I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Isekai Mahou wa Okureteru! ตอนที่ 32 ขอความสุขคืนมาอีกครั้ง(1)

| Isekai Mahou wa Okureteru! | 1245 | 2363 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

เสียงลมกรรโชกพัดผ่าน ทำให้หญิงสาวได้ยินคำพูดนั้นไม่ถนัด บางทีเธออาจจะคิดว่าเป็นเสียงหอบหายใจของเขาเท่านั้น แต่มีวลีหนึ่งที่ถูกพัดพาไปกับสายลม ที่ ‘ราจัส’ ได้ยินว่า

“…..ผู้ใช้เวท”

‘ราจัส’ ขมวดคิ้วก่อนจะพูดทวนในสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง เนื่องจากเสื้อผ้าที่ต่างออกไปหลังจากที่มองอยู่สักพักเขาก็จำซุยเมย์ได้

“เจ้า…..เจ้านักเวทที่น่าลำคาญในตอนนั้น”

‘ซุยเมย์’ ยังคงกอดอกแล้วจ้องมองมาที่ ‘ราจัส’ อย่างเงียบๆ ระจัสพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง ราวกับว่าเขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“เวทแค่นั้นน่ะมันทำอะไรพวกลูกน้องข้าไม่ได้หรอก เอ๊ะ พวกมันหายไปไหนหมด?”

“อ่อ ไอ้พวกสวะพวกนั้นน่ะเหรอ ฉันระเบิดมันทิ้งไปหมดแล้วล่ะ”

“แหมๆๆ ดูเหมือนเจ้าจะได้สนุกกับสวะพวกนั้นอยู่นา ข้ารับรู้ได้จากคำพูดของเจ้าเลย คุๆๆๆๆ”

‘ราจัส’ ยิ้มอย่างเย้ยหยัด รูปลักษณ์ภายนอกของ ‘ซุยเมย์’ นั้นดูแย่จริงๆ แม้ว่าจะไม่มีบาดแผลอยู่บนตัวของเขา แต่เสื้อผ้าของเขาก็มีรอยฉีกขาดและเต็มไปด้วยคราบเลือด ลมหายใจค่อนข้างหนักและมีเหงื่อโชก เห็นได้ชัดว่าเขารีบวิ่งมาที่นี่ด้วยความเร็วมาก  ราจัส’ มองมาที่ ‘ซุยเมย์’ และถามเขาด้วยความสนใจ

“ข้าละอยากรู้จริงๆว่าเจ้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง? กำจัดพวกนั้นหรือกำลังหนีมาทางนี้?”

“ฉันก็แค่กำจัดทุกอย่างที่ขวางทางฉันอยู่เท่านั้นเอง”

“อู้….โม้ใหญ่เลยๆ”

‘ราจัส’ หัวเราะอย่างเย้ยหยันอีกครั้ง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นสภาพของ ‘ซุยเมย์’  และคิดว่ามันเป็นแค่คำข่มขู่ของคนเจ็บ แม้ว่า ‘ซุยเมย์’ จะพูดด้วยความมั่นใจ แต่มันก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าคำข่มขู่ของคนที่ไม่ชอบความพ่ายแพ้

“งั้นบอกข้าหน่อยซี้ ว่าเจ้าผ่านมันมาได้ยังไง”

“ฉันไม่คิดว่านี่จะเป็นเวลาที่ควรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้หรอกนะ”

“……อืม~เจ้ากำลังจะบอกว่ามาช่วยผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย?”

“ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ?”

‘ซุยเมย์’ ตอบกลับราจัส เขามาที่นี่เพื่อช่วยเธอ มาเพื่อเป็นพลังให้เธอ แม้ว่าเธอจะปฏิเสธ แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการแบบนั้นตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว  ‘ราจัส’ ที่สักเกตเห็นท่าทางของ ‘ซุยเมย์’  เขาก็หัวเราะออกมา

“อะไรนะ? ฮ่าๆๆๆ เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่อุตส่าห์บุกเข้ามาถึงที่นี่เพื่อช่วยผู้หญิงคนนั้น”

ที่ ‘ราจัส’ พูด อาจจะถูกก็ได้ เขาเสียสติไปแล้ว เขาผ่านกองทัพปีศาจเข้ามา วิ่งตรงเข้ามาหาความตาย เขาจะได้อะไรกับการมาที่นี่ ที่นี่ยังมีอะไรที่มนุษย์ต้องการอีก….ก็แล้วยังไงละ?

“เจ้าคิดว่านังคนนี้มันมีค่าขนาดนั้นเลยเรอะ? มีค่าขนาดที่เจ้าต้องบุกฝ่าเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง”

“อืม ก็ใช่”

เขาหลังตาลงและพยักหน้า เขายอมรับว่ามันเป็นการกระทำที่โง่เขลา เขารู้อย่างเดียวกับที่ราจัสรู้นั่นแหละ

“ฟุๆๆ ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่ห่างๆผู้หญิงคนนี้ซะละ? มันจะดีกว่าถ้าเจ้าจะไม่ต้องมาบาดเจ็บเปล่าๆ เพียงแค่เจ้าไม่ต้องสนใจผู้หญิงคนนี้? มันจะดีกว่าถ้าลืมไปซะแล้วคิดว่ามันไม่ได้อยู่ในโลกนี้มาตั้งแต่แรก”

“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าฉันทำแบบนั้นฉันก็จะช่วยเธอไม่ได้”

“-อะไร?”

‘ราจัส’ ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิดจาก ‘ซุยเมย์’  ราวกับว่า ‘ซุยเมย์’ กำลังท้าทายเขาอยู่

“โชคร้ายตรงที่ เพื่อช่วยเหลือคนที่ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งคือเส้นทางที่ฉันเชื่อมั่น และไม่อาจละทิ้งเส้นทางนั้นไปได้ เพราะแบบนั้น…..”

นั่นคือเหตุผลที่ฉันมาที่นี่  ‘ซุยเมย์’ ประกาศจุดยืนของตน ประกาศว่าเขาจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเธอและจะสู้กับ ‘ราจัส’   ‘ราจัส’ มองอย่างตกตะลึงกับคำประกาศของ ‘ซุยเมย์’ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ

“ห๊ะ….”

‘ราจัส’ กล่าวอย่างเยาะเย้ย

“คุๆๆๆๆ เพราะเหตุผลโง่ๆนั่น เจ้าถึงมาที่นี่? เจาเดินเข้ามาสู่ลานประหารแห่งนี้ เพื่อพูดอะไรแบบนี้งั้นเหรอ? เพื่อช่วยไอ้ของไร้ประโยชน์นี่ ถึงกับต้องเสี่ยงชีวิตแบบนี้เลย อุ๊บ ฮ่าๆๆๆ นี่ข้ากำลังดูตลกอยู่รึไงว่ะเนี่ย”

“แล้วไงละ?”

“….!?”

เพื่อหยุดเสียงหัวเราะของ ‘ราจัส’  ‘ซุยเมย์’ กล่าวอย่างเย็นชา สายลมกรรโชกผ่านมา หนาวซะยิ่งกว่าพายุหิมะทางเหนือ หนาวซะจนทำให้เสียงหัวเราะนั้นเงียบหายไป

ความเย็นที่ว่านี้ไม่ได้มาจากอุณหภูมิอากาศ แต่มันก็เพียงพอจะแช่แข็งอะไรสักอย่างได้เลย  ‘ราจัส’ เร่งพลังวิญญาณเพื่อทำให้พื้นที่นี้อุ่นขึ้น และคนที่สร้างสถานการณ์นี้คือ ‘ซุยเมย์’ ผู้ซึ่งกำลังมองดูปีศาจที่หัวเราะเยาะเขา ด้วยแววตานิ่งเรียบ

“….ไอ้ เจ้านี่ ข้าไม่ชอบสายตาของเจ้าจริงๆให้ตายสิ”

“ฉันต้องสนใจด้วยงั้นสิ?”

“หน่อย แบบนี้มันต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้ว”

สิ่งที่ออกมาจากปาก ‘ราจัส’  ดังขนาดที่ทำให้ฝุ่นผงลอบขึ้นกลางอากาศ จากนั้นกรวดหินก็บินมาจากทุกทิศทุกทาง ตามมาด้วยแขนและกำปั้นที่ใหญ่ยิ่งกว่าโคนไม้โอ๊คตรงเข้ามาหา ‘ซุยเมย์’  เสียงคาถาบางอย่างที่ ‘ราจัส’ ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังขึ้น

“พริมัม เอค พูนิม เอคชิพิโอ”(เปิดใช้งานปราการห้าชั้น)

วงเวทสีทองห้าวงปรากฏขึ้นจากปลายนิ้วของ ‘ซุยเมย์’ ขยายออกเป็นรูปโล่ ที่ไม่ว่าจะทำลายมันยังไง มันก็จะกลับคืนรูปลักษณ์เดิมเสมอ

ในเวลานี้หมัดของ ‘ราจัส’ และโล่เวทมนตร์ของซุยเมย์ได้ปะทะกัน โล่สีทองแตกออกเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงชั้นที่สาม

“โอ้วววววว”

“ย๊ากกกกก”

พลังหมัดที่พยายามเจาะเวทป้องกันเข้ามา และโล่เวทมนตร์ที่แตกออกอีกชั้นจากพลังของหมัด พื้นดินก็แตกกระจายและฟุ้งขึ้นไปบนอากาศ เสียงหวีดหวิวยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวยิ่งขึ้น เสียงตะโกนดังมาจากทั้งคู่และวงเวทที่สี่ก็เริ่มหมุน

“ห๊า…..”

พลังมหาศาลที่จู่โจมเข้าใส่ ‘ซุยเมย์’ เปลี่ยนทิศทางไป ส่งร่างของราจัสลอยขึ้นไปกลางอากาศ

“อืม ขนาดมีพลังของกำแพงที่ห้าเขาก็ยังลอยขึ้นไปเลยเหรอเนี่ย…..ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

‘ซุยเมย์’ ยักไหลขณะที่ราจัสลอยหายไปจากสายตา เชื่อว่าหลายคนต้องคิดว่าเขามาที่นี่เป็นช่วย ‘เลฟิลเลีย’ เท่านั้นแน่ๆเลย โดยไม่รู้ตัว เขาหันไปมองใบหน้าของเธอและ….

“ลุกขึ้น ‘เลฟิลเลีย’  มาจัดการเขาสิ”

เขาพูดกับฉัน ลองมาสู้ด้วยกัน เราสองคนมาสู้ด้วยกัน หากเขาต้องการเพื่อนที่ร่วมต่อสู้แล้วละก็ ฉันคงไม่อาจที่จะทำแบบนั้นได้

สายตาที่มองมาที่ฉันเรืองแสงสีแดงเข้มอย่างลึกลับและแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ของเขา ความรักที่ฉายผ่านแววตาคู่นั้นก็เป็นเหมือนเหล็กกล้าที่ถูกเผาไฟจนเป็นสีแดง สายตาของเขาคือสายตาของผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ไม่เคยทอดทิ้งความเชื่อของตัวเอง แต่ฉัน ไม่มีแรงพอที่จะต่อสู้เคียงข้างเขาได้ มันถูกใช้ในการต่อสู้กับราจัสก่อนหน้านี้ไปจบหมดแล้ว

“ฉัน ทำไม่ได้ค่ะ”

ฉันก้มหน้าลง

“หืม ทำไมล่ะ?”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่สามารถเอาชนะเขาได้ คุณก็ด้วย แล้วเขาจะฆ่าพวกเราทั้งคู่”

“เลฟิลเลีย…..เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”

‘ซุยเมย์’ ถามอย่างตกใจ เขาอาจจะเชื่อว่าเราจะสามารถรวมพลังเพื่อต่อสู้ เราสองคนสามารถเอาชนะเขาได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสิ้นหวัง เพราะ…….

“เราไม่สามารถเอาชนะราจัสได้หรอกค่ะ เขาแข็งแกร่งเกินไป แม้ว่าเราจะร่วมมือกัน มันก็ยังไม่พอที่จะเอาชนะหรอกค่ะ”

“คุณรู้ได้ยังไง ถ้ายังไม่ได้ลองทำดู”

“ไม่ค่ะ ฉันรู้ดี เพราะราจัสคือคนที่นำทัพในการจู่โจมเซียส เขาแข็งแกร่งกว่าเราสองคนมากนัก ไม่ว่ายังไงเราสองคนก็ถูกโชคชะตากำหนดให้ต้องตายด้วยมือราจัสแล้วละค่ะ”

นั่นคือสิ่งที่มันจะเป็น โชคชะตาที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง การคาดเดาของฉัน อาจเหมือนว่าฉันอ่อนแอ แต่มันคือความจริง ต่อให้มีจิตใจที่เข้มแข็งยังไง ไม่ก็ไม่ต่างอะไรกับความฝันในหน้าร้อน

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีพลังอำนาจ เมื่อได้ฟังคำตอบของฉัน  ‘ซุยเมย์’ หลับตาลง เขาผิดหวังในตัวฉันอย่างนั้นเหรอ? เขาคงกำลังดูถูกฉันสินะ แม้สีหน้าของเขาจะไม่บ่งบอกแบบนั้น แต่เขาก็คงคิดแบบนั้น

“……..ดีแล้วงั้นเหรอ คุณพอใจกับตอนจบแบบนี้งั้นเหรอ”

“ค่ะ ฉันไม่สนใจว่ามันจะจบแบบไหนแล้ว ฉันเหนื่อยเต็มทีแล้ว”

“……เข้าใจแล้ว”

ฉันได้ยินเสียงตอบกลับของเขา เขาไม่ได้ตระหนักถึงมันงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าทุกอย่างจบแล้ว ยิ่งต่อต้านมากไปกว่านี้ ก็จะมีแต่ต้องเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น   ‘ซุยเมย์’ ยืนหันหลังให้เธอ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการให้เขาทำ ร่างในชุดสีดำนั่นยืนเผชิญหน้ากับ ‘ราจัส’

“ซุยเมย์คุง?”

“ผมจะทำให้สิ่งที่ผมต้องการ เลฟิลเลีย ผมจะทำในสิ่งที่ผมคิดว่าดีเท่านั้น”

‘ซุยเมย์’ พูดถึงสิ่งที่เขาเชื่อด้วยความหวัง ความเชื่อที่ทำให้สายตาของเขามืดบอด ฉันตะโกนออกไปด้วยเสียงแข็งกร้าว

“คุณพูดอะไรออกมารู้มั้ย? คุณไม่รู้รึไงว่าราจัสที่ใช้พลังเต็มที่น่ะเป็นยังไง ราจัสน่ะไม่ใช่แค่ปีศาจธรรมดานะ ไม่ว่ายังไงคุณก็แพ้แล้ว”

“อืม มันก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าผมยอมแพ้ตอนนี้ นอกจากจะช่วยคุณไม่ได้แล้ว ผมก็ไม่อาจทำตามความฝันของตัวเองได้หรอก”

ที่เขาบอกว่าจะเอาชนะ ‘ราจัส’  เพียงเพราะเพื่อไล่ตามความฝันเท่านั้นเหรอ?

“แค่ความตั้งใจ มันช่วยเราไม่ได้หรอกนะคนโง่ ไม่ว่าจะตั้งใจแค่ไหนมันก็ช่วยไม่ได้หรอก”

“รู้อยู่แล้วล่ะ”

“มันเป็นแค่จิตนาการ ที่หลวกลวง เป็นแค่ความฝันแบบเด็กๆ”

“รู้อยู่แล้ว”

“คิดว่าแค่คำว่ารู้อยู่แล้วมันจะช่วยเราได้รึยังไง?”

“อืม”

“…..แบบนั้นน่ะ มันไม่มีทางสำเร็จหรอก ไม่มีทางเป็นไปได้”

ที่ถูกคือมันไม่มีวันเกิดขึ้นได้ ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ มีคนกำลังหิว ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้เป็นคนที่ล้มลงเพราะความเศร้า ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้มีคนที่ตายเพราะความเดือดดาลในใจ และไม่มีใครช่วยคนเหล่านี้ได้ ไม่มีข้องยกเว้น

ในทุกๆที่ จะต้องมีคนที่ไม่สามารถช่วยได้อยู่เสมอ เขาควรจะรู้ตัวได้แล้ว ถ้าหากเขาคิดสักนิด ถ้าเขาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง มันก็เป็นแค่จินตนาการที่เขาสมควรจะทิ้งไปนานแล้ว แต่เขาก็ยังพยายามอธิบายอย่างกับเด็กที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย เขาส่ายหน้าและพูดว่า

“ ‘เลฟิลเลีย’  นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณจะต้องตัดสินใจ ไม่ว่าผมจะช่วยใครได้หรือไม่ นั่นเป็นเป็นสิ่งที่ผมต้องไปเผชิญด้วยตัวเอง….”

“ทำไมคุณถึงต้องทำอะไรแบบนั้น คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณเดินไปตามเส้นทางนั้น ที่สุดปลายของเส้นทางคุณก็จะพบแต่ความผิดหวัง”

“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น”

“ถ้าอย่างนั้น…”

“แต่ผมก็จะไม่หันหลังกลับหรอกนะ รูมั้ย? ความฝันของผมไม่ได้อยู่ข้างหลัง วันที่ผมล้มเลิกความฝัน คนที่ผมสาบานต่อเขาในวันนั้น ไม่ได้อยู่ที่ไหนอีกแล้ว เพราะแบบนั้นผมอยาก…..”

อยากให้คุณคอยดูผม ดูความฝันที่ผมฝันถึง และมองดูผมไล่ตามความฝันนั้นไป

“อา……”

ทำไมคำโต้แย้งอย่างคำว่า

“มองผม”

มันถึงได้ดูสดใสขนาดนี้? มันเป็นความสว่างสไวในชีวิตที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย ‘ราจัส’ ที่ถูกเหวี่ยงไปไกลกลับมาอีกครั้งและมองไปที่ ‘ซุยเมย์’ ด้วยสายตาเคียดแค้น

“ไอ้หนู….แกกล้า…”

“อยู่เงียบๆไม่เป็นรึไงว่ะ ไอ้เวรนี่!!!”

“หุบปากนะ!!!!!”

มันคำราม ลูกพลังในมือของ ‘ราจัส’ ก็ขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสงสีดำเหลือบม่วงส่องประกายไปทั่ว มันคือ เวทมนตร์ที่ทำลายปราการของนอเซียสและทำให้อาณาจักรนั้นล่มสลายนั่นเอง

“ถึงเวลาที่แกและผู้หญิงของแกจะหายไปสักที”

จะจบแล้วงั้นเหรอ จะจบแล้วสินะ ตอนนี้ฉันไม่เหลือพลังวิญญาณอีกแล้ว ไม่มีทางที่จะรับการโจมตีนั้นได้ ไม่มีเวทมนตร์อะไรในโลกนี้ที่จะสามารถต้านพลังนั้นได้หรอก…..

“ ‘ซุยเมย์คุง’ ….ยอมแพ้เถอะ….”

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ‘ซุยเมย์’ ยังคงไม่สนใจคำพูดของฉัน และร่ายคาถาอะไรสักอย่างออกมา

“โนน อาโม มูนูส ชูตูม โอเนส อิมเพตูม อินวีตุส”(โล่ของฉันมันไม่ได้เป็นแค่โล่ มันแข็งแกร่งภายใต้การโจมตีและไม่สั่นไหวภายใต้เปลวเพลิง)

มานาขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น แสงสีทองกระจายตัวต่อต้านพลังแห่งความมืดนั้นและเริ่มหมุนเป็นเกลียวราวกับพายุ

“อินวินซิบิลิตี้ อิมโมบิลิตัส อิมโมร์ตาลิส คูมเกว มาเน ซัวร์เรอิสแตง คัสเทิล”(แผ่นหินก่อเกิด ปราสาทซึ่งส่องแสงสีทองสว่างจากแก่นแท้ของดวงดาว ชื่อของมันคือ……)

รังสีของแสงสีทองนั้นแยกออกจากกันและมุ่งหน้าไปยังปลายทางอย่างกับแบกรับภารกิจบางอย่าง พวกมันเริ่งก่อรูปร่างกลายเป็นสายฟ้าสีทองและสงเสียงหวีดแหลม และ

“ฟิร์มูส โชนเกรกา อูรัม มักนาเลีย!”(จงแข็งแกร่งปราสาทของฉัน)

หลังจาก ‘ซุยเมย์’ พูดจบ วงเวทก็มาซ้อนรวมกัน ในเวลาเดียวกันนั้นเองความมืดก็เข้ากลืนกินทุกอย่าง

“อึก…..”

……จบแล้วสินะ การโจมตีของ ‘ราจัส’ ที่จะดึงดูดทั้งร่างกายและจิตใจลงสู่ความมืดมิด แต่ฉันยังไม่อยากให้มันจบเลย ฉันปิดตาทั้งสองลงเพื่อรอความตายที่จะมาถึง เมื่อฉันลืมตาขึ้น ‘ซุยเมย์’ ก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่เป็นอันตรายอะไรและยังคงมีชีวิตอยู่ หลังจากพายุการโจมตีนั้นผ่านพ้นไป ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ประหลาดใจ

“กะ เกิดอะไรขึ้น? พลังนี้มันมากพอที่จะทำลายป้อมปราการสักแห่งได้เลยนะ ทำไมมันถึงไม่ได้ผล?”

ขณะที่ร้องออกไปอย่างตกใจ ก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก มีอักษรและตัวเลขสีทองจากพลังมานาล้อมรอบพวกเขาไว้ วงเวทบนพื้นดินกระจายอยู่ไปทั่ว มีทั้งวงใหญ่และวงเล็กที่ฉันเคยเห็นมาก่อน

ตอนนี้เรากำลังถูกล้อมรอบด้วยวงเวทสีทองนับไม่ถ้วน มันดูเหมือนป้อมปราการที่ถูกสร้างด้วยวงเวทเลย

“อืม อย่าเอาป้อมปราการนี้ไปเทียบกับป้อมเด็กเล่นในโลกนี้เลย นี่เป็นนวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันการโจมตีของอาวุธทางการทหารจากโลกอื่นเชียวนะ ถ้าอยากจะเจาะมันละก็ต้องใช้การโจมตีระดับลมหายใจมังกรหลายๆครั้งเชียวล่ะ”

“โลกอื่น?…..แปลว่า….”

“อืม ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก!”

เมื่อ ‘ซุยเมย์’ ยกมือขึ้นโบก ตรงที่ราจัสยืนอยู่ก็เกิดระเบิดขึ้นเช่นกัน

“ไอ้เด็กเวร บัดซบ ชาติชั่ว#@#$%%^^&^&”

ในที่สุดราจัสก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะโจมตีด้วยพลังเต็มที่แล้วก็ยังไม่อาจทำลายป้อมปราการสีทองนี้ได้ แม้ว่าราจัสจะชื่นชอบการต่อสู้ที่ไม่ต้องออกแรงมากนัก แต่เขาก็ยังคงว่องไวและแข็งแรง ……

เพราะ ‘ราจัส’ เป็นยักษ์ สำหรับมนุษย์แค่เศษเสี้ยวจากพลังหมัดของเขาก็เพียงพอที่จะฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆได้แล้ว แต่กับ ‘ซุยเมย์’ นี่เป็นการโจมตีครั้งที่สี่แล้ว ไม่มีความรู้สึกของคนใกล้ตายสักนิด

พลังวิญญาณของ ‘ซุยเมย์’ ก็ไม่ได้ลดลง เขาหลบการโจมตีของ ‘ราจัส’ พร้อมกับใช้พลังมานาสีเงินในการโจมตีด้วยเวทมนตร์ มันเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก หากถูกพลังจู่โจมจากกำปั้นมรณะของ ‘ราจัส’ เข้าไปสัดนิดเขาอาจจะตายได้

แต่เขาก็ยังคงสามารถสู้ต่อไปได้เรื่อยๆราวกับว่าพลังของเขาไม่มีที่สิ้นสุด เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆที่ฉันเคยพบมาซะอีก ทุกครั้งที่การโจมตีของปีศาจกระทบร่างของเขา เสื้อผ้าก็ฉีกขาดและปรากฏรอยแผลอยู่ทั่วใบหน้าและร่างกายของเขา แต่เขาก็ไม่ได้หยุด ชายหนุ่มยังคงโจมตีเข้าไปอย่างต่อเนื่องเหมือนกับว่าเขาไม่มีความกลัวในใจสักนิด ……

ในขณะที่เขากำลังต่อสู้ด้วยร่างกายที่บาดเจ็บของเขา คำพูดคำหนึ่งของเขาก็แล่นเข้ามาในใจฉัน

ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ในขณะที่เขาต่อสู้ ฉันกลับทิ้งทุกอย่าง ปฏิเสธทั้งคำพูดและนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ที่ฉันทำก็เพียงแค่เฝ้าดู ฉันตัดสินใจไปเองว่าไม่มีอะไรที่ฉันทำได้ และเอาแต่นั่งดู ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉันก็เอาแต่ดูเท่านั้น

“…..”

สิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา คือหัวใจที่มุ่งมั่นของผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องการให้ทุกคนที่กำลังร้องไห้อยู่ได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments