I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 19 เปิดใจ

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1306 | 2360 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

เป็นเวลากว่าสิบนาทีหลังจากที่ ‘ซุยเมย์’ และ ‘เลฟิลเลีย’ มารวมตัวกันอีกครั้งกองคาราวานก็ได้เวลาออกเดินทาง

เริ่มต้นการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น และถ้าหากว่าระหว่างทางจนถึงปลายทางไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็คงจะดีไม่ใช่น้อย สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้คือการเดินทางไปให้ถึงคูรันด์ แต่ด้วยความเร็วระดับนี้คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะไปถึง ‘ซุยเมย์’ ได้ตรวจสอบเรื่องนี้มาอย่างละเอียดแล้ว

การเดินทางจากเมเทอร์จนถึงคูรันด์น่าจะใช้เวลาประมาณหกถึงเจ็ดวันได้ เพราะความใกล้ชิดกันระหว่างเมืองหลวงเมเทอร์และชายแดนตะวันตก เวลาเท่านี้ถือว่าค่อนข้างเร็ว แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่อย่าง ‘ซุยเมย์’ ยังถือว่าช้าไปอยู่ดี

ในช่วงเวลานี้พวกเขาจะต้องเดินไปตามถนนศิลา ผ่านป่า ภูเขาและที่ราบสูงก็จะบรรลุถึงปลายทาง ตำแหน่งที่ ‘ซุยเมย์’ ประจำอยู่นั้นคือด้านหลังสุดของขบวน คู่สัญญาการค้า ทหารรับจ้าง

‘ซุยเมย์’ และคนอื่นๆที่มีหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าสินค้า เพราะชีวิตมนุษย์ถูกมองว่าสำคัญกว่าสินค้าพวกเขาจึงจัดคนสำหรับปกป้องขบวนรถม้าที่เหล่าพ่อค้านั่ง ด้วยความแตกต่างที่ว่านี้

‘ซุยเมย์’ ที่ตอนนี้เดินคู่กับ ‘เลฟิลเลีย’ จึงต้องรับหน้าที่ปกป้องสินค้าไปโดยปริยาย ความอึดอัดที่เกิดจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทำให้รถม้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเงียบ ช้า แต่แน่นอน ยังไงก็ตามเพราะว่ามีอายุที่ใกล้เคียงกัน

บทสนทนาของพวกเขาค่อยๆเริ่มดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงที่อ่อนโยนของกีบเท้าม้ากระทบบนถนน การหมุนของล้อเกวียนและสายลมที่พัดผ่านที่ราบ  ‘ซุยเมย์’ และ ‘เลฟิลเลีย’ เริ่มพูดคุยกัน

“และเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’ ”

” อ๊ะ ท่านเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นผู้หนึ่งที่ยังคงดำรงอยู่ในโลกนี้ นี่คือสิ่งที่โบสถ์แห่งความรอดสอนเรามา ท่านคือผู้ที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง”

“เข้าใจแล้ว…..”

‘ซุยเมย์’ ครุ่นคิดขณะที่รับฟังคำพูด ‘เลฟิลเลีย’  ขณะที่กำลังเดินทาง  ‘เลฟิลเลีย’ อธิบายถึงหลักคำสอนของเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’  ในการพบเจอกันครั้งแรกของพวกเขาได้มีการคุยกันเกี่ยวกับโบสถ์ ทำให้ ‘ซุยเมย์’ ได้รู้ว่าเขามีข้อผิดพลาดร้ายแรงเกี่ยวกับความเชื่อของคนในโลกนี้ และ ‘เลฟิลเลีย’ ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้

‘ซุยเมย์’ จึงตัดสินใจว่านี่เป็นเรื่องดีที่เข้าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพื้นฐาน ดูเหมือนว่า คนส่วนใหญ่ในโลกนี้จะมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าสูงสุดมีเพียงองค์เดียวนั่นก็คือเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’

เทพอื่นๆนั้นดูเหมือนว่าไม่อาจจะเทียบชั้นกับเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’ ได้ ในปฐมกาลผู้ที่สร้างโลกนี้ขึ้นมาก็คือพระเจ้า ยืมพลังของธาตุและการใช้เวทมนตร์นั่นคือการหยิบยืมพลังมาจากเทพธิดา

แม้ว่าจะมีพระเจ้าที่ชั่วร้ายซึ่งเหล่าปีศาจนับถืออยู่เหมือนกัน แต่โบสถ์แห่งความรอดให้การปฏิเสธว่านั่นคือพระเทียมเท็จ

“นอกจากนี้แล้วแม้ว่าจะมีความเชื่อแตกต่างกัน แต่ทุกเผ่าพันธุ์ก็ยอมรับการมีตัวตนอยู่ของเทพธิดาอาร์ชูน่าค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าจิตวิญญาณ คนแคระ มนุษย์สัตว์หรือเผ่ามังกร”

“อืม….”

‘เลฟิลเลีย’ พูดถึงจุดที่น่าสนใจทำให้ ‘ซุยเมย์’ มีปฏิกิริยาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“มีอะไรเหรอคะ?”

“ไม่มีอะไรหรอก แต่เมื่อกี้คุณพูดว่ามีเผ่าครึ่งมนุษย์อยู่ใช่มั้ย?”

“แน่นอนค่ะ…..แต่เดี๋ยวก่อน คุณไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน?”

“ก็คุณพูดเองเมื่อกี้”

แม้ว่ามันจะเป็นการแสดงออกที่ดูคลุมเครื่อง แต่เมื่อพูดถึงโลกแฟนตาซีแล้วละก็ สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือพวกนี้นี่แหละ โชคดีที่มีเผ่าพันธุ์นี้อยู่จริงๆ  ‘ซุยเมย์’ คิดอย่างคาดหวัง จะว่าไปแล้วทำไมถึงไม่มีในเมเทอร์เลยสักคนนะ

“คุณจะได้เห็นเมื่อเราไปถึงเนลเฟเรียนค่ะ ที่นั่นเป็นประเทศเสรี เผ่าจิตวิญญาณและมันกรอาจจะหายากสักหน่อย แต่เผ่าอย่างมนุษย์สัตว์แล้วพบเห็นได้ทั่วไปเลยค่ะ อ่อใช่แล้ว ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ ดูเหมือนว่าคุณจะมีคำถามเกี่ยวกับเทพธิดาใช่มั้ยคะ?”

“ไม่หรอกๆ เท่านี้ก็พอแล้ว ผมได้รู้อะไรขึ้นมาอีกเยอะเลย ขอบคุณครับ”

‘ซุยเมย์’ แสดงความขอบคุณกับ ‘เลฟิลเลีย’ ที่อุตส่าห์เสียสละเวลามาสอนเขาอย่างไม่รังเกียจ  ‘เลฟิลเลีย’ ยิ้มอย่างสดใสและปฏิเสธว่าสิ่งที่เธอทำไม่มากพอให้ต้องขอบคุณหรอก

“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่เทพธิดาอาร์ชูน่าไม่มีตัวตนในความเชื่อตะวันออกเหรอคะ?”

“อ่า….จะว่าแบบนั้นก็ได้….”

‘ซุยเมย์’ ตอบอย่างคลุมเครือ

“การดำรงอยู่”

เป็นคำที่พูดถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรม สามารถมองเห็นและจับต้องได้ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะกังวลเกี่ยวกับตัวตนที่คลุมเครือของเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’  แต่ก็มั่นใจเช่นกัน

บางทีอาจเพราะปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการมีอยู่ของพลังต่างๆทำให้เชื่อได้แบบนั้น จากมุมมองของนักเวทแล้ว เทพ  ส่วนใหญ่จะมายุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับการดำเนินไปของโลกนั้นขึ้นอยู่กำแรงจูงใจ

‘ซุยเมย์หัน’ ไปมอง ‘เลฟิลเลีย’ ซึ่งเดินอยู่ข้างๆ วันนี้ต่างจากครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันเพราะเธอกำลังถือถุงสัมภาระอยู่ สิ่งที่อยู่บนหลังของเธอมีขนาดใหญ่มาก มากพอที่จะเก็บชุดเกราะก่อนหน้านี้ได้เลยด้วยซ้ำ

” . . . . . . . มีอะไรเหรอ ซุยเมย์คุง ? “

” โอ้ ผมกำลังคิดว่าสัมภาระของคุณมันค่อนข้างใหญ่นะ”

” อ๊ะ นี่เหรอ ? “

เธอหันกลับมามอง ที่ด้านหลังของหญิงสาวที่มีความสูงพอๆกับ ‘ซุยเมย์’  คือของชิ้นยาวใหญ่กว่าตัวหญิงสาวห่อด้วยผ้า นอกจากนี้ เมื่อมองจากรูปร่าง มันอาจจะ

“มันค่อนข้างสะดุดตา ถามจริงนะ มันคือดาบใช่หรือเปล่า”

“ใช่แล้วค่ะ”

‘เลฟิลเลีย’ พยักหน้ารองรับการคาดเดาของ ‘ซุยเมย์’  ดูเหมือนว่ามันจะเป็นดาบขนาดยักษ์ ขนาดของมัน แม้จะมองผ่านๆก็ยังให้ความรู้สึกว่ามันสามารถหั่นครึ่งหมีสองตัวในครั้งเดียวได้เลย

เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัย แต่ที่น่าประหลาดใจคือความแข็งแก่งของเลฟิลเลีย ที่สามารถแบกมันบนหลังในขณะที่กำลังเดินอยู่ได้โดยไม่แสดงอาการเหนื่อยเลยสักนิด ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเห็นเธอถือดาบยาว

แต่กับดาบขนาดมหึมานี้กับรูปร่างของหญิงสาวก็ดูเหมือนมันจะไม่สมดุลเกินไป แขนของเธอสามารถรับน้ำหนักของมันได้จริงเหรอ? บางทีตอนที่เธอใช้มันเธออาจต้องใช้เวทมนตร์เพิ่มพละกำลังอย่างที่เรอิจิใช้ก็เป็นไปได้

“ทำไมคุณถึงเลือกใช้อาวุธชิ้นนี้ล่ะ?”

ไม่ว่ามันจะเป็นปัญหาหรือไม่ แต่การกวัดแกว่งดาบที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่น่าจะเหมาะกับหญิงสาวนัก ในขณะที่ตอบคำถามของเขา เลฟิลเลียมองไปที่ดาบด้วยความรัก

“มันเป็นดาบประจำตระกูลของฉันค่ะ เจ้าของเก่าของมันคือพ่อของฉัน”

“หมายความว่าคุณใช้ดาบนี่เป็นอาวุธมาตั้งแต่แรก”

“ไม่ค่ะ”

ถ้ามันเป็นดาบของพ่อเธอแล้วก็แปลว่าเธอเคยใช้มันสำหรับการฝึกฝนมาก่อน แต่เลฟิลเยปฏิเสธความคิดนี้ในขณะที่กวัดแกว่งดาบไปมาราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง

“ฉันหลงใหลในเพลงดาบค่ะ นับตั้งแต่จำความได้ฉันก็ฝันว่าจะได้กวัดแกว่งดาบแบบนี้มาตลอด”

“ดูเหมือนว่าคุณจะมั่นใจตอนที่ใช้มันมากเลยนะ”

‘ซุยเมย์’ ถามอย่างรักษาน้ำใจ  ‘เลฟิลเลีย’ ตอบอย่างไม่อ้อมค้อม

“น่าเสียดายนะค่ะที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากการใช้ดาบ”

“อย่าคิดแบบนั้นสิ แค่นี้ก็สุดยอดแล้วนา ถึงผมจะพอรู้วิชาดาบอยู่บ้าง แต่ถ้าให้สู้กับคุณแล้วผมยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้เลย”

‘เลฟิลเลีย’ ยิ้มเยาะเย้ยตัวเองกับคำยกย่องนั้น ดาบนั้น ไม่ใช่แค่ว่ามีร่างกายที่แข็งแรงก็จะสามารถใช้พลังของมันออกมาได้ แน่นอนว่ากำลังแขนนั้นเป็นปัจจัยสำคัญ

แต่ทักษะการต่อสู้นั้นคือสิ่งที่ให้ให้ใช้พลังของดาบออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกวัดแกว่งดาบในการต่อสู้นั้นนอกจากกำลังที่แข็งแกร่งแล้วยังต้องควบคุมได้ดั่งใจต้องการอีกด้วย

ที่ ‘ซุยเมย์’ พูดว่าไม่สามารถใช้ดาบได้ดั่งใจนั้น เนื่องมาจากน้ำหนักและขนาดร่างกายของเขาไม่อำนวย แต่กับ ‘เลฟิลเลีย’ แล้ว ดาบนี้คืออาวุธทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ นั่นเป็นเหตุผลของคำพูดถัดมาของเธอ

“มันไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ ถ้าฝึกฝนเพียงพอแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถผ่ายักษ์ออกเป็นสองซีกด้วยดาบนี้ได้”

“…….”

เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ น้ำเสียงสบายๆนั่น มันเป็นไปได้ด้วยเรอะที่จะมีใครสามารถผ่ายักษ์ที่สามารถทำลายกำแพงเมืองด้วยหมัดออกเป็นสองซีกได้ด้วยการฝึกฝน เล็กๆน้อยๆน่ะ

งั้นก่อนหน้านี้ที่เธอบอกว่ามีหลายคนที่ช่วยล้มยักษ์ครึ่งยักษ์นั่น โกหกสินะ นั่นก็แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แสดงความสามารถทั้งหมดออกมาในการประเมินระดับสินะ นี่มันเกิดความสามารถของปรมาจารย์ดาบไปแล้ว

ในระหว่างที่ ‘ซุยเมย์’ หลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัว ‘ เลฟิลเลีย’ จึงถือโอกาสถามขึ้น

“ ‘ซุยเมย์คุง’  ฉันขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?”

“ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ผมไม่ได้ยิน…เอ๊ะ?”

“ ‘ซุยเมย์คุง’ !? คุณสบายดีหรือเปล่า?”

“ห๊ะ?หือ เอ่อ…..ผมสบายดี”

รู้ตัวอีกทีหัวข้อสนทนาก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็น ‘ซุยเมย์’ ที่ต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามบ้าง เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ  ‘ซุยเมย์’ บังคับให้มานาพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา เป็นคำตอบให้ ‘เลฟิลเลีย’ โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย

“วิเศษใช่มั้ยล่ะ?  ถ้าหากคุณเป็นนักเวทแล้วคุณน่าจะเข้าใจมันได้อย่างชัดเจน” “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะค่ะ แต่ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด”

“ไม่รู้อะไรเลย?”

คำตอบของ ‘เลฟิลเลีย’ ทำให้เขาชะงักไปแปปหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา

“ ‘เลฟิลเลีย’ ครับ ตอนที่คุณเรียนรู้วิธีใช้ดาบ บอกเขาบอกอะไรกับคุณบ้าง”

“อืม ประมาณว่า ตามคำสอนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ถึงความจำเป็นว่าทำไมฉันจึงต้องกวัดแกว่งดาบ ฯลฯ ฉันได้ยินอะไรแบบนี้เกือบตลอดเวลาเลยค่ะ”

เธอตอบ การเรียนรู้เกี่ยวกับดาบเพื่อจุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์สินะ  ‘ซุยเมย์’ นึกถึงครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้เรื่องเวทมนตร์ นั่นคือเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เขายังเป็นเด็กน้อยหน้ามน พ่อพาเขาไปยังห้องๆหนึ่งภายในบ้าน ห้องที่เก็บรวบรวมของต้องห้ามต่างๆ

“…….พ่อของผมไม่ใช้คนพูดมาก ผมเลยไม่เคยมีประสบการณ์แบบเดียวกับคุณ เขาแค่บอกกับผมว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องเป็นเท่านั้น”

“เขาไม่บอกเหตุผลเหรอคะ?”

“อืม เขาว่ามันไม่ใช้สิ่งที่เด็กจะต้องรู้ และฉันเองก็ไม่เคยคิดจะถาม หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย น่าเสียที่ตอนนี้คงจะสายเกินไปที่จะถามถึงเหตุผลนั้นแล้ว”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงคิดถึงเมื่อความทรงจำนั้นได้ย้อนผ่านมา นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นับตั้งแต่เพิ่งเริ่มเดินบนเส้นทางของผู้ใช้เวทย์ ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดจะเริ่มต้นขึ้น เหตุผลของพ่อนั้นก็ลงหลุมไปพร้อมกับเขาแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ บางทีเหตุผลที่พ่อสอนเวทมนตร์ให้กับเขา อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำให้ลูกชายของตัวเองได้

“นั่นมันไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอค่ะ”

เลฟิลเลียถามต่อ

“อืม ผมเองก็สนุกกับการเรียนเวทมนตร์ มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไม่พอใจ แม้บางครั้งมันจะทำให้ลำบากก็เถอะ”

“งั้นเหรอคะ?”

เลฟิลเลียกล่าวพร้อมกับหัวเราะ พลางคิดในใจว่าสิ่งที่เขาพูดก็น่าสนใจ

“……อืม ผมพูดอะไรผิดไปเหรอ?”

“ไม่เลยค่ะ ฉันแค่ประหลาดใจที่พบว่ามีใครบางคนเหมือนกันกับฉัน”

ที่จริงแล้ว นั่นมัน……

“น้ำหนักที่ครอบครัวให้เราต้องแบกสินะ อืม ผมเห็นด้วย”

“ใช่มั้ยล่ะคะ”

‘เลฟิลเลีย’ พยักหน้า ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะไปจุดไฟของเธอขึ้น แม้เธอจะต้องพบอุปสรรคมากขึ้นบนเส้นทางแห่งดาบ เขารำพึงถึงความคิดที่อยู่ในใจของ ‘เลฟิลเลีย’

“อ่อใช่แล้ว ฉันเพิ่งนึกได้ค่ะ  ‘ซุยเมย์คุง’  พวกเขาให้ระดับอะไรกับคุณคะ?”

“อ่อ ระดับ D น่ะ”

คำตอบของเขาทำให้เธอตกตะลึง

“……ทำไมกัน? ฉันที่เอาชนะพวกเขาได้ยังเป็นระดับ B เลย ทำไมคุณที่ทำได้แบบเดียวกันถึงเป็นระดับ D?”

“อืม  เรื่องนั้นมัน…”

คำพูดของเขาทำให้เธอคิดมาก เมื่อเธอหาข้อสรุปได้ สายตาและน้ำเสียงก็กลับกลายเป็นเย็นชา

“แบบนี้นี่เอง แม้แต่องค์กรที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาคมก็เป็นแบบนี้สินะ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาจะจัดระดับแบบนี้เพียงเพื่อรักษาหน้า…..”

“ห๊ะ…….?”

เธอเข้าใจผิดไปไกลแล้ว ซุยเมย์หน้าซีดเผือด เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะคิดเองเออเองไปได้ถึงขนาดนี้

“ฉันพูดถูกใช่มั้ยคะ?มันเป็นแบบนั้นใช่หรือเปล่า?”

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่า….”

“อย่าห่วงเลยค่ะ เมื่อเราไปถึงคูรันด์ เราจะไปร้องเรียนกับหัวหน้าสาขาให้ยกเลิกการตัดสินนั้นกัน ฉันจะไปกับคุณเอง ถ้าพวกเขาปฏิเสธ ฉันจะเป็นพยานให้และจะต้องมีการสอบใหม่อีกครั้ง”

‘เลฟิลเลีย’ พึมพำต่อว่า

“ใช่แล้ว ทำแบบนั้นกันเถอะ”

และอื่นๆกับตัวเอง เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของเธอสักหน่อย ทำไมเธอถึงดูสนใจมันนัก? ดูเหมือนว่า ‘เลฟิลเลีย’ จะเป็นพวกรักความยุติธรรมสินะ สุดท้ายเธอพูดกับ ‘ซุยเมย์’ อย่างจริงจังว่า

“มาทำให้ความจริงปรากฏกันเถอะค่ะ”

ไม่ ไม่เขาจะปล่อยให้เธอทำแบบนั้นไม่ได้

“……. ‘เลฟิลเลีย’ ฟังนะ ผมเป็นคนขอระดับ D กับพวกเขาสามคนเองแหละ”

เมื่อขาพูดมัน  ‘เลฟิลเลีย’ มุ่ยหน้ามองเขาอย่างสับสน

“คุณขอ ทำไมถึงทำแบบนั้นละคะ?”

“เพราะโดโรเธียบอกว่าฉันจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียง”

แม้ว่าคำอธิบายของเขาจะค่อนข้างไม่น่าเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถอธิบายอะไรที่ดีกว่านี้ได้ อย่างตอนที่พูดคุยกับเกลนก่อนหน้านี้ ต้องบอกว่าเขาไม่ได้โกหก ระดับที่สูงไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ไม่ได้แปลว่าเขาเห็น ‘เลฟิลเลีย’ เป็นแบบนั้นหรอกนะ…..

เขาถอนหายใจเงียบๆ แต่ดูเหมือนว่า ‘เลฟิลเลีย’ จะสนใจที่เขาพูดมากกว่าที่คิด

“นั่นดีแล้วเหรอคะ? ระดับที่สูงจะทำให้คุณมีค่ามากในคูรันด์และเนลเฟเรียนเลยนะคุณรู้มั้ย ในขณะเดียวกันพวกเขาจะไม่สนใจคนที่อยู่ในระด่ำต่ำๆนะคะ”

แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เขาวางแผนไว้ว่าจะเลือกรับงานของสมาคมแบบที่เขาอยากจะทำเท่านั้น

“ที่จริงแล้วผมค่อนข้างกังวลที่จะทำงานให้สมาคม แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะยากจนเหมือนกัน เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”

“…….งั้นคุณจะไปทำอะไรที่คูรันด์และจักรวรรดิกันแน่คะ”

“อืม  รวบรวมข้อมูลน่ะ”

“ข้อมูล?”

“เพราะผมมาจากทางทิศตะวันออก มีหลายอย่างที่ผมไม่เคยรู้ และผมอยากจะเรียนรู้มัน”

“…….”

จากเหตุผลที่ว่านี้ เขาถูกจ้องมองเงียบๆ เธอเฝ้าดูเขาอย่างใกล้ชิด สายตาของเธอเหมือนจะมองทะลุความหมายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังคำพูดและการแสดงออกของเขาได้เลย เมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว  ‘ซุยเมย์’ ตั้งใจจะเล่นบทคนโง่ต่อไปเรื่อยๆ

“ผมพูดอะไรผิดรึเปล่า?”

“ไม่ค่ะ ฉันแค่พยายามสังเกตอยู่ว่าคุณกำลังโกหกรึเปล่า ไม่สิ นั่นเป็นคำที่ไม่ถูกต้อง คุณไม่ได้กำลังโกหก แต่แค่พูดความจริงไม่หมดต่างหาก”

ยังไง?มีช่องว่างตรงไหนในคำพูดของเขากัน

” . . . . . . . ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น “

เขาถามด้วยความแปลกใจ รอยยิ้มบอกบุญไม่รับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

” สัญชาตญาณของผู้หญิง “

“ไม่อยากจะเชื่อเลย…”

“คิกๆๆ ฉันล้อเล่นค่ะ ที่จริงแล้วเพราะว่าฉันพบเจอคนมามากมาย ฉันเลยสามารถมองผ่านจิตใจของพวกเขาได้บ้างนิดหน่อย”

เธออธิบายพร้อมกับยกย่องตัวเอง

“คุณไม่ได้โกหก แต่ต้องกำลังปิดบังอะไรอยู่แน่ๆ ฉันมั่นใจ”

” … อาจเป็นไปได้”

เพื่อตอบสนองต่อความคิดเห็นของ ‘เลฟิลเลีย’  ‘ซุยเมย์’ ตอบกลับอย่างคลุมเครือพลางยักไหล่เล็กน้อย  เรื่องนี้ไม่ควรจะตอบโต้จึงจะดีที่สุด

“…….ก็ได้ค่ะ ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน เพราะงั้นฉันจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับระดับของคุณอีก”

เธอกล่าวในที่สุด

“ไม่ต้องห่วงแล้วก็ขอบคุณมากครับ”

แม้ว่าต่อหน้าซุยเมย์จะแสดงออกถึงความเสียใจ แต่เขาไม่ได้จริงใจที่จะขอโทษจริงๆหรอก เขาเป็นผู้ใช้เวท และผู้ใช้เวทเป็นคนประเภทที่ต้องทำร้ายผู้คนอยู่บ่อยครั้งและทำให้คนที่ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมต้องรู้สึกผิด ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องขอโทษเลฟิลเลียจริงๆ จู่ๆก็มีเสียงบางอย่างดึงดูดความสนใจของเขา

“โอ้ ได้เวลาพักแล้ว”

“ที่นี่มีน้ำด้วยค่ะ”

‘เลฟิลเลีย’ ว่าอย่างรวดเร็ว ด้านข้างของถนน ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ดูเหมือนจะพูดเกินจริงไปสักหน่อย ที่จริงแล้วมันเป็นแค่พื้นที่โล่งที่มีก้อนหินถูกใช้เหมือนที่นั่งพัก

ดูเหมือนว่ามันจะถูกออกแบบมาให้เป็นที่พักระหว่าทาง การสนทนาของเขาและ ‘เลฟิลเลีย’ มาถึงจุดที่อันตรายแล้ว หากเขายังคุยกันต่ออาจจะนำปัญหามาให้ก็ได้ ‘ซุยเมย์’ คิด บางทีเขาอาจจะต้องไปคุยกับคนอื่นบ้างแล้ว และตอนนั้นเอง

“…….?”

เขาได้ยินเสียงโวยวาย เสียงมาจากจุดที่ไม่ไกลนัก แต่ก็ไม่ใกล้สักเท่าไหร่ เมื่อหันไปมองทางทิศที่มาของเสียง ก็พบหญิงสาวกำลังโบกมือให้มาจากริมน้ำ ที่ด้านข้างของเธอดูเหมือนจะเพื่อน มีเด็กสาวที่เป็นนักเวท นักดาบ นักรบและนักธนู

ดูจากบทบาทของพวกเขาแล้วเหมือนกับปาร์ตี้ครบเซตที่อยู่ในเกม   ‘ซุยเมย์’ มองอย่างประหลาดใจ แน่นอนว่าเขาไม่รู้จักคนพวกนั้น

“คนพวกนี้เป็นพรรคพวกที่ไปโค่นครึ่งยักษ์ด้วยกันกับฉันค่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง…”

คำพูดของ ‘เลฟิลเลีย’ ทำให้เขาเลิกสงสัย คนจากสมาคมนักผจญภัยสินะ

“เราเป็นพรรคพวกที่เคยทำงานมาด้วยกันค่ะ พวกเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก่อน”

‘เลฟิลเลีย’ อธิบาย ขณะที่หญิงสาวคนนั้นเอามือป้องปากเหมือนกับโทรโข่ง จากที่เธอทำดูเหมือนจะคิดว่าพวกเขาไม่ได้ยินเป็นแน่แท้

“ผมว่าพวกเขากำลังเรียกคุณนะ”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปตรงนั้นหน่อยนะคะ”

เธอตอบก่อนจะวิ่งออกไป ก่อนที่ดวงตาของเขาจะปรากฏร่องรอยของความสุขขึ้น

“เพื่อนเหรอ…..”

เขาพึมพำ บอกตามตรงว่าเขาค่อนข้างจะอิจฉา แต่ว่านี่คือเส้นทางที่เขาเลือกแล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิคิดเรื่องนี้อีกต่อไป เขาถอนหายใจลึกราวกับจะกำจัดความรู้สึกที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกาย ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขารีบถูที่ต้นคอ

“……..”

……เขาไม่แน่ใจว่าทำไม นับตั้งแต่เขาออกจากเมเทอร์มา ด้านหลังของเขารู้สึกเสียววูบแปลกๆ มันดูเหมือนจะเป็นลางบอกเหตุ บางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไป แต่จากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ลางสังหรณ์ คือคำที่พ่อของเขาเรียก มันมักจะเกิดขึ้นล่วงหน้าเสมอเมื่อมีอะไรที่เกี่ยวพันกับเขา

……ชั่วพริบตา ที่เพ่งสมาธิไปยังแวดล้อม แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะหาคนที่ไม่หวังดีต่อเขาได้ ฉันคงกังวลมากเกินไป เขาตัดสินใจปล่อยวางก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า สายลมที่พัดมาจากทางตะวันตกช่างสดชื่นนัก สายลมผัดผ่านร่างกายของเขาไป นำพาอากาศจากโลกอื่นซึ่งปราศจากมลพิษชักนำใจจิตใจของเขาปรอดโปร่ง สภาพอากาศที่ดูเหมือนจะอวยพรให้กับการเดินทางของพวกเขาให้เต็มไปด้วยความราบรื่นและไร้ซึ่งอันตราย แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เมื่อเขาจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่ปกคลุมถนนเบื้องหน้า เขาไม่อาจสลัดความรู้สึกที่ว่าลมและเมฆนี้เป็นเค้าลางของบางสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง

 

 

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments