I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 29 บทสรุปของความเชื่อ

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1249 | 2361 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

วิ่ง ใช่ เธอกำลังวิ่งอย่างสุดกำลัง วิ่งไม่หยุดแม้ว่าขาของเธอจะเริ่มเจ็บ ความจริงที่ว่ามีบางคนกำลังรอเธออยู่ทำให้ ‘เลฟิลเลีย’ รีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ หญิงสาวเร่งพลังของเธออีกครั้ง แสงสีแดงเข้มอันเป็นผลมาจากพรของเทพธิดาปกคลุมอยู่ทั่วตัวของ ‘เลฟิลเลีย’

หญิงสาววิ่งผ่านป่าไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าผืนดินถูกบดขยี้อยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของเธอ แม้จะมีความหวังเพียงริบหรี่ แต่เธอก็ยังคงไม่ยอมแพ้ตราบใดที่ยังมีคนรอให้ไปช่วยอยู่ เมื่อมาถึงครึ่งทาง หญิงสาวหยุดวิ่งและหันกลับไปมองด้านหลัง

“….”

เธอเห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม เสียงลมพัดผ่านใบไม้ก็ช่วยสร้างบรรยากาศให้หน้าขนลุกยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่สะท้อนในแววตาของเธอคือบางอย่างที่ที่กระจายอยู่ทั่วเส้นทางที่เธอวิ่งผ่านมา

ใช่แล้ว มันคือซากศพของปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่ขวางทางเธออยู่นั่นเอง เพื่อหมายจะฆ่า ‘เลฟิลเลีย’   ‘ราจัส’ ได้รวบรวมผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนี้ให้มารวมตัวกันที่นี่ น่ากลัวว่าถ้าเธอมาช้ากว่านี้อีกสักสองชั่วโมงละก็ ป่าและภูเขาในระยะ 10 ไมล์นี้คงเต็มไปด้วยปีศาจ

เพราะแบบนั้นมันจึงไม่มีทางที่จะหนีได้แล้ว ราจัสก็คงจะอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน คนที่พรากเอาทุกคนที่เธอรักไป และทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธออย่างไร้ความปราณี ก็คงจะคอยอยู่ที่นั่นอย่างกระตือรือร้น การทำให้มนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เจ้านั่นมีความสุข

เสียงที่ ‘เลฟิลเลีย’ ไม่น่าจะได้ยินดังก้องมาถึงเธอ พวกเขากำลังขอร้องเธอให้ไปช่วยพวกเขา มันเป็นเสียงของคนที่เธอไม่อาจช่วยไว้ได้ แม้ว่าเธอจะได้ยินคำร้องขอเหล่านั้น นี่คือเหตุผลที่เธอจะไม่ทำแบบนั้นอีก จะไม่ยอมให้เกิดโศกนาฏกรรมแบบนั้นอีก ไฟแห่งความโกรธลุกไหม้อยู่ในหัวใจของหญิงสาว และตอนนี้  อย่าไป!  ‘เลฟิลเลีย’ !

“อา …”

ทันใดนั้นเองเศษซากความทรงจำก็ดังก้องขึ้นมาในใจของเธอ เสียงที่เธอคงจะไม่มีโอกาสได้ยินมันอีกแล้ว ทำให้หัวใจที่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะของเธอหวั่นไหว เสียงนั้นเกาะกุมหัวใจของเธอไว้ และหญิงสาวไม่อาจสะกดกั้นความทรงจำที่ไหลบ่าออกมานี้ได้เลย ความรู้สึกสูญเสียที่ผุดขึ้นมาในใจ

แม้เธอจะพยายามที่จะไม่สนใจมัน มันก็ยังคงผุดขึ้นมาในใจไม่ขาดสาย ใช่แล้ว คนที่สามารถหยุด ‘เลฟิลเลีย’ ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ ชายหนุ่มที่เพิ่งจะขัดขวางไม่ให้เธอมา ชื่อของเขาคือ  ‘ยาคางิ ซุยเมย์’  เธอพบเขาครั้งแรกที่เมเทอร์ เมืองหลวงของแอสเทล เป็นนักเวทที่นิสัยแปลกๆ

นอกจากผมสีดำซึ่งเป็นสิ่งหาได้ยากในภูมิภาคนี้แล้ว เขายังมีร่างกายผอมบางราวกับจะปลิวไปกับลมได้ตลอดเวลา หากมีอะไรที่เธอประทับใจในตัวเขาก็คงจะเป็นดวงตาที่อ่อนโยนนั่น

แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าที่ดูไม่แตกต่างจากคนอื่น แต่เขาก็ยังคงให้ความรู้สึกที่ดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมือนกับนักเวทคนอื่นๆที่เธอเคยพบมาก่อน เขาอ้างว่าเป็นนักเดินทางที่กำลังจะไปเนลเฟเรียน แต่เขากลับไม่คุ้นเคยกับสามัญสำนึกของโลกนี้

เมื่อไม่นานมานี้เธอพบว่าเขามีความรู้พิเศษที่น่าตกใจ นอกจากบุคลิกอบอุ่น ใจดี ในฐานะที่เป็นนักเวทตัวตนของเขาควรจะสูงส่งและเย่อหยิ่ง  แต่การกระทำของเขากลับให้ความรู้สึกไร้เดียงสาและตัวตนของเขาก็ไม่ได้ดูเย่อหยิ่งอะไร

วันนั้นที่เขาแยกตัวจากคาราวานและตามเธอมา อนุมานได้ว่านั่นคือบุคลิกจริงๆของเขา แม้ว่าจะต้องตกอยู่ในอันตราย ถ้าหากตามเธอมา แต่ ‘ซุยเมย์’ ก็หาได้ใส่ใจ เขามักจะใส่ใจในความต้องการจากใจจริงของเธออยู่เสมอ

แม้ว่าเธอจะขอให้เขาเลิกสนใจเธอก็ตาม นั่นทำให้เธอเข้าใจตัวตนของเขามากขึ้น นั่นไม่ใช่อย่างเดียวที่เธอเข้าใจ ในคืนนั้นที่คำสาปของปีศาจกำเริบ เขาค่อยๆสวมกอด ‘เลฟิลเลีย’  แม้จะเห็นการกระทำที่หน้าอับอายของเธอ

ใช่แล้ว ในตอนนั้นน่ะ เธอ…. เธอกลัว…. เธอรู้สึกว่าชายหนุ่มสังเกตเห็นบางอย่างซึ่งผิดปกติ และเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางน่ากลัว ไม่ว่าจะใจดีและอ่อนโยนยังไง เขาก็ยังคงเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าเขาเห็นเธอ และเห็นสิ่งน่าอับอายที่เธอทำ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะทำยังไงต่อไป

ในตอนที่แขนของเขาโอบกอดเธอ หัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อชายหนุ่มที่กำลังเป็นห่วงและต้องการจะช่วย เมื่อ ‘เลฟิลเลีย’ มองเห็นความรู้สึกที่สะท้อนผ่านดวงตาของเขา มันไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของสิ่งที่เธอหวาดกลัว ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ

ปกติแล้วเขาควรจะเห็นสิ่งที่เธอทำมันน่ารังเกลียด แต่ถึงอย่างนั้นมือของเขาที่สัมผัสเธอมันช่างอ่อนโยน เขาไม่ได้สูญเสียตัวตนไปกับความปรารถนาตามธรรมชาติ มือสัมผัสผิวของเธอสั่นเพราะความโกรธของเขาที่มีต่อคำสาป เธอครางออกมาเบาๆเพราะสัมผัสของเขา เธอได้ยินเขากล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงหดหู่ เพราะเขาไม่สามารถจะทำลายคำสาปได้

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำลายคำสาปได้และไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไร แต่เขาก็ยังขอโทษด้วยความรู้สึกผิด และเมื่อต้องจากกันอย่างกะทันหัน เขาก็ยังคงห้ามปรามเธอ เพียงเพื่อให้เธอไม่ตกไปอยู่ในอันตราย

“ซุยเมย์คุง…..”

ดีแล้วที่เป็นแบบนี้  ‘เลฟิลเลีย’ ไม่ต้องการให้ชายหนุ่มตกอยู่ในอันตรายไปด้วย บนเส้นทางของเธอนั้นเป็มไปด้วยอันตราย ถ้าเขาซ่อนตัวอยู่ในป่าจนกว่าเธอจะเอาชนะราจัสได้ หรือไม่ต้องโดนราจัสกำจัด เขาก็จะไม่เป็นอะไร ใช่แล้ว ขอแค่เขาปลอดภัย สำหรับเธอแค่นั้นก็มากพอแล้ว

แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีกครั้งก็ตาม แม้ว่าเสียงของเขาจะยังก้องอยู่ในใจของเธอ แม้ว่าสีหน้าสุดท้ายของเขาที่เธอเห็นมันจะเต็มไปด้วยความเศร้าและความเป็นห่วง

แม้ว่าทางที่เธอเลือกมันจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง การตัดสินใจช่วยเหลือเหล่าคนที่ทอดทิ้งเธอมันก็เป็นเหมือนกับการทรยศความรู้สึกของเขา แต่เธอก็ยังคงเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไร้ความลังเล แต่ถึงอย่างนั้น ทำไมตอนนี้…

“ทำไมละ….”

เธอพบว่ามันยากที่จะกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ความรู้สึกที่ส่วนลึกของหัวใจมันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวด แต่มันไม่มีทางเลือก โชคชะตาได้นำพาเธอให้มาพบกับชายคนนั้น และตอนนี้เธอเป็นคนเลือกยุติมันลงเองใช่มั้ย? เมื่อตอนที่เขาเดินตามเธอ ตอนที่เขาพูดคุยกับเธอ

ตอนที่เขาอดทนกับความอึดอัดเมื่อตอนที่เขาพยายามหยุดไม่ให้เธอจากไป ช่วงเวลาเหล่านั้นมันทำให้เธอมีความสุขมากจริงๆ ความรู้สึกที่เธอไม่เคยรับรู้มาก่อน ไหลทะลักออกมาเมื่อเธอนึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น

ครั้งนี้ไม่ใช่ความเศร้า แต่มันคือความเจ็บปวด เธอรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจนัก เมื่อคิดว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเขาอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่อยากจะหนีอีกต่อไปแล้ว เธอไม่ต้องการที่จะเห็นใครต้องมาทนทุกข์ทรมานอีกแล้ว

“…….”

เธอพยายามลืมความอบอุ่นจากแววตาของชายหนุ่ม ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างสุดกำลัง

หลังจากวิ่งผ่านสิ่งกีดขวางมานับไม่ถ้วน ในที่สุดเลฟิลเลียก็มาถึงยังสถานที่แห่งนี้ เธอเปิดประสาทสัมผัสเพื่อตรวจสอบการดำรงอยู่ของมนุษย์และปีศาจ เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติของสถานที่แห่งนี้ หญิงสาวจึงก้าวถอบหลังออกมา พืชพันธ์ที่เจริญเติบโตอย่างผิดธรรมชาติ แม้แต่อากาศก็ดูจะหนักๆชอบกล

“……..?”

สิ่งแรกที่ ‘เลฟิลเลีย’ เห็นเมื่อผ่านแนวไม้มาได้ ถึงกับทำให้เธอหยุดอย่างตกตะลึง กลิ่นคาวเลือดและความตายอบอวนไปทั่ว และสิ่งที่ทำให้เกิดบรรยากาศเหล่านี้ก็ปรากฏต่อหน้าเธออย่างชัดเจน สมุนของ ‘ราจัส’ ?

ปีศาจหลายตนกำลังทรมานมนุษย์เล่นอยู่ บางคนกำลังจะตาย หลายคนที่เต็มไปด้วยบาดแผลและนอนจมกองเลือดอยู่ บางทีอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด…..

เสียงหัวเราะดังออกมาจากทั่วทุกที่ เมื่อเห็นฉากเหล่านี้  ‘เลฟิลเลีย’ ก็ลุกไหม้ไปด้วยไฟแห่งความโกรธ

“ย้ากกกกก”

เธอพุ่งทะยานเข้าไปผ่าปีศาจออกเป็นสองซีกทันที โดยที่พวกปีศาจไม่อาจตอบสนองการโจมตีอย่างฉับพลันนี้ได้เลย แสงสีแดงเข้ามอบความเจ็บปวดและความตายให้กับเหล่าปีศาจ

ไม่ว่าจะเป็นผู้รอดชีวิตที่กำลังดิ้นรนอยู่ หรือปีศาจที่อยู่ไกลออกไป สายตาของพวกเขาจับจ้องมายังคนที่เพิ่งมาถึง และหนึ่งในพวกเขาก็สังเกตเห็นว่า

“ทำไมถึงเป็นเธอ!”

มันไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำอุทานเมื่อพวกเขาพบคนที่คุ้นเคย เธอไม่ได้มาช้าเกินไป ยังคงมีผู้รอดชีวิตอยู่ ที่ถูกล้อมรอบโดยปีศาจนั้นคือคนที่กำลังดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปภายใต้สถานการณ์อันสิ้นหวัง

และเธอจะทำมัน เธอจะต้องปกป้องเหล่าคนที่มีความหวังนั้นไว้ให้ได้ หญิงสาวผู้มาช่วยตามคำอ้อนวอนของพวกเขา มันควรจะเป็นอะไรแบบนั้น แต่…..

“แกมาที่นี่ทำไมวะ!?”

นักรบคนหนึ่งตวาดใส่เธอด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

“อะ…..?”

หญิงสาวตัวแข็งทื่อเพราะความเป็นอริอย่างฉับพลันนั้น ทำไมละ ทำไมถึงเป็นแบบนี้กัน ทั้งๆที่เธอรีบวิ่งมาเพื่อช่วยทุกคนจากอันตรายแท้ๆ

“นังกราคิส……”

เสียงโทนต่ำที่ดังออกมาจากชายวัยกลางคน ไม่ใช่ใครที่ไหน หัวหน้ากองคาราวาน  ‘เกลน’ นั่นเอง ที่เขารอดมาได้นานขนาดนี้เพราะเขาเป็นพ่อค้าซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ น้ำเสียงของเขาสั่นด้วยความเดือดดาล ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังมองมาที่ ‘เลฟิลเลีย’ อย่างกับมองคนร้าย

“เกลนซัง…..”

“ฉันไล่แกออกไปจากคาราวานแล้วไม่ใช่รึไง เพราะแก เพราะแกคนเดียวพวกปีศาจมันถึงเข้ามาโจมตีคาราวานของฉัน”

“…..มันก็อาจจะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้กันนะคะ…”

ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเข้ากำลังถูกโจมตีจากปีศาจ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องพวกนี้ แต่คนรอบข้างเธอกลับพูดว่า

“ใช่อะไร……อะไรที่ทำให้ปีศาจมาโจมตีพวกเรา?”

“เอ่อ….”

เพราะ ‘เลฟิลเลีย’ ไม่ได้อยู่ในบริเวณนี้ มันจึงไม่ใช้ความผิดของเธอที่ปีศาจเข้าโจมตีกองคาราวาน แต่เธอพูดออกไปไม่ได้ ทั้งๆที่ ‘เลฟิลเลีย’ มาช่วยจากปีศาจแท้ๆ แต่เขากับตะโกนใส่เธอ ทำให้เธออดประหลาดใจไม่ได้

“เดี๋ยวก่อน….ทำไมแกถึงรู้ว่าพวกเขาถูกโจมตี”

“หนึ่งในนักผจญภัยที่คุ้มกันคาราวานบอกกับฉันค่ะ เพราะงั้น….”

“เขาบอกงั้นเรอะ….มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าแกไปอยู่ที่ไหน?”

“ค่ะ”

‘เลฟิลเลีย’ พยักหน้าตอบรับ

“แล้วทำไมแกถึงมาที่นี่เร็วนัก”

“ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้”

‘เลฟิลเลีย’ เตือน แต่เข้ากลับไม่สนใจเธอ

“ตอบมา”

“อุ๊บ …”

หัวหน้าคาราวานยังคงกดดันต่อไปด้วยท่าทางตึงเครียด แม้ว่าเลือดจะไหลออกมาจากตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมละ? พวกเขาควรจะรู้สถานการณ์ดีนี่ ทำไมถึงยังสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้อีก

ไม่นะ….. การป้องกันของ ‘เลฟิลเลีย’ หยุดลงกะทันหันเพราะเธอเสียสมาธิจากการสนทนา เธอมองไปรอบๆตัวก็พบว่าเหล่าปีศาจกำลังยิ้มเยาะ พวกมันกำลังยืนดูความขัดแย้งที่น่าชิงชังนี้

เอ๊ะ…..? ทำไมพวกปีศาจถึงไม่เข้ามาโจมตีละ? ทำไมพวกมันถึงไม่เข้ามาโจมตี ถ้าพวกมันต้องการฆ่ากองคาราวาน นี่เป็นโอกาสดีที่จะลงมือแล้วนี่ ทำไมพวกมันถึงหยุดกันละ? บรรยากาศแปลกๆนี่มันอะไรกัน ยังกับพวกมันกำลังดูอะไรที่น่าสนใจอยู่ นี่มันไม่ดีเลย

“นี่ แกกำลังฟังอยู่รึเปล่า?”

ขณะที่ ‘เลฟิลเลีย’ กำลังงุนงงกับสถานการณ์นี้ คู่สนทนาก็ตวาดใส่เธอ

“นั่นมันไม่สำคัญหรอกค่ะ เราควรจะรวมตัวกันและหนีไปให้เร็วที่สุดมากกว่า”

“หนีเรอะ? ไม่เห็นปีศาจพวกนี้รึไง มันไม่มีประโยชน์หรอก”

“มันก็อาจจะใช่….แต่ถ้าเรายังมัวเถียงกันอยู่…..”

“อย่ามาเบี่ยงประเด็น!”

“ฉันยังไม่ได้เบี่ยงประเด็นอะไรเลย!”

“……แล้วทำไมก็พูดมาสิ!”

“อะไร!?”

“พูดความจริงมาสิ! ว่าแกคอยตามพวกเราอยู่!เพราะงั้นแกเลยมาถึงที่นี่ได้เร็วนัก ใช่มั้ย!?”

นั่นมันไม่จริงเลย เพราะเธอใช้พลังวิญญาณเพื่อวิ่งมาต่างหาก แต่เธอไม่สามารถอธิบายออกไปได้

“เพราะงั้นพวกเราเลยโดนโจมตี! เพราะแกคอยตามพวกเราอยู่ พวกเราถึงโดนโจมตี!”

“ไม่ใช่นะ! ! ! นั่นมันไม่จริง! !”

“ไม่จริง? แล้วทำไมแกถึงมาเร็วนัก!”

“อ๊ะ…..”

เพราะแบบนั้นเขาจึงโกรธมาก ความแค้นสุดพรรณนาฉายออกมาทางสายตาของเขา ทำไมเขาถึงต้องการโทษฉันนัก? มนุษย์ที่กำลังจะตายมักจะผลักอารมณ์เชิงลบของตนใส่คนอื่น นั่นแหละคือความอ่อนแอของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์

“นังกราคิส เพราะแก……”

“ฉัน…….”

หลังจากถูกกล่าวหาซ้ำๆ หญิงสาวก็เริ่มจิตตก แม้ว่ามันจะไม่มีมูลความจริงแต่เขาก็ยังผลักความรับผิดชอบทั้งหมดให้ ‘เลฟิลเลีย’  ทำไมพวกเขาถึงเอาแต่โทษฉัน ทำไมพวกเขาถึงเอาแต่สบถสาบานอยู่ที่นี่อยู่ได้ ทั้งๆที่ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเขา ทั้งๆที่ฉันเสี่ยงชีวิตมายังที่แห่งนี้แท้ๆ ทั้งๆที่เธอทำแบบนี้เพื่อพวกเขา ยอมแม้กระทั่งปฏิเสธมือที่อ่อนโยนของชายหนุ่มคนนั้นแท้ๆ

“ทำไมกัน…..ทั้งๆที่ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยทุกคน”

“หุบปาก! ที่พวกเราต้องมาเป็นแบบนี้มันก็เป็นเพราะแก! เพราะแก แกคนเดียว ”

“ฉัน……”

ข้อกล่าวหาที่โหดร้ายนี่ ทำไมพวกเขาถึงคิดว่ามันเป็นความผิดของฉัน? ทั้งๆที่ ‘เลฟิลเลีย’ มาที่นี่โดยหวังว่าทุกคนจะปลอดภัย แต่ทำไมเธอถึงต้องมาพบกับข้อกล่าวหาและคำสาปแช่งพวกนี้ด้วย

คำพูดสาปแช่งของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเจ็บปวด เมื่อ ‘เลฟิลเลีย’ หันไปมอง ก็เห็นบางสิ่งยื่นออกมาจากลำตัวของคนคุ้มกัน นั่นมันแขนของปีศาจ? หลังจากที่ฆ่าคนคุ้มกันเรียบร้อยแล้ว บางอย่างก็ปรากฏตัวขึ้น

“ในที่สุดก็มาสักที นักดาบหญิงแห่งนอเซียส หึๆๆๆ”

“….ราจัส!แกมันเลว!!!”

“ยังพูดเอาแกใจเหมือนเดิมเลยนะ แล้วไง จะมาฆ่าข้างั้นสิ”

ทั้งๆที่สามารถฆ่าเธอได้ง่ายๆ แต่ ‘ราจัส’ ก็เอาแต่พูดเยาะเย้ยถากถางเธอ เพื่อความสาแก่ใจ เขาจึงสร้างสถานการณ์นี้เพื่อล่อเธอออกมาโดยเฉพาะ

“มันเป็นความผิดของแก แก….เป็นคนทำทั้งหมดนี่”

เพราะโศกนาฏกรรมเหล่านี้ เธอจึงไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อราจัสได้ยินคำพูดของหญิงสาว เขาหันไปมองรอบตัวก่อนจะหัวเราะเยาะ ราวกับว่าเขารอคำนี้มานาน

“พูดอะไรอย่างนั้น นี่เป็นความผิดของท่านหญิงแห่งนอเซียสนา….คนพวกนี้ประสบเภทภัยเป็นเจ้าโดยเฉพาะเลยนา…..”

‘ราจัส’ ยิ้มอย่างชั่วร้าย ราวกับว่าเลฟิลเลียเป็นส่วนหนึ่งของชะตากรรมนี้ และยิ้มเยาะขณะที่มองไปยังกลุ่มคนด้านหลังของ ‘เลฟิลเลีย’

อ่า…… กว่า ‘เลฟิลเลีย’ จะรู้ตัวมันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อเธอหันหลับกลับไป ก็พบกับสายตาเคียดแค้นของกลุ่มคนด้านหลัง

“เพราะแก….”

“ถ้าแกไม่อยู่ที่นี่……”

“มันเป็นความผิดของแกคนเดียว……”

นั่นไม่ใช่เสียงของมนุษย์อีกต่อไป สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท คำพูดปฏิเสธหลุดออกมาจากปากของเธอโดยไม่รู้ตัว

“ไม่นะ มันไม่ใช่แบบนั้น”

“หุบปาก นังสารเลว แกมันตัวซวย”

ผู้รอดชีวิตเริ่มสบถใส่เธอ แม้แต่คนที่สุขุมอย่าง ‘เกลนซัง’ ก็เริ่มด่าเธออย่างสาดเสียเทเสีย ทำไมละ? ทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อใจเธอ ทั้งๆที่เธอมาช่วยพวกเขาแท้ๆ แต่ทำไมถึงไปเข้าข้างปีศาจ ทำไมพวกเขาถึงไม่ตระหนักถึงความเป็นจริงกับบ้างเลย

“……ไม่ ไม่ใช่นะ มันไม่ใช่ความผิดของฉัน….ฉันไม่ได้อยากทำร้ายใคร…..”

“หุบปากนะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของแก แกอยู่ที่นี่ ปีศาจก็เหมือนกัน นังสารเลว นังฆาตกร”

เสียงที่พร่ำบ่นออกมามีแต่การกล่าวโทษเธอทั้งนั้น

“มันไม่ใช่ความผิดของฉัน! ทำไม ทำไมทุกคนถึงไม่เข้าใจ ! ?”

‘เลฟิลเลีย’ ตะโกนอย่างสุดเสียง เมื่อราจัสเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาดังลั่น

“ฮ่าๆๆๆ มนุษย์หน้าโง่! เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้น ก็เอาแต่สาปแช่งจิกกัดคนอื่น พวกแกมันน่าขยะแขยงซะยิ่งกว่าหนอนที่อยู่ในกองของเสียซะอีก”

หลังจากที่หัวเราะอย่างเต็มที่แล้ว ราจัสหันไปสั่งปีศาจตนอื่นทันที

“จัดการซะ”

เขาออกคำสั่งสังหารหมู่

“!!!”

คำพูดของเขาทำให้หัวใจที่บาดเจ็บของเธอเข้มแข็งขึ้นมาทันที เธอปาดน้ำตาออกและกัดฟัน  ‘เลฟิลเลีย’ จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขนาด ขณะที่เธอคิด….

“เกิดอะไรขึ้น?”

แม้ความคิดของเธอจะพุ่งทะยานไปข้างหน้า แต่ร่างกายของเธอกลับไม่ยอมขยับตามที่ใจคิด เธอเคลื่อนไหวช้าลง เพราะสายตาของคนเหล่านั้นทำให้เธอไม่อาจขยับได้ ไม่ใช่เพราะปีศาจ แต่เพราะมนุษย์ด้วยกันเองกำลังมองเธออย่างเคียดแค้น การเคลื่อนไหวของเธอก็ทื่อลงทันที

“อั๊ค!”

“อ๊ากกกกกก”

“ฉันยังไม่อยากตาย! ฉันยังไม่อยากตาย! อ๊า…. !”

“อย่านะ อย่าเข้ามา อั๊ค! ”

คนรอบตัวของเธอถูกปีศาจฆ่าไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เธอเรียกว่าเพื่อ นักผจญภัยที่ร่วมงานด้วยกันกับเธอ  ‘เกลน’ ที่จ้องมองมาอย่างเกลียดชัง และพ่อค้าคนอื่นๆ ในที่สุดก็ถึงคนสุดท้าย…

มันสายเกินไปที่จะช่วยใครแล้ว เธอรู้ดี ปีศาจจับผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายขึ้นมาและบังคับในเธอนั่งบนกองเลือดของคนอื่นๆ ผู้หญิงคนนั้น เธอคือจอมเวทที่ร่วมปราบมอนสเตอร์มาด้วยกัน คนที่เลฟิลเลียคิดว่าเธอคือเพื่อน เลฟิลเลียคุกเข่าลงและกอดหญิงสาว

” เข้มแข็งไว้นะ ! “

” อ๊ะ อ๊า . . . . . . . “

หญิงสาวครางอย่างเจ็บปวด เลือดของเธอก็หลั่งไหลออกมาเต็มฝ่ามือของ ‘เลฟิลเลีย’  เธอกล่าวออกมาอย่างอ่อนแรง

“…… ถ้า ……”

“อะไร ….. ?”

“ถ้าเพียงแต่……เธอไม่ได้อยู่ที่นี่…….”

“…..”

ท้ายที่สุดแล้วเธอก็หมดลมหายใจ หลังจากที่พึมพำคำพูดที่เหมือนกับคำสาปเอาไว้ สองมือของ ‘เลฟิลเลีย’ เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของนักเวทสาว เธอมองใบหน้าที่จ้องมองมาด้วยความแค้นแม้จะสิ้นลมหายใจไปแล้วนั้น

ใบหน้าของหญิงสาวก็บิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังราวกับว่าเธอมอง ‘เลฟิลเลีย’ เป็นศัตรูแม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต …..

แขนของ ‘เลฟิลเลีย’ ร่วงลงอย่างอ่อนแรง ในเวลานี้ ราวกับว่าสิ่งที่เธอเคยเชื่อถือมาตลอดได้แหลกสลายไปในพริบตา

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments