I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 11 ผู้กล้าออกเดินทาง

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 2538 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
                

หน้าประตูของพระราชวังของอาณาจักรแอสเตอร์ คัลเมเลีย . ล้อมรอบไปด้วยทหารที่ยืนตั้งแถว นักดนตรี และอัศวินระดับสูง เรอิจิ มิซึกิ และไทเทเนียกำลังโดยสารอยู่บนรถม้าอันงดงาม นอกประตูพระราชวังชาวเมืองได้มารวมตัวกันเพื่อส่งพวกเขา เพราะว่ามีเป้าหมายเพื่อจะเอาชนะราชาปีศาจ ราชาจึงได้จัดขบวนแห่นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติแก่เรอิจิและคนอื่นๆ  ซุยเมอิรู้สึกเสียใจเล็กน้อยพลางกล่าวว่า

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”

แน่นอนว่าเป็นซุยเมอิที่บอกว่าการเดินทางของพวกเขามาถึงในที่สุด  ขณะที่ขบวนพาเหรดเพื่อปราบราชาปีศาจ-เรอิจิและคนอื่นๆพร้อมด้วยอัศวินมากมาย- ในที่สุดก็จะต้องเริ่มต้นการเดินทางของพวกเขา

 

ความโศกเศร้าจากการจากลาคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรอิจิแสดงออกถึงความตื่นเต้นชัดเจนบนใบหน้าของเขา  เวลานี้เขากำลังมองไปยังถนนเบื้องหน้าหรือเพียงแค่กำลังซ่อนความกังวลอยู่ ไม่มีใครรู้ได้  เช่นเดียวกับซุยเมอิที่เตรียมจะพูด แต่เรอิจิก็ชิงตัดหน้าพูดขึ้นมาก่อน

“นี่ พวกเรากำลังจะไปกันแล้วนะ”

“ร่าเริงเกินไปแล้วนะนายน่ะ”

ความโศกเศร้าของซุยเมอิถูกแทนที่ด้วยความขุ่นเคืองต่อการแสดงออกของเรอิจิ

“มันไม่ใช่แบบนั้น  ฉันคิดมาหลายทีแล้วนะรู้มั้ย? ยังไงคำตอบของฉันตอนนั้นก็ดีที่สุดแล้วล่ะ”

“ไม่ มันผิดแน่นอน ไม่ว่าจะคิดอีกกี่ครั้ง ฉันก็บอกได้เลยว่ามันผิด”

ขณะที่ซุยเมอิจ้องมองไปยังเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไป  ไทเทเนียที่กุมมือไว้ที่หน้าอกก็ได้เดินเข้ามา

“ซุยเมอิซามะ …”

เธอเป็นเจ้าหญิงของราชอาณาจักรแอสเทอร์(ก่อนหน้านี้ฉบับอิ้งใช้ว่าแอสเทลครับ) ความรู้สึกที่เธอมีต่อซุยเมอินั้นค่อนข้างจะซับซ้อน  เธอเข้าใจดีถึงความจำเป็นในการปราบราชาปีศาจ แต่ก็เหมือนกับพ่อของเธอ ความรู้สึกผิดนั้นไม่เคยจางหายไปจากใจ เพื่อจะปัดเป่าความกังวลที่อยู่ในดวงตาของหญิงสาว เรอิจิตบไหล่ของเธอเบาๆ และพูดกับซุยเมอิถึงวิธีการแก้ปัญหา

“ไม่ ไม่ใช่ซุยเมอิ ถ้าฉันไม่ไป ราชาปีศาจก็จะไม่หยุดโจมตีดินแดนของมนุษย์ ในเมื่อเราไม่มีวิธีจะกลับบ้านแล้ว มันก็ไม่มีที่ที่จะให้เราวิ่งหนีไปเหมือนกัน  เราจะเป็นต้องต่อสู้กับราชาปีศาจ แม้จะไม่แน่ใจ แต่การเผชิญหน้ากับศัตรูเร็วเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีโอกาสชนะปีศาจได้เร็วเท่านั้น”

คำพูดอันยืดยาวนี้เปิดเผยความคิดในใจของเรอิจิ มันไม่ใช่แค่เรื่องไร้สาระ เขาต้องการมีส่วนร่วมในสงคราม  เขาคิดว่าการต่อสู้กับราชาปีศาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเข้าใจว่าการกระทำของพวกเขาในตอนนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด ซุยเมอิยังคงไม่เลิกล้มความตั้งใจและถามต่อไปเรื่อยๆ

” เรอิจิ นายคิดจริงๆเหรอว่าแค่ไม่ถอย สุดท้ายมันก็ต้องมีวันที่สามารถปราบราชาปีศาจได้ ? “

“ฉันไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นหรอก บอกตามตรงนะ ฉันคิดว่ามีโอกาสถึง 80% ที่พวกเราจะตาย”

นี่ไม่ใช่คำพูดของคนที่ดวงตามืดบอดจากการมองโลกในแง่ดี แต่เป็นการมองโลกในแง่ของความเป็นจริง ยังไงก็ตาม—

” จริงๆเลย นายเป็นแบบนี้เสมอ ไม่เคยสูญเสียความหวังไปจนหมด “

“ไม่ดีเหรอ?”

“ฉันก็ไม่ได้เกลียดอะไรนายที่เป็นแบบนั้นหรอกนะ  แต่ครั้งนี้ฉันไม่คิดว่านายตัดสินใจได้ดี กองทัพราชาปีศาจไม่ใช่นักเลงแถวบ้านนะ นายรู้ใช่มั้ย”

ซุยเมอิพูดถึงชีวิตก่อนหน้าของพวกเขาที่  เรอิจิมักจะพดุงความยุติธรรมโดยการไปต่อยตีกับพวกอันธพาล  โชคที่ที่ทักษะของเขาทำให้เขาไม่เคยมีปัญหามาก่อน  แต่ว่ากองทัพของราชาปีศาจกับพวกอันธพาลน่ะอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ไม่มีทางที่พวกเขาจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างราบรื่นแน่นอน แต่เรอิจิก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

“ยังไงฉันก็ยังคิดว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุด”

“ไอ้บ้านี่   นายฟังที่ฉันพูดบ้างรึป่าว หา….”

“ฮ่าๆๆๆ”

เมื่อได้มองใบหน้ายุ่งยากใจของเพื่อนแล้ว เรอิจิก็หัวเราะอย่างมีความสุข  การสนทนากับคนที่รู้จักกันเป็นอย่างดี อะไรที่จะทำให้มีความสุขไปได้มากกว่านี้อีกล่ะ คำพูดอย่างจริงใจของเพื่อนสนิท ซุยเมอิกล่าวตอบอย่างอ่อนโยน

“อ่า…ฉันรู้  ฉันรู้  ไม่ใช่ว่านายกำลังวิ่งไปหาความตาย แต่เพื่อปกป้องชีวิตที่เหลือต่างหาก  ฉันขอโทษด้วยที่พูดมากเกินไป แต่ว่าอย่าฝืนตัวเองมากนักล่ะ”

เพียงแค่ลองคิดสักหน่อยเขาก็เข้าใจ  แม้ว่าตอนแรกดูเหมือนว่าเรอิจิจะใช้กล้ามเนื้อมากกว่าสมองก็ตาม  แต่ถ้าหากว่าตัดอคติพวกนั้นออกไปก็จะพบว่า ทั้งหมดนั่นเพียงเพราะเขาต้องการปกป้องชีวิตของพวกเขาในโลกนี้เท่านั้น เหมือนๆกับที่เขาเคยทำเสมอมา  ซุยเมอิจนด้วยคำพูด เมื่อมองจุดประสงค์ที่แท้จริงออก ด้วยคำตอบอันเคร่งเครียดของเพื่อ เรอิจิทำหน้าจริงจัง

“ไม่ต้องห่วง หลังจากนี้เราจะมุ่งหน้าไปหาราชาปีศาจ”

“…นายล้อฉันเล่นใช่มั้ย”

“ฮ่าๆๆ ใช่ ใช่ ฉันล้อเล่น ก่อนอื่นเลยฉันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นก่อน”

ซุยเมอิถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว กับมุขตลกร้ายของเรอิจิ เอาจริงดิ พูดล้อเล่นในตอนที่กำลังพูดเรื่องเคร่งเครียดเนี่ยนะ?

หมอนี่คิดอะไรอยู่ ?

ไม่สิ เขาเข้าใจแล้ว ในใจของเรอิจินั้นเต็มไปด้วยความไม่สบายใจและความวิตกกังวล เขาพยายามจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น ด้วยการเล่นมุขตลกร้ายเพื่อระบายอารมณ์ด้านลบของเขา

อันที่จริงจะไปตำหนิเขาก็ไม่ได้ ที่เขาจะรู้สึกเครียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่ทุกฝ่ายพุ่งแรงกดดันมาที่เขา ในฐานะผู้กล้า ซุยเมอิโน้มตัวเข้าไปใกล้และกระซิบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“….เมื่อไหร่ก็ตามที่นายรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะแย่ ฉันต้องการให้นายวิ่งและพามิซึกิไปด้วย ไปหาที่ปลอดภัยและซ่อนตัวไว้ เรอิจิ ถึงนายจะเป็นผู้กล้า แต่นี่คือชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย ไม่มีใครรับประกันได้ว่านายจะเอาชนะราชาปีศาจได้”

“…ฉันเข้าใจ  แต่ฉันตั้งใจว่าจะสู้อย่างสุดความสามารถ”

“นายนี่มันดื้อด้านจริงๆ”

เป็นอีกครั้งที่คำเตือนของซุยเมอิถูกเมินเฉย  เรอิจิพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้เป็นคำถาม

“ซุยเมอิ นายมีแผนที่จะทำอะไรต่อจากนี้”

“ฉันเหรอ? อืม ฉันว่าจะออกไปข้างนอก”

“ฮ่ะ!…”

เพราะครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ เพราะซุยเมอิไม่เคยบอกแผนการของเขาให้เรอิจิและคนอื่นๆรู้ มิซึกิถามเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจและกังวล

“ซุยเมอิคุงจะออกจากปราสาทไปทำไมเหรอ?”

“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ  ฉันแค่อยากจะลองใช้ชีวิตข้างนอกดู”

ซุยเมอิตอบอย่างเสแสร้งเพื่อซ่อนจุดประสงค์ที่แท้จริง คำตอบนั้นทำให้เรอิจิทำหน้ากังวล

“ชีวิตข้างนอก?”

“หางานทำหรืออะไรแบบนั้นน่ะ”

“ซุยเมอิซามะ  ถ้าคุณอยู่ในปราสาทท่านพ่อของฉันคงไม่ไม่ว่าอะไร ไม่เห็นจำเป็นจะต้องออกไปอยู่ข้างนอกเลย”

ไทเทเนียขัดจังหวะ

“อ่อ ฉันรู้ แต่ฉันก็จะออกไปอยู่ดี”

“ขอถามว่าทำไมได้มั้ยค่ะ?  แม้ว่าการมีเงินอาจจะทำให้ปลอดภัยอยู่บ้าง แต่คนที่มาจากโลกอื่นแบบคุณไม่มีทั้งความรู้เกี่ยวกับโลกนี้หรือพลังของผู้กล้า  ถ้าอยู่แต่ในปราสาทคุณก็จะปลอดภัย  ทำไมถึงอยากออกไปข้างนอก? ”

มันอาจจะเป็นแบบนั้นเพราะพวกเอไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงหรือเป้าหมายของเขา  คำพูดของไทเทเนียจึงค่อนข้างมีเหตุผล

“ไม่ . . . เอ่อ มันอาจจะดูหยาบคาย ที่ฉันพูดแบบนี้ แต่ . . . . . . . การอยู่ในวัง ทำให้ฉันรู้สึกแย่”

“อา …”

ไทเทเนียทำท่าทางโศกเศร้า ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจ เธออาจจะได้ยินเรื่องไม่ดีทั้งหมดที่ได้กล่าวเกี่ยวกับเขา จึงเงียบไป เรอิจิพูดอย่างไม่พอใจ

“ฉันจะไปพูดกับพวกเขาให้เอง”

นั่นหมายความว่ายังไง? เขาคงไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปคุยกับคนทั้งปราสาทเกี่ยวกับซุยเมอิใช่มั้ย?นั่นมันบ้าชัดๆ

“ฉันไม่เป็นไร ถ้านายทำแบบนั้นมันจะทำให้อะไรๆแย่ลงนะ”

“…แต่นายบอกว่า”

“ทุกอย่างปกติดี แต่ยังไงก็ตามฉันต้องคิดแผนสำหรับวันต่อๆไป”

มิซึกิรู้สึกเอะใจ

“หมายความว่ายังไง ‘วันต่อๆไป’ แล้วเรื่องเงินล่ะ”

“ฉันวางแผนว่าจะขายของที่ติดมาด้วยอย่างพวกหนังสือเรียนหรืออะไรที่คล้ายๆกัน”

“นายจะขายของพวกนั้น? ของที่มาจากญี่ปุ่น”

เขาเตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้นานแล้ว แน่นอนเขามั่นใจในความสามารถในการขายของเขา ซุยเมอิหันไปถามไทเทเนียเพื่อยืนยัน

“ฉันขายได้ใช่มั้ย?”

“ค่ะ  ฉันคิดว่าคงจะได้ราคาค่อนข้างสูงจากพวกพ่อค้าจำพวกมนต์ดำหรือพวกขุนนางที่มีจุดประสงค์แอบแฝง….”

ไทเทเนียที่ได้เห็นตำราของพวกเขาแล้ว  ในฐานะที่เป็นคนของโลกนี้ ความคิดเห็นของเธอน่าจะพอเชื่อถือได้ หนังสือของพวกเขาทั้งหมดถูกเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น  ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่คนในโลกนี้จะอ่านพวกมันออก  และทำให้พวกเขาตีมูลค่าของมันผิดพลาด

“ฉันวางแผนว่าจะขึ้นราคามันนิดหน่อย  ฉันต้องการขายมันให้ได้มากพอที่จะค่าใช้จ่ายของฉัน”

“ซุยเมอิคุง นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าการหลอกลวงใช่มั้ย?”

“ฉันโกหกหรือป่าว ใครจะไปสนกันล่ะ”

คำพูดของเขา แม้แต่ซุยเมอิเองยังรู้   ยังไงก็ตามการกระทำของเขาค่อนข้างจะอันตราย  คนที่ซื้อหนังสือที่เขาเกร็งกำไรจะแตกตื่นไปกับความโชคดีของพวกเขา  แม้ว่าจะอ่านไม่ออกเขาก็จะพยายามขายไปเป็นทอดๆให้กับคนที่ปราถนาของฟุ่มเฟือย

“นายจะไม่เป็นอะไรแน่นะ?”

“ใช่ ฉันจะไม่เป็นอะไร”

“นายแน่ใจนะ?”

“ใช่ฉันแน่ใจ อย่างน้อยที่สุดฉันรู้ว่าฉันจะทำอะไรต่อไป”

มิซึกิมองอย่างเป็นห่วง ถ้าซุยเมอิยอมรับการฝึกเวทมนตร์และการต่อสู้เหมือนพวกเขา หรืออย่างน้อยที่สุดก็ได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกนี้ เธออาจจะไม่รู้สึกแบบนี้  แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้สนใจอะไรเลย เธอเลยอดกังวลไม่ได้ ถึงจะอย่างนั้น เขาก็ยังโบกมืออย่างไม่ต้องการอธิบาย สักพักเขาก็ตัดสินใจถามมิซึกิ

“แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับฉัน มิซึกิ เธอไม่กังวลเกี่ยวกับตัวเองเหรอ?”

“ฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันมีพลังนะ! นอกจากนี้ฉันยังได้เรียนเวทมนตร์มาแล้วด้วย”

แน่นอน เธอกับเรอิจิมีทั้งได้รับการสอนเวทมนตร์ จากมุมมองของไททาเนีย มิซึกิได้บรรลุระดับเดียวกับเรอิจิแล้ว  ไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องกังวล  แต่ซุยเมอิไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น

” นั่นแหละที่ฉันหมายถึงหมายถึง เธอได้เรียนรู้เวทย์มนต์แล้วตอนนี้ แต่ฉันอยากจะเตือนไม่ให้เธอทำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  ใช่มั้ย เรอิจิ ? “

ส่งไม้ต่อไปให้เพื่อนเพื่อขอคำยืนยัน  เรอิจิหัวเราะ

“อ่า……”

“ซะ ซะซุยเมอิคุง! ไหนนายบอกว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกไง”

มิซึกิ ตกใจหน้าแดงแปร๊ด  เรื่องที่มิซึกิกังวลนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ไทเทเนียผู้ซึ่งไม่มีความทรงจำร่วมกันกับพวกเขาเอียงศีรษะอย่างงุนงง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ?”

“ใช่แล้ว”

“ซุยเมอิคุง! นั่นมัน ห้ามพูดนะ ห้ามพูดเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะร้องไห้จริงๆด้วย!”

มิซึกิแสดงออกถึงอาการคลั่ง ซึ่งเธอไม่เคยแสดงให้พวกเขาเห็นเลยตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่  เรอิจิหันไปหาไทเทเนียและตอบคำถามของเธอ

“มิซึกิเคยผ่านเหตุการณ์บางอย่างมาน่ะเทียร์”

“ฉันสงสัยจริงๆค่ะ”

“อย่านะ! นี่คือความลับของพวกเราสามคน! มันเป็นความลับ! ความลับที่จะไม่มีใครได้รับรู้เข้าใจมั้ย!”

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆค่ะ… “

ไทเทเนียเปิดเผยความอยากรู้ออกมา ทำให้ซุยเมอิคิดว่าควรเปลี่ยนหัวข้อไปจากเรื่องของมิซึกิสักที

“เจ้าหญิงเองก็มีส่วนในการไปปราบราชาปีศาจด้วยใช่มั้ย?”

“อ๊ะ ใช่แล้วค่ะซุยเมอิซามะ ฉันเองก็ศึกษาเวทมนตร์ และจะเป็นผู้ช่วยที่ดีให้เรอิจิซามะเองค่ะ”

ไทเทเนียตอบอย่างภาคภูมิใจ เขาไม่แน่ใจนักกับระดับเวทมนตร์ของเธอ  แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจอยู่แล้ว

“เจ้าหญิงอาจจะรอบรู้ในเรื่องของเวทมนตร์ แต่ที่ฉันหมายถึงคือฐานะของเธอต่างหาก”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ  ยังมีท่านพ่อและเหล่ารัฐมนตรีอยู่ ถ้าฉันออกจากแอสเทอร์ก็ไม่มีปัญหาอะไร”

“ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”

คนที่งดงามราวกับผีเสื้อหรือดอกไม้ เธอที่เป็นเจ้าหญิงที่รักของทุกคน  ทำไมถึงต้องออกไปเสี่ยงอันตราย?

อีกทั้งยังไร้รับการสนับสนุนจากราชาอีก ไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่รักลูกของตัวเอง แม้ว่าลูกสาวของเขาจะยินดี ทำไมเขาปล่อยเธอเข้าไปในสถานการณ์อันตรายแบบนี้ ?

ถึงจะเป็นการอยากรู้มากไปสักหน่อย แต่เจ้าหญิงมีไว้เพื่อสถานการณ์แบบนี้เหรอ?

รู้และอนุญาตให้เธอมา……….มีเหตุผลอะไรเบื้องหลังรึเปล่า

“ซุยเมอิซามะ นี่เป็นหน้าที่ของฉันค่ะ”

หรือจริงๆแล้วเธอแค่ต้องการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย? ในขณะที่เขาจะถามเธอ ไทเทเนียก็ตัดประโยคด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“หน้าที่ … เหรอ?”

“ค่ะ  แม้ว่าเรอิจิซามะจะมีพลัง แต่เราก็ไม่สามารถผลักภาระทั้งหมดไปให้เขาได้  อย่างน้อยราชอาณาจักแอสเทอร์ก็จะต้องรับภาระที่ไม่น้อยไปกว่ากัน คนที่ต้องรับหน้าที่นั้นคือฉันเองค่ะ”

” … “

บางทีที่จริงแล้วไทเทเนียอาจจะอ่อนแอ  แต่เธอมีความจริงใจที่อยากจะรับผิดชอบ นั่นเป็นเหตุผลที่เธออยู่ที่นี่  ตอนนี้ เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของเธอ ซุยเมอิก็รู้สึกเศร้าใจ  เข้าพอจะจินตนาการได้ว่าประชาชนของแอสเทอร์ก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก

“ซุยเมอิซามะ?”

“เห็นทีว่าฉันคงต้องขอโทษกับความหยาบคายก่อนหน้านี้  ฝากเรอิจิและมิซึกิด้วยนะ”

“กรุณาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเองค่ะ  ฉันจะทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย และ….”

ขณะที่เธอตอบรับอย่างหนักแน่น  แม้จะเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า แต่เขาก็แน่ใจว่าเจ้าหญิงจะทำแบบนั้นจริงๆ ทันใดนั้นเจ้าหญิงก็พูดอะไรบางอย่างกับซุยเมอิ

“ฉันมีบางสิ่งที่จะพูดกับซุยเมอิซามะค่ะ”

“ว่า?”

“ฉันถือว่า เรอิจิซามะและมิซึกิซามะเป็นหนึ่งในเพื่อนรักของฉัน  ด้วยเหตุผลนั้นฉันอยากให้คุณซึ่งเป็นเพื่อนรักของพวกเขา ไม่ต้องพูดจาอย่างเป็นทางการกับฉันได้มั้ยคะ?”

เจ้าหญิงบอกกล่าวถึงความต้องการของเธอ  นี่เป็นสิ่งที่คนที่มีตำแหน่งอย่างเธอไม่ควรร้องขอกับเขา

“นั่นดีแล้วเหรอ?”

“ค่ะ”

เขาถามเธอถึงข้ออ้างของเธออีกครั้ง  ไม่ว่ายังไงซุยเมอิก็ยอมสงบใจและยินยอมแต่โดยดี

“…ฉันเข้าใจ. เจ้าหญิ-“

“ชื่อของฉันคือ ‘ไทเทเนีย’ค่ะ ซุยเมอิ”

ไทเทเนียพูดด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่งดงามราวกับ ‘เทพธิดา’  ทำให้หัวใจของซุยเมอิสั่นไหว  รอยยิ้มของเธอทำให้เขานึกถึงเรอิจิ เขาไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มนี้ได้   เขายิ้มตอบเธอ

“อ่า ด้วยความยินดี ไทเทเนีย”

“ตอนนี้เราสี่คนก็ได้เป็นเพื่อนกันแล้วนะค่ะ”

จากวันนี้เป็นต้องไปพวกเขาทั้งหมดจะเป็นเพื่อนรักกัน  เรอิจิและมิซึกิดูมีความสุขนัก ส่วนไทเทเนียทำที่ทางราวกับได้เพื่อนคนแรกมายังไงยังงั้น ซุยเมอิตะโกนเรียกเรอิจิ

“เฮ้.”

“หืม?”

“อืม….ไม่เป็นไร”

การแสดงออกของเรอิจิทำให้ซุยเมอิปิดปากเงียบ เดิมทีเขาตั้งใจจะถามว่า

“ถ้าหากว่ามีวิธีกลับบ้านล่ะ นายจะทำยังไง”

หรือ

“ถ้านายทนรอสักหน่อยฉันจะทำให้มันเกิดขึ้น”

แต่เขาหยุดตัวเองไว้  แม้ว่าเขาจะพูดไป เรอิจิก็จะไม่หันหลังกลับจากเส้นทางที่เขาได้เลือกแล้ว  จนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ ซุยเมอิจะไม่ยอมให้ตัวเองไปเป็นอุปสรรคของเพื่อน เขาเลือกจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจก่อนจะเดินหน้าต่อไป

“ขอให้โชคดีกับการเดินทาง”

“นายก็ด้วย ขอบใจนะซุยเมอิ”

“อา”

เรอิจิยิ้มให้กับซุยเมอิที่พยักหน้า ในที่สุดการเตรียมการสำหรับออกเดินทางก็เสร็จสิ้น  ไทเทเนียหันไปหาเรอิจิ

“เราควรจะไปได้แล้วค่ะ เรอิจิซามะ.”

“เข้าใจแล้ว มิซึกิอยู่ใกล้ๆไว้นะ? “

” … “

เรอิจิยื่นมือให้  มิสึกิพยักหน้าอย่างเขินอาย เรอิจิมีเจตนาที่บริสุทธิ์ เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่สนิทกับเขาจะไม่ได้เผชิญกับอันตรายโดยไม่จำเป็น  แต่มิซึกิและไทเทเนียคิดไปไกลกว่านั้น  เมื่อมิซึกิจับมือของเรอิจิอย่างเขินอาย  ไทเทเนียมองด้วยสายตาอิจฉา

“ระ เรอิจิซามะ! ฉันด้วยค่ะ!”

“เอ๋? เทียร์ ?! “

ความประหลาดใจปรากฏบนหน้าของเรอิจิ เมื่อไทเทเนียขว้าแขนของเขา แต่แล้วแววความเข้าใจก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ (แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าใจจริงๆก็ตาม)

“แน่นอน อยากออกห่างจากผมนะไทเทเนีย “

“- ไม่มีทางค่ะ! “

ไทเทเนียยิ้มสดใสและตอบกลับอย่างมีความสุข ………..เหล่าสาวสวยที่กำลังยึดแขนทั้งสองของผู้กล้าอยู่พากันก้าวขึ้นไปบนรถม้า ถ้ามีใครไปเหลือบมองไปรอบๆ ก็จะสังเกตเห็นความอิจฉาและเกลียดชัง  ในแววตาของทุกคนรอบข้าง อัศวินและทหารก็เหมือนกัน ก่อนที่ซุยเมอิจะเข้าไปรวมกับพวกเขา

“…นายรู้อะไรไหม? ลืมมันไปเถอะ มันคงจะดีกว่าถ้านายติดอยู่ที่นี่ตลอดไป ความอิจฉา บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ อิจฉา งี่เง่าน่า แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะทหารก็อยู่รอบตัวเขาเช่นกัน จริงๆ แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก เขารู้ว่าเรอิจิมีความตั้งใจที่ไม่ใช้ส่วนที่เหลือของชีวิตในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยชีวิตสีกุหลาบ”

ซุยเมอิรำพันกับตัวเอง  คำถามจากเรอิจิขัดจังหวะความคิดของเขา

“นายพูดอะไรรึเปล่าซุยเมอิ?”

“ไม่นี่…”

” … ? เหรอ “

เรอิจิตอบอย่างงุนงง   ที่ไกลออกไปนั้นความกังวลของคนอื่นในสถานการณ์ตอนนี้ ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถคะเนได้ รถม้าที่เหมือนกับตู้โดยสารติดกระจกสองข้างเคลื่อนตัวออกห่างจากซุยเมอิ. . . . . . . .

ในที่สุด เสียงอากาศสั่นไหวจากการเปิดประตู เสียงเพลงและเสียงปรบมือ และโห่ร้องเมื่อเรอิจิและคนอื่นๆออกเดินทาง  ก็เริ่มห่างออกไป เมื่อประตูปิดลง ซุยเมอิยืนอยู่อย่างเดียวดาย  เขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ความเศร้าและความเหงาเป็นผลมาจาการเลือกที่ว่านั้น

“พวกเขาไปแล้วสินะ … “

เขาพึมพำขณะที่จ้องมองท้องฟ้าสีคราม หากอยากกลับบ้านก็ต้องหันหลังให้กับอันตราย… มีทางเลือกอื่นอีกงั้นเหรอ?

เขาคิดขณะที่มองดูเพื่อนๆมุ่งหน้าไปสู่อันตรายตรงข้ามกับตัวเขา หลังจากนี้ เขาคงต้องเดินตามทางของตัวเอง แตกต่างจากคนอื่นยึดถือ จุดอ่อนที่ไม่อาจได้รับอนุญาต กฎข้อหนึ่งของเหล่าผู้ใช้เวท

เขายังคงไม่สามารถมองว่าการมุ่งหน้าไปหาราชาปีศาจเป็นเรื่องที่ดี โจทย์ที่ได้รับยังไม่ชัดเจนว่าจะแล้วเสร็จ  มันจะไร้ประโยชน์ถ้าเขาไม่ได้กลับบ้าน มีงานที่เขาต้องทำ คนที่เขาต้องบันทึก

ความรับผิดชอบของเขามีมากพอแล้ว หันหลังให้ความต้องการของโลกใบนี้ คงไม่ได้ขอมากเกินไปใช่มั้ย  อย่างไงก็ตาม เหตุผลอันเสแสร้งนี้ก็ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของคนที่เดินออกไป

” … “

ในขณะที่คิดเขามองขึ้นไปยังท้องฟ้า ภาพของคนที่สำคัญกับเขาปรากฏขึ้นมา ผู้ที่ได้เลี้ยงดูเขาและสอนเวทมนตร์ให้แก่เขา  บิดาผู้เดินสะดุดไปตามเส้นทางของเวทมนตร์

หัวหน้าของเหล่าผู้ใช้เวทที่พลักภาระมาให้เขา ติดอยู่ในคำสาปแช่งแห่งลุดวิก, เงาสีฟ้าของเด็กสาวคนหนึ่ง ผู้นำอันดื้อดึงของอัศวินแห่งโรสครอส รอยเท้าที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง  เด็กหญิงที่ใกล้เคียงกับเพื่อนวัยเด็กของเขา

ทางเลือกของเขามีแค่เห็นแก่ตัวเท่านั้น เขาเข้าใจเป็นอย่างดี และยังต้องเผชิญกับตัวเลขที่ปรากฏในหัวของเขา เขารู้ว่านี่เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเขา

ที่มา:

ตอนที่แล้ว ตอนต่อไป
comments