ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป“อ๊ะ-”
เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ เป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่ว่าต้องการจะกลับบ้านเท่านั้น เขายังคิดถึงเพื่อนๆและพยายามที่จะหาวิธีพาพวกเขากลับบ้านอีกด้วย จริงงั้นเหรอ นั่นมันน่าตกใจจริงๆ
“เดี่ยวก่อนนะ อย่าบอกนะว่านายเข้าใจมันแล้ว”
“ถ้ามีเวลามากพอ มันก็ไม่ใช่เรื่องอยากอะไร”
“นั่นมันก็….”
นั่นมันวงเวทอัญเชิญผู้กล้านะ สิ่งที่อยู่นอกเหนือสามัญสำนึกของมนุษย์เกินกว่าที่จะทำความเข้าใจ! แต่เขากลับบอกว่าสามารถคลี่คลายความลับของมันได้ นั่นคือของที่ตกทอดมาจากยุคเก่า ทั้งปริมาณมานาที่จะต้องใช้
คาถาที่ต้องร่ายก็ต้องทำตามคำอธิบายที่ถูกทิ้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด วงเวทถึงจะสามารถเปิดใช้งานได้ ไหนจะกลไกการสร้างอีกล่ะ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าใจมัน แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับบอกว่าเขาสามารถทำมันได้! นอกจากนี้ยัง… ท่ามกลางเสียวประหลาดใจ ซุยเมอิยังคงกล่าวต่อไป
“เพราะว่าฉันจะใช้เวลาในการวิเคราะห์สิ่งของสำหรับใช้อัญเชิญก่อนหน้านี้ ฉันพบว่ามันมีความยุ่งยากนิดหน่อยเกี่ยวกับสถานที่ที่คิดไม่ถึง”
อาจจะพูดว่าเป็นจังหวะของโชคก็ได้
“หากว่าท่านกังวลเกี่ยวกับเพื่อนๆ ทำไมถึงไม่บอกพวกเขาล่ะ?ถ้าพวกเขารู้แล้วล่ะก็ ท่านผู้กล้า…..”
“ฝ่าบาท หากพวกเขารู้ว่าฉันเป็นอะไร มันจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายหากสามารถกลับไปที่โลกของเราได้”
ซุยเมอิขัดจังหวะ เหตุผลเกี่ยวกับความปลอดภัยทำให้เขาไม่สามารถบอกเล่าตัวตนที่แท้จริงออกไปได้
“ด้วยการพลักภาระทั้งหมดให้กับตัวเอง?”
“องค์ราชา ฉันไม่สามารถพูดว่าเข้าใจโลกของท่านได้หรอกนะ แต่ว่าโลกของพวกเราน่ะ มันก็เหมือนกับรังงูพิษนั่นแหล่ะ”
“รังของงูพิษ?”
“ถูกต้อง ในโลกของพวกเรามีบางคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่อครอบครองความรู้ความสามารถไว้คนเดียว อ่านความทรงจำ ลบความทรงจำ หรือบีบบังคับให้คนอื่นบอกในสิ่งที่พวกเขารู้….หากเรากำลังพูดถึงเวทมนตร์ล่ะก็มันมีหลายวิธีเลยล่ะ ถ้าเปิดเผยตัวตนของฉันออกไป ผลตอบแทนที่ตามมามันเป็นราคาที่คาดไม่ถึงเลยล่ะ ในโลกของเราน่ะมันมีพวกคนบ้าที่พร้อมจะกระโจนเข้ามาฟัดทันทีที่รู้ว่าพวกผู้ใช้เวทมีตัวตนอยู่เลยนะ”
“เวทมนตร์ในโลกของท่านน่ากลัวขนากนั้นเลย?”
“ก็แบบนั้นแหล่ะ”
ราชาตกอยู่ในความเงียบเมื่อซุยเมอิพยักหน้ายืนยัน หากว่าที่ซุยเมอิพูดมาเป็นความจริง ความคิดที่ต้องการอยู่อย่างสงบก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม แม้ว่าจะไม่ต่างกันก็มีบางสิ่งที่ไม่สามารถจะทำได้ เมื่อเทียบกับโลกนี้ เวทมนตร์ของเขาอาจจะแข็งแกร่งและร้ายกาจ
แต่ก็มีศัตรูอยู่ทุกหนทุกแห่ง และอันตรายก็สามารถเกิดได้ในทุกที่ เพื่อจะมีชีวิตรอดพวกเขาต้องซ่อนตัว ความเป็นจริงที่ว่าทำให้ซุยเมอิใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก
“เมื่อเรอิจิและมิซึกิต้องการจะกลับบ้าน ฉันไม่มีทางเลือกมากนัก การจะซื่อสัตย์และอยู่เคียงข้างพวกเขาในตอนนี้พร้อมๆกับเก็บตัวตนของฉันให้เป็นความลับต่อไป มันเป็นเรื่องยาก”
“เราเข้าใจ”
อย่างที่เขาพูด เมื่อพวกเขาเห็นเวทมนตร์ที่จะพาพวกเขากลับบ้าน มันอาจจะอธิบายได้ว่า พวกเขาได้เรียนรู้เวทมนตร์จากที่นี่ แต่เมื่อพวกเขากลับไปถึง พวกเขาก็จะต้องรู้กฎระเบียบเกี่ยวกับเวทมนตร์
แม้จะยอมรับว่าการเปิดเผยความจริงเป็นสิ่งจำเป็น แต่เมื่อคิดถึงวิธีการของซุยเมอิ เขาคิดว่ามันคงไม่ได้ง่ายแบบนั้น ความคิดเหล่านี้ปรากฏอย่างแจ่มชัดในใจของราชา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียวใจอย่างลึกล้ำเมื่อเขาพูดขึ้น
“ในไม่ช้านี้ ท่านยังมีมีแผนการที่จะเข้าร่วมกับพวกเขา?”
“ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ ว่าฉันไม่ชอบทำอะไรไม่ระวัง”
“สำหรับท่านที่สามารถเอาชนะเฟลเมเนีย มันดูเหมือนจะเป็นการประมาทเราไปหรือเปล่า นอกจากนี้ถ้าเป็นซุยเมอิโดโนะล่ะก็ น่าจะแข็งแก่งกว่าท่านผู้กล้าไม่ใช่หรือ?”
“อาจจะ แต่ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น . “
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”
“แม้ว่าเราจะถกเถียงกันไปก็เปล่าประโยชน์ แม้ว่าเรอิจิจะไม่ใช่คนที่น่านับถืออะไรนัก แต่เขาก็มักจะทำในสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึง และเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะระมัดระวังจนน่าแปลกใจเลยล่ะ นอกจากนี้ท่านก็รู้เรื่องพลังที่ผู้กล้าได้รับจากการอัญเชิญอยู่แล้ว อย่าได้กังวลใจไปเลย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถปราบราชาปีศาจสำเร็จ เขาก็จะไม่ตายง่ายๆหรอก ”
“เรารู้แล้ว”
“เพราะแบบนั้นแหละ ไม่มีอะไรที่ฉันจะต้องกังวล”
ซุยเมอิกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะไว้ใจเรอิจิค่อนข้างมาก ซุยเมอิพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ
“แต่พวกเขาก็ยังคงต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก”
ด้วยความคิดเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเข้าต้องเผชิญในภายหน้า ใบหน้าของเขาก็ดูเหมือนจะแข็งกระด้างไป ตอนนี้ราชาสอบถามกับซุยเมอิอีกครั้งเพื่อยืนยัน
“เกี่ยวกับ เฟลเมเนีย “
“ก่อนอื่น ฉันบอกไปแล้ว ตราบใดที่เธอไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็น มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น จริงๆแล้วฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้มันสำคัญนะ”
ซุยเมอิดึงกระดาษสีขาวออกมาจากความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว กระดาษสีขาวราบกับหิมะที่ไม่ได้แตกต่างจากกระดาษแผ่นอื่น แต่หากสังเกตให้ดีจะพบกับข้อความบางอย่างและตราประทับเลือด ซุยเมอิพับกระดาษเพื่อเตรียมจะฉีกมัน
“ซุ..ซุยเมอิโดโนะ! รอก่อน”
สีเลือดเหือดหายไปจากใบหน้าของเฟลเมเนียขณะที่เธอร้องออกมา ซุยเมอิทำหน้าราวกับเขาไม่ได้ยิน เสียงกระดาษฉีกขาดดังเข้ามาในโสตประสาท และเธอล้มลงไปกับพื้นที่ปกคลุมไปด้วยกระดาษที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ซุยเมอิสะบัดนิ้วมือหนึ่งครั้งเศษกระดาษก็ถูกเปลวไฟเผาไหม้และหายไป
“อา … “
“เอาล่ะคุณสภาจอมเวท ตอนนี้คำแช่งสาปของเธอก็ได้รับการอภัยแล้ว เธอเป็นหนี้องค์ราชานะ”
เขาบอกสิ่งที่อยู่ในใจเขากับเฟลเมเนีย ก่อนจะหันไปหาราชาอีกครั้ง
“นั่นดีแล้วหรือ”
ราชาถาม
“ท่านต้องการความไว้วางใจระหว่างเราไม่ใช่เหรอฝ่าบาท หากที่คืออุปสรรค ทำไมเราไม่ทำลายมันซะล่ะ”
เขายังคงกล่าวต่อไป
“แต่ท่านจะต้องให้สัญญากับฉัน ว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ให้กับเรอิจิและคนอื่นๆรู้ อย่างนัช้อยก็จนกว่าจะถึงเวลานั้น เมื่อฉันไม่มีทางเลือกอื่น”
“เราเข้าใจ มันจะเป็นอย่างที่ท่านพูด”
ราชาสัญญาว่าจะทำตามคำร้องของของซุยเมอิ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมรับขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ จากนั้นเขาก็สอบถามซุยเมอิถึงแผนการในอนาคต
“หลังจากนี้ท่านจะทำอะไรต่อไป? มีอะไรที่อยู่ในปราสาทที่สามารถช่วยในการกลับบ้านของท่านได้บ้าง โปรดอย่าลังเลที่จะบอกเลย”
พวกเขาเป็นแขกของราชาที่ได้นำตัวมาที่นี่ ความรับผิดชอบในเรื่องนั้น เป็นเหตุผลมาพอที่พวกเขาจะเต็มใจดูแลซุยเมอิต่อไปจนกว่าเวทมนตร์ที่จะส่งเขากลับบ้านจะเสร็จเรียบร้อย ซุยเมอิส่ายศีรษะ
“ไม่จำเป็น เมื่อเรอิจิและคนอื่นๆไปแล้ว ฉันก็จะไปเช่นกัน”
“เพื่ออะไร?”
“ฉันวางแผนไว้ว่าจะไปที่จักรวรรดิเนลเฟเรียน จุดที่เป็นทางแยกของสามประเทศที่แตกต่างกัน นั่นเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะไปค้นคว้าข้อมูล”
ซุยเมอิอธิบาย จักรวรรดิเนลเฟเรียน เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรบริเวณนี้ โดยการเดินทางผ่านแอสเตอร์จะง่ายกว่าทางอื่น เพราะแอสเตอร์เป็นประเทศพันธมิตรจึงง่ายต่อการเดินทางผ่าน
ซุยเมอิกล่าวหลังจากพิจารณามาแล้วซึ่งมันก็เป็นความคิดที่ดี บอกตามตรงว่าราชาไม่ต้องการให้จอมเวทผู้แข็งแกร่งอย่างซุยเมอิออกจากการควบคุมของเขาเลย แต่ด้วยพลังอำนาจของเขาแล้วการบีบบังคับเขาคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
“จะว่ายังไงดีล่ะ อืม ถ้ามีอะไรที่เราสามารถทำได้ โปรดอย่างลังเลที่จะบอกกับเรา แม้ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่เราจะทำให้ดีที่สุด”
แม้ราชาจะบอกจุดประสงค์ของเขา ซุยเมอิก็ยังไม่พยักหน้า
“อ่า…ฉันชื่นชมความมุ่งมั่นนั่นนะ แต่ไม่ต้องสนใจฉันหรอก”
“ทำไมล่ะ? นี่คือต่างแดนสำหรับท่าน ซุยเมอิโดโนะ ท่านไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆจริงๆหรือ”
ซุยเมอิคือที่มาจากโลกที่มีความแตกต่างทั้งวัฒนธรรมและประเพณี ถ้าเขาไม่มีคนคอยช่วยเหลือ เขาคงจะใช้ชีวิตในโลกนี้ๆได้อย่างยากลำบากอย่างแน่นอน ราชารอจะให้ความช่วยเหลืออย่าใจจดใจจ่อ ยังไงก็ตาม…..
“สบายน่า หลังจากนี้ฉันจะถูกมองว่าเป็นคนประโยชน์และถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องให้การสนับสนุนใดๆกับคนแบบนั้น นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
“แต่ว่า…”
“หลังจากเหตุวุ่นวายเมื่อครั้งแรกที่เรามาถึง จนถึงฉันซุกตัวอยู่แต่ในห้อง พวกข้าราชการคงมองฉันด้วยสายรังเกียจแล้วล่ะ หากให้ความช่วยเหลือคนแบบนั้นจะมีใครสนับสนุนความคิดอื่นของท่านอีก คงมีหลายคนที่บ่นและไม่พอใจกับการกระทำของท่าน นี่คงไม่ใช่เรื่องดีนัก”
ซุยเมอิมองสถานการณ์ออก ถ้าหากเขาออกจากปราสาทแล้วราชาจะต้องปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ มิฉะนั้นเสียงซุบซิบและนินทาว่าร้ายจะถูกพูดออกมาจากคนที่โกรธซุยเมอิ
“ทำไมราชาถึงต้องดูแลเจ้าขยะที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น? ทำไมเขาจะต้องกังวลเกี่ยวกับเจ้าแพะตัวเมียนั่น แทนที่จะใส่ใจประชาชนของตัวเอง?”
ฯลฯ
“เราเข้าใจ แต่เราก็ยังต้องการให้ความช่วยเหลืออยู่ดี”
“เชื่อเถอะว่าฉันเข้าใจ แต่มันยุ่งยากมากเกินไป”
“เอาล่ะ….”
น้ำเสียงทรงอำนาจของซุยเมอิบอกกล่าวกับราชา เด็กหนุ่มคนนี้ดูดื้อรั้น เขาไม่ต้องการปกป้องจากใครและไม่ต้องการความคิดเห็นจากใคร แม้แต่ความช่วยเหลือเขาก็ยังไม่ต้องการ บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นเพราะความเชื่อมั่นในความสามารถของเขา แต่ว่าจะพูดว่าไม่ใช่แบบนั้นก็คงไม่ได้ สายตาของคนที่จ้องมองมาที่เขาอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนพวกเขาไม่ได้มองมาที่เรา ราชาคิดกับตัวเอง มีแต่คนที่สายตามีปัญหาเท่านั้นล่ะที่จะกล้ามาท้าทายเขา สายตาที่ไร้ประสิทธิภาพเหมือนกับอายุของพวกเขา และเราก็เช่นกัน
“….บนถนนของชีวิตย่อมมีภูเขาที่ต้องป่ายปีนขึ้นไป ไม่ว่ามันจะกว้างขวางหรือสูงใหญ่สักเพียงใด หากไม่มีความสามารถที่จะก้าวข้ามมันไปได้จะเรียกตัวเองว่าผู้ใช้เวทได้ยังไง และฉันยาคางิ ซุยเมอิ คือผู้ใช้เวท คือคนที่ท้าทายความลับของโลกใบนี้และมุ่นหน้าไปสู่เกียรติยศ และฝ่าบาทไม่ต้องทำอะไร แค่เชื่อมั่นก็พอ ”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง ในตัวของเขานั้นมีทั้งความทะนงและความแข็งแกร่งของอัจฉริยะผู้ไล่ตามปฏิหาริย์ ชายหนุ่มคนนี้คือใครกัน เขาเป็นแค่
“คนธรรมดาที่ติดร่างแหมากับผู้กล้า”
จริงๆงั้นเหรอ ในขณะที่มองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ซุยเมอิพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยตัวเอง
“…แม้ว่าฉันจะพยายามพูดอย่างเยือกเย็นแค่ไหน ฉันก็แค่คนขี้ขลาดที่ห่วงชีวิตตัวเองและวิ่งหนีออกมาจากการสู้รบแค่นั้น”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราทุกคนที่ได้ผลักภาระให้กับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยก็คงจะเหมือนกัน”
ใครล่ะที่จะสามารถตำหนิซุยเมอิได้? หากเขาตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับราชาปีศาจ ไม่มีคนที่หลบซ่อนตัวเองอยู่ในที่ปรอดภัยมีสิทธิจะพูดแบบนั้น โดยเฉพาะกับซุยเมอิที่ต้องต่อสู้กับเรื่องที่ยากลำบากเพียงลำพัง
ไมมีใครที่มีสิทธิที่จะไปว่ากล่าวเขาอย่างเด็ดขาด กับคนเช่นซุยเมอิ ผู้มีความฝันและความปรารถนาอันไม่มีที่สิ้นสุด การอยู่ที่นี่ก็เพื่อการนั้นเท่านั้น เขามองซุยเมอิอย่างเจ็บปวดพลางนึกถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ร้องตะโกนในห้องนี้เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะช่วยได้ และรู้สึกเสียใจ
ตอนนั้นเขาสามารถบอกได้ว่าซุยเมอิรู้สึกอย่างไร เพราะเขาเคยก็เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อน แต่ยังไงเขาก็มีลูกสาวอยู่ด้วย เขาจึงสามารถทำใจได้ แต่ซุยเมอิไม่ใช่แบบนั้น ราชาจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ซุยเมอิพูดขึ้นอย่างช้าๆ
“ท่านต้องการจะรู้อะไรอีกรึเปล่า”
“ในเรื่องนั้น–”
ซุยเมอิยอมตอบทุกคำถามของราชาแต่โดยดี เกี่ยวกับเรอิจิและมิซึกิพวกเขาไม่ได้พูดถึงเวทมนตร์แต่คุยเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสาม การสนทนานี้กินเวลายาวนาน เมื่อซุยเมอิกลับไปยังห้องของเขา ราชามองส่งไปจนลับสายตาก่อนจะหันมาคุยกับคนด้านข้าง
” … เฟลเมเนีย.”
“ฝ่าบาท”
“การสนทนาเมื่อสักครู่ท่านผู้กล้าและมิซึกิโดโนะ จะต้องไม่รู้ถูกต้องหรือไม่”
“อย่างที่พระองค์ตรัส ฝ่าบาท”
เมื่อเฟลเมเนียได้รับการปลดปล่อยจากคำสาป การแสดงออกของเธอก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เธอเป็นอาจารย์ของผู้กล้าและคุ้นเคยกับเรอิจิเป็นอย่างดี จากการใกล้ชิดกลับผู้กล้า เขาเป็นคนที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันเป็นอย่างดี เมื่อได้มาปรับความเข้าใจกัน ความกังวลใดๆที่มีอยู่ก็พลันหายไป
“หม่อมฉันไม่คิดว่า….ไม่มีทางที่ซุยเมอิโดโนะจะคาดเดาผลลัพธ์ที่แท้จริงได้ จากความเป็นไปได้มากมาย”
เฟลเมเนีย ขมวดคิ้ว
“สมมุติว่าเขาทำได้ เขาก็ยังประมาทเกินไป หากความเป็นจริงไม่เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ ผมกระทบคงไม่ธรรมดา และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์เหล่านั้น”
เช่นเดียวกับที่เฟลเมเนียพูด หากราชาไม่เต็มใจที่จะควบคุมและยังคงยึดมั่นในหลักการแล้ว การคาดเดาของซุยเมอิอาจจะไม่ถูกต้องและเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีขึ้น แม้ว่าซุยเมอิจะไม่ได้เตรียมแผนการรองรับแต่เฟลเลเนียกลับเห็นด้วยกับที่เขาทำ
“เฟลเมเนีย เสื้อผ้าของซุยเมอิโดโนะ….เจ้ารู้มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร?”
“เสื้อผ้าของเขา? นั่นมันชุดออกรบของเขา- อ่า!”
และเธอก็นึกขึ้นได้ว่านั่นเป็นเครื่องแต่งกายสำหรับการต่อสู้ เพราะเข้าใจในสิ่งที่เขาหมายถึง เฟลเมเนียมองไปที่ราชาด้วยสายตาชื่นชม
“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องยิ่งนัก แม้ว่าซุยเมอิโดโนะที่ไม่ได้พูดแต่พระองค์กลับเข้าใจอย่างชัดเจน”
“ตอนที่เขาเดินเข้ามาในห้อง เรารับรู้ได้ถึงบรรยากาศแห่งชัยชนะที่เขาปล่อยออกมา นั่นทำให้เรารู้”
ราชากล่าวพลางรำลึก เสื้อคลุมได้ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ซุยเมอิต้องการเตือนถึงร่องรอยของเลือดที่ยังอยู่บนเสื้อผ้าของเขา เขาต้องการให้เห็นเขาเห็นว่าเขาพร้อมจะก้าวเข้าสู่สนามรบทุกเมื่อ ซุยเมอิไม่ได้เตรียมการใดๆไว้สำหรับตรวจสอบ ความโอนอ่อน การปรองดองหรืออะไรสิ่งที่มากกว่านั้น
“เรากลัวในสิ่งที่เขาจะทำ หากเราแสดงตัวว่าเป็นศัตรูของเขาแล้ว เราก็จะถูกจัดการ ยังไงก็ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตอบสนองอย่างเป็นมิตรอยู่ หลังจากที่เขาตรวจสอบว่าเราน่าเชื่อถือมากพอหรือเปล่า ถ้าเขาตัดสินว่าเราเป็นอันตรายต่อเขา เราคงถูกกำจัดทันที”
“การพบกันคืนนี้เป็นกับดัก!?”
“คงไม่อันตรายถึงขนาดนั้น ซุยเมอิโดโนะกล่าวว่าเขามีเวทมนตร์จัดการกับความทรงจำ แม้ว่าอาจจะทำให้เหตุการณ์แย่ลงและแม้ว่าเขาจะไม่อนุญาตให้เรอิจิโดโนะและมิซึกิโดโนะรู้ เขาก็คงมีวิธีรับมือกับสถานการณ์นั้น ถึงเราจะทำอะไรเขาไม่ได้ ก็อาจจะให้ผู้กล้าทำแทนได้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายในตอนนี้ ทางที่ดีคือซุ่มโจมตีเขาด้วยจอมเวทระดับสูงของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะคาดเดาได้ เจ้าคิดว่าเรามีโอกาสจะชนะหรือเปล่า?”
หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยจากคำปฏิญาณ เฟลเมเนียสามารถตอบคำถามนี้ได้ ด้วยความแข็งแกร่งของซุยเมอิ เป็นไปได้หรือที่กองกำลังสุดยอดของปราสาทจะลอบทำร้ายเขาได้? เธอคิดสักครู่ก่อนที่จะตอบอย่างเคร่งขรึม
“…เป็นไปไม่ได้ค่ะ”
“นั่นก็เพื่อ….ห่ะ!!”
คำตอบของเฟลเมเนียทำให้ราชาประหลาดใจมาก เขาต้องการจะรู้ระดับพลังของซุยเมอิและเพื่อสิ่งนั้นต้องพึ่งการประเมินของเธอ
“แต่ฝ่าบาทพระองค์คิดจริงๆหรือว่าจะสามารถเอาชนะพลังของซุยเมอิโดโนะได้”
“นั่นมัน ใครเล่าจะรู้ได้?”
“ฮะ…?”
“ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การคาดเดา ไม่มีวิธีที่จะตรวจสอบได้ ตราบเท่าที่ซุยเมอิโดโนะไม่พูดออกมา เราก็ไม่อาจจะรู้ได้เลย…” “เห็นด้วยค่ะ”
ระหว่างคิ้วเฟลเมเนียเกิดรอยย่น ไม่ว่าเธอจะเข้าใจถูกหรือกำลังถูกชักจูงอยู่ เธอก็ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ซุยเมอิกำลังคิดอยู่ได้ แม้ว่า-
“สำหรับเขาแล้ว การที่เราก้มหัวให้คงทำให้เขาหวั่งไหวอยู่พอสมควร”
นี่เป็นความจริงอย่างแน่นอน ราชาไม่ควรก้มหัวให้กับใคร แต่เพราะเขาทำแบบนั้น ซุยเมอิจึงตัดสินว่าเขาคู่ควรแก่การไว้ใจ
” … หม่อมฉันรู้สึกเห็นใจจริงๆ”
“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก”
เมื่อราชาเปลี่ยนเรื่องคุย น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป เฟลเมเนียไม่ได้คัดค้าน ก่อนที่พวกเขาจะเรียกซุยเมอิมา เธอได้แสดงแล้วว่าเธอเต็มใจที่จะยอมรับการลงโทษ เธอรอคอยอย่างเงียบ ๆ
” … หม่อมฉันเข้าใจ และยินดีจะรับมัน “
“ถ้าอย่างนั้น จอมเวทหลวงแห่งราชสำนัก เฟลเมเนีย สติงเรย์ เราขอถอดถอนเจ้า และ…..”
และด้วยเหตุนั้น ค่ำคืนที่ยาวนานของจอมเวทอัจฉริยะก็ได้ปิดม่านลง
ปล.1 เป็นตอนที่ยากมากครับ อยากจะตะโกนเข้าไปในเรื่องเหลือเกินว่าพวกเอ็งกำลังคุยอะไรกัน
ปล.2 เฟลเมเนีย เธอโดนล้างสมองไปแล้วสินะ
ปล.3 ขออภัยสำหรับความล่าช้าครับเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดตอนสองทุ่มนี่เอง
ที่มา: