ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปบรรยากาศเต็มไปด้วยรังสีของการเข่นฆ่า ซุยเมอิพบว่าตอนนี้ตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พนักงานตอนรับที่อบอุ่นตอนนี้กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา และชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามกำลังตัวสั่นด้วยความโกรธ
สมาชิกคนอื่นๆของสมาคมดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรโกรธเคืองเป็นการส่วนตัว บีบวงรอบอยู่รอบตัวซุยเมอิอย่างกดดัน อ่า…นี่มันเลวร้ายสุดๆ ซุยเมอิรำพันในใจ เสื้อผ้าที่เขาเลือกมาดูเหมือนว่าจะเป็นความผิดพลาดที่น่ากลัวมาก
แต่มันสายเกินไปที่จะมาเสียใจแล้วตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่ต้องยอมรับมัน และตอนนี้ดูเหมือนว่าคนทั้งสมาคมพร้อมที่จะทำให้เขากลายเป็นอาหารกลางวันซะแล้ว : เด็กผู้ชายตัวเล็ก ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ ก็แค่เด็กหลงทางที่ไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเอง
นั่นแหละสิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่ ยังไงก็ตามในโลกที่เขาจากมา-องค์กรที่เหมือนกับสมาคมนี้ยังคงมีอยู่ที่นั่น- แต่ตอนนี้เขาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยทักษะแล้วอาวุธนับไม่ถ้วน ที่โดยปกติแล้วคนแก่และเด็กก็ควรอยู่อยู่กันอย่างสงบนั่นแหละ
เพราะมันมีสิ่งที่อันตรายกับพวกเขามากมาย แม้จะบอกว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงหรือลักษณะดุร้ายจะเป็นข้อได้เปรียบ แต่มันก็ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดในการต่อสู้ที่แท้จริงหรือการตัดสินกับศัตรู
ความจริงที่ว่านักเวทนั้นน่ากลัวมากกว่าแม้รูปร่างภายนอกจะแตกต่างจากพวกเขา กลายเป็นความจริงที่ว่านักรบนั้นมีค่าน้อยกว่านักเวทไปโดยปริยาย ซุยเมอิตัดสินไปตามมาตรฐานในโลกของเขาไปโดยไม่รู้ตัว โดยที่ลืมคิดไปว่าเมื่อสังคมที่อยู่นั้นแตกต่างกันสามัญสำนึกก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกละเลย แต่เหตุผลของคนในโลกนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา
บางทีมันอาจจะเป็นความผิดของซุยเมอิ แต่เขาไม่ยอมให้ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆนี่มาทำให้เขาพลาดในการเข้าร่วมสมาคมเด็ดขาด การลงทะเบียนเป็นสมาชิกของที่นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับเขา
ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาไม่มีเวลามากพอจะมาเสียที่นี่ได้อีกแล้ว ต่อให้เขาออกไปซื้อดาบตอนนี้แล้วกลับเขามา พวกนี้ก็จำรูปร่างหน้าตาของเขาได้แล้ว และแน่นอนว่าต่อให้ไปเปลี่ยนชุดตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย พวกนี้ก็ยังคงต้องการที่จะเตะเขาออกไปอยู่ดี ในขณะที่ซุยเมอิกำลังคิดหนักว่าจะทำยังไงดี ดวงตาของชายคนนั้นก็ลดความโกรธลง และพูดว่า
“…เฮ้ ไอ้หนู แกบอกว่ามั่นใจในตัวเองนักใช่มั้ย?”
“แน่นอนสิ ไม่งั้นฉันคงไม่พูดไปตั้งแต่แรกหรอก”
“ฮ่า งั้นเรามาลองดูกัน” ชายคนนั้นคำรามอย่างน่ากลัวก่อนจะดึงดาบออกมาจากข้างหลัง พนักงานต้อนรับรีบวิ่งไปหยุดเขาด้วยความตื่นตระหนก “เดี๋ยวก่อน ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็น….”
“ช่างมันสิ ไอ้หนูนี่มันควรจะได้รับรู้ความอ่อนของตัวเอง”
“แต่กฎของสมาคมห้ามใช้ความรุนแรงกับคนธรรมดานะ”
“นี่มันไม่ใช่ ‘การใช้ความรุนแรง’ ที่ใช้กับคนธรรมดา ไอ้เวรนี่ต้องการที่จะเข้าร่วมสมาคมใช่มั้ย? นั่นก็แปลว่ามันไม่ใช่คนธรรมดา นี่มันก็แค่การทดสอบนิดๆหน่อยๆเท่านั้น”
“แต่ว่า….ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ”
เมื่อโต้กลับมาแบบนั้นพนักงานต้อนรับก็หันมาถามซุยเมอิ
“มันอันตรายมากนะ? คุณว่ายังไง? “
“สบายมาก”
ซุยเมอิยอมรับคำท้าของชายคนนั้น แต่ก็ไม่อาจยับยั้งการถอนหายใจได้ เห็นมั้ยล่ะยังไม่ทันได้ออกไปไหนเลยก็ซวยซะแล้ว บรรยากาศแห่งการฆ่าฟันที่อบอวนไปทั่ว ยังไงก็คงต้องแสดงฝีมือออกมาสักหน่อยล่ะนะ เขาวางแผนสิ่งที่จะทำต่อไปทันที ยังดีที่อย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่โลกของเรา
ไม่มีพวกมือปราบของศาสนจักรอยู่ที่นี่ นี่คือโลกที่เวทมนตร์สามารถใช้เวทได้อย่างเปิดเผย ฉันคิดว่ามันคงไม่ต้องมาทำอะไรอย่างหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป ซุยเมอิคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
ตอนแรกเขาวางแผนไว้ว่าจะรักษาความลับเรื่องพลังของเขาเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แต่สำหรับคนพวกนี้ เวทมนตร์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน การต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าง เขาพบว่าการใช้เวทมนตร์ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ตราบใดที่เขายังอยู่ในโลกนี้มันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปกปิดพลังของเขา
นอกจากนี้สถานะของเวทมนตร์ที่นี่ยังถูกนับว่าเป็นพรจากพระเจ้าพวกที่เห็นเวทมนตร์เป็นของชั่วร้ายอย่างศาสนจักรน่ะไม่มีในโลกนี้เลย เพราะแบบนั้นเหตุผลในการปกปิดเวทมนตร์ของเขาจึงลดน้อยลงมาก ความกังวลที่ว่าเวทมนตร์ของเขาจะถูกพบเห็นและถูกขโมยก็ไม่มีเหมือนกัน เพราะว่าคนที่นี่ล้าหลังมากเกินกว่าจะเข้าใจเวทมนตร์ของเขา
แม้ว่าเขาจะเปิดเผยความลับออกไป ถ้าเพียงแค่ใช้เวทมนตร์เล็กๆน้อยๆในที่นี่ก็น่าจะปลอดภัย ยังไงซะถ้าเขาได้เป็นสมาชิกของที่นี่ความลับเรื่องนี้ก็ปิดไว้ไม่ได้อยู่ดี จะเปิดเผยตอนนี้หรือตอนไหนก็ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างกัน แม้ว่าในใจของเขาจะอยากให้มันเป็นความลับให้นานที่สุด
แต่หลังจากที่คิดอย่างดีแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะแสดงความเหนือชั้นกว่าให้เห็น เพื่อจะเข้าร่วมสมาคมเข้าต้องยุติสถานการณ์นี้ต่อหน้าพยานทั้งหลาย ขณะที่ซุยเมอิกำลังครุ่นคิด ฝ่ายตรงข้ามของเขาก็ตะโกนอย่างทนไม่ไหว
“เฮ้ แกจะเป็นใบ้ไปอีกนานแค่ไหน?แกน่ะเข้าใจคำว่าอันตรายดีแล้วใช่มั้ย?”
“อ่า….ฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นอะไรหรอกนะ”
เขาตอบกลับอย่างใจเย็น แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีความกังวลใดๆ แม้ว่าบรรยากาศจะค่อนข้างหนักหน่วง แต่ความกดดันแค่นี้ไม่อาจทำให้เขากังวลได้หรอก เพราะอย่างที่เขาบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าซุยเมอิมีประสบการณ์การต่อสู้ด้วยชีวิตและความตายมาแล้วหลายครั้ง เขาเป็นคนมีประสบการณ์ในการต่อสู้ ความรู้สึกกดดันมาจากชายคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับสิ่งที่เขาเคยประสบมาในโลกเก่า
การไล่ล่าเอาชีวิตจากพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้ศรัทธาในพระเจ้ากับผู้ใช้เวทแล้วผู้ชายคนนี้ก็อยู่แค่ระดับเด็กอนุบาลเท่านั้นแหละ นี่ไม่ได้รวมถึงกองกำลังทหารติดอาวุธทันสมัยอีก หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่พวกเขาเรียกว่ามอนสเตอร์หรือพวกภูตผีตามธรรมชาติอีก (โลกเรานี่มีของแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย)
ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วภัยคุกคามจากชายคนนี้กลายเป็นเรื่องตลกไปเลย ที่อยากจะบอกก็คือ ประสบการณ์ผจญกับการถูกไล่ล่าเอาชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วนของซุยเมอิ ทำให้เขาไม่รับรู้ถึงความอันตรายจากสถานการณ์นี้เลยสักนิด
อ่า…ฉันสงสัยว่าบางทีเขาอาจจะเห็นว่าฉันเป็นแค่เด็กสารเลวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่รู้ข้อจำกัดของตัวเอง หรืองี่เง่าไม่รู้จักอ่านบรรยากาศ แต่นี่คือธรรมเนียมการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ใช้เวทในโลกของเขา การยับยั้งมานาเป็นส่วนหนึ่งในการปกปิดตัวตนที่ทำให้ไม่มีใครสามารถจับได้ว่าพวกเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ ชายคนนั้นเริ่มหักข้อ
“ฮึ้ม…งั้นฉันจะเริ่มแล้ว แกจะป้องกันหรือจะหลบก็แล-”
มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่ทุกคนในห้องจะตระหนักได้ว่าซุยเมอิทำอะไร หากว่านี้เป็นการสาธิตความแข็งแกร่งแล้ว มันจำเป็นจะต้องประกาศออกมาด้วย? มันคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรสินะ แม้ว่าซุยเมอิจะรู้สึกขัดแย้งในใจ
แต่เขาก็ยังคงรวมรวมสมาธิของตัวเอง ผู้ชายคนนั้นชักดาบออกมาและเริ่มกวัดแกว่ง ซุยเมอิกะระยะเวลาที่ดาบออกจากฝักและวิถีของมัน เป้าหมายคือด้ามของดาบซึ่งจะเป็นกุญแจสู่ชัยชนะของเขา เขากะช่วงเวลาที่ดีที่สุดและสะบัดนิ้ว
“อ๊ากกกกกก!?”
เสียงกึกก้องของการระเบิดและเรื่องที่น่าเศร้า-อ่า..นั่นมันไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่-ผลกระทบจากการระเบิดของอากาศทำให้ชายคนนั้นลอยขึ้นไปบนเพดานและดาบของเขาก็ลอยไปอีกด้านหนึ่ง เสียงดาบกระทบกับพื้นดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
“เอ๊ะ…อะไรน่ะ?เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?…”
ไม่มีใครสามารถมองเห็นการโจมตีของเขาได้ ทุกๆคนพากันมองไปรอบๆด้วยความสับสน
“อ๊ะ..?”
พนักงานต้อนรับหญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาอุทานด้วยความสับสน ดูเหมือนว่าเธอจะตกใจในความแข็งแกร่งของซุยเมอิซึ่งขัดกับภาพลักษณ์มากมาย คนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ตาของพวกเขาเบิ่งกว้างด้วยความตกตะลึง
“ขอโทษนะค่ะ แต่ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันใช้เวทมนตร์น่ะ”
ซุยเมอิตอบคำถามของพนักงานตอนรับ อีกฝ่ายดูเหมือนจะรวบรวมสติได้แล้วและบีบขมับด้วยความสับสน
“เวทมนตร์? แต่ว่าฉันไม่เห็นได้ยินคาถาหรือว่าคำร่ายเลย?”
“ถูกตัอง”
“คุณหลอกฉันรึเปล่า …”
“เห็นฉันทำอย่างอื่นรึไง”
ซุยเมอิตอบกลับอย่างไมใส่ใจนัก ปฏิกิริยาประหลาดใจเหมือนกับที่เขาได้เห็นจากเฟลเมเนีย การใช้เวทมนตร์แบบไม่ต้องร่ายคาถาคงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากสำหรับคนในโลกนี้ – พิธีเวทมนตร์ ขึ้นอยู่กับโอกาส
มันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นพิธีทางไสยศาสตร์หรือพิธีกรรมเวทมนตร์: หนึ่งในเทคนิคเวทย์ ถึงแม้ว่ามันจะถูกจำแนกว่าเป็นเวทมนตร์ มันแตกต่างจากเทคนิคอื่นอย่างพวก โหราศาสตร์หรือระบบเวทมนตร์ชนิดอื่นๆ การใช้
(สวดวลีที่มีความหมาย และเป็นรูปแบบที่แน่นอน กำหนดภาพเคลื่อนไหว และร่ายคาถาก่อนที่มันจะทำงาน เมื่ออธิบายโดยผู้ใช้เวทสมัยใหม่ ของพวกนี้เป็นแค่สิ่งที่อยู่ภายในตำราเท่านั้น เวทมนตร์ที่ปรากฏผลตามการกระทำที่กำหนดไว้ เป็นระบบทั่วไปที่ถูกใช้ในเวทมนตร์สมัยใหม่ มันเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดและดูเหมือนว่าผู้ใช้เวททั้งหมดใช้เวทมนตร์ในรูปแบบนี้ )
สิ่งที่ซุยเมอิเพิ่งจะทำไป มันเป็นวิธีการที่แตกต่างจากวิธีของโลกนี้ การสะบัดนิ้วของเขาเป็นแค่การกระตุ้นให้เวทมนตร์แสดงผล เรียบง่ายและธรรมดา แต่ทรงประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ต้องร่ายคาถาหรือใช้หลักการใดๆเลย
“แล้วคุณ …”
“อาใช่ ขอโทษทีที่ไม่ได้บอกก่อนหน้านี้ แต่ฉันเป็น อืม….นักเวทน่ะ”
คำอธิบายที่ล่าช้าทำให้คนที่อยู่รอบๆแตกตื่น
“นักเวท….แต่งตัวแบบนี้เนี่ยนะ”
“ฉันไม่เคยได้ยินเวทที่ไม่ต้องร่ายคาถาเลย…”
“นักเวทจริงดิ…ตกใจนะเนี่ย….”
. . . . . . หรือเขาจะแสดงน้อยเกินไป? แต่ทั้งหมดที่เขาทำคือสะบัดนิ้วมือของเขา จากมุมมองของเวทมนตร์สมัยใหม่ การใช้คาถากับการกระทำที่กำหนดไว้ล่วงหน้านั่นเอาไว้ใช้กับเวทบทใหญ่ๆ แต่สำหรับที่นี่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่สนใจคำถามเหล่านั้น ซุยเมอิยักไหล่ให้กับพนักงานต้องรับที่มองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ทีนี้เชื่อฉันหรือยัง”
“ค่ะ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณเป็นนักเวทอย่างแน่นอน แต่ฉันสงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่ใส่เสื้อคลุมหรือถือคทา นั่นไม่ใช้ของจำเป็นเหรอค่ะ??”
… ?
“หืม? มันจำเป็นสำหรับนักเวทเหรอ? “
“…ไม่ใช่ค่ะ แต่ดูเหมือนว่านักเวททุกคนจะชอบทำแบบนั้น”
“แล้ว? ฉันไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรตามคนอื่นหรอกนะ”
” … “
คำตอบที่ไม่คาดคิดจากเขา ทำให้พนักงานตอนรับถึงกับพูดไม่ออก หลังจากนั้น …
“นั่นไม่ใช่แค่เรื่องของความชอบนะค่ะ สิ่งเหล่านั้นจำเป็นสำหรับความแม่นยำหรือใช้ในการปัดเวทมนตร์ของคนอื่น คุณรู้บ้างหรือเปล่า?!”
“ฉันมีของที่ดีกว่าเสื้อคลุมจอมเวทอยู่แล้ว และฉันก็ไม่ได้ต้องการอะไรอย่างพวกคทา รู้มั้ยว่าเพียงแค่รู้จักความคุมระดับมานาให้ดี ของแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร นักเวทระดับกลางก็ทำแบบนั้นได้แล้ว”
“อ่า …”
ซุยเมอิทำเอาพนักงานตอนรับถึงกับพูดอะไรไม่ออก มันเป็นความจริงเหรอที่นักเวทจำเป็นต้องใส่เสื้อคลุมและถือคทา?
แต่ว่าเขาไม่เห็นว่าเฟลเมเนียจะพกคทาไว้ตรงไหนเลย ความจริงก็คือ สำหรับคนในยุคนี้เครื่องมือเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ในยุคอียิปต์โบราณ ไม้เท้าด้ามงอซึ่งถูกประทานมาจากเทพเป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจของพวกเขา
หรือเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คือ ครูอิต เซลติก หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันในชื่อไม้เท้ากายสิทธิ์ ความแตกต่างระหว่างระบบที่แตกต่างกันแม้จะมีเวทมนตร์
คทาเวทเป็นความช่วยเหลือที่ทรงคุณค่าของนักเวททุกประเภทโดยเฉพาะกับคนที่ใช้เวทเพลิง แล้วทำไมเขาถึงไม่มีมันงั้นเหรอ – เหตุผลจะถูกพูดถึงในภายหลัง ที่นี่ก็เสื้อคลุมเวท ของที่ช่วยในการป้องกันทางเวทมนตร์ ทั้งในโลกนี้และอีกโลกหนึ่ง ผู้ใช้เวทในสังคมตะวันตกสวมใส่ชุดทางการแทนเสื้อคลุม
ความสามารถในการป้องกันเวทมนตร์นั้นถูกบรรจุไว้ในนั้นอยู่แล้ว ชุดของเขาก็คือสูทขาวดำที่ได้ออกโรงไปแล้วนั่นแหละ ….เสื้อคลุมจอมเวทและคทา เขาไม่ได้หลีกเลี่ยงพวกมันเพียงเพราะความโบราณหรอกนะ
ยังไงก็ตามมันก็เป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้เวท แต่ของที่มีประวัติอันยาวนานพวกนั้นอาจจะไม่เหมาะกับรูปลักของผู้ใช้เวทสมัยใหม่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทิ้งพวกมันไป ไม่ ไม่ พวกเขาได้พัฒนาเสื้อคลุมและคทาให้มันทันสมัยยิ่งขึ้น
แม้ว่าพวกเขาจะไล่ตามความลึกลับของโลก แม้ว่าโลกของผู้ใช้เวทจะสวนทางกับความเจริญของโลกวิทยาศาสตร์ แต่พวกเขาก็ยังได้รับอิทธิพลจากการอยู่ในสังคมเดียวกัน เครื่องมือเวทมนตร์ได้รับการพัฒนาขึ้นแทนรูปแบบเก่า
เส้นทางของเวทมนตร์ที่เดินขนานไปกับยุคสมัยของสังคมหล่อหลอมให้เกิดซุยเมอิในวันนี้ขึ้น คทาวิเศษได้กลายเป็นปืนเวทมนตร์และเสื้อคลุมได้กลายเป็นชุดตะวันตก ประเพณีดั้งเดิมที่มีความสำคัญเองก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามรูปแบบของยุคสมัย จะว่าเรื่องนี้ทำให้สับสนก็ช่วยไม่ได้ละนะ
“อ่าฉันขอโทษด้วย ที่ไม่ได้ตระหนัก เรื่องเสื้อผ้ามันคงจะสำคัญมากสินะ”
เขากล่าวอย่างอ่อนน้อมกับคนที่เขาทำให้คลั่ง
“ไม่ๆๆๆ มันเป็นความผิดของฉันเองที่ด่วนตัดสินเกินไป ฉันเสียใจจริงๆ”
“ถ้าคุณว่าแบบนั้น…..ตอนนี้ฉันสามารถเข้าร่วมสมาคมได้รึเปล่า?”
“อ่าใช่ คุณนักเวท ฉันคงไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เธอจะเป็นจัดการเองหลังจากนี้”
ชายคนนั้นเดินไปและชี้ไปที่พนักงานต้อนรับ ภายใต้การนำของเขา
“ต้องทำยังไงต่อ?”
ซุยเมอิถามพนักงานต้อนรับ
” ค . . ค่ะ เข้าร่วมสมาคมก็ดี ขอโทษที่ฉันเสียมารยาทอย่างก่อนหน้านี้ค่ะ”
“อืม ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องใหญ่… “
เขาตอบหญิงสาว เธอก้มศีรษะด้วยความอาย มันทำให้เขารู้สึกสับสน
“ไม่ค่ะ ฉันขอโทษจริงๆ”
การแสดงออกของเธอค่อนข้างแย่ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ในเวลานี้ คนรอบข้างที่วิพากย์วิจารณ์ซุยเมอิก่อนหน้านี้ได้กลับไปยังที่นั่งของพวกเขาแล้ว จากสถานการณ์นี้ดูเหมือนว่าปัญหาได้ถูกแก้ไขแล้ว ผู้ชายคนนั้นเข้ามาขอโทษอีกครั้งและบอกลาเขาไป
” … พวกนี้คือเอกสารที่คุณจะต้องกรอก กรุณาระบุข้ามูลที่จำเป็นด้วยค่ะ”
“ได้เลย”
กระดาษที่พนักงานต้อนรับส่งมาถามหาข้อมูลพื้นฐานเช่นชื่อและอายุของเขา ไม่ใช่อะไรที่จำเป็นต้องปกปิด ซุยเมอิรับปากกาและขวดหมึกมาเขียนอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งกลับไป พนักงานต้อนรับเอาไปอ่านอย่างรวดเร็ว
“ยาคางิ ซุยเมอิซัง ขอโทษนะคะ นี่เป็นชื่อจริงๆเหรอ?”
“ฉันรู้ ฉันรู้ ใครๆก็ชอบมาทักฉันเรื่องนี้เหมือนกัน”
ซุยเมอิยิ้มอย่างบิดเบี้ยวคำกล่าวของเธอ เขาเป็นคนญี่ปุ่น และโลกนี้เทียบเท่ากับในยุโรปในยุคกลาง ; เขาคาดว่าคงจะต้องประสบกับความรู้สึกนี้ไปอีกนานเลย
ปล.1 ขอโทษด้วยครับทั้งๆที่บอกว่าจะลงทุกวันแต่ดันเลยเที่ยงคืนซะได้ orz.ปล.2 (_ _)zzZZ
ที่มา: