I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 18 ผู้คุ้มกันคาราวาน

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1477 | 2337 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

หลายชั่วโมงต่อมาหลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า  ‘ซุยเมย์’ เดินผ่านกำแพงเมืองเมเทอร์ในชุดที่เขาได้ซื้อมาก่อนหน้านี้ และถือสัมภาระไว้ในมือข้างหนึ่ง

แม้จะมีเวลาสำหรับการเตรียมการขั้นสุดท้ายก่อนออกจากโรงแรม กินอาหารเช้า และเดินเล่นฆ่าเวลา  ‘ซุยเมย์’ ก็ยังคงไม่มีโอกาสขอโทษหรือกล่าวคำอำลากับ ‘เลฟิลเลีย’ เลยสักครั้ง

แล้วโชคชะตาจะนำพาเราให้มาพบกันอีก เขาคิดก่อนจะเดินทางไปยังสถานที่นัดหมาย เมื่อผ่านการตรวจสอบของยามที่ประตู ในที่สุดเขาก็ได้ออกจากเมือง ที่ด้านข้างถนนสายยาวถัดจากประตูเมือง

นั่นคือสถานที่นัดพบของกองคาราวานคุ้มกัน ก่อนจะถึงจุดนัดพบ  ‘ซุยเมย์’ ได้หันไปสำรวจรอบๆเมื่อพบว่ามันไม่มีใครจึงทะยายขึ้นไปยืนบนกำแพงเมือง นี่เป็นครั้งแรกที่ ‘ซุยเมย์’ ได้เห็นกำแพงเมืองเมเทอร์ใกล้ๆแบบนี้ มันเหมือนกับแนวป้องกันขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบเมืองทั้งเมืองอยู่ แม้ว่ามันจะมีจุดประสงค์ในการสร้างเพื่อปกป้องราชวัง เพราะงั้นถ้าเรียกมันว่ากำแพงปราสาทน่าจะเหมาะสมกว่า

จะว่าไปแล้วในโลกของเขาการสร้างปราสาทให้เป็นปราการสำหรับปกป้องเมืองก็เป็นที่นิยมกันมากในช่วงยุคกลางเหมือนกันนี่นะ มีอุปกรณ์สำหรับการป้องกันติดตั้งอยู่ด้านบน ผนังถูกเจาะไว้เป็นช่องสำหรับนักธนูยิงต่อต้านศัตรูและป้องกันลูกธนูจากฝ่ายตรงข้าม

ดูเหมือนว่าคนในโลกนี้จะอาศัยปราการเพื่อป้องกันอันตรายจากนอกเมือง ทั้งมนุษย์และปีศาจเหมือนกัน แต่ว่า เหมือนกับที่ ‘โดโรเธีย’ พูดไว้ก่อนหน้านี้ มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ป้องกันการโจมตีจากเวทมนตร์ คำพูดของ ‘โดโรเธีย’ ย้อนกลับมาในความคิดเมื่อมองดูกำแพงเมือง

กำแพงเมืองเมเทอร์ดูเหมือนว่าจะถูกสร้างมาจากวัสดุคนละชนิดกับที่ใช้สร้างสนามฝึกในสมาคม แต่มันดูเหมือนว่าจะถูกสร้างมาจากอิฐแบบเดียวกับที่ชาวกรีกโบราญใช้ในการสร้างมหาวิหารแด่เทพเจ้าของพวกเขา

นี่อาจเป็นเพราะวัสดุป้องกันเวทนั้นถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้มันจึงไม่ได้ถูกใช้ในการสร้างกำแพง และเพราะว่ามันหายากมากจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอามาสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แบบนี้

“ของแบบนี้ เจอคาถาแรงๆสักบทก็พังหมดแล้ว”

อุปกรณ์ป้องกันเวทมนตร์นั้นแค่ถูกโจมตีใส่จังๆก็ยังพังได้ นับประสาอะไรกับสิ่งก่อสร้างโบราณแบบนี้ แม้ว่ามันจะมองดูน่าประทับใจแค่ไหน แต่เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการป้องกันแล้ว มันดูไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย ขนาดใหญ่แค่ไหนก็ไร้ความหมายเพราะพื้นฐานของมันนั้นเป็นของที่เปราะบาง

นั่นไม่ใช่ธุระอะไรของเขา  ‘ซุยเมย์’ คิดก่อนจะเดินต่อไป ความสามารถในการป้องกันของกำแพงเมืองไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องกังวล เขามีปราการป้องกันของตัวเองอยู่แล้ว การเสียเวลามาขบคิดเรื่องการป้องกันของคนอื่นนั้น ก็กินลมกินแล้งเท่านั้นเอง

กลับมาสู่ปัจจุบัน  ‘ซุยเมย์’ มองไปยังพื้นที่ที่ว่างเปล่าก่อนหน้าตอนนี้เริ่มมีคนมารวมตัวกันแล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมีประมานเกือบยี่สิบคน ทุกคนอยู่ในเครื่องแต่งกายรัดกุมและพกอาวุธ และมีอีกหลายสิบคนที่กำลังบังคับเกวียน

มันมีขนาดพอๆกับหมู่บ้านย่อมๆเลยทีเดียว และนี่คือกองคาราวานที่ซุยเมยข์กำลังมองหาอยู่ คาราวาน ในโลกของเขาเองก็มีสิ่งที่คล้ายกันนี้

พ่อค้าและคณะเดินทางจะร่วมมือกันเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาเมื่อเข้าไปในพื้นที่อันตรายจากกลุ่มโจรหรือภยันอันตรายต่างๆ หัวหน้ากองคาราวานมักจะเป็นพ่อค้าที่มีหน้าที่รับผิดชอบการขนส่งระหว่างเมือง

สมาชิกของกองคาราวานหรือผู้ร่วมเดินทางในคณะนี้ก็เป็นพ่อค้าจากร้านพันธมิตรที่ร่วมเดินทางไปด้วย นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดไว้ ฉากที่สะท้อนในสายตาของเขาไม่เหมือนกับที่โลกเก่า อย่างน้อยภายนอกก็ไม่ใช่แบบนั้น ถ้าหากพิจารณากลุ่มคนติดอาวุธที่ยืนอยู่ข้างทางแล้ว  ก็จะมองเห็นความแตกต่างระหว่างกองคาราวานและคนที่มุ่งหน้าเข้าเมืองได้ทันที

ประกอบไปด้วยนักรบในชุดเกราะและนักเวท รวมถึงนักดาบหญิงที่ดูคล้ายกับ ‘เลฟิลเลีย’ ยืนอยู่ร่วมกับพวกเขา แม้จะมีอยู่ไม่ถึง 20 คน

‘ซุยเมย์’ ก็ยังมองว่ามันมากเกินไปอยู่ดี จำนวนของคนที่ได้รับการว่าจ้างนี้บ่งชี้ได้ถึงความอันตรายของโลกใบนี้ นั่นอาจเป็นเพราะอารยธรรมในโลกนี้อยู่ในระดับที่ต่ำมาก อีกทั้งช่วงนี้ยังอยู่ในระยะวิกฤติ

หากมีพลังในการต่อสู้ไม่เพียงพอแล้วการเดินทางระหว่าเมืองคงได้แต่ต้องฝันเอาเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีเครื่องอำนวยสะดวกอย่างเครื่องบินหรือรถไฟอีกด้วย

เส้นทางระหว่างเมืองเป็นถนนขนาดใหญ่ ไม่มีไฟหรือแหล่งน้ำระหว่างทาง ทุกอย่างนั้นต้องเตรียมมาเองให้พร้อม หลังจากพิจารณาแล้ว ‘ซุยเมย์’ ตระหนักได้ว่าชีวิตเก่าของเขานั้นเป็นอะไรที่สะดวกสบายจริงๆ

ระหว่างที่กำลังเปรียบเทียบความสะดวกของโลกทั้งสองอยู่ ก็มีชายที่แตกตัวคล้ายพ่อค้าเดินเข้ามาหา ‘ซุยเมย์’  จากรายละเอียดที่ได้รับมาจากสมาคม ดูเหมือนว่านี่จะเป็นผู้ว่าจ้าง

“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าครับ?”

“ ‘ยาคางิ’   ‘ซุยเมย์’ จากสมาคมนักผจญภัย มาที่นี่เพื่อเป็นหนึ่งในกองคุ้มกันของคาราวานครับ”

ชายในชุดพ่อค้าที่เดินเข้ามาหา ‘ซุยเมย์’ ด้วยความสงสัย เปลี่ยนสีหน้าไปทันทีที่นึกอะไรขึ้นได้

“โอ้ ผมเกลนหัวหน้ากองคาราวานนี้ครับ  ‘ซุยเมย์ซัง’ ที่เป็นนักเวทฟื้นฟูสินะ ขอบคุณที่ตอบรับคำขอครับ หากมีใครได้รับบาดเจ็บคงต้องพึ่งคุณแล้ว”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ยินดีที่ได้ร่วมงานเช่นกัน”

‘ซุยเมย์’ ยื่นมือออกไปจับเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ทันใดนั้นเกลนก็มองซุยเมย์อย่างสับสน

“ผมได้ยินมาว่า ‘ซุยเมย์ซัง’ เป็นนักเวท แต่เสื้อผ้าของคุณ…”

“เสื้อผ้า?”

“อืม ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ดูไม่เหมือนเสื้อคลุมของนักเวท”

อ่อ เขาสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้สินะ

“ฮ่าๆๆๆ  บอกตามตรง ฉันไม่ค่อยชอบเสื้อผ้าของนักเวทนัก”

‘ซุยเมย์’ ตอบด้วยรอยยิ้ม เกลนมองอย่างพิจารณาอีกครั้ง

“โอ้? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ?”

“อืม..จะว่ายังไงดีล่ะ..ถ้าใส่ชุดนักเวท เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน ก็ต้องจำเป็นจะต้องวางมาด”

ในช่วงเวลา2-3  วันที่ซุยเมย์รอให้สมาคมออกใบรับรอง เขาได้ออกไปเดินเล่นในเมืองและเห็นเหล่านักเวทและคนของสมาคมนักเวท เดินไปเดินมาด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ

หลังจากที่เห็นเหล่านักเวทแต่งกายและทำตัวแบบนั้นแล้ว  ‘ซุยเมย์’ ก็ไม่กล้าที่จะแต่งชุดนักเวท เพราะเขาอายเกินกว่าจะเลียนแบบพฤติกรรมเช่นนั้น นอกจากนี้เขาปรารถนาการไม่เป็นจุดเด่น นอกจากนี้เสื้อผ้าที่เหมือนกับนักเวทยุดเก่านี้ยังเคยสร้างความเข้าใจผิดให้แก่เขาอีก สุดท้ายแล้วเขาจึงเลือกที่จะใส่ชุดปกติแทน

“อย่างนี้นี่เอง…พูดตามตรงนะ ผมเองก็ไม่ชอบเสื้อผ้าพวกนั้นเหมือนกัน เวลาที่ผมต้องไหคุยกับพวกเขา มันทำให้ดูเหมือนว่าผมต่ำต้อยกว่า”

“อืม? อีกอย่างชุดแบบนั้นคงไม่เหมาะกับฉันนัก”

“ใช่ๆ ผมเข้าใจ แน่นอนว่าผมชอบคุณแบบนี้มากกว่า”

“โอ้ นั่นทำให้ฉันนึกขึ้นได้ ฉันเตรียมไม้เท้าเวทมนตร์ไว้แล้วไม่ต้องเป็นห่วง”

แน่นอนว่านั่นโกหก

“เข้าใจแล้วครับ ตอนนี้ผมไม่มีอะไรสงสัยแล้ว ขอฝากช่วงเวลาตลอดการเดินทางนี้ด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องห่วง”

หลังจากจบบทสนทนากับซุยเมย์แล้ว เกลนก็เข้าไปร่วมกับร้านค้าอื่นๆ เขายังมีเรื่องอื่นที่ต้องดูแล ในช่วงเวลาที่กำลังจะออกเดินทางนี้เป็นเรื่องปกติที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และตอนนั้นเอง เสียงที่กำลังคิดถึงร้องเรียก ‘ซุยเมย์’  ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเดจาวู

“…..ขอโทษนะคะ คุณ เอ่อ ซุยเมย์คุง?”

“หือ? เอ๋กราคิสซัง?”

‘ซุยเมย์’ หันไปพบใครบางคนซึ่งไม่น่าจะอยู่ที่นี่  ‘เลฟิลเลีย กราคิส’

“ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?ผมจำได้ว่า คุณบอกว่าจะไม่ออกจากเมืองอีกสักพักไม่ใช่เหรอ”

เขาถามอย่างตกตะลึง เพราะว่า ‘ซุยเมย์’ และ ‘เลฟิลเลีย’ พักอยู่ที่เดียวกัน พวกเขาจึงมีโอกาสคุยกันหลายครั้ง จากบทสนทนาเหล่านั้น เขาจึงรู้ว่า ‘เลฟิลเลีย’ มีบางอย่างที่ต้องทำและจะไม่ออกจากเมเทอร์ไปอีกนานพอสมควร แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่

ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะออกเดินทางเช่นกัน ‘ ซุยเมย์’ ไม่สามารถอธิบายเหตุผลเรื่องนี้ให้กับตนเองได้  ‘เลฟิลเลีย’ พยักหน้าให้กับคำถามของเขา

“ใช่แล้วค่ะ แค่รอรับรางวัลจากสมาคมจากภารกิจของเมื่องสองสามวันก่อน แต่ดูเหมือนว่าจะได้เร็วกว่าที่ฉันคิดไว้ ทำให้ตอนนี้ฉันเก็บเงินได้ไม่น้อยเลยค่ะ”

“โอ้ งั้นก็แปลว่าคุณเก็บเงินได้ครบแล้ว?”

“ฉันแน่ใจว่าอย่างนั้นค่ะ”

‘เลฟิลเลีย’ ตอบด้วยรอยยิ้มสงบ ก่อนหน้านี้เธอบอกกับเขาว่า เธอต้องการที่จะอยู่เมเทอร์ต่อเพื่อเก็บเงินค่าเล่าเรียน

“…..ถ้าคุณไม่รังเกียจ เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย”

“มอนสเตอร์ค่ะ มอนสเตอร์ตัวใหญ่ที่ปรากฏขึ้นไม่ไกลจากที่นี่นัก เพราะว่ามันอันตรายมากรางวัลเลยค่อนข้างใหญ่” “มอนสเตอร์ตัวใหญ่?”

ซุยเมย์ถามด้วยความสนใจ เขาไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในขณะที่เขารอภารกิจอยู่

“ค่ะ ครึ่งยักษ์”

“ครึ่งยักษ์…..”

“อืม…”

เธอไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเข้าใจผิดว่า ‘ซุยเมย์’ จะเข้าใจที่เธอพูด

“……..เอ่อ มันคืออะไรเหรอ?”

“……เอ๊ะ? ซุยเมย์คุง คุณไม่รู้จักเหรอคะ? เรากำลังพูดถึงครึ่งยักษ์ไงค่ะ คุณรู้จักใช่มั้ย?”

“ผมเกรงว่าผมจะไม่รู้จักนะ ที่ๆผมจากมาดูเหมือนจะไม่มีสิ่งนั้นอยู่ มันเป็นยังไงเหรอ”

“โอ้ อืม ดูเหมือนว่าจะมีสถานที่แบบนั้นอยู่เหมือนกัน”

คำตอบของเขาทำให้ ‘เลฟิลเลีย’ ตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง แต่ในฐานะคนจากโลกอื่น เกี่ยวกับความรู้ทั่วไปแล้ว ‘ซุยเมย์’ ไม่รู้เกี่ยวกับอะไรเลย แต่จากชื่อที่องค์ประกอบของคำว่า ยักษ์ เขาคิดว่ามอนสเตอร์ที่ว่านี่น่าจะตัวใหญ่กว่ามนุษย์

“คือว่าแบบนี้ค่ะ ครึ่งยักษ์เป็นยักษ์ประเภทหนึ่ง มีตาดวงเดียว แม้ว่าจะตัวเล็กกว่ายักษ์ปกติแต่ก็ยังมีขนาดใหญ่ มีพลังแขนที่น่ากลัว พวกเขาสามารถทลายกำแพงเมืองได้ด้วยแขนข้างเดียว …ปีศาจแบบนี้ มักจะปรากฏตัวในนิยายไม่ได้อยู่ทางทิศตะวันออก”

“เอ่อ ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดมาแล้ว กราคิสซัง คุณเอาชนะมันได้ยังไง?”

‘ซุยเมย์’ ถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ อันตรายขนาดสามารถทำลายกำแพงเมืองได้  ‘เลฟอลเลีย’ ก็ยังทำท่าเหมือนปราบมันได้อย่างสบายๆไม่มีท่าทีภูมิใจหรือตื่นเต้นสักนิด….เป็นคนที่เหลือเชื่อจริงๆ

“ฉันไม่ได้ทำคนเดียวสักหน่อย คุณรู้มั้ยคะ? เรารวบรวมคนไปโจมตีมัน ในความเป็นจริงแล้วผลงานของฉันมีแค่นิดเดียวเองค่ะ”

ใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ของเธอมันยากจะบอกว่าเธอแค่ถ่อมตัวหรือว่าอะไร ยังไงก็ตามเขาก็ไม่เชื่อที่เธอพูดมากนัก…. แต่ว่า….

“ขอถามหน่อยนะ มอนสเตอร์ที่ว่านี่ปกติเหรอ?”

ครึ่งยักษ์นี่ ดูเหมือนจะคล้ายกับไซคลอปส์ในโลกของเขา  ลักษณะที่ว่านี่เป็นสิ่งปกติงั้นเหรอ? ศีรษะของ ‘ซุยเมย์’ ก้มลงอย่าโศกเศร้า ขณะที่ ‘เลฟิเลีย’ บอกว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นไม่บอกนัก

“ไม่ค่ะ ถ้าเป็นมอนสเตอร์ขนาดเล็กก็อีกเรื่อง แต่ถ้าเป็นมอนสเตอร์ขนาดใหญ่อย่างครึ่งยักษ์แล้วค่ะข้างจะหายาก ความจริงแล้วพื้นที่นี้ก็ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับพวกเขานัก”

‘เลฟิลเลีย’ พูดต่อโดยที่ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของ ‘ซุยเมย์’ เลยสักนิด

“หือ จะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญงั้นเหรอ ที่ครึ่งยักษ์ปรากฏตัวขึ้นแถวนี้”

“ค่ะ….”

…….จากคำตอบของ ‘เลฟิลเลีย’   ‘ซุยเมย์’ คิด จากสิ่งที่เขาได้อ่านมาจากห้องสมุดภายในปราสาทเกี่ยวกับนิเวศวิทยา มีสมมติฐานสองถึงสามอย่างที่พูดถึงเรื่องที่มอนสเตอร์ปรากฏขึ้นในพื้นที่ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของมัน อย่างแรก การกลายพันธุ์แบบข้ามรุ่น

สองคือมันเป็นลูกหลานของปีศาจที่บกพร่อง  ‘ซุยเมย์’ รู้สึกว่าสมมติฐานที่สองดูจะเป็นไปได้มากที่สุด สมมติฐานแรกนั่นมันดูเหมือนจะเป็นความบังเอิญมากเกินไป ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง นั่นก็หมายความว่า

“มีปีศาจอยู่แถวนี้”

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเลฟิลลัยสู้กับครึ่งยักษ์ที่ว่านี้ยังไง แต่เขาก็สรุปเรื่องนี้ได้แล้ว  ‘เลฟิลเลีย’ ไม่ตอบ บางทีเธออาจจะคิดว่าเขาแค่พึมพำเท่านั้น

“ ‘กราคิสซัง’ ?”

“……อ๊ะ ค่ะ บางทีอาจจเป็นแบบนั้น”

เธอตอบช้า เมื่อซุยเมย์หันไปมอง ก็พบว่าเธอกำลังมองไปยังความว่างเปล่า จิตวิญญาณที่กล้าหาญและสง่างามก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยเงามืด เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่มีบางอย่างในบทสนทนานี้ที่ทำให้เธอเศร้าซึม …….

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เลฟิลเลียดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็นสายตาเป็นกังวลของซุยเมย์ จึงแสร้งเปลี่ยนอารมณ์

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่างกังวลเลย”

“อืม……”

เธอกำลังคิดอะไรอยู่  ‘ซุยเมย์’ นึกในใจอย่างงุนงงกับ ‘เลฟิลเลีย’ ที่อยู่ดีๆก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เอ่อ เรื่องนั้น…..”

“……..?”

ที่ทีขึงขังหล้าหาญหายไปพร้อมกับท่าทางลังเล ดูเหมือนว่าเธอจะเขินกับเรื่องอะไรสักอย่าง เสียงของเธอก็แผ่วลง

“เอ่อ…คือ….คือว่า……”

“………”

‘เลฟิลเลีย’ ทำท่าทางลังเล หากมองดูใกล้ๆก็จะพบว่าเธอกำลังหน้าแดง อะไรกันเนี่ย? หน้าของเธอก้มลงเล็กน้อย  ‘เลฟิลเลีย’ แอบมอง ‘ซุยเมย์’ จากด้านล่าง ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าได้

“เอ่อ  ขอโทษเรื่องเมื่อเช้าด้วยนะคะ ที่ฉันทำตัวไม่ดี”

เธอกล่าวอย่างขวยเขิน อ่อ เธอกำลังพูดถึงเรื่องเมื่อเช้านั่นเอง แม้ว่า ‘เลฟิลเลีย’ จะเป็นฝ่ายกล่าวของโทษ แต่ ‘ซุยเมย์’ รู้สึกว่าเป็นฝ่ายเขาที่สะเพร่าไปเอง

“โอ้ ไม่ ไม่…..ผมเป็นฝ่ายผิดเอง ขอโทษด้วยจริงๆ ผมควรจะระวังตัวมากกว่านี้”

“ไม่ค่ะ มันเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ระวังตัว อย่าว่าตัวเองเลยค่ะ มันเป็นความผิดของฉันจริงๆ”

‘เลฟิลเลีย’ ฎิเสธคำพูดของเขา เธอส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยขอโทษ  ‘ซุยเมย์’ รวบรวมความกล้าก่อนจะถามขึ้น

“…..อืม บอกผมได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“เอ่อ…ขอโทษนะค่ะ!”

“……ไม่ๆๆ นั่นควรจะเป็นคำพูดของผม ขอโทษที่ถามเรื่องนี้ โปรดลืมมันไปซะเถอะนะ”

เมื่อ ‘เลฟิลเลีย’ ไม่ตอบ  ‘ซุยเมย์’ จึงลืมความตั้งใจที่จะถามอะไรเพิ่มเติม เกิดอะไรขึ้นเมื่อเช้ากัน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยุ่งยากและไม่สามารถจะบอกกับใครได้ แต่เขาก็ยังกังวลแม้จะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถาม

“ฉันจะไปแนะนำตัวกับหัวหน้ากองคาราวานก่อนนะค่ะ”

‘เลฟิลเลีย’ รีบหนีออกจากบรรยากาศที่ไม่สามารถบรรยายได้ ก่อนจะเดินไปหาเกลนโดยไม่รอคำตอบจาก ‘ซุยเมย์’   ปล.ขอโทษที่มาช้าครับ พอดีมีงานด่วนเข้ามากระทันหันเลยต้องเร่งทำต้องแต่เมื่อวาน พอทำเสร็จความดันก็มาขึ้นอีก กว่าจะได้มาแปลก็กลายเป็นเย็นของอีกวันซะแล้ว orz.

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments