ตอนที่แล้ว ตอนต่อไปการต่อสู้เริ่มขึ้นแล้วงั้นเหรอ? มันเกิดขึ้นในระหว่างที่เขากำลังกังวลเกี่ยวกับการเดินทาง อยู่ดีๆก็สลบไปพอฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในสถานการณ์นี้ซะแล้ว แสงสะท้อนจากคมดาบของผู้กล้า ‘ชานะ เรอิจิ’ พุ่งตรงไปด้านหน้า
ทิศทางของดาบแน่นอนว่าจะต้องเป็นที่ศีรษะของศัตรูผู้อยู่ตรงหน้าเขา มันจ้องมองการกระทำของเขาก่อนจะคำรามออกมา ‘เรอิจิ’ วาดดาบราวกับจะเฉือนมันออกเป็นสองซีก
ฟาดฟันด้วยพลังอำนาจที่เขาได้รับมาจากเทพธิดา ฝ่ายตรงข้ามรับการโจมตีของเขาด้วยกรงเล็บ ที่งอกออกมาจากมือขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาสีดำมืดราวกับถูกย้อม
กรงเล็บสอดประสานรับการโจมตีทุกอย่างของ ‘เรอิจิ’ ได้อย่างทันท่วงที เสียงปะทะนั้นราวกับเหล็กกระทบกัน น่ากลัวว่ายากที่จะชนะได้ ‘เรอิจิ’ ทุ่มพลังทั้งหมดลงในเพลงดาบ หวังว่าจะสามารถเอาชนะศัตรูได้
แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการกระทำที่เสียเปล่า นอกจากจะไม่สามารถชนะได้แล้วยังทำให้เสียแรงไปอย่างเปล่าประโยชน์ ตอนนี้ ‘เรอิจิ’ หวังเพียงว่าหากเขาจู่โจมเข้าไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วการป้องกันจะอ่อนกำลังลงและเขาก็จะชนะในที่สุด
“***********”
เสียงหอนแปลกๆดังขึ้นที่ข้างหู แม้จะมีความสามารถในการพูดภาษามนุษย์ แต่เมื่อการต่อสู้นี้เริ่มขึ้น ก็กลับร่างกลายเป็นสัตว์บ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ พร้อมกับเสียงแหลมๆที่ดังเข้ามาจากทางด้านข้างบังคับให้เรอิจิต้องหลบฉาก การโจมตีนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รุนแรงเหมือนทุกครั้งทุกครั้งและยังไม่สามารถทำอันตรายเขาได้อีก
ดูเหมือนว่ามันจะมีไว้เพื่อหยุดการโจมตีอันไร้ประโยชน์ ‘เรอิจิ’ เหวี่ยงดาบเข้าโจมตีอีกครั้ง โดยใช้วิถีดาบแนวดิ่ง มันเป็นเทคนิคการโจมตีแบบเสริมเวทลม แต่เป้าหมายของเขาก็ยังสามารถหลบการโจมตีนั้นได้
“อะ โอ้ ฟะ ไฟ เอ๋ย จงทิ่มแทง!”
และตอนนั้นเองเสียงว่าคาถาที่ตะกุกตะกักก็ดังแว่วมา มิซิกิที่เขาสัญญาไว้ว่าจะปกป้องนั่นเอง ที่เป็นคนร่ายเวทมนตร์นั้น และเปลวไฟสีแดงเข้าก็พุ่งผ่านมา
เวทมนตร์แสดงผลเมื่อร่ายคาถาจบ ปรากฏเปลวไฟสีแดงฉานซึ่งตัดกับท้องฟ้าสีครามขึ้น อากาศระเบิดออก และทุกอย่างในสายตาเขาถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน คลื่นของการระเบิดสร้างผลกระทบให้กับเขานิดหน่อย เขากระโดดถอยหลังอย่างไม่ลังเลเพื่อออกห่างจากศัตรูให้มากที่สุด ทันทีที่เปลวไฟกระทบเป้าหมาย มันก็ระเบิดออก
“ฉันทำได้!”
ที่ด้านหลังของเขา มิซึกิกำลังตะโกนอย่างดีใจว่าเวทมนตร์ของเธอสามารถทำลายศัตรูได้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิด เมื่อมองเขาไปในเปลวไฟ ศัตรูไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เขาดึงดาบออกมาเตรียมพร้อมอีกครั้งก่อนที่เปลวไฟจะหายไป
ดูเหมือนว่ามันจะดับไฟด้วยการสะบัดแขนเท่านั้น ท่ามกล่างเถ้าถ่านของสิ่งที่อยู่รอบๆ ศัตรูก็ได้ยื่นแขนออกมา ตรงใจกลางของความร้อนระอุนั้น เต็มไปด้วยแรงกดดันอันท่วมท้น ต้องกำจัดมันให้ได้
เพราะเขาเป็นผู้กล้าคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ซากศพของพวกพ้องที่กระจัดกระจายไปทั่วที่อยู่ตรงหน้านั่นคือศัตรูที่แท้จริงของเขา ท่ามกลางซากศพเหล่านี้ มันก้าวออกมาอยู่ต่อหน้า
‘เรอิจิและ’ รอโอกาส ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่มอนสเตอร์ ตัวตนบางอย่างที่ต่างออกไป ปีศาจ ปีกที่เหมือนกับค้างคาวขนาดใหญ่และเขาหนึ่งคู่ที่งอกออกมาจากศีรษะ ร่างกายสีแดงฉาน ไม่มีอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายกับมนุษย์
กรงเล็บสีดำสนิทนั้นกำลังตรงมาที่เขา หลักฐานของความน่ากลัวของกรงเล็บเหล่านั้นเห็นได้ชัดจากก้อนหินที่อยู่รอบๆ ความแข็งแกร่งของกรงเล็บแต่ละนิ้วนั้นก็เทียบได้กับเคียวของมัจจุราช
ปีศาจเผยอยิ้มเยาะเย้ยขึ้น อย่างกับมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาในการต่อสู้นี้ได้ ในการต่อสู้นี้เรอิจิไม่สามารถเทียบกับฝ่ายตรงข้ามได้เลยไม่ว่าจะเป็นความเร็วของความแข็งแกร่ง
แต่ถึงแบบนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงฉายแววมุ่งมั่น ปีศาจเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ภาพที่มองเห็นนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาไม่อาจเผชิญกรงเล็บเหล่านั้นได้ ยังไงก็ตาม ‘เรอิจิ’ ไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์ปัจจุบัน เลวร้ายไปกว่านี้ได้
“จงลุกโชน….”
มานาถูกปลดปล่อยออกไปและธาตุไฟตอบสนองต่อคำเรียกร้องของเขา พลังของฉัน เสริมความแข็งแกร่งให้ร่ายกายด้วยเวทมนตร์ เปลวเพลิงที่ห่อหุ้มร่างกาย รับรู้ได้ถึงพลังที่เอ่อล้น และกลายเป็นลูกไฟยิงเข้าใส่ศัตรู ■■■■■■ ! ?
สีหน้าของปีศาจเปลี่ยนไป แม้มันจะมั่นใจในชัยชนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เรอิจิใช้เวทมนตร์ในการต่อสู้
“ว๊ากกกกกกกกกกกกก”
แม้พลังของ ‘เรอิจิ’ จะเพิ่มมากขึ้น ตาปีศาจก็ยังคงมั่นใจในชัยชนะของมัน และผลของความหยิ่งผยองนั้น ทำให้มันถูกฟันขาดเป็นสองท่อน
……เปลวไฟเผาร่างของกลายเป็นฝุ่นผงกระจายหายไปในอากาศ เป็นการยืนยันว่าศัตรูถูกกำจัดไปจนหมดแล้ว ‘เรอิจิ’ ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“ฟู่…..ดูเหมือนว่าฉันจะชนะสินะ”
ก่อนหน้าที่ ‘ซุยเมย์’ จะออกจากเมเทอร์ ‘เรอิจิ’ ที่เดินทางออกจากปราสาทนั้นไม่ได้มุ่งหน้าไปยังปลายทางสุดท้าย+ราชาปีศาจ-แต่มุ่งหน้าไปยังสาธารณรัฐซาเดียส มันอาจจะดูเหมือนว่ากำลังหนีจากราชาปีศาจอันเป็นสาเหตุที่พวกเขาถูกเรียกตัวมายังโลกนี้
‘เรอิจิ’ และ ‘มิซึกิ’ ถูกเรียกตัวมาจากญี่ปุ่น ซึ่งเรียกได้ว่าพวกเขานั้นไร้ประสบการณ์ในการรบจรงอย่างสิ้นเชิง ที่ใกล้เคียงกับการรบอยู่บ้างนั้นคือการฝึกฝนในปราสาทนั่นเอง
หลังจากที่สามารถเอาชนะอาจารย์สอนการต่อสู้และเวทมนตร์ได้แล้ว เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์พวกเขาจึงจำเป็นจะต้องเดินทางอ้อมเพื่อไปยังเป้าหมาย เพื่อให้สามารถต่อสู้กับราชาปีศาจได้อย่างทัดเทียม พวกเขาจำเป็นจะต้องมีอาวุธที่เหมาะสม
สถานที่แรกที่พวกเขามุ่งหน้ามาคือสาธารณรัฐซาเดียสซึ่งเก็บรักษาดาบหนึ่งในเจ็ดเล่มนั้น ระหว่างทางพวกเขาถูกซุ่มโจมตี
… ใบดาบของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือดของปีศาจ หลังจากที่สะบัดดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจาก ‘ซาเดียส’ ‘เรอิจิ’ รีบวิ่งไปทางฝั่งของ ‘มิซึกิ’
“ ‘มิซึกิ’ เธอโอเคมั้ย?”
ตัวของเธอสั่นระริกใบหน้าก็ซีดเผือก ‘เรอิจิ’ ถามอย่าเป็นกังวล ดูเหมือนว่าเธอจะยังหวาดผวากับการต่อสู้เมื่อครู่อยู่
” อ้อ ใช่ ไม่มีอะไร มันก็แค่ . . . . . . . “
” ก็แค่ . . . “
” นี่ . . . คือการต่อสู้กับศัตรูสินะ . . . . . . . “
‘มิซึกิ’ พยายามพูดด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
” . . . . . . . อ่า . . . “
‘เรอิจิ’ พยักหน้า ในตอนนี้ พวกเขาได้ต่อสู้มอนสเตอร์หลายครั้งแล้ว นี้คือโลกแฟนตาซีกับและสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ตามเส้นทางที่ผ่ามองพวกเขาได้เห็นและถูกโจมตีจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีในโลกเก่ามานับครั้งไม่ถ้วน การกำจัดสิ่งเหล่านั้นทำให้ฝีมือพัฒนาขึ้น
ดูเหมือนจะเป็นความเป็นจริงของชีวิตในโลกนี้ เพราะแค่พวกเขาจัดการสิ่งเหล่านั้นก็สามารถเก่งขึ้นได้ แต่ว่า ‘มิซึกิ’ ไม่เคยมีส่วนในการต่อสู้เหล่านั้นเลย เธอถูกอารักขาโดยกองอัศวินที่ติดตามมาด้วยเสมอ
เขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอที่จะไม่ต้องมารับรู้เกี่ยวกับความโหดร้ายของการฆ่าฟัน จนกระทั่งตอนนี้ ความสามารถทางเวทมนตร์เธออาจเทียบได้กับเขาและ ‘ไทเทเนีย’ ที่สามารถใช้เวทมนตร์ระดับสูงได้
แต่ความจริงที่ว่าเป็นเป็นแค่เด็กสาวจากญี่ปุ่นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ในโลกของเขามีคนน้อยมากที่มีความสามารถในการต่อสู้ ไม่ต้องพูก็น่าจะรู้ว่าเธอไม่มีความสามารถพวกนั้นอยู่เลยสักนิด เพราะงั้นมันจึงต้องใช้เวลาสักหน่อยเพื่อปรับตัว และนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอมีส่วนร่วมในการต่อสู้
“ ‘มิซึกิ’ มันจะดีกว่านี้นะถ้าเธอไม่ฝืนตัวเอง…..”
‘เรอิจิ’ พูกจากใจ เขาไม่คิดว่า ‘มิซึกิ’ จะต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้ด้วย ‘มิซึกิ’ ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงนี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของฉันและแม้ปีศาจมันจะน่ากลัว แต่ฉันก็อยากช่วยนายนะ”
“มิซึกิ….”
“……แต่ว่านะ…นายสุดยบอกเลย ‘เรอิจิ’ มันเหมือนกับว่านายมีพลังนี้มาตั้งแต่แรกเลย”
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก ตอนที่เริ่มต้นมันฉันก็รู้สึกได้ สงครามมันน่ากลัวนะ แม้จะชินแล้วแต่ตอนนี้หัวใจฉันยังเต้นรัวอยู่เลย”
คำพวกนี้ไม่ได้พุดแค่เพื่อให้มิซึกิสบายใจเท่านั้น แต่เป็นความจริง เขาเองก็หวาดกลัวที่จะต่อสู้เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะเคยแสดงความมั่นใจในการเอาชนะราชาปีศาจ แต่หลังจากที่ผ่านประสบการณ์อันน่ากลัว ความไร้มนุษยธรรมของของทหาร เขาไม่เคยละความหวาดกลัวในจิตใจออกไปได้เลย
…… ‘ซุยเมย์’ ทันใดนั้นใบหน้าของเพื่อนก็ปรากฏตัวขึ้นในใจเขา เพื่อนของเขาที่อยู่ที่ปราสาทยาคางิ ‘ซุยเมย์’ ผู้ซึ่งมองเห็นความเป็นจริงของสถานการณ์พูดถูก
“พูดง่ายแต่ทำยาก”
ที่ว่า ตอนนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งเลย เมื่อเทียบกับตัวเองที่หลงระเริงไปกับพลังอำนาจที่ได้รับแล้ว อาจเป็นเพราะว่า ‘ซุยเมย์’ ไม่ได้รับพลังอะไรเลยทำให้เขาแยกแยะได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาทำได้ ในช่วงเวลานั้นอัตตาที่มีทำให้ดวงตาของเขามืดบอด ใช้มุมมองของโลกที่เขาอาศัยอยู่มาตัดสินโลกแฟนตาซีนี้
มันก็แค่การหลอกตัวเอง การวิงวอนอย่างไร้ความหวังของคนในโลกนี้ ร้องหาผู้ช่วยและคำปลอบโยนทำให้เขารู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยให้คนเหล่านี้ไปตามยถากรรมได้ เขาประเมินความน่ากลัวของโลกนี้ไว้น้อยเกินไป
“โง่”
นั่นคือคำเดียวที่สามารถอธิบายถึงสิ่งที่เขาเลือกทำได้ถูกที่สุด ถ้าหากเขายังเดินไปบนเส้นทางนี้แล้วบางที่อาจมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป ความกลัวยังคงรุกล้ำเข้ามาภายในใจเขาขาดทั้งประสบการณ์และเทคนิค
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการเตรียมตัวเองไว้ให้พร้อมที่สุดก่อนการเผชิญหน้ากับราชาปีศาจ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เขาคิด แต่ความจริงที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ความผิดที่เขาสร้างต่อเพื่อนสาวคนนี้ ขอโทษนะ
… ‘มิซึกิ’ ก้มศีรษะลงขณะที่อ้าปากค้าง ‘เรอิจิ’ ขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่ของโทษเท่านั้น เขาคิดในใจ มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถบรรเทาความรู้สึกผิดของเขาได้ คำขอโทษของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ความตระหนักถึงความอ่อนแอของตัวเอง
“………..เราควรจะออกจากที่นี่กันรึยัง?”
“……….แน่นอน”
ควรจะพา ‘มิซึกิ’ ออกไปจากที่นี่ก่อน ‘เรอิจิ’ คิดพลางมองซากศพที่อยู่เกลื่อนสนามรบ
“มิซึกิ เป็นอะไรรึเปล่า?”
เสียงหญิงสาวดังมาจากไม่ไกลนัก ไม่ใช่ใครที่ไหน ‘ไทเทเนีย’ เพื่อนของพวกเขานั่นเอง เธอและเหล่าอัศวินได้ต่อสู้กับปีศาจในจุดอื่น ตอนนี้เธอเดินมากับอัศวินวัยกลางคนและเริ่มถามไถ่
“อืม…ฉันไม่เป็นไร”มิซึกิตอบ “
“ขอบคุณพระเจ้า … เธอไม่ได้บาดเจ็บอะไรใช่มั้ย?”
“เพราะมี ‘เรอิจิคุง’ อยู่กับฉันน่ะ”
พวกเขายังคงอยู่รอดปลอดภัยกันดี รอยยิ้มโล่งใจและรอยยิ้มที่กล้าหาญประทับอยู่บนใบหน้าของพวกเขา
“เยี่ยมมากเทียร์”
‘เรอิจิก’ ล่าวอย่างชื่นชม
” ขอบคุณสำหรับความห่วงใยค่ะ เรอิจิซามะ “
เธอพูดตอบกลับ
“คุณเองก็ทำได้ดีเช่นกันเกรกอรี่ซัง”
อัศวินวัยกลางคนที่เดินมากับเธอ ‘เกรกอรี่’ พูดกับ ‘เรอิจิ’ ด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“ไม่ครับ ข้าเพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ท่าผู้กล้ากล่าวเกินไปแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ”
‘เรอิจิ’ พูดปฏิเสธความถ่อมตัวของเขา
“ท่านกว่าเกินจริงไปแล้ว”
อีกครั้งที่ ‘เกรกอรี่’ ตอบปฏิเสธ
“เอาเถอะครับ ‘เทียร์’ ทางคุณเป็นยังไงบ้าง”
“เรียบร้อยค่ะ ไม่มีปีศาจเหลืออยู่เลยสักตนเดียว”
“เยี่ยมมากครับ ผมคิดแล้วว่าทางคุณต้องเรียบร้อย”
“ ‘เรอิจิซามะ’ กล่าวเกินไปแล้วค่ะ”
“มีอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ?”
“……ม้าของเราถูกฆ่าตายหมดเลยค่ะ ฉันต้องขอโทษจริงๆ”
“…..โอ้ ดีแล้วครับที่ถูกฆ่าแค่ม้า ตราบใดที่เทียร์และคนอื่นๆยังปลอดภัย นั่นต่างหากที่สำคัญที่สุด”
” ‘เรอิจิซามะ’ . . . . . . . “
‘ไทเทเนีย’ ที่ถูกกระตุ้นจากคำปลอบใจ แม้ว่าการสูญเสียม้าจะทำให้การเดินทางลำบากขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ ‘เรอิจิ’ เลือกจะคิดถึงข้อดีที่ไม่มีคนล้มหายตายจากมากกว่า และเสียงแห่งปัญหาก็ได้ดังขึ้น
ที่มา: