบหน้าของเธอ ซุยเมอิมองเธออย่างไม่แยแสก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับราชาอีกครั้ง
” … รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
(เฟลเมเนีย)
“กลับกัน ทำไมฉันถึงจะต้องบอก?”
(ซุยเมอิ)
” … “
(เฟลเมเนีย) นั่นคือเรื่องดีที่ซุยเมอิเป็นผู้ใช้เวท แทนที่จะคิดว่าเขายังคงไม่รู้ มันจะดีกว่าถ้าหากคาดเดาไว้ว่าเขาจะมองมันออก
“ซุยเมอิโดโนะ เกี่ยวกับเรื่องนี้-“
(ราชา)
“ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เมื่อท่านบอกฉันว่ามันมีเพียงแค่เราสองคนตอนที่เริ่มต้นของการสนทนา เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องโกหก แต่เมื่อท่านพิจารณาว่ามันเป็นเพื่อประโยชน์ของผู้หญิงคนนั้นที่เป็นเรื่องที่มีค่าของท่าน ฉันเข้าใจ “
(ซุยเมอิ)
“เราขอโทษ.”
(ราชา) ราชาขอโทษอย่างตรงไปตรงมา เฟลเมเนียซ่อนอยู่ในเงาที่ด้านข้างของเขาไม่ได้เพราะเธอต้องการที่จะปกป้องเขา แต่เพราะเขาเป็นห่วงเกี่ยวกับเธอ
ถ้าเฟลเมเนียอยู่ในห้องด้วยบางทีซุยเมอิอาจจะโกหกเกี่ยวกับเรื่องของเธอ เธอไม่ได้อยู่ในการพูดคุย แต่เพื่อให้รู้สถานการณ์ของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้เธอซ่อนตัว ผลลัพธ์ก็คือ?
ซุยเมอิมองจุดประสงค์ของพวกเขาออกอย่างง่ายดาย อย่างที่เขาได้บอก ใบหน้าของเธอซีดเผือด เฟลเมเนียเรียกชื่อของซุยเมอิ
“ซุ..ซุยเมอิโดโนะ”
(เฟลเมเนีย)
“อยากจะพูดว่าความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น? นั่นมันเป็นเหมือนเธอกำลังโกหกนะ ถ้าเธอเป็นผู้ใช้เวทย์ เธอควรจะยึดมั่นในความถูกต้องและไม่ควรยึดติดกับเกียรติยศนะ ไม่ใช่ว่าเธออายุมากกว่าฉันอย่างนั้นเหรอ?”
(ซุยเมอิ)
“อา … “
(เฟลเมเนีย) เฟลเมเนียปิดปากของเธอเมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ แต่ดูเหมือนว่าซุยเมอิจะรอให้เธอตอบ
“แล้วเหตุผลที่นายกำลังตรวจสอบวงเวทอัญเชิญผู้กล้า… “
(เฟลเมเนีย) เพราะความมุ่งมั่นที่จะกลับบ้าน
“ฉันเคยพูดไปแล้วว่าฉันต้องการที่จะกลับไปยังโลกของเรา มีสิ่งที่ฉันอย่างไม่สามารถที่จะทำได้นอกจากนี้- “
(ซุยเมอิ)
“นอกจากนี้ ?”
(เฟลเมเนีย)
“….เมื่อวันก่อน เรอิจิและมิซึกิมาหาฉันเพื่อบอกเรื่องการออกเดินทาง แม้จะรู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญอันตราย แต่ไม่สามารถที่จะอยู่เคียงข้างพวกเขาได้ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องทำในฐานะผู้ใช้เวท”
(ซุยเมอิ)
ปล.1 เนื้อเรื่องบทนี้ยาวมาครับ ขอแบ่งออกเป็นสองตอน
ปล.2 แวบหนึี่งผมเกือบนึกว่าราชาเอลมาเดียสเป็นพระเอก……ส่วนซุยเมอิเป็นราชาปีศาจปลอมตัวมาซะอีก
ที่มา: