ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปหน้าประตูของพระราชวังของอาณาจักรแอสเตอร์ คัลเมเลีย . ล้อมรอบไปด้วยทหารที่ยืนตั้งแถว นักดนตรี และอัศวินระดับสูง เรอิจิ มิซึกิ และไทเทเนียกำลังโดยสารอยู่บนรถม้าอันงดงาม นอกประตูพระราชวังชาวเมืองได้มารวมตัวกันเพื่อส่งพวกเขา เพราะว่ามีเป้าหมายเพื่อจะเอาชนะราชาปีศาจ ราชาจึงได้จัดขบวนแห่นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติแก่เรอิจิและคนอื่นๆ ซุยเมอิรู้สึกเสียใจเล็กน้อยพลางกล่าวว่า
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”
แน่นอนว่าเป็นซุยเมอิที่บอกว่าการเดินทางของพวกเขามาถึงในที่สุด ขณะที่ขบวนพาเหรดเพื่อปราบราชาปีศาจ-เรอิจิและคนอื่นๆพร้อมด้วยอัศวินมากมาย- ในที่สุดก็จะต้องเริ่มต้นการเดินทางของพวกเขา
ความโศกเศร้าจากการจากลาคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรอิจิแสดงออกถึงความตื่นเต้นชัดเจนบนใบหน้าของเขา เวลานี้เขากำลังมองไปยังถนนเบื้องหน้าหรือเพียงแค่กำลังซ่อนความกังวลอยู่ ไม่มีใครรู้ได้ เช่นเดียวกับซุยเมอิที่เตรียมจะพูด แต่เรอิจิก็ชิงตัดหน้าพูดขึ้นมาก่อน
“นี่ พวกเรากำลังจะไปกันแล้วนะ”
“ร่าเริงเกินไปแล้วนะนายน่ะ”
ความโศกเศร้าของซุยเมอิถูกแทนที่ด้วยความขุ่นเคืองต่อการแสดงออกของเรอิจิ
“มันไม่ใช่แบบนั้น ฉันคิดมาหลายทีแล้วนะรู้มั้ย? ยังไงคำตอบของฉันตอนนั้นก็ดีที่สุดแล้วล่ะ”
“ไม่ มันผิดแน่นอน ไม่ว่าจะคิดอีกกี่ครั้ง ฉันก็บอกได้เลยว่ามันผิด”
ขณะที่ซุยเมอิจ้องมองไปยังเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไป ไทเทเนียที่กุมมือไว้ที่หน้าอกก็ได้เดินเข้ามา
“ซุยเมอิซามะ …”
เธอเป็นเจ้าหญิงของราชอาณาจักรแอสเทอร์(ก่อนหน้านี้ฉบับอิ้งใช้ว่าแอสเทลครับ) ความรู้สึกที่เธอมีต่อซุยเมอินั้นค่อนข้างจะซับซ้อน เธอเข้าใจดีถึงความจำเป็นในการปราบราชาปีศาจ แต่ก็เหมือนกับพ่อของเธอ ความรู้สึกผิดนั้นไม่เคยจางหายไปจากใจ เพื่อจะปัดเป่าความกังวลที่อยู่ในดวงตาของหญิงสาว เรอิจิตบไหล่ของเธอเบาๆ และพูดกับซุยเมอิถึงวิธีการแก้ปัญหา
“ไม่ ไม่ใช่ซุยเมอิ ถ้าฉันไม่ไป ราชาปีศาจก็จะไม่หยุดโจมตีดินแดนของมนุษย์ ในเมื่อเราไม่มีวิธีจะกลับบ้านแล้ว มันก็ไม่มีที่ที่จะให้เราวิ่งหนีไปเหมือนกัน เราจะเป็นต้องต่อสู้กับราชาปีศาจ แม้จะไม่แน่ใจ แต่การเผชิญหน้ากับศัตรูเร็วเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีโอกาสชนะปีศาจได้เร็วเท่านั้น”
คำพูดอันยืดยาวนี้เปิดเผยความคิดในใจของเรอิจิ มันไม่ใช่แค่เรื่องไร้สาระ เขาต้องการมีส่วนร่วมในสงคราม เขาคิดว่าการต่อสู้กับราชาปีศาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเข้าใจว่าการกระทำของพวกเขาในตอนนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด ซุยเมอิยังคงไม่เลิกล้มความตั้งใจและถามต่อไปเรื่อยๆ
” เรอิจิ นายคิดจริงๆเหรอว่าแค่ไม่ถอย สุดท้ายมันก็ต้องมีวันที่สามารถปราบราชาปีศาจได้ ? “
“ฉันไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นหรอก บอกตามตรงนะ ฉันคิดว่ามีโอกาสถึง 80% ที่พวกเราจะตาย”
นี่ไม่ใช่คำพูดของคนที่ดวงตามืดบอดจากการมองโลกในแง่ดี แต่เป็นการมองโลกในแง่ของความเป็นจริง ยังไงก็ตาม—
” จริงๆเลย นายเป็นแบบนี้เสมอ ไม่เคยสูญเสียความหวังไปจนหมด “
“ไม่ดีเหรอ?”
“ฉันก็ไม่ได้เกลียดอะไรนายที่เป็นแบบนั้นหรอกนะ แต่ครั้งนี้ฉันไม่คิดว่านายตัดสินใจได้ดี กองทัพราชาปีศาจไม่ใช่นักเลงแถวบ้านนะ นายรู้ใช่มั้ย”
ซุยเมอิพูดถึงชีวิตก่อนหน้าของพวกเขาที่ เรอิจิมักจะพดุงความยุติธรรมโดยการไปต่อยตีกับพวกอันธพาล โชคที่ที่ทักษะของเขาทำให้เขาไม่เคยมีปัญหามาก่อน แต่ว่ากองทัพของราชาปีศาจกับพวกอันธพาลน่ะอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีทางที่พวกเขาจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างราบรื่นแน่นอน แต่เรอิจิก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“ยังไงฉันก็ยังคิดว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุด”
“ไอ้บ้านี่ นายฟังที่ฉันพูดบ้างรึป่าว หา….”
“ฮ่าๆๆๆ”
เมื่อได้มองใบหน้ายุ่งยากใจของเพื่อนแล้ว เรอิจิก็หัวเราะอย่างมีความสุข การสนทนากับคนที่รู้จักกันเป็นอย่างดี อะไรที่จะทำให้มีความสุขไปได้มากกว่านี้อีกล่ะ คำพูดอย่างจริงใจของเพื่อนสนิท ซุยเมอิกล่าวตอบอย่างอ่อนโยน
“อ่า…ฉันรู้ ฉันรู้ ไม่ใช่ว่านายกำลังวิ่งไปหาความตาย แต่เพื่อปกป้องชีวิตที่เหลือต่างหาก ฉันขอโทษด้วยที่พูดมากเกินไป แต่ว่าอย่าฝืนตัวเองมากนักล่ะ”
เพียงแค่ลองคิดสักหน่อยเขาก็เข้าใจ แม้ว่าตอนแรกดูเหมือนว่าเรอิจิจะใช้กล้ามเนื้อมากกว่าสมองก็ตาม แต่ถ้าหากว่าตัดอคติพวกนั้นออกไปก็จะพบว่า ทั้งหมดนั่นเพียงเพราะเขาต้องการปกป้องชีวิตของพวกเขาในโลกนี้เท่านั้น เหมือนๆกับที่เขาเคยทำเสมอมา ซุยเมอิจนด้วยคำพูด เมื่อมองจุดประสงค์ที่แท้จริงออก ด้วยคำตอบอันเคร่งเครียดของเพื่อ เรอิจิทำหน้าจริงจัง
“ไม่ต้องห่วง หลังจากนี้เราจะมุ่งหน้าไปหาราชาปีศาจ”
“…นายล้อฉันเล่นใช่มั้ย”
“ฮ่าๆๆ ใช่ ใช่ ฉันล้อเล่น ก่อนอื่นเลยฉันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นก่อน”
ซุยเมอิถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว กับมุขตลกร้ายของเรอิจิ เอาจริงดิ พูดล้อเล่นในตอนที่กำลังพูดเรื่องเคร่งเครียดเนี่ยนะ?
หมอนี่คิดอะไรอยู่ ?
ไม่สิ เขาเข้าใจแล้ว ในใจของเรอิจินั้นเต็มไปด้วยความไม่สบายใจและความวิตกกังวล เขาพยายามจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น ด้วยการเล่นมุขตลกร้ายเพื่อระบายอารมณ์ด้านลบของเขา
อันที่จริงจะไปตำหนิเขาก็ไม่ได้ ที่เขาจะรู้สึกเครียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่ทุกฝ่ายพุ่งแรงกดดันมาที่เขา ในฐานะผู้กล้า ซุยเมอิโน้มตัวเข้าไปใกล้และกระซิบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“….เมื่อไหร่ก็ตามที่นายรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะแย่ ฉันต้องการให้นายวิ่งและพามิซึกิไปด้วย ไปหาที่ปลอดภัยและซ่อนตัวไว้ เรอิจิ ถึงนายจะเป็นผู้กล้า แต่นี่คือชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย ไม่มีใครรับประกันได้ว่านายจะเอาชนะราชาปีศาจได้”
“…ฉันเข้าใจ แต่ฉันตั้งใจว่าจะสู้อย่างสุดความสามารถ”
“นายนี่มันดื้อด้านจริงๆ”
เป็นอีกครั้งที่คำเตือนของซุยเมอิถูกเมินเฉย เรอิจิพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้เป็นคำถาม
“ซุยเมอิ นายมีแผนที่จะทำอะไรต่อจากนี้”
“ฉันเหรอ? อืม ฉันว่าจะออกไปข้างนอก”
“ฮ่ะ!…”
เพราะครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ เพราะซุยเมอิไม่เคยบอกแผนการของเขาให้เรอิจิและคนอื่นๆรู้ มิซึกิถามเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจและกังวล
“ซุยเมอิคุงจะออกจากปราสาทไปทำไมเหรอ?”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ฉันแค่อยากจะลองใช้ชีวิตข้างนอกดู”
ซุยเมอิตอบอย่างเสแสร้งเพื่อซ่อนจุดประสงค์ที่แท้จริง คำตอบนั้นทำให้เรอิจิทำหน้ากังวล
“ชีวิตข้างนอก?”
“หางานทำหรืออะไรแบบนั้นน่ะ”
“ซุยเมอิซามะ ถ้าคุณอยู่ในปราสาทท่านพ่อของฉันคงไม่ไม่ว่าอะไร ไม่เห็นจำเป็นจะต้องออกไปอยู่ข้างนอกเลย”
ไทเทเนียขัดจังหวะ
“อ่อ ฉันรู้ แต่ฉันก็จะออกไปอยู่ดี”
“ขอถามว่าทำไมได้มั้ยค่ะ? แม้ว่าการมีเงินอาจจะทำให้ปลอดภัยอยู่บ้าง แต่คนที่มาจากโลกอื่นแบบคุณไม่มีทั้งความรู้เกี่ยวกับโลกนี้หรือพลังของผู้กล้า ถ้าอยู่แต่ในปราสาทคุณก็จะปลอดภัย ทำไมถึงอยากออกไปข้างนอก? ”
มันอาจจะเป็นแบบนั้นเพราะพวกเอไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงหรือเป้าหมายของเขา คำพูดของไทเทเนียจึงค่อนข้างมีเหตุผล
“ไม่ . . . เอ่อ มันอาจจะดูหยาบคาย ที่ฉันพูดแบบนี้ แต่ . . . . . . . การอยู่ในวัง ทำให้ฉันรู้สึกแย่”
“อา …”
ไทเทเนียทำท่าทางโศกเศร้า ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจ เธออาจจะได้ยินเรื่องไม่ดีทั้งหมดที่ได้กล่าวเกี่ยวกับเขา จึงเงียบไป เรอิจิพูดอย่างไม่พอใจ
“ฉันจะไปพูดกับพวกเขาให้เอง”
นั่นหมายความว่ายังไง? เขาคงไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปคุยกับคนทั้งปราสาทเกี่ยวกับซุยเมอิใช่มั้ย?นั่นมันบ้าชัดๆ
“ฉันไม่เป็นไร ถ้านายทำแบบนั้นมันจะทำให้อะไรๆแย่ลงนะ”
“…แต่นายบอกว่า”
“ทุกอย่างปกติดี แต่ยังไงก็ตามฉันต้องคิดแผนสำหรับวันต่อๆไป”
มิซึกิรู้สึกเอะใจ
“หมายความว่ายังไง ‘วันต่อๆไป’ แล้วเรื่องเงินล่ะ”
“ฉันวางแผนว่าจะขายของที่ติดมาด้วยอย่างพวกหนังสือเรียนหรืออะไรที่คล้ายๆกัน”
“นายจะขายของพวกนั้น? ของที่มาจากญี่ปุ่น”
เขาเตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้นานแล้ว แน่นอนเขามั่นใจในความสามารถในการขายของเขา ซุยเมอิหันไปถามไทเทเนียเพื่อยืนยัน
“ฉันขายได้ใช่มั้ย?”
“ค่ะ ฉันคิดว่าคงจะได้ราคาค่อนข้างสูงจากพวกพ่อค้าจำพวกมนต์ดำหรือพวกขุนนางที่มีจุดประสงค์แอบแฝง….”
ไทเทเนียที่ได้เห็นตำราของพวกเขาแล้ว ในฐานะที่เป็นคนของโลกนี้ ความคิดเห็นของเธอน่าจะพอเชื่อถือได้ หนังสือของพวกเขาทั้งหมดถูกเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่คนในโลกนี้จะอ่านพวกมันออก และทำให้พวกเขาตีมูลค่าของมันผิดพลาด
“ฉันวางแผนว่าจะขึ้นราคามันนิดหน่อย ฉันต้องการขายมันให้ได้มากพอที่จะค่าใช้จ่ายของฉัน”
“ซุยเมอิคุง นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าการหลอกลวงใช่มั้ย?”
“ฉันโกหกหรือป่าว ใครจะไปสนกันล่ะ”
คำพูดของเขา แม้แต่ซุยเมอิเองยังรู้ ยังไงก็ตามการกระทำของเขาค่อนข้างจะอันตราย คนที่ซื้อหนังสือที่เขาเกร็งกำไรจะแตกตื่นไปกับความโชคดีของพวกเขา แม้ว่าจะอ่านไม่ออกเขาก็จะพยายามขายไปเป็นทอดๆให้กับคนที่ปราถนาของฟุ่มเฟือย
“นายจะไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“ใช่ ฉันจะไม่เป็นอะไร”
“นายแน่ใจนะ?”
“ใช่ฉันแน่ใจ อย่างน้อยที่สุดฉันรู้ว่าฉันจะทำอะไรต่อไป”
มิซึกิมองอย่างเป็นห่วง ถ้าซุยเมอิยอมรับการฝึกเวทมนตร์และการต่อสู้เหมือนพวกเขา หรืออย่างน้อยที่สุดก็ได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกนี้ เธออาจจะไม่รู้สึกแบบนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้สนใจอะไรเลย เธอเลยอดกังวลไม่ได้ ถึงจะอย่างนั้น เขาก็ยังโบกมืออย่างไม่ต้องการอธิบาย สักพักเขาก็ตัดสินใจถามมิซึกิ
“แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับฉัน มิซึกิ เธอไม่กังวลเกี่ยวกับตัวเองเหรอ?”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันมีพลังนะ! นอกจากนี้ฉันยังได้เรียนเวทมนตร์มาแล้วด้วย”
แน่นอน เธอกับเรอิจิมีทั้งได้รับการสอนเวทมนตร์ จากมุมมองของไททาเนีย มิซึกิได้บรรลุระดับเดียวกับเรอิจิแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องกังวล แต่ซุยเมอิไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น
” นั่นแหละที่ฉันหมายถึงหมายถึง เธอได้เรียนรู้เวทย์มนต์แล้วตอนนี้ แต่ฉันอยากจะเตือนไม่ให้เธอทำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ใช่มั้ย เรอิจิ ? “
ส่งไม้ต่อไปให้เพื่อนเพื่อขอคำยืนยัน เรอิจิหัวเราะ
“อ่า……”
“ซะ ซะซุยเมอิคุง! ไหนนายบอกว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกไง”
มิซึกิ ตกใจหน้าแดงแปร๊ด เรื่องที่มิซึกิกังวลนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ไทเทเนียผู้ซึ่งไม่มีความทรงจำร่วมกันกับพวกเขาเอียงศีรษะอย่างงุนงง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ?”
“ใช่แล้ว”
“ซุยเมอิคุง! นั่นมัน ห้ามพูดนะ ห้ามพูดเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะร้องไห้จริงๆด้วย!”
มิซึกิแสดงออกถึงอาการคลั่ง ซึ่งเธอไม่เคยแสดงให้พวกเขาเห็นเลยตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ เรอิจิหันไปหาไทเทเนียและตอบคำถามของเธอ
“มิซึกิเคยผ่านเหตุการณ์บางอย่างมาน่ะเทียร์”
“ฉันสงสัยจริงๆค่ะ”
“อย่านะ! นี่คือความลับของพวกเราสามคน! มันเป็นความลับ! ความลับที่จะไม่มีใครได้รับรู้เข้าใจมั้ย!”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆค่ะ… “
ไทเทเนียเปิดเผยความอยากรู้ออกมา ทำให้ซุยเมอิคิดว่าควรเปลี่ยนหัวข้อไปจากเรื่องของมิซึกิสักที
“เจ้าหญิงเองก็มีส่วนในการไปปราบราชาปีศาจด้วยใช่มั้ย?”
“อ๊ะ ใช่แล้วค่ะซุยเมอิซามะ ฉันเองก็ศึกษาเวทมนตร์ และจะเป็นผู้ช่วยที่ดีให้เรอิจิซามะเองค่ะ”
ไทเทเนียตอบอย่างภาคภูมิใจ เขาไม่แน่ใจนักกับระดับเวทมนตร์ของเธอ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจอยู่แล้ว
“เจ้าหญิงอาจจะรอบรู้ในเรื่องของเวทมนตร์ แต่ที่ฉันหมายถึงคือฐานะของเธอต่างหาก”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ ยังมีท่านพ่อและเหล่ารัฐมนตรีอยู่ ถ้าฉันออกจากแอสเทอร์ก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
คนที่งดงามราวกับผีเสื้อหรือดอกไม้ เธอที่เป็นเจ้าหญิงที่รักของทุกคน ทำไมถึงต้องออกไปเสี่ยงอันตราย?
อีกทั้งยังไร้รับการสนับสนุนจากราชาอีก ไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่รักลูกของตัวเอง แม้ว่าลูกสาวของเขาจะยินดี ทำไมเขาปล่อยเธอเข้าไปในสถานการณ์อันตรายแบบนี้ ?
ถึงจะเป็นการอยากรู้มากไปสักหน่อย แต่เจ้าหญิงมีไว้เพื่อสถานการณ์แบบนี้เหรอ?
รู้และอนุญาตให้เธอมา……….มีเหตุผลอะไรเบื้องหลังรึเปล่า
“ซุยเมอิซามะ นี่เป็นหน้าที่ของฉันค่ะ”
หรือจริงๆแล้วเธอแค่ต้องการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย? ในขณะที่เขาจะถามเธอ ไทเทเนียก็ตัดประโยคด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“หน้าที่ … เหรอ?”
“ค่ะ แม้ว่าเรอิจิซามะจะมีพลัง แต่เราก็ไม่สามารถผลักภาระทั้งหมดไปให้เขาได้ อย่างน้อยราชอาณาจักแอสเทอร์ก็จะต้องรับภาระที่ไม่น้อยไปกว่ากัน คนที่ต้องรับหน้าที่นั้นคือฉันเองค่ะ”
” … “
บางทีที่จริงแล้วไทเทเนียอาจจะอ่อนแอ แต่เธอมีความจริงใจที่อยากจะรับผิดชอบ นั่นเป็นเหตุผลที่เธออยู่ที่นี่ ตอนนี้ เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเธอ ซุยเมอิก็รู้สึกเศร้าใจ เข้าพอจะจินตนาการได้ว่าประชาชนของแอสเทอร์ก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก
“ซุยเมอิซามะ?”
“เห็นทีว่าฉันคงต้องขอโทษกับความหยาบคายก่อนหน้านี้ ฝากเรอิจิและมิซึกิด้วยนะ”
“กรุณาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเองค่ะ ฉันจะทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย และ….”
ขณะที่เธอตอบรับอย่างหนักแน่น แม้จะเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า แต่เขาก็แน่ใจว่าเจ้าหญิงจะทำแบบนั้นจริงๆ ทันใดนั้นเจ้าหญิงก็พูดอะไรบางอย่างกับซุยเมอิ
“ฉันมีบางสิ่งที่จะพูดกับซุยเมอิซามะค่ะ”
“ว่า?”
“ฉันถือว่า เรอิจิซามะและมิซึกิซามะเป็นหนึ่งในเพื่อนรักของฉัน ด้วยเหตุผลนั้นฉันอยากให้คุณซึ่งเป็นเพื่อนรักของพวกเขา ไม่ต้องพูดจาอย่างเป็นทางการกับฉันได้มั้ยคะ?”
เจ้าหญิงบอกกล่าวถึงความต้องการของเธอ นี่เป็นสิ่งที่คนที่มีตำแหน่งอย่างเธอไม่ควรร้องขอกับเขา
“นั่นดีแล้วเหรอ?”
“ค่ะ”
เขาถามเธอถึงข้ออ้างของเธออีกครั้ง ไม่ว่ายังไงซุยเมอิก็ยอมสงบใจและยินยอมแต่โดยดี
“…ฉันเข้าใจ. เจ้าหญิ-“
“ชื่อของฉันคือ ‘ไทเทเนีย’ค่ะ ซุยเมอิ”
ไทเทเนียพูดด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่งดงามราวกับ ‘เทพธิดา’ ทำให้หัวใจของซุยเมอิสั่นไหว รอยยิ้มของเธอทำให้เขานึกถึงเรอิจิ เขาไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มนี้ได้ เขายิ้มตอบเธอ
“อ่า ด้วยความยินดี ไทเทเนีย”
“ตอนนี้เราสี่คนก็ได้เป็นเพื่อนกันแล้วนะค่ะ”
จากวันนี้เป็นต้องไปพวกเขาทั้งหมดจะเป็นเพื่อนรักกัน เรอิจิและมิซึกิดูมีความสุขนัก ส่วนไทเทเนียทำที่ทางราวกับได้เพื่อนคนแรกมายังไงยังงั้น ซุยเมอิตะโกนเรียกเรอิจิ
“เฮ้.”
“หืม?”
“อืม….ไม่เป็นไร”
การแสดงออกของเรอิจิทำให้ซุยเมอิปิดปากเงียบ เดิมทีเขาตั้งใจจะถามว่า
“ถ้าหากว่ามีวิธีกลับบ้านล่ะ นายจะทำยังไง”
หรือ
“ถ้านายทนรอสักหน่อยฉันจะทำให้มันเกิดขึ้น”
แต่เขาหยุดตัวเองไว้ แม้ว่าเขาจะพูดไป เรอิจิก็จะไม่หันหลังกลับจากเส้นทางที่เขาได้เลือกแล้ว จนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ ซุยเมอิจะไม่ยอมให้ตัวเองไปเป็นอุปสรรคของเพื่อน เขาเลือกจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจก่อนจะเดินหน้าต่อไป
“ขอให้โชคดีกับการเดินทาง”
“นายก็ด้วย ขอบใจนะซุยเมอิ”
“อา”
เรอิจิยิ้มให้กับซุยเมอิที่พยักหน้า ในที่สุดการเตรียมการสำหรับออกเดินทางก็เสร็จสิ้น ไทเทเนียหันไปหาเรอิจิ
“เราควรจะไปได้แล้วค่ะ เรอิจิซามะ.”
“เข้าใจแล้ว มิซึกิอยู่ใกล้ๆไว้นะ? “
” … “
เรอิจิยื่นมือให้ มิสึกิพยักหน้าอย่างเขินอาย เรอิจิมีเจตนาที่บริสุทธิ์ เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่สนิทกับเขาจะไม่ได้เผชิญกับอันตรายโดยไม่จำเป็น แต่มิซึกิและไทเทเนียคิดไปไกลกว่านั้น เมื่อมิซึกิจับมือของเรอิจิอย่างเขินอาย ไทเทเนียมองด้วยสายตาอิจฉา
“ระ เรอิจิซามะ! ฉันด้วยค่ะ!”
“เอ๋? เทียร์ ?! “
ความประหลาดใจปรากฏบนหน้าของเรอิจิ เมื่อไทเทเนียขว้าแขนของเขา แต่แล้วแววความเข้าใจก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ (แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าใจจริงๆก็ตาม)
“แน่นอน อยากออกห่างจากผมนะไทเทเนีย “
“- ไม่มีทางค่ะ! “
ไทเทเนียยิ้มสดใสและตอบกลับอย่างมีความสุข ………..เหล่าสาวสวยที่กำลังยึดแขนทั้งสองของผู้กล้าอยู่พากันก้าวขึ้นไปบนรถม้า ถ้ามีใครไปเหลือบมองไปรอบๆ ก็จะสังเกตเห็นความอิจฉาและเกลียดชัง ในแววตาของทุกคนรอบข้าง อัศวินและทหารก็เหมือนกัน ก่อนที่ซุยเมอิจะเข้าไปรวมกับพวกเขา
“…นายรู้อะไรไหม? ลืมมันไปเถอะ มันคงจะดีกว่าถ้านายติดอยู่ที่นี่ตลอดไป ความอิจฉา บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ อิจฉา งี่เง่าน่า แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะทหารก็อยู่รอบตัวเขาเช่นกัน จริงๆ แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก เขารู้ว่าเรอิจิมีความตั้งใจที่ไม่ใช้ส่วนที่เหลือของชีวิตในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยชีวิตสีกุหลาบ”
ซุยเมอิรำพันกับตัวเอง คำถามจากเรอิจิขัดจังหวะความคิดของเขา
“นายพูดอะไรรึเปล่าซุยเมอิ?”
“ไม่นี่…”
” … ? เหรอ “
เรอิจิตอบอย่างงุนงง ที่ไกลออกไปนั้นความกังวลของคนอื่นในสถานการณ์ตอนนี้ ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถคะเนได้ รถม้าที่เหมือนกับตู้โดยสารติดกระจกสองข้างเคลื่อนตัวออกห่างจากซุยเมอิ. . . . . . . .
ในที่สุด เสียงอากาศสั่นไหวจากการเปิดประตู เสียงเพลงและเสียงปรบมือ และโห่ร้องเมื่อเรอิจิและคนอื่นๆออกเดินทาง ก็เริ่มห่างออกไป เมื่อประตูปิดลง ซุยเมอิยืนอยู่อย่างเดียวดาย เขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ความเศร้าและความเหงาเป็นผลมาจาการเลือกที่ว่านั้น
“พวกเขาไปแล้วสินะ … “
เขาพึมพำขณะที่จ้องมองท้องฟ้าสีคราม หากอยากกลับบ้านก็ต้องหันหลังให้กับอันตราย… มีทางเลือกอื่นอีกงั้นเหรอ?
เขาคิดขณะที่มองดูเพื่อนๆมุ่งหน้าไปสู่อันตรายตรงข้ามกับตัวเขา หลังจากนี้ เขาคงต้องเดินตามทางของตัวเอง แตกต่างจากคนอื่นยึดถือ จุดอ่อนที่ไม่อาจได้รับอนุญาต กฎข้อหนึ่งของเหล่าผู้ใช้เวท
เขายังคงไม่สามารถมองว่าการมุ่งหน้าไปหาราชาปีศาจเป็นเรื่องที่ดี โจทย์ที่ได้รับยังไม่ชัดเจนว่าจะแล้วเสร็จ มันจะไร้ประโยชน์ถ้าเขาไม่ได้กลับบ้าน มีงานที่เขาต้องทำ คนที่เขาต้องบันทึก
ความรับผิดชอบของเขามีมากพอแล้ว หันหลังให้ความต้องการของโลกใบนี้ คงไม่ได้ขอมากเกินไปใช่มั้ย อย่างไงก็ตาม เหตุผลอันเสแสร้งนี้ก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของคนที่เดินออกไป
” … “
ในขณะที่คิดเขามองขึ้นไปยังท้องฟ้า ภาพของคนที่สำคัญกับเขาปรากฏขึ้นมา ผู้ที่ได้เลี้ยงดูเขาและสอนเวทมนตร์ให้แก่เขา บิดาผู้เดินสะดุดไปตามเส้นทางของเวทมนตร์
หัวหน้าของเหล่าผู้ใช้เวทที่พลักภาระมาให้เขา ติดอยู่ในคำสาปแช่งแห่งลุดวิก, เงาสีฟ้าของเด็กสาวคนหนึ่ง ผู้นำอันดื้อดึงของอัศวินแห่งโรสครอส รอยเท้าที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง เด็กหญิงที่ใกล้เคียงกับเพื่อนวัยเด็กของเขา
ทางเลือกของเขามีแค่เห็นแก่ตัวเท่านั้น เขาเข้าใจเป็นอย่างดี และยังต้องเผชิญกับตัวเลขที่ปรากฏในหัวของเขา เขารู้ว่านี่เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเขา
ที่มา: