I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 26 กลางป่า

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1210 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

หลังจากที่ ‘ซุยเมย์’ ทิ้งกองคาราวานเพื่อไล่ตาม ‘เลฟิลเลีย’ มา เข้าต้องเปิดใช้เวทมนตร์เพื่อตามหาร่องรอยของเธอ คงเพราะเลฟิลเลียไม่ต้องการสร้างภาระให้กับคาราวาน เธอจึงออกเดินทางตามคำขอของเกลนโดยที่ไม่ยอมโต้แย้งอะไรเลย ขณะที่เขาค้นหาร่องรอยของเลยฟิลเลียอยู่ในป่า

‘ซุยเมย์’ เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าที่เริ่มจะสลัวแล้ว ป่าเปลี่ยวขนาดนี้ อีกสักพักก็คงจะมีสัตว์ป่าหรือไม่ก็มอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้น  ‘ซุยเมย์’ หยุดพักโดยการเอนหลังพิงกับต้นไม้ ก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมากลั้วปากจิบหนึ่ง เขาถอนหายใจขณะที่คิดไปว่ามอนสเตอร์ในโลกนี้คงอันตรายกว่าในโลกของเขาไม่ใช่น้อยเลย นี่ฉันมาทำอะไรในที่แบบนี้นะ อ๊ะ……

เขารู้สึกถึงความผิดวิสัยของตัวเอง แม้ว่า ‘ซุยเมย์’ จะถามตัวเองอีกกี่ครั้ง เขาก็ยังคงไม่อาจตอบคำถามในใจของตนได้ หลังจากที่ดื่มน้ำเข้าไปอีกอึกเขาก็พูดขึ้น

“-ขอโทษที่ทำให้คุณกังวลนะ แต่ช่วยหันดาบออกไปจากทางผมได้มั้ย?”

“….!?”

ถ้อยคำเหล่านี้ถูกส่งไปถึงคนที่กำลังแผ่รังสีสังหารมาจากทางด้านหลังของเขา  ‘ซุยเมย์’ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  หลังจากนั้นน้ำเสียงที่คุ้นเคยเจือด้วยความสับสนแว่วเข้ามายังโสตประสาทของเขา

“…… ‘ซุยเมย์คุง’ ? ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”

“ก็อย่างที่เห็น ผมมาที่นี่เพราะคุณนั่นแหละ”

‘เลฟิลเลีย’ เก็บดาบไปที่ด้านหลังทันที เพราะพลังที่ ‘ซุยเมย์’ ปล่อยออกมาเบาบางมาก เธอจึงคิดว่าเขาเป็นสัตว์ที่กำลังสะกดรอบตามเธออยู่ เธอจึงวางแผนที่จะกำจัดเขาตรงต้นไม้ที่เขาพิงอยู่

“คุณตามฉันมา? มันอันตรายมากนะคะ ถ้าหากอยู่กับฉัน”

“ไม่เป็นไรหรอก การปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวมันอันตรายเกินไป ผมเป็นห่วง”

“ฉันจัดการตังเองได้ค่ะ ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องมาเป็นกังวล”

“คุณจัดการกับอันตรายได้เองจริงๆงั้นเหรอ?”

“แน่นอนค่ะ”

ความมั่นใจและความเอาแต่ใจของ ‘เลฟิลเลีย’  ทำให้ซุยเมย์อดยื้มไม่ได้

“งั้น คุณมีน้ำและอาหารรึเปล่า?”

“อึก….นั่นมันก็….”

“ก็อะไรละ?”

‘เลฟิลเลีย’ ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูก ‘ซุยเมย์’ จู่โจมเข้าที่จุดอ่อน แต่เธอก็ทำหน้าจริงจังและพูดตอบโต้ทันที

“แต่คุณก็ไม่ได้เอาอะไรมาเหมือนกัน คนที่ไม่ได้เตรียมเสบียงมาเหมือนกับอย่างคุณไม่มีสิทธิมาว่าฉันหรอกค่ะ”

“อืม….งั้นดูนี่นะ”

ราวกับพยายามทำลายท่าทางมั่นใจของเธอ  ‘เลฟิลเลีย’ มองไปที่กระเป๋าของ ‘ซุยเมย์’  ที่ไม่ได้ใหญ่ไปกว่ากระเป๋าทั่วไปเท่าไหร่นัก

“….หมายความว่ายังไงคะ?”

“หมายความว่าคุณเข้าใจผิดแล้วที่ว่าผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย”

‘ซุยเมย์’ ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นท่าทางตกใจของ ‘เลฟิลเลีย’  กระเป๋านักเรียนของ ‘ซุยเมย์’  เป็นอุปกรณ์เวทที่ถูกเสริมด้วยศาสตร์แห่งคับบาล่าห์ เวทมนตร์ที่สามารถเพิ่มความจุให้กับกระเป๋าได้อย่างมหาศาล

“อุปกรณ์เวทนี่มันแปลกเกินไปแล้ว”

“แปลก? เอาเถอะตอนนี้คุณคงไม่ไม่พูดว่าผมเจ้ากี้เจ้าการโดยไม่จำเป็นอีกแล้วใช่มั้ย?”

“ก็ได้ค่ะ…..แต่ซุยเมย์คุง อยู่กับฉันมันจะไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ?”

“อืม งั้นจะทำยังไงถ้าผมบอกว่าเสียใจที่มาล่ะ?”

“อึก….ขอโทษค่ะ”

“ผมล้อเล่นน่ะ ถ้าผมเสียใจจริง ผมก็คงไม่มาหรอก จริงมั้ย?”

เมื่อเห็น ‘เลฟิลเลีย’ ก้มหน้าลงอย่างเสียใจ กับคำล้อเล่นของ ‘ซุยเมย์’  เขาก็บอกกับ ‘เลฟิลเลีย’ ว่าไม่ต้องกังวล ถ้าหากว่าเขาเสียใจจริงก็คงจะไม่มาอยู่ที่นี่ แม้เขาจะบอก ‘เลฟิลเลีย’ แบบนั้น แต่หญิงสาวก็ยังคงไม่เลิกโศกเศร้า

“แต่คุณก็รู้ว่าฉันเป็นเป้าหมายของปีศาจ”

“จริงเหรอ”

“มัน…เป็นไปได้สูง”

อืม…ฉันควรจะพูดว่าอะไรดี? ที่จะทำให้เลฟิลเลียไม่ต้องวิตกกังวล ซุยเมย์พูดขึ้น

“เลฟิลเลียคุณกำลังคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าผมอยู่กับกองคาราวานและปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวสินะ”

“นั่นมันก็…..”

‘ซุยเมย์’ ถามคำถามซึ่ง ‘เลฟิลเลีย’ ไม่อาจตอบได้ออกมา ขณะที่เขามองขึ้นไปบนฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยเมฆ เมื่อกับความอึมครึมระหว่าพวกเขา  ‘ซุยเมย์’ กล่าวอย่างใจเย็นราวกับว่าเขากำลังคำถามกับท้องฟ้าอยู่

“พูดสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆของคุณมาสิ”

“คุณหมายความว่ายังไง….?”

“คุณอยากให้ผมอยู่ที่นี่หรือที่กองคาราวาน”

“แน่นอนว่าจะต้องเป็นที่กองคาราวานสิค่ะ นั่นเป็นสิ่งที่คุณควรจะทำมากกว่า”

“เอาความจริง”

“ฉันพูดความจริงนะ”

‘เลฟิลเลีย’ ทำหน้าบึ้งตึง ราวกับว่ามีอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอโกรธ  ‘ซุยเมย์’ ชี้ไปที่หญิงสาวก่อนจะถามออกมาอีกครั้ง

“งั้นคุณก็สาบานต่ออาร์ชูน่าสิว่าคุณไม่ได้กำลังโกหก”

“คะ คือว่า…..”

“คืออะไรล่ะ?”

“………คนเจ้าเล่ห์”

หลังจากที่เลฟิลเลียถอนหายใจ  ‘ซุยเมย์’ ก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วคุณคิดยังไงล่ะ”

“อา…ฉันดีใจที่คุณอยู่ที่นี่ แต่….”

“แต่อะไรครับ?”

“อา…”

“มันเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดใช่มั้ย? แต่ว่าเราควรจะหยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้วนะ ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะเลย”

“อ่า…..”

‘ซุยเมย์’ มองไปยัง ‘เลฟิลเลีย’ ที่หันมาเนื่องจากได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิด มันเป็นความจริงที่ว่า ถึงแม้พวกเขาจะพูดเรื่องนี้กันต่อไปก็คงไม่สามารถ ก็คงไม่อาจบรรลุถึงจุดที่ดีที่สุดได้ ไม่ว่าจะพูดสักแค่ไหน ความเจ็บปวดและความโศกเศร้าในใจของเธอก็จะไม่จางหายไป นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจะไม่พูดเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าจะโต้เถียงกันไปสักแค่ไหน ผลลัพธ์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ดังนั้น ‘ซุยเมย์’ จึงขัดจังหวะ ‘เลฟิลเลีย’ ที่กำลังจะพูด

“…..อะไร? คุณอยากจะพูดอะไรงั้นเหรอ”

“ไม่มีอะไรค่ะ ก็คุณพูดไปหมดทุกอย่างแล้วนี่”

เสียงของเธอฟังดูสดใสมากขึ้น แม้จะไม่เห็นด้วยนัก แต่เธอก็ยังยอมรับมัน ‘ซุยเมย์’ เกาศีรษะแล้วถอนหายใจ จากมุมมองคนอื่นจะต้องเห็นว่าเขาโง่มากแน่ๆที่เลือกจะทำแบบนี้ เพราะมันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดหรือฉลาดนัก น่าอับอายจริงๆที่เอาแต่คิดถึงข้อดีข้อเสียอยู่แบบนี้

“ฉันขอโทษนะค่ะซุยเมย์คุง”

“หือ คุณจะขอโทษทำไม?”

“เป็นเพราะฉัน พวกปีศาจมันถึง……”

“พวกปีศาจถึงอะไร? ผมจำได้ว่าตอนแรกมันก็พูดอยู่ว่าคุณไม่ใช่เป้าหมายของพวกมัน”

‘ซุยเมย์’ ปฏิเสธคำขอโทษของเธอ มันไม่ใช่อะไรนอกจากการให้ร้ายตัวเองเท่านั้น การปรากฏตัวของ ‘ราจัส’ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ‘เลฟิลเลีย’  แต่นักผจญภัยทั้งหมดก็พากันตำหนิว่ามันเป็นเพราะเธอ

ถ้าคิดดูสักนิดก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าการพบกันของ ‘ราจัส’ และ ‘เลฟิลเลีย’ มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เพราะทุกคนยังตื่นตระหนกจากการโจมตีของปีศาจอยู่ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะโยนความผิดให้ให้กับคนที่อยู่ใกล้ๆ มากกว่าคิดว่ามันเป็นแค่ความโชคร้าย ไม่มีใครสามารถทนเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ได้ ผลลัพธ์จึงกลายออกมาเป็นแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่า ‘เลฟิลเลีย’ จะไม่เชื่อ

“พวกเขานำกองกำลังเข้ามาในแอสเทอร์ได้ยังไง ในเมื่อยังติดพันอยู่ตรงพรมแดนของ ‘ธอเรีย’ และประเทศทางตะวันตก หมายความว่า….”

“อะไร? คุณคิดว่าพวกปีศาจยกกำลังข้ามพรมแดนมาเพื่อตามล่าคุณยังงั้นเหรอ? แหม…ดูมั่นใจตัวเองมากเลยนะครับ”

“บู่ ฉันพูดจริงนะค่ะ คุณก็อย่าทำเป็นเล่นสิ”

“โทษทีๆ ผมผิดเอง เพราะเลฟิลเลียสิน๊า…”

‘ซุยเมย์’ กล่าวขอโทษ แต่ ‘เลฟิลเลีย’ กับแสดงออกถึงการไม่มีความสุขด้วยเหตุผลบางอย่าง

“…….คุณทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่เลยค่ะ”

“ไม่เลยๆ นี่ผมกำลังชื่นชมที่คุณสามารถกำจัดศัตรูได้อย่างง่ายดายนะครับเนี่ย”

นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของ ‘ซุยเมย์’ ต่อการต่อสู้ที่ผ่านมา แต่ ‘เลฟิลเลีย’ ยังคงมีบางอย่างในใจที่อยากจะบอก แต่ ‘ซุยเมย์’ ก็ยังคงพูดในสิ่งที่เขาคิดต่อไป

“งั้นเปลี่ยนเรื่องก็แล้วกัน ที่ปีศาจพูดเกี่ยวกับเรื่องผู้รอดชีวิตจาก ‘นอเซียส’   ‘เลฟิลเลีย’ ….ผมจำได้ว่านอเซียสเป็น…..”

คำถามถูกหยุดด้วยเสียงเหนื่อยอ่อนของหญิงสาว

“………คุณไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้สินะคะ”

“อืม…ก็ใช่”

‘ซุยเมย์’ รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกนี้น้อยมาก มันทำให้ความเข้าใจของเขายังคลุมเครือ เขายังขาดความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศและความรู้เกี่ยวกับเรื่องทั่วไป คนอื่นถึงได้มองเขาแปลกๆ  ‘ซุยเมย์’ บ่นกับตัวเองในใจ ขณะที่ ‘เลฟิลเลีย’ อธิบายออกมาเบาๆ

“อ่า….ใช่แล้วค่ะ ฉันเป็นผู้รอดชีวิตจาก ‘นอเซียส’ ”

‘เลฟิลเลีย’ เปิดเผยตัวตนที่เธอซ่อนไว้ตลอดมา น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เมื่อเธออธิบายว่าเป็นผู้รอดชีวิตจาก ‘นอเซียส’  ประเทศที่ถูกทำลายโดยกองทัพปีศาจ

“ประเทศที่อยู่ระหว่างพรมแดนของมนุษย์และปีศาจ ทำให้เป็นประเทศแรกที่ถูกโจมตีสินะ”

“คุณก็รู้นี่คะ”

“….ก็มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดังนี่”

เพราะมันเป็นเหตุผลที่ ‘เรอิจิ’ และพวกเขาถูกเรียกตัวมา เขาจะไม่รู้ได้ยังไง ‘เลฟิลเลีย’ อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง

“…….ตั้งแต่สมัยโบราณ นอเซียสเป็นประเทศที่คอยควบคุมไม่ให้ปีศาจออกมาอาละวาด แต่ว่าตอนนี้มันไม่มีอยู่อีกแล้ว”

“ผมได้ยินมาว่ากองทัพปีศาจมีทหารเป็นล้าน”

“เป็นล้านเหรอคะ?……จะว่าไปฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีเท่าไหร่”

เธอเงียบลงเพื่อเรียบเรียงคำพูด  ‘ซุยเมย์’ จ้องมอง ‘เลฟิลเลีย’ ที่เหมือนกับตกอยู่ในภวังค์

“มันเหมือนกับมหาสมุทรค่ะ กองทัพปีศาจมากมายเหมือนกับมหาสมุทร กองทัพจำนวนนับไม่ถ้ามข้ามชายแดนเข้ามาโจมตีเรา”

ท่าทางของ ‘เลฟิลเลีย’ คลายกับจะบอกเล่าถึงคลื่นขนาดใหญ่ที่พัดขึ้นมาบนชายฝั่ง เมื่อมันกลับลงไป ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ราวกับว่ามันคือความพิโรธของพลังธรรมชาติ ที่มนุษย์ไม่อาจต้านทานได้ เลฟิลเลียกล่าวต่อ….

“สิ่งที่ฉันเห็นเป็นอย่างสุดท้ายคือป้อมปราการทางเหนือ หลังจากนั้นฉันก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย”

“คุณถูกไล่ต้อนให้ล่าถอยงั้นเหรอ?”

“อ่า…อย่างที่คุณพูด เราพยายามกำจัดปีศาจทุกตัวที่ขวางทางอยู่”

“มันคงยากสินะ….”

คำถามคลุมเครืองของ ‘ซุยเมย์’ ได้รับการยืนยัน

“ราจัส บุกเข้ามาหลังจากนั้น ในขณะที่เรากำลังรวบรวมผู้รอดชีวิตและเข้ามาโจมตีเราทันที คุณคงเคยได้ยินมาบ้างว่าเขาเป็นหนึ่งในเจ็ดขุนพลปีศาจ”

“ผมจำได้ว่าเขาพูดแบบนั้น”

คำพูดของ ‘เลฟิลเลีย’ ทำให้เขานึกถึงสิ่งที่ ‘ราจัส’ พูดไว้ ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้บังคับบัญชากองทัพปีศาจของราชาปีศาจนัคชาตรา

“เจ็ดคนเหรอ?”

“ระหว่าที่ต่อสู้ ฉันได้ยินเขาพูด แต่ไม่เข้าใจรายละเอียดนัก เขาพูดว่าเจ็ดกองทัพถูกแบ่งออกเป็นสามเหล่า”

“สามเหล่า? หมายความว่าพวกมันมีมากกว่าหนึ่งล้าน ถ้าหากพวกมันมารวมกันแล้วละก็…..”

ยิ่งพูดมากขึ้นเท่าไหร่ ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องน่าตกใจมากขึ้นเท่านั้น แม้เขาจะไม่มีประสบการอะไรแบบนั้นมาก่อน แต่เขาก็สามารถคาดเดาถึงปริมาณกองทัพขนาดใหญ่นั้นได้ ถ้าหากเรื่องที่ ‘เลฟิลเลีย’ พูดเป็นความจริง

ด้วยจำนวนศัตรูมากมายขนาดนี้ ที่ไม่ใช่ภารกิจที่ผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมาจะแบกรับไหว ถ้าเขายังอยู่ในโลกนี้ต่อไป เขาก็เริ่มสงสัยแล้วว่าอนาคตในวันข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร

“ตอนนั้นที่ฉันต่อสู้กับราจัส ฉันไม่สามารถต่อสู้กับพลังอำนาจของเขาได้เลย กองทัพเองก็เริ่มระส่ำระส่าย จากนั้นปีศาจผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น…….”

คำที่ไม่คุ้นหูปรากกฎขึ้นทำให้ซุยเมย์รีบถามทันที

“ปีศาจผู้หญิง? มีอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ?”

“ไม่…ไม่มีอะไร..เหตุผลที่ว่าทำไมนอเซียสถึงเป็นเป้าหมายแรก อาจไม่ใช่เพราะที่ตั้งของมันเท่านั้น”

แม้ไม่พูดออกมา  ‘ซุยเมย์’ ก็สามารถเดาได้

 “จิตวิญญาณใช่มั้ย?”

“จิตวิญญาณ?”

“อ่า มันคือพลังที่คุณใช้ เลฟิลเลีย ที่ที่ผมจากมามันถูกเรียกว่าพลังวิญญาณ….”

“มีคนอื่นๆที่สามารถใช้ได้อีกเหรอคะ”

“เอ่อ ก็มีไม่มากหรอก แต่ก็นับว่าใช้ได้อยู่”

” … ?”

ยิ่ง ‘ซุยเมย์’ พูดมากขึ้นเท่าไหร่ เลฟิลเลียก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าหากเทียบกันแล้วคำว่าวิญญาณในโลกนี้ย่อมมีความหมายที่แตกต่างจากโลกอื่น เพราะพลังของมนุษย์นั้นอ่อนแอและการวิจัยทางเวทมนตร์ก็ไม่สามารถเข้าถึงพลังอำนาจนั้นได้

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำความเข้าใจกับพลังนั้นได้มากนัก  ‘เลฟิลเลีย’ พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ ‘ซุยเมย์’ พูด แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่อาจเข้าใจมันได้

“ฉันไม่รู้เกี่ยวกับพลังวิญญาณที่ว่าหรอกค่ะ แต่ในประเทศของฉันมันถูกเรียกว่าพลังที่ใช้ต่อต้านปีศาจ”

“คุณเคยบอกว่าดาบของคุณตกทอดมาหลายชั่วอายุคนใช่มั้ย?”

“อา…บรรพบุรุษของฉันสืบสายเลือดมาจากเทพและมนุษย์ค่ะ เพื่อต่อสู้กับปีศาจเทพธิดาอาร์ชูน่าจึงมอบดาบนี้ให้เพื่อใช้มันในการปกป้องมนุษย์”

“ผู้กล้างั้นเหรอ?”

เรื่องที่ไม่คาดคิดของ ‘เลฟิลเลีย’ ทำให้ซุยเมย์พึมพำอยู่เงียบๆ กลายเป็นว่าบรรพบุรุษของ ‘เลฟิลเลีย’ เป็นผู้กล้าซึ่งถูกเรียกตัวมาเมื่อนานมาแล้ว และตอนนี้ลูกหลานของเขาก็ยังคงทำหน้าที่แบบเดียวกันนั้นอยู่ บางทีมันอาจจะถูกชักใยโดยชะตากรรมบางอย่างอยู่ก็ได้  ‘เลฟิลเลีย’ แสดงออกถึงความเหงาและความเศร้า

“ฉันเพียงแค่อยากปกป้องชีวิตผู้คน และท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆ ที่แตกสลายไปพร้อมๆกับประเทศของฉัน”

เลฟิลเลียก้มหน้าลงอย่างโศกเศร้า นับตั้งแต่วันที่เธอหนีออกมาจากบ้านเกิดจนกลายมาเป็นนักผจญภัยตลอดจนการถูกว่าร้าย ความเหงาปกคลุมอยู่เต็มหัวใจเธอ

นั่นคือใบหน้าของหญิงสาวที่ถูกทรยศต่อความตั้งใจของตัวเอง ความตั้งใจที่อยากจะปกป้องคนอื่นๆ  เพราะว่าเธอมีพลัง เธอจึงอยากจะทำมันให้สุดความสามารถ แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมา มันทำให้เธอรู้สึกว่า…..

“นี่ ‘เลฟิลเลีย’  ปีศาจคืออะไรงั้นเหรอ?”

แม้ว่าสายตาของเธอจะบอกว่าอยากจะจบการสนทนานี้เต็มทีแล้ว แต่เธอก็ยังตอบแต่โดยดี

“อืม…บอกตามตรงนะค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีใครในโลกนี้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกมัน แต่มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับพวกมันอยู่นิดหน่อยค่ะ”

“นิดหน่อยเหรอ?”

“ในอดีตกาลพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายได้ต่อสู้กับเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’ ….ด้วยพลังอำนาจอันมหาศาลของพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายทำให้มิติถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และเกิดเวทมนตร์และปีศาจขึ้นมาค่ะ”

“อา….”

‘ซุยเมย์’ นึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาระหว่างทาง ที่เธอเรียกโลกนี้ว่าโลกภายนอกและอีกโลกหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่สุดขอบโลก เมื่อเห็น ‘ซุยเมย์’ พยักหน้าอย่างเข้าใจ  ‘เลฟิลเลีย’ จึงอธิบายต่อ

“มีกล่าวเอาไว้อีกว่า ปีศาจคือผู้รับใช้ของพระเจ้าแห่งความชั่วร้าย ซี่งได้รับพรจากพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายเพื่อสร้างความโกลาหลและนำความตายมาสู่โลกใบนี้…”

ความโกลาหลงั้นเหรอ ไม่น่าเชื่อเลยว่าพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายจะเป็นคนอยู่เบื้องหลังของเรื่องราวเหล่านี้ ท้ายที่สุดแล้วความตั้งใจของราชาปีศาจก็คือความตั้งใจของพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายนั่นเอง

“คุณพูดว่าได้รับพร แปลว่าที่มาของพลังปีศาจมาจากพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายยังงั้นเหรอ?”

“ฉันจำได้ว่ามันมีทฤษฏีที่พูดถึงเรื่องนี้อยู่ แต่จำไม่ได้ว่ามันพูดถึงอะไร แต่ว่า……”

“อืม…..”

“มีอะไรรึเปล่า? ‘ซุยเมย์คุง’ ”

“ผมมีอยู่ทฤษฏีหนึ่ง เกี่ยวกับปีศาจ”

“เอ๋ ความคิดของคุณงั้นเหรอคะ? มันคืออะไร?”

“คุณอยากฟังเหรอ?”

“ค่ะ ฉันอยากรู้”

…..คำพูดของเธอทำให้เขารู้สึกชื่นชม เธอเป็นคนที่น่าชื่นชมอย่างแท้จริง ใบหน้าที่แสดงออกถึงความคาดหวัง ทำให้เขาอธิบายเรื่องนั้นออกมา เป็นครั้งแรกที่เขาพูดให้คนอื่นฟัง….

“หลังจากที่ได้ฟังเรื่องของพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายของคุณแล้ว”

‘ซุยเมย์’ รู้จักสิ่งที่เรียกว่าผีและวิญญาณในโลกของเขาเป็นอย่างดี พวกมันมีอยู่ทั่วทุกที่ในโลก ครอบครองพลังอำนาจที่ดูคล้ายกับเรื่องเล่าในนิทาน บ้างก็ปรากฏอยู่ในคาถาหรือของที่ได้รับการปลุกเสก

เมื่อเปิดใช้งานมันก็จะมีตัวตนในรูปแบบของผีหรือวิญญาณ วิญญาณในโลกของเขาเป็นสิ่งที่กำหนดความหมายไว้อย่างคลุมเครือ มันไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด และพระเจ้าคือตัวตนสูงสุดของรูปแบบจิตวิญญาณ ปีศาจเองก็เป็นตัวตนของจิตวิญญาณที่มีร่างกายจับต้องได้เช่นกัน พระเจ้าแห่งความชั่วร้ายอาจจะ……

“….พระเจ้าแห่งความชั่วร้าย อยู่ในช่องว่าระหว่างมิติ และมีเป้าหมายคือการทำให้โลกเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน และตอนนี้มันก็กำลังเฝ้าดูโลกนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อหวังจะบรรลุเป้าหมาย แต่ก็ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวโดยตรงได้ เหมือนกับเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’  ในเมื่อปีศาจได้รับพลังอำนาจมากจากพระเจ้าแห่งความชั่วร้าย พวกมันจึงทำทุกอย่างเพื่อให้โลกนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย”

“มู…..”

“อืม….มันก็เหมือนที่คุณพูดมาก่อนหน้านี้นั่นแหละ เมื่อโลกถือกำเนิดขึ้น เมล็ดพันธ์แห่งความขัดแย้งก็ถูกปลูกไว้….อ๊ะ….”

เมื่อสังเกตว่าตัวเองกำลังพุดนอกเรื่อง เขาก็กลับไปยังบทสนทนาเดิม

“สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับปีศาจ….มันเป็นเพราะว่าร่างกายที่แข็งแกร่งแตกต่างจากมนุษย์ที่อาจเกิดจากการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตหรืออาจจะเป็นเพราะพวกมันเกิดจากพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายก็ตาม แต่นี่ มันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน อืมน่าสนใจจริงๆ”

“เป็นการคาดเดาที่น่าสนใจมากค่ะ”

“ขอบคุณ ถ้าเป็นเพราะพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายแล้ว พลังสีดำนั่นก็ต้องเป็น….”

‘ซุยเมย์’ พึมพำอยู่คนเดียว ขณะที่เลฟิลเลียถามขึ้นมา

“….? นั่นไม่ใช่พลังปกติของปีศาจเหรอคะ?”

“ถูกต้อง มันไม่ใช่พลังทั่วไปของสิ่งมีชีวิตที่เกิดตามธรรมชาติ มันไม่สอดคล้องกับวิถีของโลก คงไม่มีใครสร้างพลังที่สามารถทำลายตัวเองหรอกถูกมั้ย? โลกก็เหมือนกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกมันถึงไม่สามารถอาศัยอยู่ในโลกนี้ได้ พลังที่ขัดกับตรรกะของโลก ไม่สามารถดำรงอยู่ในโลกได้ อย่างเช่น……”

“พระเจ้าแห่งความชั่วร้ายสินะคะ?”

“เพราะแบบนั้น ทุกครั้งที่ปีศาจใช้พลังของพระเจ้าแห่งความชั่วร้าย มันถึงรู้สึกเจ็บปวด”

หากจะพูดเกี่ยวกับพระเจ้าแห่งความชั่วร้าย มันคงต้องใช้เวลาอีกยาว แต่ว่าตอนนี้….

“เพราะงั้นเทพธิดา ‘อาร์ชูน่า’ ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายจึงใช้มนุษย์ในโลกนี้ และมนุษย์จากโลกอื่นที่ต่อต้านพลังของพระเจ้าแห่งความชั่วร้าย มาใช้กำจัดเขา…”

“….”

‘ซุยเมย์’ พูดอย่างมั่นใจ ในขณะที่เลฟิลเลียไตร่ตรองถึงคำพูดของเขา แต่เธอก็ไม่สามารถโต้แย้งกับสิ่งที่ ‘ซุยเมย์’ พูดได้

“คุณคิดว่าทฤษฏีนี้เป็นยังไงบ้าง”

“อืม นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่มันค่อนข้าต่างกับตำนานที่ฉันเคยได้ยินมา”

“น่าสนใจดีใช่มั้ยล่ะ?”

“ค่ะ น่าสนใจ สิ่งที่คุณคิดนี่มันน่าตกใจมากเลยคะ ‘ซุยเมย์คุง’ ”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างนับถือ ขณะที่ ‘ซุยเมย์’ กล่าวเสริม

“ที่มนุษย์สามารถต่อสู้กับปีศาจได้เพราะพวกเขาได้รับพรมาจากอาร์ชูน่า หากไม่นับคุณนะ  ‘เลฟิลเลีย’  พวกเขาเองก็สามารถต่อสู้กับพรของพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายได้เหมือนกัน แม้กระทั้งเวทมนตร์ของพวกนักเวทเองก็ยังมีผล….”

“….”

“เพราะแบบนี้เวทมนตร์ของผมมันถึงไม่ได้ผลในการต่อสู้กับปีศาจ เพราะขาดสื่อกลางที่ใช้ในการโจมตี เพราะผมไม่ได้มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับ ‘อาร์ชูน่า’ หรือมีพลังวิญญาณอย่างคุณ แต่ไม่เป็นไร ผมยังมีไพ่ตายอีกหลายอย่างที่สามารถเอาชนะปีศาจได้แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กับพลังอำนาจของโลกนี้ก็ตาม”

ดังนั้น

“แต่ที่ผมอยากถามก็คือ ทำไมเวทมนตร์เริ่มต้นของนักเวทมันถึงมีผลต่อปีศาจด้วยล่ะ?”

‘เลฟิลเลีย’ นิ่งคิดก่อนจะตอบออกมา

“เพราะมันแสดงประสิทธิภาพและไม่กระจัดกระจายมั้งคะ แต่ว่า…..”

“นักเวทที่เก่งกาจ พวกเขาจะไม่ค่อยใช้เวทมนตร์ใช่มั้ย? เมื่อพวกเขาเชื่อมต่อครั้งแรกทำให้เวทมนตร์แสดงผลออกมาได้น้อยและไม่สามารถเอาชนะปีศาจได้?”

“อ่า..คุณคิดไปไกลเกินไปแล้ว”

“มันเป็นแค่เรื่องสมมติน่ะ แต่อาจจะมีความจริงปนอยู่ก็ได้”

มีชิ้นส่วนอยู่แค่ไม่กี่ชิ้น เขาคงไม่อาจคาดเดาถึงความจริงที่ถูกต้องได้อย่างแน่นอน เพราะงั้นเขาจึงต้องการข้อมูลจาก ‘เลฟิลเลีย’ เข้ามาเพิ่มเติม ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไม แค่เวทมนตร์ธรรมดาของโลกนี้มันถึงสามารถโจมตีปีศาจที่ได้รับพลังมาจากพระเจ้าแห่งความชั่วร้ายได้

ยังไงก็ตาม พลังของปีศาจ มันคือพลังที่ขัดกับโลกนี้ เมื่อมันใช้ออกมา มันก็จะต้องประสบกับความเจ็บปวด หากเขาใช้เวทมนตร์กังขังเพื่อบังคับให้พวกมันใช้พลังอย่างเต็มที่ บางทีเขาอาจจะสามารถหาคำตอบในเรื่องนี้ได้

“ซุยเมย์คุง”

“หือ?”

“คุณเป็นใครกันแน่คะ?”

การพูดคุยเรื่องนี้อย่างสบายๆจนถึงตอนนี้ ทำให้เธอสงสัยจริงๆว่าตัวตนของเขาเป็นใคร แต่ ‘ซุยเมย์’ ก็ไม่ได้ตอบคำถามของหญิงสาว

“เวลาป่านนี้แล้ว เราควรจะหาที่พักกันได้แล้วนะ”

“ค่ะ”

ในป่าที่มืดมิด เลฟิลเลียจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูเหมือนว่าเธอจะไหล่ตกอย่างผิดหวัง หรือว่าเขาแค่คิดไปเองนะ?  ‘ซุยเมย์’ เริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments