I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 21 พบเจอศัตรู

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1263 | 2359 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

เป็นเวลาหลายวันหลังจากที่ ‘ซุยเมย์’ ออกเดินทางมากับคาราวาน การเดินทางของพวกเขาไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก พวกเขาพบเจอทั้งโจร มอนสเตอร์หรือแม้กระทั่งสภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้

แม้จะไม่เต็มใจนักแต่พวกเขาก็ยังคงอาศัยพักตามหมู่บ้านเล็กๆและสถานีพักผ่อนตามรายทาง หากมีอะไรที่พอจะทำให้มีความสุขได้บ้างก็คงจะเป็นเรื่องของอาหาร นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาเตรียมไว้ก่อนจะออกเดินทางและมันก็ไม่ได้น่ากล่าวถึงอะไรมากนัก

หลังจากที่พวกเขาเดินทางผ่านช่องเขาออกมาได้อย่างปลอดภัย ก็ถึงจุดที่ยากที่สุดของการเดินทางและเส้นทางที่พวกเขาพบเจอในขณะนี้นั้นสูงชันมาก จากสิ่งที่เขาได้ยินมาจากพวกพ่อค้าในคาราวาน เหลืออีกเพียงหนึ่งในสามของการเดินทางเท่านั้น

เมื่อพวกเขาผ่านเนินและแอ่งขนาดใหญ่แล้วก็จะลุถึงจุดหมายปลายทาง นี่คือความแตกต่างระหว่างโลกของพวกเขา  ถึงแม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน แต่การปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันก็ยังเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับคนบนโลกใบนี้ เช่นเดียวกับที่กองคาราวานได้ออกเดินทางจากบริเวณเชิงเขามายังชายป่า ป่านั้นค่อนข้างโปร่ง

ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสแสงอาทิตย์จะส่องผ่านเงาไม้ลงมา แต่ว่าวันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างครึ้มชวนให้รู้สึกใจคอไม่ดีนัก บรรยากาศอึมครึมที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา ส่งผลต่ออารมณ์ของพวกเขาเป็นอย่างมาก ในสถานการณ์ตอนนี้ดูคล้ายกับมีบรรยากาศที่อันตรายลอยฟุ้งอยู่ทั่วไปหมด

‘เลฟิลเลีย’ ที่เดินอยู่ข้างๆ ‘ซุยเมย์’ ก็ได้พูดขึ้น

“……. ‘ซุยเมย์คุง’  คุณรู้สึกรึเปล่า?”

“อืม ผมก็รู้สึกเหมือนกัน”

เขาเองก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของอะไรบางที่ไม่ชัดเจนนักอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวกเขา นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในป่านี้ ขนที่คอของเขาก็ลุกชันโดยไม่ทราบสาเหตุ มันเป็นลางร้ายเขารับรู้ได้ถึงการประทุของอากาศ

การสั่นไหวของมานา มีการซุ่มโจนตีอยู่ในป่านี้อย่างแน่นอน อืม ดูเหมือนว่า…….ความมุ่งร้ายที่ว่านั้นจะถูกส่งมาที่พวกเขาโดยตรง แม้จะไม่รู้อะไรมากนัก แต่เขาสามารถบอกได้เลยว่ามีมานาจำนวนมากกำลังดักซุ่มอยู่

“…….เฮ้ นี่มันเป็นมอนสเตอร์รึเปล่า?มันดูไม่เหมือนคนเลย…….”

‘ซุยเมย์’ ถาม ‘เลฟิลเลีย’ ในจณะที่พวกเขาเฝ้าระวังอยู่ทางปีกขวาของขบวน คำถามของ ‘ซุยเมย์’ ไปกระตุ้นมานาของพวกนั้นเข้า จากสิ่งที่เขารู้สึกมันไม่น่าจะใช่มนุษย์  ‘เลฟิลเลีย’ ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจ

“นี่ไม่ใช่มอนสเตอร์ค่ะ พวกมันเป็นปีศาจ”

“ห่ะ…….”

ทำไมเจ้าของชื่อนั้นถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ แม้ว่าจะมีการพูดถึงมันในระหว่างทาง แต่ก็ไม่น่าที่พวกมันจะมาอยู่ที่นี่สิ ยังไงก็ตาม

“…….คุณแน่ใจเหรอ บางทีมันอาจจะไม่ใช่ปีศาจก็ได้นะ?”

“ไม่ผิดแน่ค่ะ”

“ทำไมล่ะ?”

“เพราะฉันรู้จักพวกมันดี ไม่มีทางที่ฉันจะมองพลาดไปได้หรอกค่ะ”

“………งั้นเหรอ?”

“……..ใช่แล้วค่ะ”

‘ซุยเมย์’ ถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ แต่คำตอบของหญิงสาวก็ยังคงเป็นเช่นเดิม  ‘เลฟิลเลีย’ ตอบด้วยใบหน้าอันน่ากลัว และแล้วคาราวานก็หยุดลงกะทันหัน

ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนสังเกตเห็นแล้วเช่นกัน ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้ยินฝีเท้า มีนักผจญภัยที่แต่งตัวเหมือนนักรบวิ่งเข้ามา สีหน้าของเขาดูขมขื่น ดูท่าสถานการณ์คงจะไม่สู้ดีนัก เขาโบกมือให้ ‘ซุยเมย์’ และคนอื่นๆ

“เฮ้”

นักผจญภัยพยักหน้าให้กับคำพูดของ ‘เลฟิลเลีย’

“รู้สึกรึเปล่า”

“แน่นอน”

“ฉันด้วย”

‘เลฟิลเลีย’ ยืนยันคำถามของนักผจญภัยด้วยคำพูดสั้นๆและข้ามไปที่หัวข้อสำคัญ

“เอาล่ะ ดีแล้ว นักเวทบอกเราว่ามีมอนสเตอร์กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ‘เกลนซัง’ เองก็กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่”

ดูเหมือนว่าคนอื่นๆจะไม่คิดแบบเดียวกับ ‘เลฟิลเลีย’  แต่ว่าถ้าพวกมันมาถึง เราก็จะได้รู้เองว่าพวกมันเป็นตัวอะไรกันแน่ นักผจญภัยคนอื่นๆเริ่มตั้งคำถาม

“เจ้าจะต่อสู้ที่นี่งั้นเหรอ?”

“ใช้แล้ว ผู้คุ้มกันทั้งหมดจะร่วมต่อสู้ด้วยกันตรงนี้ มีปัญหาอะไรเหรอ?”

“ไม่ครับ ไม่มีอะไร แล้วพวกพ่อค้าล่ะ?”

สำหรับเหล่านักผจญภัย นั่นแหละคือปัญหา แม้จะเป็นผู้คุ้มกัน แต่พวกเขาเองก็ต้องการมีส่วนร่วมในการต่อสู้ แต่ถ้าอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกพ่อค้าที่เป็นผู้ว่าจ้างละ?

โดยทั่วไปแล้วสำหรับคนที่ไม่มีฝีมือในการต่อสู้ วิธีที่พวกเขาจะปลอดภัยที่สุดคือการเข้าไปหลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัย แต่สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบัน จะไปหาที่ปลอดภัยที่ว่ามาจากไหน?

ตอนนี้พวกเขาอยู่กันตรงบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ป่าก็เป็นป่าโปร่ง ไม่มีทีไหนให้สามารถหลบซ่อนตัวได้ หรือจะสละตำแหน่งปัจจุบันนี้ดี?  ‘เลฟิลเลีย’ เป็นคนตอบคำถามนี้ด้วยคำถามของเธอ

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราปักหลักสู้กันที่นี่?”

“ไม่ นั่นไม่ได้”

“งั้นให้พวกพ่อค้าเข้าไปซ่อนตัวในป่า?”

“นั่นก็ไม่ดี”

“……….?”

ข้อเสนอทั้งหมดถูกปัดทิ้งโดยนักผจญภัยคนอื่นๆ ข้อเสนอของ ‘เลฟิลเลีย’ เพื่อป้องกันศัตรูดักซุ่มโจมตี ดูเหมือนจะเป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว

“……..ดูเหมือนว่าจะมีมอนสเตอร์อยู่ข้างหน้าเรา จากที่ได้ยินเสียงดูเหมือนจะมาทางด้านข้างด้วย และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีมาทางด้านหลังอีก เกรงว่าตอนนี้เราคงจะถูกล้อมไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ ถ้าหากเราต้องปล่อยให้พวกพ่อค้าหนีไป มันจะกว่ารึเปล่าหากเราเก็บพวกเขาไว้ใกล้ๆเพื่อจับตาดูในขณะที่ต่อสู้……นั่นคือความเห็นของข้า”

นักผจญภัยที่ดูแข็งแรงคนหนี่งกล่าว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็ต้องป้องกันเฉพาะจุดนี้ ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดีอยู่

“ใครจะเป็นคนโจมตีละ?”

‘เลฟิลเลีย’ ถาม

“หืม?นั่นจำเป็นด้วยเหรอ…..”

“ทำไมจะไม่ล่ะ?คุณเป็นคนพูดเองว่าพวกเรากำลังโดนล้อมอยู่ ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราก็จำเป็นต้องฝ่าวงล้อมออกไปไม่ใช่หรือไง?”

“อะไร? เราไม่จำเป็นต้องวางแผนโจมตีหรืออะไรหรอก แค่ป้องกันตรงนี้ไว้ให้ได้ นั่นก็น่าจะพอแล้ว”

“……….เข้าใจแล้ว”

เมื่อต้องเผชิญการต่อต้านจากเหล่านักผจญภัย  ‘เลฟิลเลีย’ ก็ได้แต่ต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลือก แต่ ‘ซุยเมย์’ สามารถบอกได้เลยว่า เธอกำลังผิดหวังมาก

“ฝ่าวงล้อมงั้นเหรอ?”

‘ซุยเมย์’ เริ่มต่อสู้กับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจเขาอีกครั้ง วิธีที่ดีที่สุดในการหยุดการปิดล้อมคือการบุกโจมตีเข้าไปที่จุดๆเดียว หากเน้นไปที่การป้องกันอย่างเดียวแล้วละก็ ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าจะสำเร็จหรือเปล่า

เวลานี้ไม่จำเป็นต้องทำลายวงล้อมทั้งหมด ถ้าหากพวกเขาทุ่มกำลังในการโจมตีจุดจุดเดียวแล้วเป็นไปได้สูงมากที่จะสามารถฝ่าออกไปได้ ‘เลฟิลเลีย’ ต้องมั่นใจในเรื่องนี้มาก ไม่งั้นเธอคงไม่กล้าพูดออกมา

นี่อาจเป็นแผนการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนคนที่มีอยู่ พวกเขาควรจะเลือกโจมตีมากกว่า เพราะจำนวนคนของเขาไม่มากพอที่จะปกป้องขบวนรถม้าทั้งหมดได้

“พอแค่นี้แหละ ฉันต้องรีบกลับไปประจำการแล้ว ฝากดูแลสินค้าด้วยล่ะ”

นักผจญภัยพูดก่อนจะเตรียมตัวออกไป แต่ ‘เลฟิลเลีย’ หยุดเขาไว้ก่อน “ฉันขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?”

“…….อะไรละ?”

“แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า แต่กำลังตรงเข้ามาทางด้านข้างคือปีศาจค่ะ กรุณาแจ้งเรื่องนี้กับเกลนซังด้วยนะค่ะ”

“หือ? ทำไมคิดแบบนั้นละ?”

“ประสบการณ์ค่ะ ฉันสามารถรับรู้ได้เลยว่ามันไม่ใช่มอนสเตอร์”

‘เลฟิลเลีย’ คาดเดาจากสัญชาตญาณนักสู้ของเธอนั่นเอง เขาจ้อง ‘เลฟิลเลีย’ อยู่ชั่วครู่

“………เข้าใจแล้ว ข้าจะบอกกับเขาเอง”

นักผจญภัยตอบก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน ขณะที่เฝ้ามองอยู่  ‘ซุยเมย์’ ถอนหายใจและพึมพำกับตัวเอง

“นี่ฉันอุตส่าห์หลีกเลี่ยงที่จะไม่ไปกับเรอิจิและคนอื่นๆเพราะไม่ต้องจะจะสู้กับปีศาจแล้วนะเนี่ย”

ตอนนี้ ‘ซุยเมย์’ คิดว่าเขาควรจะกลับไปที่ปราสาท ในความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับศัตรูที่ไม่รู้จักและหาวิธีกลับบ้านอย่างปลอดภัยจะดีกว่าเขาจึงแยกจาก ‘เรอิจิ’ และคนอื่นๆ

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงถูกบังคับให้ต้องสู้อยู่ดี แม้ว่าจะไม่ได้เผชิญกับกองทัพปีศาจทั้งหมดแต่นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าความพยายามในการขัดขืนโชคชะตาชองเขามันช่างไร้ประโยชน์  ‘ซุยเมย์’ รู้สึกราวกับว่าคนที่กำหนดโชคชะตาจะต้องโกรธแค้นอะไรเขาอยู่แน่ๆ

“มีอะไรเหรอคะ?”

เธอได้ยินเสียงพึมพำของเขา

“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่หวังว่าการเดินทางต่อจากนี้คงจะราบรื่นน่ะ”

“ ‘ซุยเมย์คุง’  เมื่อคุณออกเดินทางคุณควรจะเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญเรื่องอันตรายนะคะ เพราะคุณอาจจะไม่มีเวลาให้มานั่นเสียใจอีก คุณควรจะจำเรื่องงนี้ให้ขึ้นใจนะคะ”

“ไม่ว่าที่ไหนๆมันก็อันตรายทั้งนั้นไม่ใช่เหรอครับ?”

“แต่ที่ๆเราอยู่ตอนนี้ก็อันตรายไม่ใช่หรือคะ?”

“นั่นก็จริงนะ แต่ก็ถือว่าช่วยไม่ได้ มันเป็นงานนี่นา”

‘ซุยเมย์’ ตอบตามตรง รอยยิ้มกล้าหาญปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว ยิ้มให้กับสหายในอ้อมแขนในวันคืนแห่งการต่อสู้

‘เลฟิลเลีย’ ดึงมันออกมาจากด้านหลังและแกะผ้าที่ห่อไว้ออก ภายในห่อผ้านั้นมีดาบขนาดใหญ่นอนนิ่งอยู่ ความยาวตั้งแต่ด้ามจนถึงปลายดาบประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตร กั่นดาบโค้งรอบด้ามเป็นรูปสามเหลี่ยมใบดาบกว้างประมาณสิบห้าเซนติเมตรกว้างซะยิ่งกว่าดาบเคลย์มอร์บวกกับซไวนเดอร์ซะอีก

มันไม่เหมือนรูปแบบของตะวันตก ญี่ปุ่นหรือจีน แต่เป็นรู้แบบเฉพาะของโลกนี้ ประกายสีเงินแดงนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันดูสวยอย่างประหลาด

‘เลฟิลเลีย’ เหวี่ยงมันไปมาหลายครั้งด้วยมือเพียงข้างเดียว สิ่งที่เขาเห็นคือแสงสะท้องของดวงอาทิตย์ผ่านใบมีด เขาไม่เขาใจนักว่าเธอทำมันไปเพื่ออะไร

แต่ที่เขาเห็นคือเธอกำลังทำมันอยู่  ‘เลฟิลเลีย’ หยุดเหวี่ยงดาบและเดินไปทางทิศที่เหล่าปีศาจอยู่ หรือว่าพลังของอาวุธไม่สามารถปลดปล่อยได้อย่างเต็มที่หากไม่มีระยะห่างเพียงพองั้นเหรอ? ยังไงก็ตาม ‘เลฟิลเลีย’ ไม่ได้รับรู้ถึงความคิดนี้ เธอยังคงมุ่งหน้าไปหาศัตรู

“ ‘เลฟิลเลีย’ ?”

“ ‘ซุยเมย์คุง’  ขอโทษนะคะ แต่ว่าฉันจะเริ่มโจมตีแล้วค่ะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น……แต่ว่าคุณจะทำจริงๆงั้นเหรอ อย่างน้อยก็ปรึกษากับเกลนซังก่อนดีรึเปล่า?”

‘เลฟิลเลีย’ ส่ายหน้าขณะที่หลับตา

“มองไปรอบๆดูสิคะ”

‘ซุยเมย์’ หันไปมองรอบๆตามคำพูดของเธอ จากที่เห็นดูเหมือนว่าทุกคนในคาราวานกำลังวุ่นวายกันมาก

“………..?”

“นักผจญภัยคนอื่นๆและคนคุ้มกันเลือกที่จะป้องกันค่ะ คุณเข้าใจแล้วใช่มั้ย?”

“อ่า ใช่ แต่เราจะไม่ปรึกษากันก่อนจริงๆเหรอ”

“มันจะไม่ทันการเอานะคะ”

“…….อืม”

คำพูดของเธอดูเหมือนจะบอกว่าป่วยการที่จะไปพูดอะไรกับสมาชิกคาราวานในตอนนี้ ‘ซุยเมย์’ นึกถึงสิ่งที่เธอเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้

“…….คุณจะบอกว่าเราจำเป็นต้องโจมตีปีศาจหรืออะไรก็ตามนี่ยังงั้นเหรอ?”

“ใช่ค่ะ”

‘เลฟิลเลีย’ พยักหน้า

“ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่นิยกการปล้นชิง และการฆ่า ความต้องการของพวกมันรุนแรงเกินกว่าที่จะสามารถอธิบายออกมากได้ ถ้าเรามุ่งเน้นไปที่การป้องกันก็จะไปกระตุ้นสัญชาตญาณของพวกมันอย่างรุนแรง เพราะงั้นแล้วการป้องกันไม่ใช่เรื่องดีคะ”

“ถ้าป้องกันก็จะทำให้ตกอยู่ในอันตรายสินะ ผมเข้าใจแล้ว แต่ว่าการวิ่งเข้าหาศัตรูก็ไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ดีเหมือนกัน สมมติว่าเราถูกล้อมไว้แล้วจริงๆ กลยุทธ์ในตอนนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดที่สุดหรอกนะ”

‘ซุยเมย์’ กล่าว หวังจะปัดเป่าความต้องการของ ‘เลฟิลเลีย’ ที่ต้องการออกไปโจมตีเพียงอย่างเดียว  ‘เลฟิลเลีย’ ดูเหมือนจะยึดติดกับความคิดแบบเดิม ปัญหาก็คือ แผนการนี้มันมีจำนวนคนไม่พอนะสิ

ด้วยความที่เป็นคนจากอีกโลกหนึ่ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกบังคับให้ต้องมาต่อสู้กับปีศาจ การกำหนดแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเกินความสามารถของเขา  ‘เลฟิลเลีย’ ปฏิเสธคำพูดของเขา

“ป้องกันเหรอคะ? นั่นเรียกว่าแผนไม่ได้หรอกค่ะ”

“ไม่ ไม่  ‘เลฟิลเลี’ ย คุณไม่สามารถโจมตีศัตรูด้วยตัวคนเดียวได้หรอกนะ”

‘ซุยเมย์’ ไม่ได้ดูถูกเธอ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่รู้ความแข็งแกร่งจริงๆของเธอเลย เขาเป็นผู้ใช้เวท ซึ่งไม่อาจวัดความแข็งแกร่งของนักดาบเพียงแค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกได้หรอก

นอกจากจะไม่รู้ความแข็งแกร่งของเธอแล้ว เขายังไม่รู้ความแข็งแกร่งและจำนวนที่แน่นอนของศัตรูอีกด้วย มีสิ่งที่ไม่รู้มากเกินไป มันจะดีกว่าถ้าไม่มองโลกในแง่ดีเกินไปนัก ‘เลฟิลเลีย’ พยักหน้าอย่างเข่าใจความรู้สึกของซุยเมย์ แต่

“ที่คุณพูดมันก็จริงนะคะ อย่างที่ฉันพูดไปแล้วว่าฉันรู้จักพวกมันดี ไม่มีทางที่ฉันจะล้มเหลว และ-”

“และ?”

ขณะที่เธอพูดก็มีไอสีดำหม่นไหลออกมาจากตัวเธอและทำให้เขาขนลุก

“…….ฉันจะเป็นคนฆ่าพวกมันทั้งหมด ทุกตนเองค่ะ”

ใบหน้าอันงดงามของเธอถูกปกคลุมไปด้วยไอสีดำหม่น ราวกับว่านี่คือด้านมืดของนักดาบหญิงคนนี้ ดวงสาที่ไม่ได้ปกคลุมด้วยเงามืดเปล่งประกายไปด้วยความเกลียดชัง รังสีแห่งการฆ่าฟันนั้นดูเหมือนจะพร้อมทิ่มแทงศัตรู …….. เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? หรือนี่คือโชคชะตาที่เกี่ยวพันปีศาจกับผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นเหรอ?

“คุณเกลียดพวกนั้นงั้นเหรอ?”

“ค่ะ พวกมันคือบาป ความชั่วร้ายที่ทำแต่สิ่งที่ชั่วร้ายตั้งแต่เกิดจนวันตาย พวกมันหัวเราะเยาะคนที่อ่อนแอ ทรมานให้โศกเศร้าและฉลองบนความสิ้นหวัง สิ่งมีชิวิตที่หมดหวังที่จะรอดนั่นคือเหตุผลที่พวกมันจะต้องถูกกำจัดและฉันจะเป็นคนทำสิ่งนั้นด้วยสองมือคู่นี้เอง”

“…….”

คำพูดอันหดหู่ของเธอทำให้ ‘ซุยเมย์’ พูดไม่ออก เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ แต่ ‘ซุยเมย์’ เคยได้รับคำบอกเล่ามาว่าพวกปีศาจนั้นยากจะให้อภัย พวกนั้นโจมตีอาณาจักรทางเหนือและไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดเลยสักคนเดียว

“จากนั้นคุณก็จะหมดสภาพ”

“อา…”

จู่ๆบรรยากาศระหว่างพวกเขาก็เปลี่ยนไป อารมณ์โศกเศร้าจางหายไป ‘ เลฟิลเลีย’ ยิ้มให้เขาอย่างสดใส

“ ‘ซุยเมย์คุง’  ขอบคุณนะคะ แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก  ยังไงก็ฝากดูแลสินค้าด้วย และลาก่อนคะ”

ในชั่วพริบตา หญิงสาวก็หายเข้าไปในป่าลึก ดูเหมือนว่าจะจะมั่นใจว่าศัตรูอยู่ทางนั้น มันคงมาจากประสบการณ์ละมั้งนะ ยังไงก็ตาม ในตอนนี้ไม่มีทางที่เขาจะรู้ว่าเธอตัดสินใจถูกต้องหรือเปล่า แต่ช่างเถอะเวลาจะเป็นคนบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง

……….เร็วมาก ถ้าหากจะตัดสินจากการเคลื่อนไหวแล้ว เขามั่นใจว่าเธอจะไม่เป็นไร แม้ภูมิประเทศจะขรุขระและน้ำหนักที่แบกอยู่จะมหาศาล แต่เธอก็ยังเคลื่อนไหวได้เร็วมาก ตราบเท่าที่เธอยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ก็คงไม่เป็นไรหรอก

………..หลังจากนั้นไม่นานเธอหายไปจากสายตา คนอื่นๆร้องขึ้นอย่างสับสน บางคนก็ด้วยความโกรธ แต่มันก็ดำเนินอยู่เพียงไม่นาน

“เข้ามาเลย!”

ใครบางคนตะโกนขึ้น ขณะที่ต้นไม้สั่นอย่างผิดธรรมชาติราวกับกำลังจะมีอะไรบางอย่างปรากฏขึ้น ในที่สุด สิ่งที่ได้ตามพวกเขามานานก็ได้เปิดเผยตัวเอง

“ปะ-ปีศาจ……นั่นมันปีศาจนี่!”

ไม่รู้เหมือนกันว่าใครตะโกนออกมาเป็นคนแรก แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพูดมันออกมาพร้อมๆกัน

“อา……”

พวกปีศาจ หนึ่งในเหตุผลที่ได้นำเขามาสู่โลกใบนี้

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments