I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 15 การต่อสู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้(1)

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1507 | 2366 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ดูเหมือนว่าการเผชิญหน้าในตอนนี้จะแตกต่างจากการต้อนรับก่อนหน้านี้ลิบลับ จำนวนของคนที่โกรธเขากับเหตุผลที่ทำให้โกรธก็แต่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ก่อนหน้านี้เองก็ด้วย เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกเหตุการณ์แบบนี้กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งคู่เป็นศัตรูอย่างเปิดเผยที่ระบายความโกรธกับเหยื่อผู้บริสุทธิ์ เหยื่อผู้ถูกชักนำโดยคำถาม ‘ซุยเมอิ’  ถอนหายใจ นายกรัฐมนตรี พนักงานตอนรับ และตอนนี้ยังสองคนนี้อีก

ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันซวยของเขาโดยแท้ จากสิ่งที่เขาได้ยินมาจาก ‘เลฟิลเลีย’ ว่า การประเมินการจัดอันดับเธอได้ต่อสู้กับนักรบที่ชื่อ ‘ไรคัส’ และนักเวท ‘เอนมาร์ฟ’  การประเมินผลการจัดอันดับยังหมายถึงช่วงเวลาที่นักผจญภัยของทไวไลท์พาวิลเลี่ยนสามารถขอคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการต่อสู้

แต่เดิมแล้วสมาชิกใหม่จะเลือกต่อสู้กับคนใดคนหนึ่งแต่ ‘เลฟิลเลีย’  เธอเลือกที่จะต่อสู้กับทั้งสองคน ผลก็เป็นอย่างที่เห็นและสามารถตัดสินได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากดาบบางและเกราะเบาซึ่งสร้างขึ้นอย่างประณีตของ ‘เลฟิลเลีย’ แล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นเพียงหญิงสาวที่งดงามราบกับผีเสื้อหรือดอกไม้ ทัศนคติที่ไม่ดีของพวกเขาที่มีหญิงสาวผู้งดงามเช่นนี้ ทำให้พวกเขาประสบความสูญเสียอันเลวร้าย  ‘โดโรเธีย’ และทั้งคู่พูดคุยกันจบ

“งั้นก็ถึงตาฉันแล้วใช่มั้ย?”

คำถามของซุยเมอิค่อนข้างหยาบคาย เมื่อพวกนี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสุภาพด้วย

“ใช่”

‘ไรคัส’ ตอบ

“วิธีการต่อสู้เป็นยังไง”

“สมาคมไม่ได้มีการกำหนดแนวทางไว้ เพียงแค่มีความต้องการที่จะต่อสู้และจากนั้นเราก็จะประเมิน แค่นั้นแหละ”

ไม่รู้ว่าเพราะมันเป็นคำถามที่น่าลำคาญหรือเพราะไม่มีอารมณ์ที่จะตอบ คำตอบที่ได้มาจึงห้วนและกระชับ แม้ว่า ‘ไรคัส’ จะทำหน้าน่ากลัวแต่ ‘ซุยเมอิ’ ก็ยังถามต่อ

“มีความต้องการที่จะต่อสู้- หมายถึงต่อสู้อย่างตรงไปตรงมาใช่มั้ย?”

“ใช่. กฎข้อเดียวก็คือไม่สามารถใช้อาวุธจริงในระหว่างการประเมินได้ เนื่องจากแกเป็นนักเวทแสดงว่าใช้คทาเวท อืม … จำไว้ว่าเวทมนตร์ที่ได้รับอนุญาต จะต้องไม่ทำร้ายร่างกายหรือทำให้ถึงชีวิต  ถึงเราจะเป็นคู่แข่งก็ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นศัตรู ใช่มั้ย ‘เอนมาร์ฟ’ ? “

“…ไม่มีปัญหา”

การตอบคำถามของ ‘ไรคัส’ นี้ เป็นครั้งแรกที่ ‘เอนมาร์ฟ’ เปิดปากพูดขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่เงียบขรึม แต่สิ่งที่ฉายชัดบนใบหน้านั้นก็เหมือนกับ ‘ไรคัส’  ความมั่นใจในตัวเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงล้อเลียนดังขึ้น

“ทำไมพูดแบบนั้นล่า~ ได้ยินว่าเพิ่งโดนเตะก้นมาไม่ใช่เหรอ~”

‘โดโรเธีย’ นั่นเอง กล้าหาญจนน่าตกใจเลยนะเนี่ย

“เงียบเหอะน่า! ไม่มีใครพูดกับเธอสักหน่อย!”

‘ไรคัส’ คำราม ความโกรธจนพูดไม่ออกที่ถูกล้อเลียนจากพวกเดียวกัน  ‘โดโรเธีย’ ตอบสนองด้วยการแลบลิ้น ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะชอบความท้าทายน่าดู

“แล้ว? จะเลือกใครล่ะ? ถ้าเลือกไม่ได้เดี๋ยวพวกเราจะเป็นคนเลือกให้เอง”

“…..”

“อะไร? มีปัญหางั้นเรอะ?!”

“เอ่อ…”

….บางที มันอาจจะไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องไปคิดมากนักกับเรื่องนี้ นักตั้งแต่ที่เขามายังโลกนี้จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ต่อสู้กับใครโดยไม่ใช้เวทมนตร์เลย เขาเห็น ‘เรอิจิ’ และอัศวินจำลองการต่อสู้กันก็หลายครั้ง

แต่มันก็ยังมีความแตกต่างจากการลองด้วยตัวเอง มีหลายครั้งที่เขาคิดอยากจะมีส่วนร่วมด้วย การต่อสู้เพื่อประเมินผลนี่นับว่าเป็นโอกาสดี   ‘เลฟิลเลีย’ จะจากไปในไม่ช้าและทิ้งเขาไว้กับพวกนี้

เขารู้ว่าเธอต้องไปทำความสะอาดร่างกายหลังจากต่อสู้ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขาจัดการที่นี่ได้ก็จะลบข้อกังขาที่เกิดขึ้นที่แผนกต้อนรับได้อีก โอกาสที่ดี เลยนี่นา

‘ซุยเมอิ’ หาข้อสรุปให้ตัวเองได้ทันที ไม่ว่า ‘โดโรเธีย’ จะเพิ่มเชื้อเพลิงให้อีกหรือไม่  ผลสรุปสุดท้ายก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม

“อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่…ฉันอยากจะสู้กับพวกเขาทั้งสองคน พร้อมกัน”

“-โอ๊ะ?” “ห่ะ?”

‘เลฟิลเลีย’ ดูจะสนใจกันคำตอบของเขา ส่วน ‘โดโรเธีย’ ร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจ การแสดงออกของคนทั้งคู่ที่ถูกเขาท้าทายก็เปลี่ยนไป

“ฮ่ะ? อยากจะสู้กับพวกเราพร้อมกัน ไอ้เจ้าโง่นี่ พูดจริงดิ?”

“ฮึ่ม ฉันเกลียดเรื่องตลกที่ไม่ตลก. “

แปลก  ‘ซุยเมอิ’ สงบปากสงบคำในขณะที่ ‘ไรคัส’ แสดงท่าทีกราดเกรี้ยว

“บางทีถ้าแกมีความแข็งแกร่งเท่าผู้หญิงคนนั้น แต่นักเวทตัวเล็กอ่อนแอแบบนี้คิดว่าจะเอาชนะพวกเราได้?เพียงเพราะส่งหมอนั่นบินขึ้นไปบนเพดานได้?”

” … “

‘เอนมาร์ฟ’ จ้องมองมาอย่างอาฆาตมาดร้ายเช่นเดียวกับ ‘ไรคัส’   ‘ซุยเมอิ’ คาดเดาได้ถึงปฏิกิริยานี้ได้อยู่แล้ว สำหรับนักผจญภัยที่มั่นใจในตัวเองอย่างสองคนนี้ แค่การถูกท้าทายจากเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มันก็ต้องของขึ้นอยู่แล้ว

เป็นเพราะพวกเขาแสดงออกถึงการดูหมิ่นตั้งแต่แรก นี่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการให้พวกเขาลิ้มรสกับสถานการณ์อย่างเดียวกันแบบกลับข้าง คนอื่นอาจจะมองว่ามันน่ารังเกียจไปสักหน่อยแต่เขาก็มีจุดมุ่งหมายของเขา และเพื่อการนั้น

เขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะรู้สึกยังไง เพราะความตึงเครียดที่อบอวนไปทั่วชั้นบรรยากาศ ทำให้ ‘โดโรเธีย’ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“อืม… ‘ซุยเมอิซัง’  คุณแน่ใจแล้วเหรอ?”

“อา..ใช่  นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ เพราะฉันต้องไปหาที่อยู่ต่ออีก เพราะงั้นถ้ามันเสร็จเร็วขึ้นสักหน่อยก็เป็นเรื่องดี”

“ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างน๊านนนน”

“โฮ้..มันใจว่าจะชนะขนาดนั้นเลย?”

‘ไรคัส’ ขัดจังหวะ ‘โดโรเธีย’

“ใช่.”

“ความคิดโง่ๆ”

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกนายเชื่อมั่นในการเป็นนักผจญภัยของตัวเอง ฉันก็มีความภูมิใจในเส้นทางของฉัน นอกจากนี้การเจียมเนื้อเจียมตัวก็จะทำให้ฉันเสียสุขภาพจิตด้วย”

“หน่อย..ไอ้เด็กเวรนี่ อย่างประเมินตัวเองไว้สูงนัก ไม่งั้นแกจะโดนกระทืบเละ  หยุดล้อเล่นแล้วเลือกใหม่ซะ แกยังมีโอกาสอยู่”

‘ไรคัส’ เตือน ‘ซุยเมอิ’ ให้เลือกใหม่อีกครั้ง  แต่เมื่อ ‘ซุยเมอิ’ พูดขนาดนี้แล้ว มีหรือเขาจะยอมกลับลำง่ายๆ

“ไม่อ่ะ ฉันไม่เลือกใหม่หรอก” “…แล้วแกจะต้องเสียใจ”

“ขอบคุณที่เตือน…”

“ฮึ่ม  ‘เอนมาร์ฟ’  เราจะไม่ปล่อยให้เด็กนี่ดูถูกเราอีก ตืบมันเลย”

“…จัดไป”

‘ซุยเมอิ’ ยักไหล่อย่างไม่สนใจความโกรธแค้นเกินกว่าเหตุของ ‘ไรคัส’  และการกระตุ้นการตอบสนองจาก ‘เอนมาร์ฟ’  สองคู่หูส่งสายตาอาฆาตไปทาง ‘ซุยเมอิ’ ก่อนจะเดินไปกลางสนามฝึก

( … ) . . . . . . .

เขากลายเป็นเป้าหมายของความโกรธตั้งแต่แรก และ เขาได้ปฏิเสธความปรารถนาดี และตะแบงอวดความสามารถของตัวเอง มันอาจจะไม่เกิดขึ้น หากว่าเขาคิดให้ดีก่อน และในที่สุดก็มาถึง. .

วันที่การกระทำของเขาจะกลับมาหลอกหลอนเขาเอง แม้ว่าจะเป็นต้นเหตุของสถานการณ์ปัจจุบัน แต่เขาคือผู้ใช้เวท ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความกังวลเลยสักนิด แต่ความจริงที่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามเองก็ต้องการเช่นกัน

ในฐานะลูกผู้ชายพวกเขาไม่อาจจะทนการยั่วยุของเด็กเหลือขอที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้  ‘ซุยเมอิ’ ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ จึงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปในทางนั้น ขณะที่สถานการณ์ขยายตัวรุนแรงมากขึ้น ก็มีเสียงร้องมาจากด้านหลังเขา

“ ‘ซุยเมอิคุง’  สองคนนั้นเก่งมากนะค่ะ คุณแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”

‘เลฟิลเลีย’ ถามขณะที่เขาเดินเข้าไปในสนามฝึกอบรม เป็นเพราะว่าเธอเป็นห่วงฉันที่ต่อสู้กับพวกเขาในเวลาเดียวกัน หรือเพราะว่าเธอต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉัน?  ‘ซุยเมอิ’ พยักหน้าให้หญิงสาว

“ใช่ครับ”

“คุณมั่นใจเหรอคะที่จะสู้กับพวกเขาพร้อมกัน”

“ถึงมันจะจินตนาการยากไปสักนิด แต่ก็น่าลองดูไม่ใช่เหรอครับ”

ขณะที่เขาพูดเยาะเย้ยตัวเอง  ‘เลฟิลเลีย’ กลับยิ้ม

“แน่นอนค่ะ”

“ตอบเร็วมาก! คุณนี่โหดร้ายจังเลยน๊า..”

ดูเหมือนว่าเธอจะเห็นด้วยกับเขา คำพูดของเธอทำให้พวกเขาอดหัวเราะไม่ได้

“คิกๆๆๆ …”

“ฮ่าๆๆๆ …”

น่าตกใจที่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ากันได้จริงๆ คำแนะนำของเทพธิดอาร์ชูน่าช่างน่าอัศจรรย์นัก  ‘ซุยเมอิ’ รำพึงกับตัวเอง

“ยังไงซะการต่อสู้กับพวกเขาพร้อมกัน ก็เป็นความตั้งใจของผมเอง ผลจะต้องออกมาดีแน่”

“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรแล้ว”

‘เลฟิลเลีย’ พยักหน้าก่อนจะหันไปหา ‘โดโรเธีย’

“ขอโทษนะคะ ฉันสามารถดูจากข้างสนามนี่ได้รึเปล่า”

“อุ๊?”

อย่างไม่คาดคิดน้ำเสียงตกใจนั้นออกมาจากปาก ‘ซุยเมอิ’ โดยที่ไม่รู้ตัว

“ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ แต่ ‘ซุยเมอิซัง’ คุณคงไม่ต้องการให้ใครเห็นใช่รึเปล่า?”

‘โดโรเธีย’ ถามหลังจากหลังจากรู้ความต้องการของ ‘เลฟิลเลีย’

“โอ้…ไม่ ไม่มีปัญหา”

“ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นคะ?”

“โอ้ มันไม่มีอะไรจริงๆนะ ผมแค่ประหลาดใจแค่นั้นเอง”

“จริงเหรอ”

‘โดโรเธีย’ เอียงศีรษะด้วยความสับสน เมื่อได้รับอนุญาต ‘เลฟิลเลีย’ ก็พยักหน้าอย่างยินดี

“ดีจังเลยค่ะ เรามาดูสิ่งที่คุณจะทำกันเถอะ”

ดูเหมือนว่าเลฟิลเลียจะมีเจตนาที่จะดูอย่างมาก การต่อสู้ระหว่างเขากับสองคู่หูนั่นคงไปกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งนักรบของเธอเข้า เวทมนตร์ของเขาถูกมองดูโดยคนอื่น แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาคิดในใจขณะเดินไปยังกลางสนามฝึกอบรม และตอนนั้น

“ทุกคนพร้อมแล้วหรือยัง?”

“….อืม”

” … “

“ก็ไม่เลวนัก”

‘ไรคัส’ ดึงดาบออกมาจากฝักและเอนมาร์ฟชี้ปลายคทาเวทมนตร์ของเขามาที่ ‘ซุยเมอิ’   ‘ซุยเมอิ’ เตรียมความพร้อมของเขาด้วยการดึงถุงมือแห่งความขัดแย้งมาสวมและเอาหยิบขวดออกมาจากในกระเป๋า  ‘ไรคัส’ ถามด้วยความสงสัย

“นั่นอะไร?”

“ไม่มีอะไร ก็แค่อาวุธ”

” … ?”

ท่ามกลางสายตาแปลกใจและสับสนของคนรอบข้าง  ‘ซุยเมอิ’ เปิดจุกขวดและเทสิ่งที่อยู่ในนั้นลงบนพื้น

นี่คือสิ่งเดียวกับที่เขาใช้สู้กับเปลวไฟสีขาว อาวุธเวทมนตร์ที่อยู่ในการครอบครองของเขา ของที่ไม่คุ้นเคย  ‘เลฟิลเลีย’ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยให้กับสารที่เป็นสีเงิน

“เงิน … น้ำ?”

“นี่คือปรอท คุณไม่รู้จักเหรอ?”

“ใช่ค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นมัน”

เธอตอบตามตรง

“ ‘ซุยเมอิซัง’  คุณทำพื้นเลอะ”

‘โดโรเธีย’ พูดเสียงอ่อน

“ไม่นะ…ฉันไม่ได้ทำอะไรเลอะ”

“ก็เห็นๆกันอยู่ แต่…..”

ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคนในห้อง เขาเทของเหลวลงบนพื้น นั่นคือความจริงแน่นอน แต่….

“เดี๋ยวก็เข้าใจ”

“ฮะ….”

“อืม มันคือยาใช่รึเปล่า?”

“ไม่ใช่หรอก”

ระหว่างที่เขาตอบคำถาม ‘เลฟิลเลีย’  ของเหลวทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนไหวไปมาบนพื้น เขาถ่ายโอนมานาก่อนจะว่าคาถาเปลี่ยนแปลงรูปร่าง

“เพอมูเททิโอ โคแอกูเลทิโอ วิส เลมินา(แปรธาตุ เสริมสร้างอำนาจ)”

เมื่อเขาร่ายคาถา ปรอทที่อยู่บนพื้นก็ปรากฏวงเวทขึ้นมา วงเวทสีแดงซึ่งเปล่งประกายอันมีมนต์ขลัง

“…!”

“โอ้?!”

“เอ๋?”

” … !?”

ในขณะที่เขากำลังใช้เวทมนตร์ เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจของทั้งสี่คนดังไปถึงหูเขา  พวกเขาประหลาดกับความสามารถในการสร้างวงเวทโดยไม่ต้องวาดภาพเหมือนกับ ‘เฟลเมเนีย’

“การแปรธาตุ”

‘เอนมาร์ฟ’ พึมพำ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ ‘ซุยเมอิ’ กำลังทำ ท่ามกลางแสงที่ปล่อยออกมาจากวงเวท ปรอทดันตัวเองขึ้นและเคลื่อนไหวไปมาเหมือนกับดินเหนียว ก่อนจะเข้าหา ‘ซุยเมอิ’ ในรูปลักษณ์ของดาบ

“นี่คืออาวุธของฉัน”

ให้แน่ใจว่า ‘เลฟิลเลีย’ ได้คำตอบแล้ว  ‘ซุยเมอิ’ เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ของตัวเอง ห้องถูกสร้างจากวัสดุป้องกันอยู่แล้ว  ‘ซุยเมอิ’ ใช้มือที่สวมถุงมือของเขาจับดาบปรอทไว้และตั้งท่าสำหรับการต่อสู้  ‘ไรคัส’ มองอย่างสงสัย

“…เฮ้ แกไม่ใช่นักเวทหรอกเรอะ”

“เห็นการใช้เวทแล้วยังสงสัยอีก?”

“นักเวทที่ถือดาบ?…แน่ใจนะว่ารู้วิธีใช้น่ะ”

คำถามของ ‘ไรคัส’ เหมือนกับ ‘เฟลเมเนีย’  มันคงเป็นสามัญสำนึกพื้นฐานของคนในโลกนี้ เขานึกถึงในเกมที่พวกนักเวทจะถูกวางไว้ในตำแหน่งกองหลังและนักรบเป็นทัพหน้า การที่นักเวทใช้อาวุธในเลยเป็นอะไรที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

“ฉันรู้อะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ”

“อ่อเหรอ”

‘ซุยเมอิยิ้ม’ อย่างไม่สะทกสะท้าน  ‘ไรคัส’ ไม่ตอบอะไร  ‘โดโรเธีย’ จึงถือโอกาสนี้ และ

“เริ่มได้”

คำพูดของ ‘โดโรเธีย’ ถือเป็นจุดเริ่มต้อน  ‘ไรคัส’ เริ่มจู่โจมเป็นคนแรก เขาทะยานเข้าไปแล้วฟัน ‘ซุยเมอิ’ เป็นแนวทแยง  ‘ซุยเมอิ’ ตั้งท่ารับดาบ

“หึ..”

‘ไรคัส’ พ่นเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นการรับการจูโจมของ ‘ซุยเมอิ’  ความแตกต่างในพลังของพวกเขาสามารถจำแนกได้จากขนาดแขนของทั้งคู่  ‘ซุยเมอิ’ มองรอยยิ้มของ ‘ไรคัส’  เขาเชื่อว่าตัวเองชนะ แต่นั่นมันก็แค่สิ่งที่เขามองเห็นเท่านั้น

เมื่อดาบกำลังจะมาถึงตัว  ‘ซุยเมอิ’ หลบฉากไปทางซ้าย และใช้ดามดาบฟาดไปที่หลังของไรคัส จากนั้นหมุนตัวเป็นวงกลมและไปตั้งท่าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยืนเดิมของฝ่ายตรงข้าม

“อ่ะ?..”

ปฏิกิริยาของ ‘ไรคัส’ ช้าเกินไป ดูเหมือนว่าเขาจะเสียโอกาสในการแก้ไขท่าทาง การปะทะกันของทั้งคู่และแรงฟาดนั้นส่งผลให้เขาเซถลาไปข้างหน้า วิธีที่คาดไม่ถึง

มันเป็นเทคนิคในการป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามและทำลายสมดุล ส่งผลให้การโจมตีนั้นล้มเหลว  ‘ซุยเมอิ’ ไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้เสียเปล่า เขาเคลื่อนไหวโจมตี ‘ไรคัส’ ไปรอบๆ โดยที่ ‘ไรคัส’ ไม่สามารถจะตอบโต้อะไรได้เลย

นี่คือราคาที่เขาต้องจ่ายให้กับการประมาท ‘ซุยเมอิ’  แต่ว่าเขายังมีโอกาสจะตอบโต้อยู่ นั่นเพราะว่ายังมีอีกคนที่กำลังรอโอกาสในการจู่โจมอยู่เช่นกัน

“โอ้ลม จงบีบอัดพลังอันไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ และปลดปล่อความโกรธเกรี้ยวนั้นไปที่ศัตรูของข้า! หมัดลม!”

“เซแคนดัม เอกคิพิโอ! (เปิดการใช้งานป้อมปราการ!) “

และปล่อยการโจมตีเข้ามาอย่างไม่ลังเล  ‘ซุยเมอิ’ จึงเปิดการใช้งานเวทมนตร์เพื่อหยุดการโจมตีนั้น พายุที่พัดเข้ามาอย่างรุนแรงจากพลังของหมัดยักษ์ มันคือ ‘โล่สีทองสุกใส’ นั่นเอง เทคนิคเวทมนตร์ป้องกันระดับสูงของ ‘ซุยเมอิ’

“อ่ะ!?..”

เสียงตะโกนอย่างประหลาดใจของใครก็ไม่รู้ดังเข้ามายังโสตประสาท  ‘ซุยเมอิ’ ชี้ดาบไปที่ ‘ไรคัส’ ขณะที่โล่สีทองสุกใสกับป้องกันด้านหลังของเขาอยู่ กระสุนอากาศกระทบการป้องกันของเขาก่อนจะสลายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เวทมนตร์ลอบกันนั้นไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆแก่เขาได้  ‘ไรคัส’ อาศัยช่วงเวลานั้น ตั้งท่าใหม่ก่อนจะพูด

“ฮึ่ม ดาบสวยดีนี่”

“ก็มันมีไว้เพื่อป้องกันชีวิตฉันนี่นะ”

‘ซุยเมอิ’ ตอบอย่างเยือกเย็น

“นั่นมันอะไรกัน!? เวทมนตร์นั่น!?”

‘เอนมาร์ฟ’ กรีดร้อง ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก  ‘เอนมาร์ฟ’ ดูเหมือนจะอยู่ในภาวะตื่นตระหนกสุดขีด  ‘ซุยเมอิ’ หรี่ตาลง

“…เวทมนตร์ป้องกันของฉัน?”

เขาถามอย่างแปลกใจ

“ฉันไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน! แก แก ทำอะไร…!”

“อะไร? มีอะไรแปลกรึไง?”

‘ซุยเมอิ’ ไม่เข้าใจว่า ‘เอนมาร์ฟ’ ต้องการจะสื่อสารอะไร หลังจากที่เกิดอาการช๊อคขึ้นเขาก็พูดผิดๆถูกๆ โล่สีทองสุกใสเป็นเวทมนตร์ประเภทป้องกัน

เป็นผลงานชิ้นเอกที่ได้รับการออกแบบโดยเขาเอง มันมีประสิทธิภาพในการป้องกันทุกอย่าง แม้ว่าสิ่งที่โจมตีเข้ามาจะไม่ใช่เวทมนตร์ก็ตาม แต่ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นคือมันสามารถใช้ได้อย่างรวดเร็ว แล้ว ‘เอนมาร์ฟ’ ตกใจอะไรกัน ไม่เคยเห็นเวทมนตร์ป้องกันรึไง แล้วทำไมเขาถึงร้องออกมาแบบนั้น?

“มันแปลกตรงไหน”

‘เอนมาร์ฟ’ ช๊อคจนไม่สามารถพูดจบประโยคได้  ‘โดโรเธีย’ จึงต่อให้เอง

“ ‘ซุยเมอิซัง’ ! คุณใช้เวทได้ยังไงโดยที่ไม่มีอุปกรณ์?”

“อ่อ ใช่ ฉันไม่ได้ใช้อุปกรณ์ มันคือเวทมนตร์ป้องกัน อุปกรณ์อะไรนั่นน่ะไม่จำเป็นหรอก”

ปล.ค้างมั้ยครับ? ผมก็ค้างเหมือนกัน

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments