I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 22 พลังของปีศาจ(3)

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1138 | 2365 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ไม่สิ….. ……..นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะคิดในตอนนี้ เพราะคำสาปมันกำลังจะหมดฤทธิ์แล้ว  ‘ซุยเมย์’ ค่อนข้างจะกังวล แม้พลังแปลกๆที่ว่านั่นจะรบกวนจิตใจของเขามากพอดู

แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะคิดเกี่ยวกับมันในตอนนี้ เพราะว่า รอยแตกของน้ำแข็งกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเลือดของมันจะไหลบ่าออกมาจากทั่วร่าง ปีศาจก็ยังคงระเบิดพลังออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานมันคงจะสามารถทำลายน้ำแข็งออกมาได้อย่างแน่นอน เขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะเป็นแบบนั้น

“เฟลมมา เอสท์ เลโก วีส วิซาร์ด”(โดนนามผู้ใช้เวทนี้ เปลวไฟจงปรากฏ)

“คาถานั่นอีกแล้ว! บอกแล้วไงว่ายังไงมันก็ไม่ได้ผล”

“จริงเรอะ?เรามาดูกันถ้าฉันใช้พลังทั้งหมดผลมันจะออกมาเป็นยังไง”

“แกคิดว่าจะสามารถเผาข้าด้วยไฟอุ่นๆแค่นั้นเรอะ”

“หน่อย ครั้งนี้ฉันจะใช้แบบเต็มพลังแล้ว! เพราะงั้นอย่ามาดูถูกเปลวไฟของผู้ใช้เวทนะ”

‘ซุยเมย์’ ตะคอกก่อนจะเริ่มว่าคาถาอีกครั้ง

“เฮก อาโกน เอสตัว ซูรซูม อิมเพดิมูนตูม โมร์ส”(เปลวไฟเอ๋ยจงโหมกระหน่ำ และมอบความตายอันแสนระทมให้กับคนที่ขวางทางข้าด้วยเถิด)

เปลวไฟอันโชติช่วงอุบัติขึ้นทันที แต่ว่ามันไม่ได้ตรงเข้าไปเผาไหม้ปีศาจ หากแต่เคลื่อนไหวไปรอบๆเป้าหมาย ทุกอย่างที่มันเคลื่อนที่ผ่านก็กลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา

“อะ อะไรกัน? ทำไมมันถึงไม่เหมือนก่อนหน้านี้”

น้ำแข็งสะท้อนแสงสีแดงของเปลวไฟ ในมือของซุยเมย์ปรากฏวงเวทซึ่งกำลังล้อมรอบหินเวทมนตร์ที่กำลังทอแสงสีแดงเข้ม หลังจากว่าคาถาสุดท้าย ‘ซุยเมย์’ ก็บดหินเวทนั้น

“เฟลมมา โอ อัสเชอร์บานิปาล!”(จงลุกไหม้ดั่งเช่นดวงอาทิตย์ อัญมณีแห่งอัสเชอร์บานิปาล)

ทันได้นั้นเปลวไฟก็ลุกไหม้ปีศาจ มันส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เสาเพลิงลุกไหม้ตั้งแต่พื้นดินจนถึงท้องฟ้า พร้อมกับเสียงระเบิดดังกึกก้อง เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว คลื่นความร้อนแผ่กระจายไปในทุกทิศทาง ภายใต้การระเบิดที่น่ากลัวนี้ ปีศาจไม่มีแม้แต่เวลาสำหรับกรีดร้อง ไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องนี้ เพราะพวกเขาพะวงกับการป้องกันตัวเองจากความร้อนที่กำลังแผดเผา ………….

ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกลิ่นไหม้และเถ้าถ่าน แม้ว่าเขาจะระมัดระวังในการใช้พลังแล้ว แต่พื้นที่ตรงที่เคยมีปีศาจยืนอยู่ก็ยังกลายเป็นลาวาอยู่ดี

“โอ้ เป็นเวทมนตร์ที่น่าตกใจมาก”

นักผจญภัยร้องออกมาอย่างตกตะลึง เป็นเสียงของนักเวทสาวนั่นเอง คำพูดจองเธอทำให้คนอื่นๆตกใจไปด้วย

“อะ โอ้ แม้แต่เมฆยังกลายเป็นสีดำ”

“นี่เป็นเวทมนตร์ระดับกลางจริงๆเหรอ? แต่พลังการทำลายขนาดนี้มัน…. ”

“ลาวา? นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ออกมาจากภูเขาไฟเท่านั้นเรอะ?”

ในโลกนี้ควานสีดำและลาวาไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยนัก นักผจญภัยจึงเขามาถามกับ ‘ซุยเมย์’

“นี่นาย! จะทำก็ทำได้นี่ ทำไมถึงไม่ยอมทำตั้งแต่แรกล่ะ”

“ก็ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต่อสู้กับปีศาจนี่ ใครจะไปรู้ละว่าต้องจัดการมันยังไง”

“จริงอ่ะ? ครั้งหน้าอย่ามัวแต่ใช้เวทมนตร์พื้นๆอีกนะ รีบๆกำจัดมันไปเลย”

“อา…..”

‘ซุยเมย์’ ไม่ได้พูดอะไรตอบโต้ออกไป แต่ว่า เขายิ้มอย่างคลุมเครือให้กับนักผจญภัย

“เป็นอะไรไป? ไม่ดีใจเหรอที่สามารถเอาชนะปีศาจในการต่อสู้ครั้งแรกได้น่ะ”

“หืม?”

“เป็นอะไร? นายควรจะตื่นเต้นนะ หรือว่าเหนื่อยแล้ว”

“ไม่มีอะไร….”

“งั้นเหรอ?งั้นก็ดีแล้ว….งั้นนายไปพักก่อนแล้วกัน ตกลงมั้ย?”

“เข้าใจแล้ว…..”

“ดีแล้วงั้นข้าไปก่อนล่ะ”

นักผจญภัยคนนั้นดูเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดอยู่ หมอนั่นเข้าใจว่าเขาเพิ่งต่อสู้เป็นครั้งแรก เขามองดู ‘ซุยเมย์’ อีกครั้งก่อนจะวิ่งไปหาพวกเพื่อนๆ เมื่อเขาจากไป ‘ซุยเมย์’ ก็ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย

“………ลืมมันไปเถอะ”

แม้ว่าใครจะพูดอะไร แต่ ‘ซุยเมย์’ ก็ไม่ได้ดีใจเลยสักนิด เขาคิดอย่างหดหู่ ก่อนจะหันไปมองทางที่เคยมีปีศาจอยู่ นี่คือปีศาจ เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของคนที่เขาถูกอัญเชิญมาให้ไปต่อสู้ด้วย เดิมทีเขาตั้งใจจะใช้โอกาสนี้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของศัตรู

แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถูกบังคับให้ต้องใช้พลังจริงๆของเขา พูดตามตรงว่ามันไม่ใช่เรื่องทีดีนัก อย่างน้อยมันก็เป็นเรื่องดีที่เขาได้มีโอกาสแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาให้ศัตรูได้เห็น แต่ว่า….

“แม้ว่าฉันจะใช้เปลวไฟแห่งอัสเชอร์บานิปาล ก็ยังใช้เวลาเป็นนาทีกว่ามันจะตาย”

เขาต้องการจะทำลายปีศาจด้วยเวทไฟ ซึ่งเขาเชียวชาญมากที่สุดในเวทมนตร์ทั้งห้าธาตุ พลังของเวทมนตร์นี้สามารถมองเห็นได้ง่าย และคาถาของมันยังค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับคาถาของเวทธาตุอื่น

แต่กว่าจะทำลายศัตรูได้ก็ยังใช้เวลาเป็นนาที และถ้าจำนวนยิ่งเยอะเท่าไหร่ก็จะยิ่งใช้เวลามากเท่านั้น นี่ยังแค่ปีศาจชั้นปลายแถวนะเนี่ย ใบหน้าของ ‘ซุยเมย์’ แข็งเกร็งเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะต้องเจอในอนาคต ทันใดนั้นก็มีเสียงบางอย่างดังมาจากทางด้านหลัง

“อะไร!?”

‘ซุยเมย์’ รีบหันไปมองทันที และเขาก็ได้เห็น ปีศาจกำลังลอยมาทางนี้ จะพูดให้ถูกก็คือชิ้นส่วนของปีศาจกำลังลอยมา สองชิ้น สามชิ้น มีทั้งแขน ขา ลำตัว และตอนนี้ส่วนหัวของมันก็กำลังลอยมาทางเขา อะไรน่ะ?

‘ซุยเมย์’ เหม่อมอง หลังจากนั้นพื้นที่บริเวณรอบๆตัวเขาก็เต็มไปด้วยชิ้นส่วนของปีศาจ ที่ถูกเลฟิลเลียใช้ดาบขนาดใหญ่ของเธอตัดมันออกมา ที่ใต้ต้นไม้ หญิงสาวถือดาบสีแดงและเงินของเธออยู่ บรรยากาศเหมือนกับครั้งแรกที่พบกันก็เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา ใบหน้าที่บึงตึงเล็กน้อย ดวงตาสีแดงสุกสว่าง แขนที่กำลังถึงอาวุธก็ดูงดงามราวกับคันธนู เสียงแปลกๆบางอย่างดังก้องไปทั่ว เป็นสัญญาณบอกว่า ที่ส่งมาให้พรรคพวกของ ‘เลฟิลเลีย’  ว่าเธอกำจัดพวกปีศาจที่ดักซุ่มโจมตีไปจนหมดแล้ว ที่ว่า

“ซุ่มโจมตี”

นี่ก็เกิดจากความคิดเธอเอง  ‘เลฟิลเลีย’ ไม่ได้ลดความระมัดระวังลง แม้ว่าเธอจะสามารถกำจัดปีศาจไปจนหมดแล้ว แต่เธอก็ยังคงเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ดังนั้นเธอจึงไม่คลายจากการพร้อมต่อสู้ ต่อหน้าเธอ

แม้ปีศาจจะดิ้นรนสักเพียงใด มันก็ไม่มีโอกาสชนะ  ‘เลฟิลเลีย’ เหวี่ยงดาบเป็นแนวนอน ด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ต้นจนจบ ใบมีดจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นราวกับพายุที่กรีดผ่านอากาศ

ด้วยพลังอาวุธนี้ ปีศาจขาดออกเป็นสองท่อน และ ‘เลฟิลเลีย’ ก็เหวี่ยงดาบอีกครั้ง คราวนี้จากบนลงล่าง การโจมตีของเธอรวดเร็วราวกับพายุ คราวนี้ร่างกายของปีศาจแยกออกเป็นแนวตั้ง

หลังจากนั้นปีศาจก็ตาย แต่การเคลื่อนไหวของหญิงสาวก็ยังไม่จบลง การเคลื่อนไหวของเธอตอนนี้ไม่มีประโยชน์ได้ เพราะศัตรูได้ตายไปจนหมดแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ เป้าหมายของเธอมีเพียงความต้องการฆ่า ต้องการบดขยี้ปีศาจด้วยดาบของเธอ ราวกับว่าแค่นี้ยังไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของเธอได้

“ต้องฆ่า….ปีศาจ”

เสียงพึมพำของเธอดังมาถึง ‘ซุยเมย์’  คำพูดที่เต็มไปด้วยความชิงชังต่อศัตรู ……บรรยากาศที่ไม่สามารถบรรยายได้จากหายไป  ‘เลฟิลเลีย’ เก็บดาบและเดินมาสมทบกับคนอื่นๆ

“….ดูเหมือนว่าพวกคนจะกำจัดตัวสุดท้ายได้แล้วสินะคะ”

“จะพูดอย่างนั้นก็คงได้…….”

คนที่ตอบคือนักผจญภันคนก่อนหน้านี้หนึ่งในพรรคพวกที่คุ้นเคยกับ ‘เลฟิลเลีย’  แม้ว่าเธอจะถามด้วนท่าทางปกติ แต่ก็ไม่สามารถลบความทรงที่ที่น่าหวาดผวาออกจากจิตใจของเขาได้ คำตอบของเขาจึงค่อนข้าเคร่งเครียด  ‘ซุยเมย์’ จึงช่วยคลี่คลายบรรยากาศ ด้วยการตั้งคำถาม

“ทางคุณเรียบร้อยแล้วเหรอ?”

“อ่า ใช่แล้วค่ะ พวกมันถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในป่าไม่เหลือปีศาจอยู่เลย”

ดังเช่นที่เธอพูดไว้ก่อนไป  ‘เลฟิลเลีย’ กำจัดปีศาจจนหมดสิ้น ยังไงก็ตาม…..

“เพราะงั้นถึงไม่มีปีศาจออกจากป่าสินะครับ”

“ค่ะ ฉันกำจัดมันไปทั้งหมดเลย”

“อา……”

‘ซุยเมย์’ ถึงกับพูดไม่ออกขณะที่ ‘เลฟิลเลีย’ เผยรอยยิ้มกล้าหาญ

“ทางคุณไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยคะ?”

“ไม่ครับ”

เขาตอบตามตรงว่าไม่มีปัญหาอะไร เมื่อรู้ว่าเลฟิลเลียต้องการจะฆ่าปีศาจทั้งหมดด้วยตัวเอง

“ฉันปล่อยให้พวกมันหลุดรอดมาได้ ฉันคงต้องฝึกอีกมาเลย”

เธอกล่าวอย่างหดหู่ อะไรกับผู้หญิงคนนี้……..  ‘เลฟิลเลีย’ มองไปรอบๆ

“ก่อนที่ฉันจะมาถึงดูเหมือนจะมีเสียงที่น่าตกใจมากๆ มีใครเป็นอะไรรึเปล่าคะ?”

“อ่อ นั่นมันเป็นผลมาจากเวทมนตร์ของผมเองน่ะ”

คำตอบของเขาดูเหมือนจะทำให้เธอประหลาดใจ หลังจากนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็กลับมาสดใสอีกครั้ง

“อย่างที่คิดเลย  ‘ซุยเมย์คุง’  เป็นวิธีที่น่าตื่นเต้นมากค่ะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ มันต้องใช้เวลานานขนาดนี้เพื่อจะกำจัดปีศาจแค่ตนเดียวเอง”

“เดี๋ยวก่อน?ตัวเดียวเหรอคะ?”

“ครับ”

สิ่งที่ทำให้เธอเข้าใจผิดอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมในตอนนี้ห็ได้  ‘ซุยเมย์’ พยักหน้ายืนยันกับ  ‘เลฟิลเลีย’

“…หรือว่ามันแข็งแกร่งมากๆคะ?…..”

“ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันก็เหมือนกับตนอื่นๆนะที่คุณเพิ่งสับเป็นชิ้นๆนะ”

‘ซุยเมย์’ ตอบขณะที่หันไปมองชิ้นส่วนปีศาจที่ถูกหั่น ดูเหมือนว่าปีศาจที่เข้ามาโจมตีบริเวณนี้จะหน้าตาเหมือนๆกันหมด เพราะไม่รู้ความแตกต่างกันของพวกมัน ดังนั้น ‘ซุยเมย์’ เองก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามีตนที่แข็งแกร่งกว่าตนอื่นหรือเปล่า

“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะคะ การจะกำจัดปีศาจปกติลงได้ จะต้องใช้เวมนตร์ระดับกลางนะคะ ถ้าฉันจำไม่ผิด?”

“ระดับกลาง?”

“ค่ะ มันอะไรรึเปล่า?”

เธอถาม …….อะไรคือคุณสมบัติเวทมนตร์ระดับกลาง? เพราะว่าเวทมนตร์ในโลกนี้ไม่ได้แบ่งออกเป็นห้าธาตุหลัก แต่เป็นแปดธาตุ จึงไม่สามารถบอกความแตกต่างของมันได้ อะไรถือสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นมาตรฐาน? เพราะเขาไม่รู้เกี่ยวกับมาตรฐานและข้อกำหนดในโลกนี้ นี่จำเป็นคำถามที่เขาไม่สามารถตอบได้

“…..ขอโทษด้วย แต่ว่าผมเองก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้ บอกตามตรงผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

‘ซุยเมย์’ รู้สึกเสียวใจที่ไม่สามารถตอบคำถามของ ‘เลฟิลเลีย’ ได้

“คุณไม่รู้หรือคะ ทำไมละ? ไหนคุณเคยบอกไว้ว่าพ่อของคุณเป็นคนสอนเวทมนตร์?…..เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้หรือคะ?”

“อ่อ….ไม่ใช่ครับ นั่นเป็นเวทมนตร์ที่ผมสร้างขึ้นเอง”

“เอ๋? นี่คุณสร้างเองเหรอค่ะ?”

“เอ๋?มีอะไรแปลกงั้นเหรอ?”

‘ซุยเมย์’ เอียงศีรษะอย่างงุนงงกับปฏิกิริยาของหญิงสาว โดยทั่วไปแล้วมีคาถาพื้นฐานและมาตรฐานไม่กี่อย่างที่เขารู้จัก นอกนั้นเป็นเวทมนตร์ที่เขาคิดค้นขึ้นด้วยตัวเอง

จากการอาศัยวิชาทางโหราศาสตร์และศาสตร์ความเชื่อต่างๆบัญญัติมันขึ้นมา อย่างที่ผู้ใช้เวทคนอื่นๆไม่สามารถทำได้ อย่างความเชื่อของคับบาล่าห์หรือคำสาปรูปแบบการใช้เวทมนตร์อย่างที่ผู้ใช้เวทในสมัยโบราณที่มักจะบัญญัติเวทเฉพาะตัวขึ้นมานั่นแหละ

“ตะ…แต่ว่า มันเป็นไปได้จริงๆเหรอคะ?”

“แน่นอนครับ ตราบใดที่คุณมีทั้งเวลาและความรู้มากพอ และความสามารถในการคิดนอกกรอบอีกนิดหน่อย มันจะช่วยทำให้การใช้เวทมนตร์แม่นยำยิ่งขึ้น ผมควรจะพูดว่าการประดิษฐ์เวทเฉพาะตัวนั่นมันเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆนะ ”

“สงสัยว่า…การเป็นนักเวทมันคงเป็นอะไรที่ยากเกินไปสำหรับฉันจริงๆ”

เขาไม่แน่ใจว่าทำไม ‘เลฟิลเลีย’ ดูเหมือนจะเข้าใจผิดอยู่ตลอดทุกครั้งที่เขาอธิบาย เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะที่นักเวทสาวที่ยืนอยู่ข้างๆยกมือขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ

“เกี่ยวกับเวทมนตร์ที่คุณใช้จากที่ฉันเห็นมันก็ไม่ได้ดูอ่อนด้อยนะค่ะ แต่….มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการกำจัดปีศาจ”

“…….จริงเหรอ?”

“ค่ะ ฉันสงสัยมันจะต้องมีส่วนไหนของเวทมนตร์ที่ผิดพลาดแน่ๆ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ‘ซุยเมย์’ ก็ได้แต่ไหล่ตกอย่างหมดหนทาง เกิดอะไรขึ้นกัน….

ไม่ว่าจะคิดยังไง ‘ซุยเมย์’ ก็ยังคงคิดหาคำตอบไม่เจอ ในช่วงเวลาสุดท้ายปีศาจแสดงให้เห็นถึงพลังอะไรบางอย่าง นั่นคือพลังที่ทำให้เขาขนลุก พลังที่แสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์ บางทีมันอาจจะเป็นพลังที่ปีศาจนับถือกัน

“……นั่นทำให้ฉันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ฉันเคยได้ยินมาว่า ปีศาจนับถือพระเจ้าที่ชั่วร้าย….?”

มันคงเป็นเพราะเรื่องนั้นแหละ  ‘ซุยเมย์’ พยายามคลี่คลายความลับเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้น ‘เลฟิลเลีย’ ก็ร้องเรียกทุกคน

“…….ซุยเมย์คุง ทุกคน”

“หืม?มีอะไรเหรอ?”

“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้มันยังไม่จบนะคะ”

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที  ‘เลฟิลเลีย’ ชี้ไปทางทิศทางของกองคาราวาน คนอื่นๆหันไปตามสายตาของหญิงสาวและรับรู้ได้ถึงตัวตนของปีศาจ

“ไม่จริงน่า…..”

‘ซุยเมย์’ พูดอย่างสะท้อนความรู้สึกในใจของทุกคน ดูเหมือนว่าสงครามนี้มันจะยังไม่จบ

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments