I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 15 การต่อสู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้(2)

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1394 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ในความเป็นจริงแล้วอุปกรณ์นั้นมีความสำคัญมากในการใช้เวทมนตร์ป้องกัน ถ้าคุณต้องการจะหยุดการโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยเวทมนตร์ คุณต้องหยุดมันด้วยคาถาป้องกันตัว เพราะแบบนั้นพวกมันจึงเป็นส่วนหนึ่งของนักเวททุกคน

ขณะที่บางคนถกเถียงกันเกี่ยวกับการเพิ่มคุณสมบัติธาตุให้กับเวทมนตร์ป้องกันทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันเวทมนตร์ธาตุตรงข้าม จึงต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างเพื่อช่วยเสริมคุณสมบัตินั้น

มีการลงมติว่าอุปกรณ์นั้นมีความสามารถในการป้องกันน้อยกว่าเวทมนตร์ แต่ว่า

“นั่นมันเป็นไปไม่ได้!  เรื่องบ้าๆแบบนั้นน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก! เวทมนตร์จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีบางอย่างเป็นสื่อกลาง! เวทมนตร์ที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยน่ะมันไม่มีทางมีในโลกนี้ได้หรอก….”

“ฮะ…? อะไร? คุณสมบัติธาตุ … เป็นสื่อมันคืออะไร? “

อะไรกันเนี่ย?  ‘ซุยเมย์’ ไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขากำลังพูดเลยสักนิด ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้หากไม่มีคุณสมบัติธาตุเป็นสื่อกลาง? อะไรน่ะ มันหมายความว่ายังไง?

คุณสมบัติธาตุนั่นมันเป็นการจัดหมวดหมู่เวทมนตร์ ไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญในการใช้เวทมนตร์ไม่ใช่เหรอ (อย่าได้งงไปเลยครับมันคือความแตกต่างของศัพท์ระหว่างสองโลกน่ะ) แม้ว่ามันจะไม่มีความจำเป็นหรือว่าบางที

“… ‘ซุยเมย์คุง’  เวทมนตร์ในโลกนี้น่ะจำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์เพื่อแสดงผลนะ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวทมนตร์แบบอื่นหรืออย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น วิธีการใช้เวทมนตร์ของคุณมันท้าทายสามัญสำนึกเกินไป”

‘เลฟิลเลีย’ อธิบายข้อมูลซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ขาดหายไปของปริศนาที่ ‘ซุยเมย์’ จำเป็นจะต้องเข้าใจให้ อีกนัยหนึ่ง…..

“อา….มันเป็นแบบนี้นี่เอง ตอนนี้ฉันได้รับมัน…เวทมนตร์ของโลกนี้ไม่ได้ใช้คุณสมบัติธาตุในการสร้าง  แต่ต้องใช้อุปกรณ์เป็นตัวเร่งในการสร้างเวทมนตร์”

ในที่สุดคำถามในใจของ ‘ซุยเมย์’ นับตั้งแต่วันที่เขามายังโลกใบนี้ก็ได้รับคำตอบ ว่าทำไมนักเวทในโลกนี้ถึงต้องใช้คาถาที่ระบุคุณสมบัติธาตุลงไปด้วย

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว  ‘ซุยเมย์’ สันนิษฐานในตอนแรกนั้นไม่ถูกต้อง นักเวทในโลกนี้หยิบยืมเวทมนตร์มาจากธรรมชาติ ธรรมชาติเวทมนตร์นั้นคือเวทมนตร์ที่หยิบยืมพลังมาจากธรรมชาติ โดยเฉพาะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเองแบบซ้ำๆ

ไม่ต้องพูดมากยิ่งกว่านั้น จากที่เขาเห็นมาตลอดเวทมนตร์ในโลกนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในหมวดนี้ทั้งนั้น หลังจากที่เข้าใจผิดมานาน วันนี้เขาก็ได้เข้าใจสักทีว่าเวทมนตร์ในโลกนี้นั้นมาจากพลังของธรรมชาติ

อย่างเช่นเวทอัญเชิญผู้กล้า : ประตูถูกเปิดด้วยเวทมนตร์จากธรรมชาติ และใช้เวทเพื่อควบคุมแรงดึงดูดของธรรมชาติอีกนั้นแหละ เพื่อใช้เวทลมก็ทำการแพร่มานาจากตัวเองออกไปในอากาศเพื่อควบคุม

วิธีที่สุดแสนจะไร้ประสิทธิภาพ อาจจะเพิ่มความรุนแรงได้มากกว่านั้น กรณีที่ใช้เวทมนตร์ธรรมชาติ ถ้าหากพวกเขาไม่ทำแบบนั้นแล้วเวทมนตร์ที่เรียกออกมาได้ก็จะไม่ใช่พลังที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หากคุณไม่ใช้

“องค์ประกอบธาตุ”

โดยเฉพาะถ้าหากไม่ได้หยิบยืมพลังมาจากหนึ่งในธาตุทั้งแปดแล้ว ก็จะไม่สามารถใช้งานเวทมนตร์ได้ ด้วยเหตุนี้เวทมนตร์ในโลกนี้จึงประกอบไปด้วยธาตุใดธาตุหนึ่งเสมอ

การใช้ธาตุทั้งแปดเป็นสื่อกลางสำหรับเวทมนตร์จึงค่อนข้างจะเป็นอะไรที่สะดวกแต่ก็ใช่ว่าเวทที่ใช้ออกมานั้นจะสมบูรณ์ จะบอกว่านั่นเป็นปัญหาก็คงจะไม่ผิดนัก …..

จะพูดว่านี้คือธรรมชาติของเวทมนตร์หรือเป็นแค่ผลพลอยได้จากวัฒนธรรมของโลกนี้ดีละ?คำตอบของคำถามในอดีตผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง

“ต้องพึ่งพาพลังของอุปกรณ์ โทษที คุณสมบัติธาตุ มันก็แค่การเพิ่มกระบวนการที่ไม่ทำเป็นเท่านั้นแหละ มันก็แค่การทำให้มันซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น วิธีการใช้เวทมนตร์ที่ไร้ประโยชน์”

“…แกกำลังพูดบ้าอะไรอยู่”

“ไม่มี ไม่มีอะไร เวทป้องกันไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหรอก มันไม่มีประสิทธิภาพพอ”

เวทมนตร์ของโลกนี้ไม่ได้ใช้ขั้นตอนการก่อรูปแบบของเขา แต่ใช้การขั้นตอนการอัดมานาและก่อรูปมีขั้นตอนพิเศษมีขั้นตอนพิเศษที่เพิ่มเข้ามาในตอนหลังเปลี่ยนเป็นองค์ประกอบธาตุ

นี่เป็นเหตุผลที่ต้องร่ายคาถาเพื่อเปิดการใช้งานและการที่ขาใช้เวทมนตร์ได้เลยโดยไม่ต้องทำแบบนั้นทำให้คนอื่นๆประหลาดใจ แม้ว่าวิธีนี้อาจจะยากไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ ต้องโทษคนที่ริเริ่มการใช้เวทมนตร์ในโลกนี้นั่นแหละที่ผิด ไม่ต้องบอกเลยว่าเวทมนตร์สมัยใหม่ของเขานั้นมีประสิทธิภาพมาก เพราะแบบนั้นเองที่ทำให้ ‘ซุยเมย์’ ตีความเกี่ยวกับเวทมนตร์ในโลกนี้ผิดไป ….

นอกจากการต่อสู้กับเฟลเมเนียแล้ว  ‘ซุยเมย์’ ไม่ได้ตรวจสอบเกี่ยวกับเวทมนตร์ในโลกนี้เลย  จะพูดให้ถูกก็คือเขาไม่มีโอกาสที่จะทำอย่างนั้น แม้ว่าห้องสมุดของปราสาทจะเก็บรวมรวมหนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์ไว้ เข้าก็ไม่ได้อ่านมัน ทำไมน่ะเหรอ?

นั่นก็เพราะว่าในโลกของ ‘ซุยเมย์’ หนังสือที่เกี่ยวกับเวทมนตร์นั้นเป็นหนังสือลับ มันไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นการใช้เวทมนตร์ หนึ่งในนั้นมีหนังสือประเภทมนต์ดำซึ่งจะส่งผลกับผู้ใช้เวทเช่นกัน

ดังนั้นการพยายามที่จะเรียนรู้เวทมนตร์โบราณจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก พื้นฐานของเวทมนตร์ไม่เคยถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรมันจะส่งต่อจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นเสมอ

หากไม่มีพื้นฐานแล้วหนังสือก็เป็นอะไรที่ไร้ความหมาย นอกจากนี้หนังสือเวทมนตร์โบราณนั้นอันตรายมาก มันทำได้ถึงขนาดกัดกร่อนจิตใจคนอ่านหรือทำให้หลงใหลได้ปลื้มกับเรื่องชั่วร้ายได้เลยทีเดียว ถ้าหากว่า ‘ซุยเมย์’ ให้ความสนใจสักนิด

เขาอาจสังเกตเห็นได้เร็วกว่านี้ว่าสามัญสำนึกในโลกของเขานั้นใช้กับที่นี่ไม่ได้ เขารู้ว่าหนังสือเวทโบราณนั้นอันตรายมาก แม้ฉบับสำเนาเองก็ยังอันตราย แต่ ‘เรอิจิ’ และ ‘มิซึกิ’ ได้รับการสอนจาก ‘เฟลเมเนีย’ โดยตรง เขาจึงไม่ได้เฉลียวใจว่าสิ่งที่พวกนั้นใช้คือศาสตร์โบราณที่อันตรายระดับนั้น

เหตุผลที่ว่าทำไม ‘ซุยเมย์’ ถึงไม่เคยพยายามที่จะทำความเข้าใจเวทมนตร์ในโลกใบนี้ เพราะเขาเข้าใจว่าการการใช้เวทมนตร์ของที่นี่จะต้องอาศัยเวลาและพลังเวท  อีกทั้งเขายังไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการถือกำเนิดของโลกนี้

เวทมนตร์ธรรมชาติและประเพณีในการถ่ายทอดเวทมนตร์ เขาจึงไม่ได้สนใจมัน เขาอุทิศเวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโลกนี้และวิเคราะห์วงเวทอัญเชิญผู้กล้า ก่อนที่จะเรียนรู้ระบบเวทมนตร์ของที่นี่ และสุดท้ายแล้วเขาก็มุ่งหน้าออกมา โดยที่ไม่รู้เกี่ยวกับนักเวทในโลกนี้เลย

เหมือนกับคนที่ค้นพบกุญแจของปริศนาโดยไม่ได้ตั้งใจ และมองไปข้างหน้าเพื่อหาปริศนาต่อไปด้วยความตื่นเต้น …..และเหมือนกับก่อนหน้านี้ วันที่เขาได้มายังที่นี่ ความคิดที่ว่า: เวทมนตร์ในโลกนี้นี่มันล้าหลังสุดๆ

“…..ช่างมันเถอะ ฉันก็ตอใจเหมือนกันนั่นแหละ แต่เราจะต่อรึเปล่า?”

“ชิ..”

“คิดซะว่าเวทมนตร์ของนายมันด้อยพัฒนา ส่วนของฉันมันเป็นของพัฒนาแล้ว  อืมๆ เอาแบบนั้นแหละ”

“ด้อยพัฒนา? แกพูดบ้าอะไร?”

“ก็นั่นไง มันดั้งเดิมแบบสุดๆ ถ้าเทียบกับที่ที่ฉันจากมา นั่นมาสุดจะล้าหลัง หลังป่าหลังเขาหลังห้วยหลังเนิน พูดแล้วฉันอยากจะร้องไห้”

‘เอนมาร์ฟ’ โกรธจัดในขณะที่ ‘ซุยเมย์’ แสร้งถอนหายใจอย่างเสียใจ

“ฮึ่ม ไม่ใช้อุปกรณ์นั่นมันน่าภูมิใจนักรึไง ฉันคนนี้จะเป็นทำลายมันด้วยพลังนี้เอง!”

“ไม่ปฏิเสธ  แต่ว่า….แน่ใจนะว่าจะทำได้?”

‘ซุยเมย์’ กล่าวตอบอย่างเยาะเย้ย

“โอ้ลม จงก่อกำเนิดพายุอันอนันต์ และปลดปล่อยอำนาจนั้นไปที่ศัตรูของข้า! กระสุนพายุ!”

หลังจากที่ปลดปล่อยคาถา กระแสลมก็เริ่มหมุนรอบๆตัวของ ‘เอนมาร์ฟ’ และบริเวณใกล้เคียง การโจมตีนี้ดูเหมือนะจะแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง อาจเป็นเพราะเขาต้องการบดขยี้ความอวดดีของ ‘ซุยเมย์’  แต่ว่า

“เซคันดัม เพอเฟคตัส! (เปิดใช้งานปราการที่สอง!) “

กระสุนพายุโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ความรุนแรงของแต่ละนัดนั้นหากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ ‘ซุยเมย์’ แล้วล่ะก็คงถูกแรงอัดอากาศตายไปแล้ว และไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันไม่ได้มีแค่ลูกเดียว แต่มีสิบถึงยี่สิบลูกอีก

กระสุนพายุเข้ามาโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ซุยเมย์ก็ยังคงสามารถสกัดกั้นไว้ได้กระสุนต่อเนื่อง เป็นชื่อเหมาะสมกับการโจมตีลงมาเหมือนกับสายฝนนี้ การโจมตีปะทะเข้ากับโล่ป้องกันก่อนจะหายไห รูปแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

‘ซุยเมย์’ ก็ยังคงปลอดภัยดี เขาสามารถป้องกันการโจมตีมหาศาลนี้ได้ ในที่สุดพายุเวทมนตร์นี้ก็สิ้นสุดลง แต่มันยังคงมีพายุเล็กๆกระจายไปทั่ว ที่ใจกลางของพายุ  ‘ซุยเมย์’ จ้องมองมาด้วยสายตาเบื่อหน่าย ทำเอา ‘เอนมาร์ฟ’ ถึงกับพูดไม่ออก

เขาจับจ้องมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้อีกแล้ว ทันใดนั้น ‘ไรคัส’ ก็กระโจนมาที่ ‘ซุยเมย์’ ซึ่งกำลังหันหลังอยู่อย่างเต็มแรง

“ไม่นะ….”

เขาทะยานมาที่ ‘ซุยเมย์’ เหมือนกับกระสุนหลังจากที่รอให้การโจมตีของ ‘เอนมาร์ฟ’ สิ้นสุดลง แต่จากมุมมองของ ‘ซุยเมย์’ แล้วนี่มันยังช้ากว่าหอยทากซะอีก  ‘ซุยเมย์’ ขยับมือตามการเคลื่อนไหวของ ‘ไรคัส’ และเปิดใช้งานโล่ป้องกัน

“พริมัม เอกคิพิโอ!”

“เต็มอัตรา!”

ดาบและผนังป้อมปราการปะทะกันทำให้เกิดเสียงแหลมสูงเหมือนกับโลหะกระทบกัน  ถ้ามองใกล้ๆจะมองเห็นว่าใบดาบและปราการมีการปะทะกันอย่างรุนแรง ประกายไฟกระจายไปทั่ว ยังไงก็ตาม  ‘ไรคัส’ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไร้ประโยชน์ที่จะโจมตีปราการเวทมนตร์ด้วยดาบ ไม่ว่าการปะทะจะรุนแรงสักแค่ไหนก็ไม่อาจทำลายปราการลงได้

“การโจมตีแค่นั้นน่ะ ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”

“ฮึ้ย …”

‘ซุยเมย์’ ยืนรอการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ในขณะที่เฝ้ารอฝ่ายตรงข้ามดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยแววดูถูกเหมือนกับกำลังมองดูตัวตลกจับจ้องไปที่ ‘ไรคัส’   เขาตัดสินใจว่ามันเป็นโอกาสที่จะโจมตีในตอนที่ ‘ไรคัส’ ยังตั้งหลักไม่ได้ เขาก้าวไปทางซ้าย เมื่อ ‘ซุยเมย์’ ก้าวไปข้างหน้า  ‘ไรคัส’ ก็ตั้งดาบขึ้น เมื่อสังเกตเห็นท่าทีโจมตีของ ‘ไรคัส’ ผ่านทางแววตา  ‘ซุยเมย์’ ก็ร่ายเวทป้องกัน

“กวาร์ตูม เอกคิพิโอ! (เปิดใช้งานปราการที่สี่) “

ความพยายามที่น่าสิ้นหวังนี้ถูกป้องกันจากปราการที่สี่ ซึ้งถูกออกแบบมาให้สะท้อนการโจมตีทุกรูปแบบ พลังโจมตีของ ‘ไรคัส’ จากปราการที่สี่นี้ถูกส่งไปยัง ‘เอนมาร์ฟ’

“อ๊ะ-”

“อะไรน่ะ-?!”

เสียงของการปะทะทำเอา ‘ซุยเมย์’ แปลกใจไม่น้อย หากเวทมนตร์ของเขาไม่สามารถสะท้อนได้แล้ว คงบาดเจ็บไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะเคลื่อนไหว เขารีบชิงโจมตีก่อน

“นูตัส มัลติตูโด เดคเรสโค… (ลมมวล ลดแรงโน้มถ่วง)”

ใช่ชั่วพริบตา ความเร็วในแต่ละขั้นตอนเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า ภายใต้ผลของเวทมตร์ตัวใหม่นี้  ‘ซุยเมย์’ เข้าจู่โจมอย่างรวดเร็ว  ‘ไรคัส’ ขยับดาบไปทางซ้ายเพื่อโจมตี ‘ซุยเมย์’ ด้วยหมัดขวา การตอบสนองไม่เลวเลยนี่

ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสามารถจริงๆ คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่คนเดียวที่มีการตอบสนองได้อย่างทันท่วงที ‘ซุยเมอิ’ กระชับดาบที่มือขวา และขยับโล่ที่มือซ้าย

“ไอ้เวรเอ้ย ไปลงนรกซะ”

‘ไรคัส’ ตะโกนด้วยความโกรธ เมื่อต้องเผชิญกับหมัดอันหนักหน่วงของ ‘ไรคัส’   ‘ซุยเมย์’ ใช้มือปกป้องตัวเอง ‘ไรคัส’ แผดเสียงร้องด้วยความโกรธ ไม่มีทางที่เมือเรียวๆแบบนั้นจะสามารถรับการโจมตีของเขาได้

แน่นอนว่าถ้าหากเทียบความแข็งแรงของข้อมือแล้วล่ะก็ ‘ซุยเมย์’ คงไม่สามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องของความแข็งแรงของมือล่ะนะ หากมองให้ดีแล้ว ก็จะพบว่ามือทั้งสองข้างของ ‘ซุยเมย์’ นั้นสวมถุงมือแห่งความขัดแย้งอยู่

เมื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีไม่ได้ ก็มีแต่ต้องรับหมัดแบบตรงๆ  ถุงมือแห่งความขัดแย้งนี้ เป็นเครื่องมือเวทมนตร์ในการสร้าง ‘ความแตกต่าง’ กับวัตถุทางกายภาพที่เข้ามาสัมผัส และเมื่อพวกเขาสัมผัสกัน

เขาก็ใช้ช่องว่างนั้นในการหลบได้  ‘ซุยเมย์’ แทงดาบของเขาลงบนพื้นและรวบคอของ ‘ไรคัส’ ด้วยท่ายูโดและเหวี่ยงไปข้างหน้า โดยไม่ให้เสียเวลา เขาเปลี่ยนการโจมตีไปที่ ‘เอนมาร์ฟ’ ต่อ เขายกไม้คทาขึ้นและพยายามร่ายเวทโจมตี

“แน่ใจแล้วเหรอ? กับเวทมนตร์ที่ไม่มีพลังแบบนั้นน่ะ”

‘ซุยเมย์’  เวทมนตร์ของ ‘เอนมาร์ฟ’ ไม่สามารถทำร้าย ‘ซุยเมย์’ ได้พวกเขาก็ได้เห็นกันแล้ว เวทป้องกันนั่นสามารถสะกัดได้อย่างสมบูรณ์แบบ คำพูดแทงใจดำของ ‘ซุยเมย์’  ส่งผลให้ ‘เอนมาร์ฟ’ ทำหน้าบิดเบี้ยวอย่างขมขื่น

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ!”

เขายังอยากจะสู้ต่อไปงั้นเหรอ? เขาต้องการจะจบเรื่องนี้ด้วยเวทมนตร์  ‘เอนมาร์ฟ’ เริ่มร่ายเวทอีกครั้ง

“พุทธิ พรหมมา พุทธิ วิทยา”

(ห๊ะ!!!)

“จงบีบอัดพลังอันไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ และ….”

ทั้งคู่ร่ายคาถาของตนในเวลาเดียวกัน ชัยชนะตกเป็นของคนที่ร่ายได้เร็วกว่า  ‘ซุยเมอิ’ เป็นผู้ใช้ศาสตร์ของ ‘ฮีบรูคับบาล่าห์’ ซึ่งใช้โนตารีคอน แต่คู้ต่อสู้ของเขาใช้ระบบเวทมนตร์ที่ต้องรวบรวมธาตุต่างๆเพื่อเปิดใช้เวทมนตร์ ความพยายามที่โง่เขลา เมื่อเขากำลังร่าย ผลการต่อสู้ก็ถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว ทุกคนคิดว่านั่นเป็นคาถาระดับเดียวกัน

“พายุ!”

คนแรกที่ร่ายคาถาจบไม่ใช่ ‘ซุยเมย์’ หากแต่เป็น ‘เอนมาร์ฟ’  ความเร็วที่ความไม่ถึงนี้เกิดจากคาถาอย่างย่อ ซึ่งส่งผลให้พลังในการโจมตีลดลงเป็นอย่างมาก การโจมตีระดับนี้ไม่สามารถที่จะทำร้ายเขาได้

ดังนั้นทำไมเขาใช้เวทมนตร์นี้? คำตอบจะได้เห็นกันในเร็ว ๆ นี้ นั่นเป็นเพราะพายุอัญเชิญมาจากด้านหลังของเขา ไม่เลวนี่ ความหวาดกลัวที่เกาะกุมแผนหลัง ทำให้เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ ‘ ซุยเมย์’ อดที่จะปรบมือให้กับ ‘เอนมาร์ฟ’ ไม่ได้ที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ‘ซุยเมย์’ ถึงเลือกใช้คาถา : พุทธิพรหมมา พุทธิวิทยา พุทธิคันธะ

“พุทธิ คันธะ ตฤษณา! (ปลดปล่อยความกระหาย!) “

ตฤษณา หมายถึง ความกระหาย. ในภาษาสันสกฤต  ภาษากลางที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมมากกว่าห้าศาสนา และมีประสิทธิภาพมากในการใช้ประกอบเวทมนตร์ของ ‘ซุยเมย์’  เมื่อเวทมนตร์สำแดงเดช วงเวทมากมายก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของ ‘เอนมาร์ฟ’

“มันยังไม่จบ!”

อาจจะด้วยจิตวิญญาณของนักสู้  ‘เอนมาร์ฟ’ ระเบิดมานาออกมาจากร่างกาย เป้าหมายของเขา เพื่อทำลายเวทมนตร์ของ ‘ซุยเมย์’ ด้วยพลังตรงๆ สำหรับนักเวทแล้วเมื่อต้องเผชิญกับพลังอำนาจที่ไม่รู้จักนี่คือวิธีการตอบโต้ที่ดีที่สุด แต่ว่า เป็นที่น่าเสียดายที่เวทมนตร์ที่ ‘ซุยเมย์’ ได้ใช้ออกมานั้น คือเวทที่มีไว้สำหรับสูบมานาของอีกฝ่าย

“อ๊ากกกกกกกกกก-!”

‘เอนมาร์ฟ’ กรีดร้องออกมาดังลั่น พลังเวทของเขาถูกสูบออกไปอย่างไร้การควบคุม ชั่วพริบตาเขาก็ลงไปนอนกองกับพื้น

“ย้ากกกกกกกก!”

‘ไรคัส’ คำรามมาจากทางด้านหลัง แม้ว่าเขาจะถูกทุ่มลงกับพื้น แต่เขาก็ยังคงสามารถลุกขึ้นมาโจมตีต่อไปได้ ต้องขอบคุณ ‘เอนมาร์ฟ’ ที่ให้ความช่วยเหลือ

แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับ ‘ซุยเมย์’ ผู้กำลังยืนอยู่อย่างมั่นคง เขายื่นมือไปยังดาบที่ได้ปักพื้นดินไว้ก่อนหน้านี้ และหมุนตัวไปรอบๆ ความเร็วในการออกดาบขอ ‘งซุยเมย์’ มีมากขนาดที่ไรคัสไม่มีโอกาสที่จะโจมตี

“ฮึก…”

และในที่สุดเขาก็ตวัดดาบไปยังลำคอของ ‘ไรคัส’ เพื่อหยุดความเคลื่อนไหว

“ฉันชนะ ตกลงมั้ย?”

ไม่มีใครในห้องที่ไม่เห็นด้วย

ปล.ทฤษฏีพวกนี้มันอะไรกัน //กระอักเลือด

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments