I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 12 ภาพลักษณ์นั้นสำคัญมากนะ(1)

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1685 | 2389 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ไม่กี่วันหลังจากที่เรอิจิและคนอื่นๆจากไป  เมื่อแผนของเขาเรียบร้อยแล้วซุยเมอิก็ทิ้งปราสาทคัลเมเลียและออกเดินทางไปตามลำพัง เมื่อครั้งคนอื่น ๆได้ออกจากปราสาท  การเดินทางของพวกเขามาพร้อมกับเสียงประโคมและขบวนแห่

ยังไงก็ตามความเงียบสงบคือสิ่งที่เขาคาดหวัง  ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ไปบอกลาราชาเอลมาเดียส  พระราชาแห่งแอสเทอร์ และเฟลเมเนียอย่างเงียบๆก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงของเมเทอร์

“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะให้เงินฉันมาด้วย…”

เขาพึมพำพลางเขย่าถุงที่อยู่ในมือ เสียงกระทบกันของโลหะดังออกมาจากในถุง  ตอนที่ซุยเมอิเตรียมตัวจะออกจากปราสาท นายกรัฐมนตรีเกลสส์ ได้นำถุงที่มีเหรียญหน้าตาประหลาด 20 เหรียญนี่มาให้เขา

เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะออกมา นายกรัฐมนตรีได้บอกกับเขาว่าเขาควรจะขอบคุณราชาสำหรับความเอื้ออาทร  สายตาเหยียดหยามถูกจ้องมองมายังเขา หลังจากคำพูดอันยืดยาวถุงใบนี้ก็ถูกยัดใส่มือเขาราวกับทรัพย์สินหลังการหย่าและเขาก็ถูกไล่ออกมาจากปราสาท

จากคำพูดของนายกที่บอกกับซุยเมอิว่านี่คือความคิดของราชาและเขาถูกเรียกไปสั่งการอย่างลับๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ทำให้ซุยเมอิถึงกับเกาศีรษะ แม้ว่าฉันจะบอกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือ

แต่ตอนนี้ราชาทำให้ฉันต้องติดหนี้เขาซะแล้วสิ แม้ว่าเขาจะยืนกรานว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆในระหว่างการสนทนาในท้องพระโรง ถึงอย่างนั้นราชายังยังดึงดันที่จะให้ความช่วยเหลืออยู่ดี  ดูเหมือนว่าเขาจะกังวลกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น

บางทีมันอาจจะมาจากความหวังดีอย่างไม่มีอะไรเคลือบแฝง แต่ภาวะที่ดูเหมือนการเป็นหนี้นี้จะทำให้ซุยเมอิไม่ได้มีความสุขมากนัก ก็เพราะถ้าหากคุณเป็นหนี้ใครบางคนแล้ว คุณจะมีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรได้ถ้าหากว่าเข้าต้องการความช่วยเหลือ

ตอนนี้ดูเหมือนพันธะที่ว่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นระหว่าตัวเขาและราชอาณาจักรแอสเทอร์ซะแล้ว  ดูเหมือนว่าวาระซ่อนเร้นนี้จะไม่เป็นธรรมกับเขานัก แต่ดูเหมือนว่าจะเถียงอะไรไม่ได้ซะแล้วสิ จุดประสงค์ที่จะใช้ประโยชน์จากนิสัยส่วนตัวของเขา เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถติดต่อกันได้อย่างราบรื่นนี่มัน……

“ฮ่าๆๆ  ถึงวิธีการจะน่ารังเกียจไปนิด แต่ว่าถ้าเขาไม่ทำแบบนี้ เขาก็คงไม่เหมาะที่จะเป็นราชาหรอก….”

ซุยเมอิกลับมาพิจารณาของฝากอีกครั้ง  ดูเหมือนว่าราชาจะรู้ตัวดี เขาจึงไม่ได้มาด้วยตัวเองแต่ใช้เจ้าหน้าที่มาแทน เพื่อไม่ให้ซุยเมอิปฏิเสธได้ จึงใช้นายกรัฐมนตรีผู้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยมา

ด้วยความปรารถนาที่จะออกจากปราสาทไปอย่างเงียบๆ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากรับของขวัญนี้ไว้ ถุงที่มาพร้อมกับเหรียญที่อัดแน่นอยู่ข้างใน  ถึงอยากจะปฏิเสธแต่เขาก็ไม่มีเหตุผลมากพอที่จะบอกปัดไปได้

ถ้าคิดในอีกแง่แล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก  ถ้าตอนนี้เขามีเงินนั้นก็หมายความว่าหลังจากนี้เขาจะไม่ได้มีชีวิตที่ยากลำบากมากนัก ทั้งการเดินทาง  ที่พักหรืออาหาร เงินเป็นสิ่งจำเป็นมาก ยิ่งมีเงินมากเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้นเท่านั้น

จะบอกว่าเงินกลายเป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของเขาไปพร้อมๆกันก็คงไม่ผิดมากนัก ยังไงก็เถอะการเป็นหนี้บุญคุณก็ยังดีกว่าภาระที่โดนโยนมาให้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก็แล้วกัน  ที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะตอบแทนคืนหรือเปล่า

ถ้าไม่ต้องการก็แค่ลืมมันไปซะเท่านั้นเอง ปัญหาก็คือ……เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะใจแข็งพอที่จะบอกปัดไปได้หรือเปล่านี่สิ ซุยเมอิจ้องมองแถวตัวอักษรที่แนบมาพร้อมกับถุงเงิน บนกระดาษคุณภาพสูงที่ถูกเขียนโดยราชา

หวังว่าเขาจะยอมรับความหวังดีนี้ ถ้อยคำบนกระดาษทำให้ซุยเมอิถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เขาคงต้องตอบแทนราชาซะแล้วสิ  ซุยเมอิหันหน้าไปทางปราสาท ก่อนจะโค้งศีรษะลงเป็นการแสดงความเคารพ

“เจ้าจิ้งจอกเฒ่า…”

แม้ว่าจะเป็นไปตามคาด   ก็ยังไม่เพียงพอที่จะปัดเป่าอารมณ์ไม่ดีของเขาให้หายไป ☆

“เอาล่ะ  ทีนี้ฉันก็ดูเหมือนคนปกติสักที”

หลังจากที่ออกจากปราสาท จุดหมายแรกของซุยเมอิคือร้านขายเสื้อผ้า เมื่อประสบความสำเร็จในการทำตัวกลมกลืนกับคนทั่วไป ในที่สุดเขาก็ได้ผ่อนคลายสักที เขาพิจารณาไปเรื่อยๆ เมืองนี้เหมือนกับยุโรปในยุคกลาง ชุดนักเรียนของเขามันดูโดดเด่นเกินไป

ก่อนที่เขาจะเข้ามาในเมือง  เข้าจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ แต่ว่าเรอิจิและมิซึกิเครื่องแต่งการสมัยใหม่เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ผู้กล้าของพวกเขา  หากซุยเมอิต้องการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางชาวเมืองเครื่องแบบของเขามันแปลกแยกเกินไป

บางที่เขาอาจจะอยากสวมชุดของเขาอีกครั้งแต่นั่นก็เป็นเรื่องราวของอนาคต แต่ตอนนี้เพื่อความสงบสุข อย่าทำแบบนั้นเลยจะดีกว่า นั่นทำให้เสื้อผ้าอย่างคนปกติกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ซุยเมอิมุ่งหน้าไปยังร้านขายเสื้อผ้า  ตอนนี้เขามีเงินที่ได้มาจากการขายตำราจากโลกเก่าและเหรียญทองที่ได้มาจากราชา เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับราคาของมัน การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าในแบบเดียวกับคนที่อายุเท่าเขาส่งผลต่อภาพลักษณ์ในปัจจุบัน

คงต้องทำใจก่อนว่าเสื้อผ้าของที่นี่คงจะไม่เหมาะกับเขาเหมือนกับชุดเดิม มันรุ่มร่ามมากและยังแข็งอีก  บางทีมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะหาชุดที่เหมาะกับเขาจากที่นี่ แต่ก็ต้องขอบคุณชุดใหม่ของเขา ตอนนี้เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการไปไหนมาไหนแล้ว

“ไม่เลว ต่อไปก็สมาคมนักผจญภัย …”

(ถ้าไปต่างโลกแล้วยังไงก็ไม่พ้นที่นี่สินะ) ตรวจสอบความเรียบร้องของชุดอีกครั้ง ก่อนจะออกเดินทางไปยังสมาคมนักผจญภัย เหตุผลว่าทำไมเขาถึงไปสมาคมนักผจญภัยหลังจากเข้าร้านเสื้อผ้าน่ะเหรอ เพราะว่าบัตรประจำตัวเป็นสิ่งจำเป็น

หลังจากที่ลงทะเบียนกับสมาคม เขาก็จะได้รับสถานะนักผจญภัย นั่นแหล่ะสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ใส่ใจเรื่องของปราสาทมากนัก และการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวนี้ทำให้เขาเปลี่ยนสถานะจากแขกของปราสาทกลายเป็นคนเร่ร่อน

เพราะว่าเป็นคนจากอีกโลกหนึ่ง แม้ว่าเขาจะแสร้งทำว่าเป็นนักเดินทางจากต่างอาณาจักรมันก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี นั่นอาจจะทำให้ไม่สะดวกมากนักสำหรับเขา  อาหาร เสื้อผ้าและที่พักที่สิ่งที่มีความจำเป็นมากที่สุด

การใช้ชีวิตในโลกนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากโลกที่เขาจากมากนัก  ถ้าเขาถูกจับได้โดยที่ไม่มีสิ่งยืนยันตัวตน-สถานการณ์แบบนั้นอาจจะอันตรายกว่าในโลกของเขาซะอีก แน่นอนว่าซุยเมอิเป็นผู้ใช้เวท เขาสามารถใช้เวทมนตร์ในการแก้ปัญหาได้ ถ้าเขาทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา วันหนึ่งเกิดดวงตกขึ้นมามันคงยุ่งยากน่าดูชม

มีอีกวิธีคือได้รับบัตรประจำตัวจากหมู่บ้านเล็กๆ แต่ซุยเมอิไม่มีความคิดที่จะไปในที่แบบนั้น ตัวเลือกนี้จึงตัดออกไป แม้ว่าเขาจะตัดสินใจที่จะออกจากแอสเทอร์  สิ่งยืนยันตัวตนยังไม่จำเป็นต้องรีบหาในตอนนี้

แต่การมีมันไว้ก็อุ่นใจมากกว่าหากพบสถานการณ์ไม่คาดฝัน และถ้าหากเขาเข้าร่วมกับสมาคมนักผจญภัยของแอสเทอร์ ด้วยความสัมพันระหว่างแอสเทอร์และเนลเฟเรีย เขาก็จะกลายเป็นสมาชิกของสมาคมนักผจญภัยในเนลเฟเรียด้วยเช่นกัน

จากข้อมูลที่เขารวบรวมมาจากหนังสือจากห้องสมุดของปราสาท  เขาได้เรียนรู้ว่าสมาคมนักผจญภัยได้รับการยอมรับจากทุกสมาคมและพวกเขาได้รับการยอมรับจากทุกคน

แต่ก็ยังมีสมาคมอื่นๆที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน – ตัวอย่างคือสมาคมพ่อค้าที่มีอยู่เพื่อรักษาราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสร้างเส้นทางการค้า – สร้างขึ้นโดยผู้ที่เป็นงานฝีมือเฉพาะค่าการจัดการกับการจัดหาวัสดุเป็นสิ่งจำเป็น

เพราะแบบนั้นจึงต้องการคนที่มีประสบการณ์ในการค้าหรือมีผู้ค้ำประกันให้ สมาคมนักผจญภัย  มีกฎระเบียบที่แตกต่างกัน  แม้แต่คนที่โผงผางที่สุดก็ยังสามารถเป็นสมาชิกได้  ไม่จำเป็นต้องมีเงินก็ได้ ขอแค่สามารถจัดการงานได้สำเร็จ มันก็ไม่มีอะไร

ยังไงก็ตามสมาคมนักผจญภัยเองก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันง่าย ๆเหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในสมาคมคือทักษะและความน่าเชื่อถือ ภารกิจของสมาคม เต็มไปด้วย งานอันตราย เช่น ล่ามอนสเตอร์ หรือสำรวจชายแดน

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้จะไม่ได้รับการยอมรับในการจัดอันดับ อยากรู้ว่าทำไมซุยเมอิถึงไม่เข้าร่วมสมาคมนักเวทใช่มั้ย?

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าสมาคมนักเวทย์มีอยู่มากมาย ในโลกแห่งเวทมนตร์และดาบถูกบังคับให้ต้องต่อสู้  เพราะเวทมนตร์เป็นอาวุธในการป้องกันประเทศและสมาคมนักเวทก็เป็นส่วนหนึ่งของการทหารในแต่ละประเทศ มีเฉพาะสมาชิกของสมาคมนักเวทเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังได้ในอาณาจักรของตัวเอง

อีกทั้งซุยเมอิยังมีงานวิจัยและบางอย่างที่ต้องทำในฐานะผู้ใช้เวท เขาจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับการทำสิ่งนั้นภายใต้ชื่อองค์กรอื่นอย่างเด็ดขาด นั่นทำให้ตัวเลือกสมาคมนักเวทถูกตัดทิ้งไป นอกจากนี้เพื่อหลีกเลี่ยงข้อมูลรั่วไหล

เมื่อสมาชิกของสมาคมนักเวทข้ามเขตแดนระหว่างประเทศ พวกเขาจึงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่ยุ่งยาก ซึ่งซุยเมอิไม่ต้องการแบบนั้น อีกอย่างคือ สมาคมจอมเวทแตกต่างจากสมาคมอื่นๆตรงที่อยู่ใต้การปกครองของประเทศตัวเอง

การได้รับบัตรจากสมาคมจอมเวทก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก จากที่เขาได้ยินเฟลเมเนียพูดกับเรอิจิ เรื่องที่ในโลกนี้ไม่มีระบบของการใช้เวทมนตร์ การใช้เวทของคนที่นี้เป็นไปในแนวเส้นตรง คือเสกออกมาตรงๆไม่มีพลิกแพลงอะไรเลย แต่ว่า

มันอาจไม่เป็นแบบนั้นเสมอไปก็ได้  แต่นั่นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรหากเขาไม่ลองไปเผชิญความจริงด้วยตัวเอง เขาหยุดความคิดไว้ตรงนั้นเมื่อเดินมาถึงที่ตั้งสมาคมนักผจญภัย ตัวอาคารสองชั้นที่ถูกสร้างมาจากไม้ บนตัวอาคารมีป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า

” ทไวไลท์พาวิลเลียน “

ให้ความรู้สึกว่ากำลังยืนอยู่หน้าร้านอาหารหรือบาร์อะไรสักอย่าง  มียามสองคนยืนอยู่หน้าประตู การก่อสร้างที่ไม่ได้แตกต่างจากอาคารอื่นๆที่อยู่รอบๆ ถ้ามีอะไรที่แตกต่างก็คงจะเป็นพื้นที่ที่กว้างขวางนั่นแหละ

เมืองส่วนใหญ่ในโลกนี้รวมถึงเมเทอร์ด้วย จะมีกำแพงขนาดใหญ่กว่า 20 เมตรล้อมรอบอยู่ เพื่อป้องกันชาวเมืองจากการโจมตีของผู้บุกรุกและมอนสเตอร์ ดังนั้นอาคารภายในเมืองจะมีความสูงสองถึงสามชั้นเท่านั้น

พื้นที่ครอบครองของสมาคมนักผจญภัยดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น มันตั้งอยู่อย่างโดดเด่น  มีบริเวณกว้างขวากว่าอาคารอื่นที่อยู่รอบๆ ถ้าหากนี่เป็นการจัดสรรจากรัฐบาลแล้วล่ะก็ ความสำคัญของอาคารหลังนี้ – พื้นที่ที่มันตั้งอยู่ – บ่งบอกลักษณะออกมาอย่างชัดเจน

เพียงแค่มองดูก็เหมือนว่าจะมีบรรยากาศแห่งความรุนแรงกระจายออกมาก : ทุกคนที่ยืนกระจัดกระจายอยู่ดูเหมือนจะเป็นบุคคลอันตราย มีคนที่ดูเหมือนตัวละครจากเกมหรือภาพยนตร์ นักรบสวมชุดเกราะที่ดูท่าทางจะแข็งแกร่ง มีผู้ชายและผู้หญิงบางคนที่สวมชุดคลุมจอมเวทแบบเดียวกับเฟลเมเนีย

ผู้ชายบางคนอุ้มระเบิดขนาดใหญ่ไว้บนหลังของพวกเขาในขณะที่คนอื่น ๆ ถือคทาที่ดูเหมือนว่าจะมีไว้สำหรับทุบหัวมนุษย์ หากคนพวกนี้ถูกพบเจอในโลกของเขาแล้วล่ะก็ พวกเขาคงถูกจับในข้อหาพกอาวุธอันตรายแน่ๆ

แต่สำหรับที่นี่ที่ไม่มีกฎดังกล่าว ในโลกนี้ อาวุธถือเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตัวหรือล่าสัตว์  กฎหมายที่จำกัดการใช้งานอาวุธที่ว่านั่น ก็ไม่น่าจะมีอยู่หรอก ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นบรรยากาศที่ถูกสร้างขึ้น

เพียงแค่ก้าวเข้าไปในสมาคมก็ทำให้รู้สึกเหมือนโดนกดดันด้วยพลังแล้ว สำหรับซุยเมอิที่เป็นคนจากยุคใหม่ บรรยากาศนี้ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด ซุยเมอิเดินเข้าไปที่ประตูของสมาคมนักผจญภัยทไวไลท์พาวิลเลี่ยนด้วยความตื่นเต้น

ตอนแรกเขาหยุดยืนบริเวณหน้าประตูขนาดใหญ่ และสงสัยว่าเขามาถูกที่หรือเปล่า ยามดูเหมือนจะเข้าใจความสับสนของเขา พวกเขาพยักหน้าและเปิดประตูให้เขาเข้ามา ด้านในไม่แตกต่างไปจากที่เขาจินตนาการ

ดูเหมือนจะมีด้านหนึ่งที่ทำหน้าเหมือนกับเป็นโรงแรม  ร้านเหล้าในยุคกลางก็แตกต่างจากสมัยใหม่  พวกเขาทำกิจการโรงแรมและร้านเหล้าไปพร้อมๆกับการเป็นสมาคมนักผจญภัยงั้นสินะ ไม่มีทางจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอกใช่มั้ย?

ซุยเมอิคิดกับตัวเอง ในขณะที่มองไปรอบๆทไวไลท์พาวิลเลี่ยน และแน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเขานั้นเป็นความจริง ด้านหน้าห้องโถงขนาดใหญ่เป็นหน้าต่างสำหรับพนักงานต้องรับลูกค้า

ด้านหน้าของหน้าต่างเต็มไปด้วยม้านั่ง  ด้านข้างดูเหมือนจะเป็นชั้นวางของขนาดเล็กที่มีหนังสือพิมพ์และนิตยสารอัดแน่นอยู่  ถัดไปดูเหมือนจะเป็นกระดานภารกิจ ส่วนใหญ่จองพื้นที่ดูเหมือนจะถูกครอบครองโดยบาร์ อุจจาระเกลื่อนอยู่บนพื้น และถังไม้โอ๊คกองอยู่ราวกับภูเขาขนาดย่อม

คนที่ท่าทางกระสับกระส่ายกำลังเทไวน์หรือไม่ก็เบียร์ใส่ปาก พลางเรออกมาด้วยท่าทางสุขสม นี่ต้องเป็นฉากที่ทำให้คนจากสมัยใหม่ทุกคนต้องช๊อคเป็นแน่ ซุยเมอิเดินหนีไปจากเสียงโห่ร้องนั้น  เขาถอนหายใจที่ไม่รู้ว่าเกิดจากความรู้สึกแบบไหนกันแน่

บนม้านั่งมีคนไม่น้อยที่กำลังนั่งรออยู่ ซุยเมอิทำตามพวกเขาโดยการไปนั่งรอที่หลังแถว ในขณะที่นั่งอยู่เขาสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ และเธอค่อนข้างจะสวยมากทีเดียว เขาถอนหายใจให้กับรูปลักษณ์อันงดงามของเธอ

เธอมีผมสีแดงเข้มยาวถึงเอว ใบหน้าสง่างามดวงตาสีทับทิม และท่าทางสงบเสงี่ยมดูมีการศึกษาราวกับชนชั้นสูง เกราะของเธอเป็นสีขาวแต่งแต้มด้วยสีแดงซ่อนร่างอรชรนั้นไว้ ที่เอวของเธอสวมดาบยาวเอาไว้

ท่าทางที่ถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดีจนดูแข็งแกร่งราวกับหินผา  ถ้าให้เขาอธิบายก็คงต้องบอกว่า เธอเป็นเหมือนกับดาบที่ได้รับคมมาเป็นอย่างดี แม้จะมีความสามารถในการใช้ดาบเพียงเล็กน้อย แต่เขาสามารถบอกได้ว่าเธอไร้ช่องว่าง

จากลักษณะของเธอ เขาคิดว่าเธอคงจะมีอายุพอๆกับตัวเอง  เขารู้สึกประทับใจเธอ แต่ว่า เขาคงจะกลายเป็นคนเหลาะแหละไปเลย หากเข้าไปตีสนิทกับหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ เขาสงวนท่าทีก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

ด้วยหน้าที่ตัวตนของเขาจึงต้องเก็บเป็นความลับ  ซุยเมอิไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครมาก่อน  ความคิดที่ขัดแย้งในใจของเขานี่มันอะไรกัน  เขาจำได้ว่าผู้หญิงที่คุ้นเคยกับเขาทุกคนดูเหมือนจะเป็นบุคคลที่ลำบาก

แต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรในตอนนี้ ในขณะที่ซุยเมอิกำลังเรียบเรียงความคิดอันยุ่งเหยิงของเขาอยู่ จู่ๆหญิงสาวคนนั้นก็หันมาพูดกับเขา

“ขอโทษนะคะ คุณเป็นแขกประจำของไวไลท์พาวิลเลี่ยนหรือเปล่า?”

เสียงอ่อนโยนจนน่าแปลกใจ น้ำเสียงไม่มีความหยาบคาย แต่กลับสุภาพอย่างน่าทึ่งซึ่งเข้ากับภาพลักษณ์ดี ผงะไปกับความจริงที่ว่าเธอกำลังพูดกับเขาอยู่ ซุยเมอิเกือบตอบรับตามรูปแบบปกติของเขาแล้ว แต่รู้สึกว่าไม่น่าจะเหมาะสมจึงตอบกลับอย่างสุภาพเช่นกัน

“โอ้ ไม่ ไม่ บอกตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่นี่”

“บังเอิญจัง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเหมือนกันค่ะ ฉันสงสัยว่าที่นี่คือสถานที่รับสมัครสมาชิกสมาคมนักผจญภัยหรือเปล่า”

“ผมเชื่อว่ามันเป็นแบบนั้น  ถ้าคุณดูที่หน้าต่างอื่น ๆ พวกเขาดูเหมือนว่าจะเป็นคนรับลงทะเบียนเหมือนกันนะ”

ในขณะที่เขาพูดเขาชี้ไปในทิศทางของพื้นที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อื่น ๆ หน้าต่างแผนกต้อนรับส่วนหน้าเช่นเดียวกัน  จะเห็นว่าพวกเขาแต่งเครื่องแบบเดียวกับพนักงานสมาคม

“คุณเป็นนักผจญภัย?”

“ค่ะ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้  แต่การต่อสู้นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันทำได้ค่ะ”

หญิงสาวเคาะเบาๆที่ดาบของตัวเอง เธอกำลังเย้ยหยันตัวเองด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา  เหมือนกับว่าชีวิตของเธอขึ้นอยู่กับการต่อสู้เท่านั้น  การแสดงออกเหมือนกับอัศวินหรือนักรบนี่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หญิงสาวแนะนำตัวเองอย่างกะทันหัน

“ชื่อของฉันคือ เลฟิลเลีย กราคิส ค่ะ แม้จะไม่สมควรนัก แต่ฉันขอถามชื่อของคุณได้มั้ยคะ? “

“ฮ่ะ?”

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments