I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 16 คำล่อลวง(2)

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1679 | 2366 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“…? ถึงแม้เราจะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้ออกไป ระดับ B จะเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจด้วยตัวมันเองอยู่ดี”

ถูกต้อง นั่นคือกุญแจสำคัญ ขณะที่ ‘โดโรเธีย’ กำลังงงกับคำพูดของเขาก่อนหน้านี้  ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น ‘ซุยเมย์’ ก็เปลี่ยนไปอยู่ในชุดแต่งกายสีดำซะแล้ว และตอนนั้นเอง บรรยากาศที่น่าสยดสยองก็พวยพุ่งออกมาจากตัวของเขา ‘ไรคัส’ ซึ่งสังเกตเป็นคนแรกจ้องเขม่งไปที่ ‘ซุยเมย์’

“……”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา ฉันจะไม่กลายเป็นคนมีชื่อเสียงอะไร ในการทดสอบในวันนี้ฉันพ่ายแพ้และถูกจัดอยู่ในระดับ D นี่คือสิ่งที่เธอจะรายงาน ฉันจะถูกจัดอยู่ในฐานะนักเวทสำรองผู้ไม่มีสามารถใช้เวทสมบูรณ์ได้นอกจากเวทประยุกต์”

“…..?”

‘โดโรเธีย’ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด ขณะที่ ‘ไรคัส’ และ ‘เอนมาร์ฟ’ ถูกแช่แข็งภายใต้บรรยากาศอันตึงเครียด เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ความกดดันที่ส่งมาจาก ‘ซุยเมย์’ เป็นเหมือนประกาศิตที่พวกเขาจะต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นแล้ว

“โทษทีนะทั้งสามคน แต่ว่าช่วยทำตามที่ขอไปด้วยนะ”

“แม้ว่าคุณจะบอกว่าแบบนั้นก็เถอะ…..”

“อ๊ะ..”

‘ซุยเมย์’ วางมือลงบนศีรษะของพวกเขาและร่ายเวทโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ‘ไรคัส’ ต่อต้านการกระทำของเขาทันทีและ ‘โดโรเธีย’ ที่ยืนอยู่นั้นตกอยู่ใต้เวทมนตร์ครอบงำของ ‘ซุยเมย์’ โดยที่ไม่อาจขัดขืนอะไรได้

เพราะว่าทั้งคู่ไม่มีความสามารถในการต่อต้านเวทมนตร์ ผลที่ได้จึงชัดเจน ผลของเวทมนตร์นั้นฉายออกมาจากใบหน้าของคนทั้งคู่ ไหล่ของพวกเขาก็ลู่ลงอย่างกับต้นไม้ที่ไม่ได้ดูดซับน้ำ ดวงตาที่จ้องมองไปยังความว่างเปล่า และเซื่องซึม แต่ว่า ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้เวทมนตร์ของเขา  ‘เอนมาร์ฟ’ ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

“…….ทำไมกัน?”

“หืม? ไม่เห็นต้องถาม ก็อย่างที่ฉันพูดไป ฉันต้องการการจัดระดับที่เหมาะสม”

“พูดบ้าอะไรกัน  การจัดระดับเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดของสมาชิกสมาคม การทิ้งระดับสูงไปแบบนี้…..แกต้องการอะไรกันแน่”

‘ซุยเมย์’ ตอบคำถามของเขาอย่างไม่กังวล

“นายรู้มั้ยว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่?”

“อะไร?”

“เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากไงล่ะ”

“แล้วตอนนั้นที่แกบอกว่า…..”

‘เอนมาร์ฟ’ แสดงออกถึงความเข้าใจทันที การจัดระดับที่สูงจะดึงดูดปัญหาเข้ามา บางอย่างเขาเองก็เข้าใจในฐานะรุ่นพี่ในสมาคม และจุดที่เขาอยู่ในตอนนี้มันคงเป็นเรื่องแย่สำหรับคนที่ไม่ต้องการดึงดูดความสนใจมาที่ตัวเอง

“สิ่งที่ฉันต้องการคือการสะสมประสบการณ์เกี่ยวกับคนบนโลกนี้”

“คนบนโลกนี้?”

“อย่าห่วงไปเลย ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล”

เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ จากคำตอบของ ‘ซุยเมย์’ ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพราะเขาอยากจะพูดเท่านั้น แต่เพราะเขามั่นใจว่าข้อมูลเหล่านนี้จะไม่มีวันรั่วไหลออกไปข้างนอกอย่างเด็ดขาด เป็นอีกครั้งที่ ‘เอนมาร์ฟ’ ตกอยู่ในความหวาดกลัว

“มะ แม้ว่าแกจะลบความทรงจำของพวกเราที่นี่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งที่แกทำไว้ข้างนอกนั้นก็ยังคงอยู่  ‘โดโรเธีย’ จะบอกพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

“ช่ายย แต่ใครที่จะมาตรวจสอบอย่างละเอียดกันล่ะ? การทดสอบนี้ถือเป็นมาตรฐานในการทดสอบความแข็งแกร่งของฉัน ไม่ว่าสิ่งที่เกิดข้างนอกนั่นหรือในนี้ใครจะไปสนใจ มนุษย์น่ะชื่นชอบการดูถูกคนอื่นและยิ่งขาดหลักฐานที่จะปฏิเสธด้วยแล้วล่ะก็ มันยิ่งง่ายที่จะเชื่อเลยล่ะว่าคนนั้นอ่อนแอกว่าตัวเอง”

” … “

‘เอนมาร์ฟ’ ถึงกับพูดไม่ออก จะพูดให้ถูกก็คือเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะคำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดของตัวเขาเอง เขาถลึงตาให้กับอสูรกายที่อยู่ตรงหน้า คำพูดเมื่อครู่สะท้อนความคิดของเขาออกมาอย่างหมดจด  เขาจ้องมองออกไปด้วยความรู้สึกตะลึง

“ไม่คิดแบบนั้นเหรอ นายคิดว่ายังไงล่ะหากทุกคนรู้ว่าฉันเป็นเพียงนักเวทที่แค่โอ้อวดตัวเองเท่านั้น? โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่เชื่อมั่นในตัวเอง”

“…..ทำไมต้องทำแบบนั้น เพื่อเงิน? ถึงแม้ว่าค่าตอบแทนจากทไวไลท์พาวิลเลียนจะไม่มากนัก แต่มีเจ้าของภารกิจหลายคนที่สามารถจ่ายงามๆได้เหมือนกัน”

“อา…แน่นอนว่าคนแบบนั้นจะต้องมีอยู่แน่ ฉันคิดไว้แล้ว มีสถานการณ์มากมายที่จำเป็นจะต้องใช้นักเวทที่มีความสามารถในการประยุกต์น่ะรู้มั้ย โดยเฉพาะคนที่สามารถใช้เวทมนตร์รักษาได้ ไม่ว่าจะที่ไหน คนแบบนั้นก็ยังคงเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่า”

ขณะที่ ‘ซุยเมย์’ บรรยายความสามารถของตน  ‘เอนมาร์ฟ’ ก็มองเขาราวกับเป็นปีศาจ

“หึๆๆ เพราะฉันเป็นนักเวทยังไงล่ะ ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้”

เขาขยับตัวสำหรับการต่อสู้อีกครั้ง และก็เริ่มสังเกตเห็นว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำไมล่ะ?

“ไม่มีพลังเวทเหลืออยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ? มันถูกเรียกว่าทักษะสำเนียงการเวกยังไงล่ะ”

“อ๊ะ…”

……นักเวททุกคนนั้นมีทักษะในการต่อต้านเวทมนต์ เพื่อแค่ใช้มานาเท่านั้นก็จะสามารถขจัดเวทมนตร์ของนักเวทคนอื่นได้อย่างง่ายดาย เพื่อการนั้นแล้วแล้วการศึกษาวิธีการต่อต้านเวทมนตร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

ยังไงก็ตาม ความสามารถในการป้องกันทางธรรมชาตินี้ถูกเชื่อมโยงไว้กับสภาพร่างกายและจิตใจ แล้วสำหรับ ‘เอนมาร์ฟ’ ที่ถูกสูบพลังจนเหือดแห้งจะเป็นยังไงน่ะเหรอ?

“มันก็แค่สกัดการรวบรวมพลังเท่านั้นน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง มันไม่มีผลข้างเคียง แค่หลับไปสักตื่นเดี่ยวมันก็หาย เห็นมั้ยล่ะ ฉันไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายอะไรเลย”

……. ‘ซุยเมย์’ เป็นผู้ใช้เวท หากเขาต่อสู้กับจอมเวทในโลกนี้มันก็ย่อมเป็นแค่การประลองทางเวทมนตร์ ยังไงก็ตามเขาก็ยังต้องการปลอมตัวเป็นคนธรรมดา

เพื่อการณ์นั้นแล้วเขาจึงต้องทำให้ความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นเป็นปริศนา เขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์และจำกัดตัวเองให้กลายเป็นแค่นักรบเท่านั้น

เพราะแบบนั้นเขาจึงสูญเสียโอกาสที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ สำหรับจุดประสงค์นี้ เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงเขาจึงต้องใช้วิธีที่ทำให้ปิดปากเงียบ ด้วยการดูดมานาเพื่อให้จอมเวทคนนั้นไม่มีโอกาสขัดขืน และ…..

“แล้วมันยังไงล่ะ…แต่ เดี๋ยวก่อน หรือว่าก่อนหน้านี้….”

ใช่แล้ว

“ถูกต้อง นั่นแหละเหตุผลที่ว่าทำไมต้องสู้พร้อมกันทั้งสองคน”

‘ซุยเมย์’ จ้องมองอย่างเย็นชา ก่อนจะวางมือลงบนศีรษะ ‘เอนมาร์ฟ’

…….ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมฟ้า แสงสีแดงเริ่มจางหายท้องฟ้าก็กลายเป็นขมุกขมัว หลังการทดสอบเสร็จสิ้น  ‘ซุยเมย์’ เดินออกจากทไวไลท์พาวิลเลียนกลับมายังห้องพักในโรงแรมของเขา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง

ถึงแม้จะมีบางอย่างไม่คาดคิด แต่ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินไปตามแผนที่เขาได้วางเองไว้ ไม่ว่าจะเป็นการหาที่พัก ความสำเร็จในการเข้าร่วมสมาคม และที่เขาได้กลับมายังที่นี่อีกครั้ง

ทุกอย่างดำเนินไปได้โดยปราศจากปัญหา ช่างโชคดีจริงๆ มีสิ่งเดียวที่เหนือความคาดหมาย เมื่อเขาพบว่าตัวเองและเลฟิลเลียนั้นพักอยู่ในโรงแรมเดียวกัน

“จะบังเอิญเกินไปมั้ย…….”

‘ซุยเมย์’ พึมพำ เขายังจำเหตุการณ์การประชุมก่อนหน้านี้ได้  ‘เลฟิลเลีย  กราคิส’  นักดาบหญิง ผมยาวสีแดงเพลิง กับรูปร่างที่ไม่สามารถอธิบายได้หากแต่ว่าช่างงดงาม

เขาไม่แน่ใจว่าเธอแข็งแรงแค่ไหน หากพิจารณาท่าทีของเธอหลังเห็นการต่อสู้ของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอเองก็แข็งแกร่ง ยังไงก็ตาม แม้ว่าเอจะมีความสามารถที่จะดูแลตัวเองได้

แต่ก็มีบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ทำให้เขาเป็นกังวล หลังจากการต่อสู้ เมื่อเธอจ้องมองมาที่เขา เขาก็สังเกตเห็นมัน เธอจ้องมองไม่วางตาก่อนจะตกอยู่ในความเงียบขรึม นั่นเป็นเอกลักษณ์ของคนที่ตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมอันไม่อาจหลีกหนี เช่นการถูกฝังอยู่ใต้ความโศกเศร้า

ไม่ใช่สิ….?  ‘ซุยเมย์’ ส่ายศีรษะอย่างรุนแรงเพื่อลบล้างความคิดนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะมาคิดเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าใครทุกคนก็มีสิ่งที่ต้องกังวล มันก็แค่นั้น มันยากที่จะบอกความจริงที่สะท้อนออกมาจากสายตาคนอื่น

ยังไงก็ตาม จะกังวลเกี่ยวกับเธอไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร มันค่อนข้างเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่ได้พบกันอีกในชีวิตนี้ ถ้าหลังจากนี้เขายังได้พบกันอีกนั้น มันก็เกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญแล้ว

……… ‘ซุยเมย์’ จ้องมองออกไปทางหน้าต่าง แม้จะอยู่ในช่วงย่ำค่ำ แต่ก็ไม่ได้ต่างจากกลางคืนนัก แสงซีดจางของดวงอาทิตย์ทอดยาวไปเหนือสภาพแวดล้อมชักนำทุกสิ่งเข้าสู่ความสับสนและเติมเต็มเขาด้วยความรู้สึกที่สุดจะบรรยาย

“อา……”

ซุยเมย์หาวจากผลกระทบของความง่วงที่จู่ๆก็พวยพุ่งขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น? นี่ยังไม่ใช่เวลานอนปกติของเขานี่ แต่ปฏิกิริยาที่ชัดเจนนี้เริ่มส่งผลต่อร่างกายของเขา เขายังไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้เหน็ดเหนื่อยและยังพบว่าไม่อาจขัดขืนคลื่นแห่งความง่วงงุนนี้ได้ ทำไมล่ะ?

โอ้….เหตุผลนั่น บัดซบเอ้ย….มันคือ…… เขาคิดออกแล้ว เขารู้แล้วว่ามันเป็นยังไง เขารู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้ง่วงนอนมากมายนัก นั่นเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาอยู่คนเดียว

แน่นอนว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเขาแยกจากคนแบบนั้น เพื่อที่ว่า….ใช่แล้ว….. นี่คือการเล่นตลกของอนาคต  สิ่งที่เขาถูกบังคับให้ต้องดูจากคำสาปแช่งแห่งลุดวิก ประกาศแห่งวิกฤตการณ์ซึ่งรอคอยเขาอยู่

ความทรงจำที่จะหายไปเมื่อเขาตื่นขึ้น ภาพเหล่านี้จะคงอยู่เพียงชั่วขณะที่เชื่อมต่อกับญาณทิพย์เท่านั้น สิ่งนั้นเกิดขึ้นที่นี่? แม้ในที่แบบนี้มันก็เกิดขึ้น แม้แต่ในโลกนี้ที่เหมือนกับหลุดออกมาจากนิยายแฟนตาซี โลกที่ไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับที่ที่เขาเรียกว่าบ้าน เขาค่อนข้างแน่ใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นที่นี่ ถ้าเขาหาทางกลับไปบ้านได้

นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ต้องการจะพบเจอ ความปรารถนาที่ไม่ต้องการจะปล่อยความคิดในล่องลอยออกไป ร่างกายเริ่มไร้การควบคุม สติหลุดลอยและล้มตัวลงบนเตียง ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถขัดขืนกับความง่วงงุนนี้ได้

ในบางจุดระหว่ากระบวนการนี้ ภาพแม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏขึ้นบนเก้าอี้ในห้องของเขา ผู้หญิงคนนี้ คนที่เขาเพิ่งจะเคยได้ยินจากพ่อปรากฏตัวขึ้นก่อนที่ดวงตาของเขาจะปิดลงภายใต้ผลกระทบของคำสาป

♫ลา…♫ เธอร้องเพลง แทนที่มันจะเป็นเพลงกล่อมเด็กให้นอน มันกลับเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและทรมานลูกของเธอ เสียงเพลงนี้ดึงเขาเข้าสู่โลกแห่งฝันที่ไม่ได้ฝัน  การนอนหลับ ~ แม่ ที่ความเมตตาของคำสาปแช่งแห่งลุดวิกสร้างขึ้น ในมือข้างหนึ่งนั้นถือหนังสือที่บันทึกอนาคตไว้ เธออ่านมันเบาๆด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า

คำล่อลวง  อความารีน อัล เคิร์น (TN: มันน่าจะเป็นคำว่า: アル·ケルン) ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสัญญาณแห่งคำสาปแช่ง มันคือบทกวีที่บ่งบอกเรื่องราวของอดีตและอนาคตจากการที่เธอไม่ได้รับมันไว้ ภาพลวงตาของแม่ของเขาที่ได้ยอมจำนนต่อคำสาปนี้นี้ปรากฏในแต่ละครั้ง

มันเป็นเหตุผลที่เขาต้องอยู่ข้างๆคนที่ติดอยู่ในวังวนแห่งชะตากรรม  สัญญาณการต่อสู้ครั้งใหม่ของเขาที่กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ฝืนเปิดเปลือกตาที่หนักราวกับตะกั่วของตนขึ้น  ‘ซุยเมย์’ มองดูถ้อยคำของหนังสือปรากฏขึ้นจากแม่ที่ตายไปแล้วของเขา

“เงียบ! ฉันจะไม่วิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันต้องทำ”

ผู้รอดชีวิตของประเทศที่ล่มสลาย ผู้กล้า นักดาบหญิงจิตวิญญาณที่ถูกบังคับให้แบกรับคำสาปไว้บนบ่าของเธอโดยต่างเผ่าพันธุ์ : เลฟิลเลีย กราคิส นอเซีย

“หุบปากไปเลย! สำหรับคนอย่างฉันจะต้องการความสามารถพวกนี้ไปทำไม”

ความเกลียดชังสหายของเธอชั่วนิรันดร์ อาวุธของอาณาจักรมนุษย์ที่แช่ตัวเองอยู่ในเวทมนตร์แห่งความมืดมิด : ลิเลียน่า แซนดาร์ค

“เราเจอกันอีกครั้งแล้ว ‘ซุยเมย์’  ฉันคิดว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่เราจะไม่แยกจากกันอีก”

ที่ความเมตตาของโชคชะตาและนูราฮะแห่งคาเดค เพื่อนของเขาที่ได้มาเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าหญิงนักดาบ: คุจิบะ ฮัตสึมิ

“พอกันทีกับคำพูดสวยหรู ไม่ว่ากี่ครั้งที่เธอพูดแบบนี้ มันไม่เคยจบดีเลยสักครั้ง”

ตัวเลขสีเขียวเข้มคำสาปแช่งแห่งลุดวิกผู้ที่เขาเคยสาบานว่าจะปกป้อง :อิรินา คอนราจ

“ ‘ซุยเมย์’  มนุษย์และปีศาจ ทั้งสองฝ่ายล้วนแล้วแต่สกปรกทั้งนั้น ฉัน-”

คนที่ถูกเรียกตัวมาพร้อมกับซุยเมย์ ผู้กล้าซึ่งหันหลังให้กับมนุษย์ด้วยความสิ้นหวัง ในมือของเขานั้นมีดาบศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอยู่ : ชานะ เรอิจิ

“เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วเจ้าหนู เป็นไงล่ะ?ตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นแล้วรึยัง?”

นักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในต่างโลกนี้ ผู้ถูกเรียกว่า : เบวูล์ฟ ชไนเดอร์

“ศัตรูของข้า”

ราชาปีศาจผู้โหดร้ายผู้ควบคุมคำสาปแช่งจักรพรรดินีแห่งต่างเผ่าพันธุ์ : นัคชาตรา

………นอนซะ ‘ซุยเมย์’  ถ้าหากเธอไม่พักผ่อน เมื่อเวลานั้นมาถึงเธอจะตกที่นั่งลำบาก เพราะนั่นคือโชคชะตาที่กำลังรอเธออยู่ กับคำพูดที่เขาไม่ได้ยินเหล่านั้น สติของ ‘ซุยเมย์’ ก็เลือนรางไปกับความมืด…..

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments